11

บทที่ 11



บทที่ 11 

กวินตั้งใจว่าจะโทรศัพท์หาชลิตาอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่ออกมาจากบ้าน  แต่พอจะกดโทรออกก็เปลี่ยนใจเสียทุกที แล้วแก้เก้อกับตัวเองโดยพูดกับสมูทตี้ที่นอนเคี้ยวขนมกินเล่นอยู่ข้างๆ กระทั่งมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งโรงพยาบาลอยู่ห่างจากสะพานไปไม่ไกลนัก

“มองหน้าทำไม...บอกแล้วว่าลงสะพานก็โทร.แล้ว” ต่อให้พูดอย่างนั้นแต่กวินก็รู้ตัวว่า พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชลิตาตัวเขากลายเป็นคนขี้กลัว กลัวไปเสียทุกอย่าง   “รู้แล้ว  แกจะว่าฉันขี้ขลาดใช่มั้ยล่ะ ก็มันกังวลนี่นา ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ...รู้แล้วว่าหาเรื่องใส่ตัว ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ฉันเป็นห่วงน้องเบลล์ จะไม่ยอมให้ไปกับนายลูกโป่งอะไรนั่น” 

พูดกับเจ้าเหมียวตัวอ้วนก่อนจะเบือนหน้ากลับไปที่ถนนจึงเห็นว่าเลนฝั่งตรงข้ามมีรถติดเป็นแถวยาว มีกลุ่มไทยมุงอยู่ช่องทางเดินเท้า  ชายหนุ่มทำเพียงชะลอรถดู แต่มองไม่เห็นอะไรมาก จึงขับผ่าน บวกกับพิมพ์พรโทรศัพท์เข้ามาชายหนุ่มรีบรับสาย แต่ยังไม่ทันพูดอะไรพิมพ์พรก็พูดสวนออกมา ท่าทางตื่นตกใจ 

“นายน้อยถึงไหนแล้วคะ ถึงโรงพยาบาลรึยังคะ”

“รถติดนิดหน่อย  อยู่บนสะพาน ใกล้จะถึงแล้วล่ะ”

“ขอบคุณคุณพระคุณเจ้า...น้องเบลล์ค่ะ นายน้อยได้โปรดรีบไปช่วยน้องเบลล์ด้วย...” 

ตรงนั้น! ที่เพิ่งผ่านมา...กวินกดวางสาย พร้อมกับปาดหน้ารถคันอื่นเพื่อนำรถเข้าไปจอด พร้อมกับกดโทร. หาต้าฟง  ซึ่งอยู่บนรถที่สะกดรอยตามมาห่างไม่กี่สิบเมตร

 “ไม่ต้องพูดมาก ฉันรู้ว่านายตามมา เห็นแถวรถติดนั่นใช่มั้ย น้องเบลล์เกิดเรื่อง”

“ผมและคนของเราจะรีบลงไปดู” 

“ไม่ต้อง...สมูทตี้อยู่ในรถ ดูให้ด้วย” 

สิ้นคำสั่งก็วางสาย พร้อมกับรถเลี้ยวเข้าเทียบฟุตบาท แทบจะทันทีที่รถหยุดประตูข้างคนขับถูกเปิดออก ชายหนุ่มวิ่งตัดถนนออกไป โดยไม่สนใจอันตรายของรถที่วิ่งสวนไปมา ครู่ต่อมาก็ข้ามไปถึงอีกฟาก เวลาไล่เลี่ยกันกับที่ต้าฟงลงมาจากรถอีกคันเข้ามาดูสมูทตี้และรถของนายน้อย

“ภาวนาเถอะ อย่าให้คุณหนูเบลล์เป็นอะไร ไม่งั้นคงต้องมีคนเจ็บเจียนตาย” 

ต้าฟงยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี เหตุการณ์ที่มีกลุ่มวัยรุ่นขี้ยาทำร้ายชลิตาเมื่อครั้งที่เธอยังอยู่ที่บ้านอุปถัมภ์ เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้นายน้อยโกรธมาก ถ้าเขาไม่เข้าไปห้ามไว้ก่อน คงต้องมีคนตาย  ส่วนครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน ต้าฟงกดโทรศัพท์โทร.ออกหาใครบางคน

“ขอโทษครับท่านรองฯ ที่ต้องโทร.มารบกวน  ผมมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อยครับ...” 

 

เหตุวุ่นวายบนสะพานเริ่มขึ้นเมื่อราวห้านาทีก่อน เมื่อดำรงขับรถตามทอมคู่กรณีที่เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล มีชลิตาและดารุณีติดรถมาด้วย ความใจร้อนทำให้ไม่ฟังเสียงห้ามใดๆ คิดแต่จะเอาคืนคนที่ตีหัวตน ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือของดำรงทำสามสาวในรถคู่กรณีต้องรีบขับหนี ดำรงขับตามจนไปเฉี่ยวชนกลุ่มเด็กแว๊นแถวนั้น พวกมันขับตามจนมาทันที่สะพาน 

“ลงมาสิไอ้เวร! ชนแล้วหนีเหรอมึง!” หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นหกคนตะโกนด่าซ้ำ พร้อมฟาดไม้เบสบอลในมือใส่กระจกรถ สร้างความตื่นกลัวให้สองสาวมาก “มึงจะลงมาดีๆ หรือให้พวกกูลากลงมา”

“พี่ลูกโป่งอย่าลงไปนะ” ชลิตาและบอลลูนพยายามห้าม “เบลล์โทร.บอกป้าพิมพ์แล้ว โทร.แจ้งตำรวจแล้ว เดี๋ยวตำรวจก็มา”

“มึงคนขับน่ะ ลงมา ถ้าไม่ลงมากูจะเล่นสาวๆ ของมึงด้วย” มันฟาดกระโปรงรถอีกครั้ง

“อยู่บนรถไม่ว่ายังไงก็อย่าลงไป” ดำรงสะบัดมือน้องสาวทั้งสองทิ้ง แล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับถูกกระชากตัวลงไป “จะทำอะไรกูก็ทำ แต่อย่ายุ่งกับน้องสาวกู โอ๊ย!”

เมื่อเห็นพี่ชายกำลังถูกรุมกระทืบดารุณีเปิดประตูลงจากรถ ชลิตาอยู่เบาะหลังจึงห้ามไม่ทัน ด้วยความห่วงเพื่อนจึงตามลงไป แม้รู้ว่ามันเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ แถมรังแต่จะทำให้สถานการณ์แย่เลย

“ลงมาจากรถเอง อยากร่วมวงด้วยใช่มั้ย มาพี่จะช่วยเป็นเพื่อนเล่นให้...”

เวลานี้สองสาวถูกรวบตัวไว้ตกที่นั่งลำบาก ในขณะที่ลูกโป่งก็กำลังถูกผู้ชายสองคนรุม แต่ชายหนุ่มก็สู้ แม้จะถูกแตะถูกต่อย แต่ก็เอาคืนพวกมันได้ไม่น้อย ทว่านั่นยิ่งทำให้สถานการณ์ระอุขึ้น มีการใช้มีดและสนับมือเพื่อจะล้มชายหนุ่มที่ยังมีผ้าพันแผลที่ศีรษะ เลือดแดงฉานเริ่มซึมออกมาจากปากแผลเดิมและแผลใหม่ 

“กรี๊ดดด! จะทำอะไร!”  เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของสองสาวทำให้ดำรงเสียสมาธิ

“อย่าทำอะไรน้องกู! ถ้าน้องกูเป็นอะไร กูเอาพวกมึงตาย!”  

คำขู่ที่ไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากทำให้พวกวัยรุ่นหัวเราะยิ่งคึกคะนองต้อนสองสาวและซ้อมดำรงโดยที่กลุ่มไทยมุงไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย นอกจากพยายามโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ผิดกับชายหนุ่มอีกคนที่กำลังวิ่งจากอีกฟากถนนเข้ามาช่วย  สายตาคู่นั้นกวาดหาชลิตา เห็นว่าเธอถูกจับมือไพล่หลัง แต่ก็พยายามดิ้นเพื่อเข้าไปช่วยเหลือดำรงที่ถูกรุมกระทืบ โดยที่คนในบริเวณนั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เพราะกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นถือ อาวุธทั้งมีดยาวและไม้เบสบอล...

“พอได้แล้ว พอซะที ทำไมต้องทำกันขนาดนี้” ชลิตาร้องห้ามผู้ชายสามคนที่ยังรุมกระทืบดำรง ผ้าพันแผลที่ศีรษะเพราะแผลถูกตีก่อนหน้านี้ชุ่มไปด้วยเลือด

“พี่โป่ง พอได้แล้ว พอได้แล้วอย่าทำอะไรพี่ชายฉันเลย...อย่า! พี่โป่ง!”

ดารุณีดิ้นสุดแรงจนหลุด วิ่งเข้าไปจะช่วยพี่ชาย แต่ถูกกระชากแขนกลับโดนตบ คว่ำ ชลิตาเห็นเพื่อนกำลังจะถูกทำร้ายจึงดิ้นแต่ไม่หลุด เธอก้มลงกัดแขนวัยรุ่นคนนั้น มันโกรธจึงง้างมือตบ และตามไปจะตบซ้ำ แต่ก่อนที่มันจะได้ลงมือใครคนหนึ่งเข้ามาช่วย

“มึงเป็นใครวะ อย่าเสือก เรื่องในครอบครัว ถ้าไม่อยากตาย!”  มันดึงมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกงขู่ ชายหนุ่มที่เข้ามายืนบังชลิตาไว้ เธอกลัวตัวสั่น “กูไม่ได้ขู่นะมึง!”

“งั้นจะรออะไร เข้ามาเลยสิ” ชายหนุ่มเตรียมพร้อม วัยรุ่นชะงักไปเพราะไม่คิดว่าจะเจอคนใจเด็ด “จะเข้ามามั้ย ถ้าไม่...ฉันเข้าล่ะนะ!”

สิ่งที่ชลิตาเห็นต่อมาคือ ผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่เข้ามาช่วยเธอกระโดดถีบอกใส่ไอ้เด็กที่ตบเธอ มันหงายหลังล้มทั้งยืน เสียงร่างหนักๆ กระแทกพื้นดังตึก มีดหลุดจากมือมัน แล้วเสี้ยววินาทีต่อมาผู้ชายที่ช่วยเธอก็ตามเข้าไปกระทืบอกผู้ชายคนนั้นซ้ำแบบไม่ยั้ง สลับกลับชกหน้ามันจนเลือดอาบ...

“พี่ชาย...”

เหตุการณ์ตรงหน้ามีบางอย่างกระตุ้นให้ชลิตาเห็นอดีตเมื่อวันที่เธอถูกทำร้าย ภาพผู้ชายที่เข้ามาช่วยเธอในวันนี้ซ้อนทับกับภาพเงาร่างผู้ชายคนนั้นในอดีต ใบหน้าที่เธอจำได้เลือนรางในวันนี้ดูชัดเจนขึ้น ...

“เป็นไปได้เหรอ...”

 

ก่อนที่ตำรวจจะมาถึงกลุ่มวัยรุ่นนั้นก็ถูกกวินจัดการจนหนีกระเจิง มีเพียงคนที่ทำร้ายชลิตาเท่านั้นที่ยังคงสลบเหมือด ดำรงเริ่มลุกนั่งได้ หน้าตาเยินไปหมด มีแผลเต็มตัว ชลิตาและดารุณีรีบเข้าไปดู พยายามจะพยุงให้ลุกแต่สู้แรงไม่ไหว กวินจึงเข้าไปช่วยหิ้วปีกขึ้น

กวินฉุดมือลูกโป่งขึ้น ลูกโป่งกำลังจะขอบคุณ แต่ต้องตกใจเมื่อกวินซัดหมัดเข้าที่หน้า จนหน้าหัน

“แกทำอะไรวะ” ดำรงจะถลาเข้าใส่แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเอาจริงก็ชะงักไป

“ถ้าจะเอาก็เข้ามา แต่ถ้าจะไปตายก็ไปคนเดียว อย่าลากคนอื่นเข้าไปด้วย”

ลูกโป่งจ๋อย เพิ่งมีสติหันหน้ามาทางชลิตา “เบลล์พี่ขอโทษ...”

“ไม่เป็นไรค่ะ เบลล์ไม่เป็นไรมาก...”

“คราวหลังพี่จะระวัง งั้นกลับกันเถอะ พี่จะไปส่ง ป่านนี้ป้าพิมพ์คงเป็นห่วงแย่แล้ว”

“เอ่อ...” ชลิตาอึกอักหันไปทางกวิน 

“ก็บอกไปสิว่าเบลล์จะกลับกับพี่...” บอกพลางเดินนำชลิตาจะข้ามไปที่ถนนอีกฟาก แต่อีกฝ่ายยังไม่ขยับจึงเดินย้อนกลับมา “จะกลับมั้ย พี่ไม่ได้มีเวลาทั้งคืนหรอกนะ”

“ค่ะ” ชลิตารีบรับคำ หันมาทางสองพี่น้อง “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะบอลลูน ไว้เจอกันค่ะพี่ลูกโป่ง”

ดารุณีพยักหน้าให้ มองตามชลิตาที่ถูกจูงมือไปขึ้นรถฝั่งตรงข้าม เป็นภาพที่น่ารักจนทำให้ยิ้มตาม รู้สึกยินดีและดีใจ ต่อไปนี้เพื่อนของเธอคงมีพี่ชายเป็นของตัวเอง ที่สำคัญดูดี และน่าพึ่งพาได้กว่าพี่ชายของเธอมาก

“เท่ชะมัด” พึมพำกับตัวเองอย่างอดไม่ได้

“ไอ้หน้าอ่อนนั่นเป็นใคร” พี่ชายที่สะบักสะบอมยังมีกะจิตกะใจเอ่ยถาม สายตามองรถสปอร์ตหรูที่ขับพาชลิตาออกไป “บอลลูนได้ยินมั้ยพี่ถามว่า ไอ้หน้าอ่อนนั่นใคร”

“เรียกเขาหน้าอ่อน...” น้องสาวทำหน้ายียวนจะกวนประสาทพี่ชายอย่างหมั่นไส้  “เป็นไงล่ะหมัดไอ้หน้าอ่อนหนักมั้ย”

“อย่ามากวนพี่นา ไอ้นั่นเป็นใคร ทำไมเบลล์ยอมไปกับเขาง่ายๆ”

“ก็คนนี้แหล่ะพี่ชายที่เบลล์พูดถึงบ่อยๆ  เขาชื่อพี่เคย์ เป็นเชฟ”

“พ่อครัวน่ะเหรอ”  น้ำเสียงดูถูก “คนทำอาหารมีเงินซื้อรถราคาเป็นสิบล้านได้ไง ค้ายาบ้ารึเปล่า”

“เค้าคงรวยมาแต่รุ่นพ่อแม่ละมั้ง  เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกับนายน้อยที่ส่งเงินมาดูแลคนบ้านริมน้ำ คงรวยๆ เหมือนกัน  พี่เขาหล่อมากเลยเนอะ ดูหน้าหวานๆ แต่สู้เก่งชะมัด ซัดพวกนั้นเสียหมอบ”

“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าพี่ไม่เจ็บตัวก่อน พี่ก็ทำได้” ลูกโป่งกอดอกอวด

น้องสาวเบะปากมองบน รีบดักคอ “พี่ลูกโป่งเห็นรถเขามะ สวยเนอะ รุ่นนี้ใช่มะที่พี่ลูกโป่งอยากได้  พี่เคยบอกใช่มะ ว่าคนใช้รถยี่ห้อนี้ รสนิยมดี ชมสิ ชมพี่เคย์สิว่ารสนิยมดี สมชายชาตรี”

น้องสาวยียวนกวนประสาท รู้ว่าพี่ไม่ชอบคู่แข่งคนใหม่ แต่ก็ชอบแกล้ง 

“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” ดำรงปฏิเสธอย่างกลัวเสียหน้า รู้สึกไม่ถูกชะตากับไอ้หนุ่มหน้าอ่อนนั่นอย่างบอกไม่ถูก “ฝากไว้ก่อนเถอะ...มาทีหลังแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของน้องเบลล์ เดี๋ยวได้เจอกัน...” 

ดารุณีได้ยินเสียงบ่นงึมงำของพี่ชาย เธอรอจนพี่ชายหันมาสบตาแล้วเบะปากมองบนใส่ ก่อนจะพูดสำทับไปว่า “กินแห้วแล้วล่ะพี่ลูกโป่งเอ๊ย งานนี้ลุ้นไม่ขึ้นแล้วล่ะ พี่เขามาเหนือเมฆมาก บอกเลย”

 

จูงมือน้องเดิน...คือสิ่งที่กวินฝันถึงมาตลอด แม้รู้ว่ามันคงไม่มีทางเป็นจริงได้ ตั้งแต่วันที่พรากครอบครัวไปจากเธอ แต่วันนี้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้เขากำลังกุมมือน้อง พาเดินข้ามถนน เพื่อขึ้นรถกลับบ้าน...บ้านที่มีคนในครอบครัวรออยู่ ครอบครัวที่เขาจะสร้างขึ้นใหม่ให้น้อง ตามสัญญาที่เคยให้กับครอบครัวโยธินพิทักษ์ที่ถูกเขาฆ่า...การฆ่าที่แม้ไม่ตั้งใจ แต่สุดท้ายความจริงที่ว่า ‘เขาเป็นฆาตกร’ ก็จะไม่มีวันเปลี่ยน

‘นายต้องทำ นายต้องฆ่าพวกเรา! เพื่อปกป้องน้องเบลล์...นายต้องอยู่ต่อไปนะเคย์ อยู่เพื่อปกป้องน้องเบลล์แทนพวกเราด้วย...ฝากน้องเบลล์ด้วยนะเพื่อนรัก ฉันไม่เคยเสียใจเลยที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย นับจากนี้ฉันยกน้องเบลล์ให้กับนาย ดูแลน้องสาวคนเดียวของฉันด้วย ให้ความรักเธอแทนพวกเราด้วยนะ...เคย์รับปากสิ สัญญาได้มั้ย...พูดว่านายสัญญา’

สิบกว่าปีหลังจากที่ชรินทร์ได้ฝากชีวิตน้องสาวไว้ กวินพยายามรักษาสัญญา ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าความรักที่เขามอบให้ชลิตาจะมีมากพอชดเชยสามชีวิตของครอบครัวโยธินพิทักษ์ที่เสียไปในวันนั้นหรือเปล่า แต่เขารู้แต่เพียงว่าในโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งไหนที่เขาจะรักและให้ความสำคัญเท่ากับ ‘น้องเบลล์’ อีกแล้ว

เพราะเธอเป็นดั่งชีวิต เป็นลมหายใจ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีเธอเขาคงไม่มีสิ่งที่อาลัยอาวรณ์ในโลกใบนี้แล้ว...แล้วในเมื่อรักโหยหาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมเขายังต้องอดทนอยู่ห่างเธออีก...จะไม่ปล่อยให้น้องต้องอยู่ในความดูแลของคนอื่นอีกแล้ว เขาจะกลับมา แม้มาในฐานะของพี่ชายคนเดิมไม่ได้ เขาก็จะเป็นอีกคน เป็นอีกคนที่มาอยู่ข้างๆ

รถสปอร์ตหันหน้ากลับสู่บ้านริมน้ำมาได้พักใหญ่แล้ว แต่คนในรถยังคงไม่พูดอะไร เพราะสุดท้ายเอาเข้าจริงกวินก็ยังคงประหม่าเมื่ออยู่ลำพังกับชลิตา ทั้งที่รู้ว่าเธอมีเรื่องจะพูดด้วย อาจต้องการขอโทษ ต้องการขอบคุณ แต่เขากลับไม่กล้ามองสบตาเธอ ไม่กล้าให้เธอมองหน้าเขาตรงๆ อดกังวลไม่ได้ว่าเธออาจจำเขาได้ จำได้ว่าเขาคือปีศาจร้ายที่ฆ่าทุกคนในครอบครัวเธอ

 “เอ่อ...พี่...พี่เคย์คะ เบลล์ขอบคุณนะคะ”

เป็นอีกครั้งที่เด็กสาวซึ่งนั่งข้างคนขับพยายามชวนคุย แต่คนขับยังทำเหมือนเสียงของเธอไม่ดังพอจะให้เขาได้ยิน แววตาคมยังคงจับจ้องผิวถนน ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับเธอคือบอกให้ไปขึ้นรถซึ่งมีเจ้าเหมียวอ้วนสีขาวของเธอรออยู่ เธอประหลาดใจมาก ไม่คิดว่าพี่ชายข้างบ้านจะเอาเจ้าเหมียวอ้วนมาด้วย แถมกระเป๋าใส่เจ้าแมวเหมียวก็ยังเป็นใบที่เธออยากได้ และพยายามเก็บเงินซื้ออยู่ คงเป็นของฝากอีกชิ้นจากพี่ชายข้างบ้าน ยังไม่นับชุดใหม่ของสมูทตี้อีก

ชลิตามีเรื่องมากมายอยากขอบคุณ แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะมีบางอย่างไม่พอใจ หรือเขาไม่เต็มใจจะออกมารับเธอ ป้าพิมพ์ขอร้องรึเปล่านะ หรือเขาโกรธที่เธอไม่อยู่รอที่โรงพยาบาล แถมกำลังมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นอีก

“เอ่อ วันนี้โชคดีนะคะ” เธอพยายามชวนคุยเสียงแผ่วเบาแต่ดังกว่าครั้งแรกๆ “รถไม่ค่อยติด...”

อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบ เหมือนไม่รับรู้ ไม่แม้แต่จะหันมามอง

“โกรธอยู่แน่เลย” เด็กสาวหน้าเสียก้มหน้ามองเจ้าเหมียวพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง “ทำไงดีล่ะสมูทตี้ หรือต้องบอกว่าขอโทษก่อนดีล่ะ”

อาการคอตกของชลิตาคงมีเพียงสมูทตี้เท่านั้นที่รู้สึกได้ มันร้องเหมียวใช้หัวกลมๆ ของมันคลอเคลียมือนายสาวอย่างต้องการปลอบใจซึ่งมันดูไม่ค่อยได้ผลนัก เจ้าเหมียวอ้วนจึงลุกออกจากกระเป๋า แล้วกระโดดไปที่ตักของกวิน ทำเอาเจ้าของตักเกือบสะดุ้ง เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเหม่อไปไกลจนลืมไปว่าในรถเขาไม่ได้อยู่คนเดียว

“ไม่ได้นะสมูทตี้ ไปกวนพี่ชายขับรถไม่ได้นะ” ชลิตาบอกพลางจะเอื้อมไปรั้งตัวเหมียวอ้วนออกมา ซึ่งมันดูจะไม่ยอม “เดี๋ยวเถอะ มานี่เลยนะ...พี่เขาไม่ใช่พี่ลูกโป่งนะ จะได้ไปคลอเคลียแบบนั้น เดี๋ยวก็โดนดุหรอก”

“ใครดุ” ดูเหมือนคำว่า ‘พี่ลูกโป่ง’ จะทำให้กวินเกิดอาการฉุนโดยไม่รู้ตัว “เธอเห็นฉันเป็นคนดุงั้นเหรอ”

การไม่ตอบของชลิตาถูกตีความไปว่าเธอตอบ ‘ใช่’  

“เปล่าค่ะ เบลล์แค่กลัวว่าสมูทตี้จะไปกวนพี่ชายขับรถน่ะค่ะ เบลล์ไม่รู้ว่าพี่ชายจะชอบแมวมั้ย สมูทตี้ยิ่งดื้อๆ อยู่ เบลล์เป็นเจ้าของก็เลย...”

“ฉันเป็นคนพาสมูทตี้มาด้วยเอง ถ้าไม่ชอบแมว ก็คงไม่พามาตั้งแต่แรก...” 

ดูเหมือนกวินจะรู้ตัวว่าทำเสียงดุก็ตอนเห็นสีหน้าจ๋อยๆ ของชลิตา เธอมองสบตาเขาพร้อมกับขอโทษเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าเงียบไป

แกทำบ้าอะไรวะกวิน...

คนพี่กำลังนึกโทษตัวเอง แทบอยากเอาหัวโขกพวงมาลัยรถในสิ่งที่ทำเมื่อครู่ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ดีนอกจากวางมาดขรึมขับรถไปเงียบๆ โดยไม่รู้ตัวอีกว่านั่นยิ่งทำให้เขาดูดุไปกันใหญ่ มันทำให้เด็กสาวที่แอบชำเลืองมองเขาอยู่ตลอดการเดินทางยิ่งเข้าใจผิด คิดว่าถูกโกรธ

ทำยังไงดีล่ะเบลล์ ขอโทษอีกทีดีมั้ยนะ

ในระหว่างที่ถามตัวเองอยู่นั้น ท้องเจ้ากรรมก็ทำขายหน้า ส่งเสียงร้อง ‘จ๊อก’ มันไม่ได้ดังมากแต่ด้วยบรรยากาศในรถเงียบสงัดจึงเป็นเสียงเดียวที่ชัดที่สุด

ท้องร้องทำไมตอนนี้ ขายหน้าที่สุด...

เด็กสาวแทบอยากหายตัวไปจากตรงนี้ เธอรู้สึกหน้าร้อนผ่าวอายอย่างที่ไม่เคยอายมาก่อน ในขณะที่อีกฝ่ายเหลือบมองเด็กสาวที่หลับตาปี๋อย่างนึกขันปนเอ็นดู ใบหน้าคมมีรอยยิ้ม

“หยิบตะกร้าที่เบาะหลังมาให้หน่อยสิ” เจ้าของรถหันหน้ามาบอกน้ำเสียงอ่อนโยนลงกว่าตอนแรกมาก “หิวไม่ใช่เหรอ...งั้นก็เอื้อมไปหยิบมา ในนั้นมีของกิน เรามาแบ่งกัน” 

เด็กสาวเลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อเห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าคม เธอสัมผัสได้ถึงความใจดีของพี่ชาย รู้ว่าที่เขาพูดอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้เธออาย

“แซนด์วิช...น่าทานจัง” ชลิตาทำตาโตเมื่อเปิดกล่องอาหารที่เพิ่งหยิบมาจากตะกร้า

“งั้นก็กินซะสิ” กวินละสายตาจากถนนทันเห็นเด็กสาวกลืนน้ำลาย “ไม่ต้องเกรงใจ เพราะฉันไม่ได้ให้เธอกินหมด ครึ่งหนึ่งนั่นเป็นของฉัน...ไม่ต้องมองหน้า หยิบส่งมาชิ้นหนึ่ง ฉันก็หิวจะแย่”

ชลิตาส่งกล่องแซนด์วิชให้กวินหยิบเข้าปากไปชิ้นหนึ่ง ในขณะที่เธอได้แต่มอง

“ทำไมไม่กินล่ะ กลัวฉันวางยารึไง หรือกลัวไม่สะอาด...ไม่อร่อย”

“เปล่าค่ะ” รีบปฏิเสธ “แซนด์วิชน่าทานมากเลย แต่เบลล์ทานอาหารสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ค่ะ เบลล์แพ้อาหาร ส่วนใหญ่ขนมปังทำจากแป้งสาลี เบลล์จะทานไม่ได้”

ทั้งที่ชลิตาพูดด้วยรอยยิ้ม แต่กวินกลับรู้สึกเจ็บแปลบในใจอย่างบอกไม่ถูก

“เธอกินได้...ฉันทำมาเพื่อเธอ...กินได้ไม่ต้องห่วง”

“คะ?...ทำมาให้เบลล์”

“ฉันหมายถึง ฉันกำลังฝึกทำอาหารสำหรับคนแพ้อาหารอยู่ ฉันเคยคุยกับป้าพิมพ์ รู้ว่าเธอแพ้อะไรบ้าง ในนี้ไม่มีสิ่งที่เธอแพ้หรอก กินได้...หรือไม่เชื่อ จะให้พูดออกมามั้ยว่าเธอแพ้อะไร”

ชลิตายิ้มไม่พูดอะไร เธอหยิบแซนด์วิชไปชิม ลิ้นสัมผัสรสอาหาร แล้วอยู่ๆ น้ำตาก็เอ่อคลอ

“อร่อยจังค่ะ” เธอหันมาบอก

“อร่อยจนน้ำตาไหลเลยเหรอ”

คำพูดเย้านั้นทำให้เด็กสาวรีบเช็ดน้ำตา “แต่อร่อยจริงๆ นะคะ รสชาติเหมือนแซนด์วิชที่เบลล์เคยทานตอนยังเด็ก แม่จะทำแซนด์วิชใส่กระเป๋าให้เบลล์ไปทานที่โรงเรียนเสมอ แต่พอไม่มีแม่ เบลล์ก็ไม่เคยได้ทาน...เพราะไม่มีใครทำให้อีกแล้ว”

“กินซะ ถ้าชอบ ไว้จะทำให้กินใหม่” กวินบอกในความเงียบ “น้ำสมูทตี้ในกระบอกนั้นก็กินได้ ไม่ได้ใส่นมวัวที่เธอแพ้”

ชลิตามองดูสตอเบอรี่สมูทตี้อย่างตื้นตัน พยายามจะไม่ร้องไห้ แต่แล้วน้ำตาก็ไหล เธอไม่อยากให้พี่ชายข้างๆ เห็นจึงก้มหน้าลงดูดน้ำหวานจากหลอดกลบเกลือน

“อร่อยมั้ย” เด็กสาวพยักหน้า  “ถ้าชอบจะทำให้กินอีก...”

นั่นคือสิ่งที่อยากบอกมาโดยตลอด มันคือสัญญาที่เคยให้ไว้กับเพื่อน สัญญาว่าจะอยู่ดูแลน้อง มีชีวิตอยู่เพื่อน้อง เป็นเชฟที่เกิดมาเพื่อปรุงอาหารสุดพิเศษให้กับเด็กสาวที่นั่งอยู่เคียงข้างเขาในวันนี้ได้ทาน...

 

ใช้เวลาไม่นานแซนด์วิชชิ้นสุดท้ายก็ถูกชลิตาทานจนหมด น้ำสมูทตี้สตอเบอรี่ก็เช่นกัน 

“ขอบคุณค่ะ” ชลิตายกมือไหว้เมื่อเก็บกระบอกน้ำและกล่องเปล่าใส่ตะกร้า

“ไม่เป็นไร อิ่มมั้ยล่ะ ถ้ายังไม่อิ่มไว้กลับไปถึงบ้านค่อยไปทานต่อ อาหารที่เตรียมไว้ยังอยู่” 

“เบลล์ขอโทษนะคะ” กวินเลิกคิ้วเมื่ออีกฝ่ายตั้งคำถามให้แทนที่จะตอบสิ่งที่เขาถามก่อนหน้านี้ “ขอโทษที่กลับไปไม่ทันทานอาหารมื้อค่ำ แล้วพี่ชายก็ยังอุตส่าห์จะมารับเบลล์ แล้วก็มาเกิดเรื่องวุ่นวายอีก เบลล์ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ”

“ช่างมันเถอะ ว่าแต่เล่าสิ เรื่องเป็นมายังไง ถึงได้ไปมีเรื่องกันที่นั่น”

ชลิตาเล่าทุกอย่างให้กวินฟังอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เธอพยายามบอกว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย แม้ลูกโป่งจะใจร้อนทำให้เกิดเรื่อง แต่สุดท้ายเขาก็พยายามปกป้องเธอและบอลลูน

“พี่ลูกโป่งยอมสู้ตาย แต่จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายบอลลูนหรือว่าเบลล์ เป็นพี่ชายที่ดีมากๆ เลยค่ะ ปกป้องเราสองคนมาโดยตลอด” ชลิตาเล่าอย่างชื่นชม ไม่ทันสังเกตว่าพี่ชายขี้อิจฉาหน้าตึงขึ้นมาอีกครั้ง ดูจะไม่ชอบใจที่จะให้น้องเบลล์ไปชมคนอื่น ว่าเป็นพี่ชายที่ดี 

“พยายามปกป้องแล้วไง ถ้าฉันไม่ไปเจอ ตาลูกโป่งนั่นจะช่วยเธอกับเพื่อนได้เหรอ” กวินตำหนิเสียงเขียว “คิดบ้างมั้ยว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ป้าพิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยจะเป็นยังไง ถ้าเธอเป็นอะไรไป ใครจะดูแลทั้งสองคน ทำตัวให้สมกับที่นายน้อยเลือกให้มาดูแลคนสำคัญของนายน้อยหน่อยสิ”

“นายน้อย?” ถึงแม้จะโดนดุ แต่พอมีชื่อของนายน้อยชลิตาก็ตาใสขึ้นทันที “พี่ชายรู้จักกับนายน้อยเหรอคะ”

“ฉันดุเธออยู่นะ สำนึกผิดบ้างมั้ยเนี่ย”

“สำนึกผิดสิค่ะ เบลล์สำนึกผิด” เด็กสาวยืนยันและรู้สึกอย่างที่บอกจริงๆ แต่เพราะเธอยังมีสิ่งที่อยากรู้มากกว่าจึงอดไม่ได้ที่จะถามเข้าประเด็น “พี่ชายรู้จักกับนายน้อยจริงๆ ด้วย...ใช่มั้ยคะ รู้จักจริงๆ ใช่มั้ยคะ เบลล์ไม่ได้เข้าใจผิด”

 “ถ้ารู้จักแล้วไง”

ยังไม่มีคำตอบกลับมานอกจากคนน้องยิ้มกว้างเหมือนเจอเรื่องถูกใจทำเอาอีกฝ่ายเริ่มไม่แน่ใจ

“เบลล์อยากรู้จักเรื่องราวของนายน้อยมาตลอดค่ะ ป้าพิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยก็ไม่ค่อยเล่า บอกว่าไม่ค่อยรู้อะไรมาก เพราะเป็นแค่คนงานในบ้าน”

กวินรู้ว่าที่จุ๋นเจี๋ยและพิมพ์พรไม่พูดเรื่องเขามาก ไม่ใช่เพราะไม่รู้อะไรอย่างที่บอกกับชลิตา แต่ทั้งสองไม่พูดเพราะรู้ดีว่าตนควรพูดหรือไม่พูดอะไรมากกว่า

“แต่พี่ชายเป็นเพื่อน น่าจะรู้เรื่องนายน้อยมากกว่า เล่าให้เบลล์ฟังหน่อยนะคะ เรื่องของนายน้อย...”

“ทำไมถึงอยากรู้เรื่องของนายน้อยมากนัก”

“ก็นายน้อยเป็นผู้มีพระคุณของเบลล์นี่คะ เบลล์อยากรู้เรื่องราวของผู้มีพระคุณของเบลล์ นะคะช่วยเล่าให้เบลล์ฟังหน่อย”

“ไว้ถ้าว่างนะ”

“ตอนนี้ว่างแล้วนะคะ”

“แต่ฉันไม่ว่าง ขับรถอยู่ ยังไม่อยากคุย...”

“ได้ค่ะ ว่าแต่กระเป๋าใบนี้ของสมูทตี้ พี่ชายซื้อมาฝากเบลล์เหรอคะ”

“นายน้อยฝากมาให้...”

“คะ? พี่ชายว่านายน้อยฝากมาให้เบลล์เหรอคะ”

“เปล่า...นายน้อยฝากมาให้สมูทตี้ต่างหากล่ะ”

น้ำเสียงตอบมีโทนเย้าจนเด็กสาวสังเกตได้ เธอยิ้มรับเก้อๆ นั่นสินะ จะมาให้เธอได้อย่างไร มันเป็นกระเป๋าของสมูทตี้

“ชอบมั้ยล่ะ”

“ถามเบลล์หรือถามสมูทตี้ล่ะคะ”

“ถามเจ้าของสมูทตี้ จะได้เอาไปบอกนายน้อยได้ถูก”

“เบลล์ชอบที่สุดเลยค่ะ...ว่าแต่พี่ชายสนิทกับนายน้อยมากมั้ยคะ”

กวินเห็นชัดว่าเวลาคุยเรื่องเกี่ยวกับนายน้อยแววตาของชลิตาจะสดใสมาก มันสุกสกาวชวนมอง แล้วเวลาที่น้องยิ้ม เขาก็สามารถยิ้มตามได้ อยากเห็นรอยยิ้มอย่างนี้ในทุกๆ วัน อยากพูดคุยด้วยอย่างนี้ตลอดไป แล้วนั่นก็ทำให้ตัดสินใจได้แล้วว่าจะยอมทำตามข้อเสนอของนิค เดินหน้าจีบเหมยฮัว การมีผู้หญิงอีกคนเข้ามาในชีวิต เพื่อปกป้องผู้หญิงคนเดียวที่เขารัก มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย...

“ว่าไงคะ สนิทมากมั้ยคะ”

“เจอแทบจะทุกวัน ไปกินข้าวด้วยกัน ไปซื้อของ ไปเที่ยว ไปทำงาน ไปดูบอลด้วยกันบ่อยๆ เรียกสนิทมั้ยล่ะ”

“ว้าว...เล่าให้เบลล์ฟังหน่อยสิคะ นายน้อยเป็นคนยังคะ มีรูปมั้ยคะ แล้ว...”

“แล้วทำไมฉันจะต้องเล่าเรื่องของนายน้อยให้คนแถวนี้ฟังด้วย หาเหตุผลดีๆ มาสักข้อสิ”

“พี่ชายมาอยู่บ้านริมน้ำคนเดียวใช่มั้ยคะ...พี่ชายต้องจ้างคนสวน ต้องจ้างแม่บ้านใช่มั้ยคะ”

“ก็ใช่...”

“ถึงจะไม่ได้จ้างประจำ แต่ก็เสียตังค์ไม่น้อยใช่มั้ยคะ”

“แล้วยังไง”

“เห็นประโยชน์ของเบลล์รึยังคะ” ดวงตาคนถามมีประกายความหวัง เฝ้ารอคำตอบ

กวินรู้ความหมายนั้น แต่ก็แกล้งตีมึน “ยัง...ฉันนึกไม่ออก ยกตัวอย่างมาสิ”

ใบหน้าเล็กๆ นั้นแสดงความผิดหวัง แต่วินาทีต่อมาเธอก็ยิ้มแป้น พร้อมบรรยายสรรพคุณของตัวเอง เสียงเจื้อยแจ้ว “เบลล์จะดูแลบ้านให้พี่ชายไงคะ เบลล์ทำความสะอาดบ้านได้ เช็ดถู ปัดฝุ่น  ซักผ้ารีดผ้าก็ได้ แถมทำสวนได้ด้วยนะคะ เบลล์ชอบปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ ตัดหญ้า รั้วต้นไม้ข้างบ้านเรา เบลล์ก็ตัดเองนะคะ”

“ตัวเท่านี้น่ะเหรอจะทำเรื่องทั้งหมดได้” ดวงตากลมยังยืนยันคำพูดเดิม จนคนพี่นึกหมั่นไส้ “ฉันไม่เชื่อหรอก อย่ามาคุยโวแถวนี้ดีกว่า”

“ยังไม่ต้องเชื่อก็ได้ค่ะ ไว้ให้ทดลองงานดูก่อน สักอาทิตย์” ยื่นข้อเสนออย่างมั่นใจ “ให้เริ่มงานได้เมื่อไหร่ดีคะ...พรุ่งนี้เลยนะคะ”

“ก็ได้...ถ้าทำได้ฉันก็จะเล่าเรื่องนายน้อยให้ฟัง แล้วก็จะทำอาหารอร่อยๆ เป็นของแถมให้ด้วย”

“ทำได้แน่นอนค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ชาย...เบลล์สัญญาว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังเลยล่ะค่ะ”

ยามน้องดีใจก็จะยิ้มกว้างจนตาหยี สิบกว่าปีที่ผ่านมา น้องไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด...

“ฉันจะคอยดู แบบไม่คาดหวังอะไรมากละกัน”

“อ้าว ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ... โธ่ ให้กำลังใจกันหน่อยก็ไม่ได้...” 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น