4

บทที่ 4


 

บทที่ 4 

ณ บ้านริมน้ำ...

ด้วยความที่เป็นเด็กขยัน ชลิตาพยายามช่วยงานทุกอย่างในบ้าน ช่วยดูแลจุ๋นเจี๋ยก่อนและหลังเลิกเรียน วันหยุดก็ช่วยแม่บ้านที่จ้างมาแบบไปกลับเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ นั่นทำให้เธอเป็นที่เอ็นดูของทุกคน โดยเฉพาะพิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ย นับวันพวกเขายิ่งรู้สึกรัก รู้สึกเมตตา

พิมพ์พรทำอาหารให้เด็กสาวไปทานที่โรงเรียนทุกวัน ช่วงที่ฝนตกก็จะออกไปรับ หรือไม่ก็ให้แม่บ้านไปแทน ถ้าสภาพอากาศแย่ก็รอจนฝนหยุด ทุกอย่างดีขึ้น ระยะหลังชลิตาแก้ปัญหาโดยการใส่ที่อุดหู หรือไม่ก็หูฟัง เสียงเพลงทำให้ความเครียดความกลัวน้อยลงบ้าง แต่ก็ไม่หาย

กระนั้นทุกคนก็มองอย่างเข้าใจ ไม่เคยทำให้เด็กสาวรู้สึกไม่ดีเลยสักครั้ง นั่นทำให้ความสดใสเธอกลับมา  ยกเว้นแค่ช่วงเวลาใกล้วันเกิดของเธอเท่านั้นที่ชลิตาจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง หยิบล็อกเกตรูปครอบครัวขึ้นมาดู พิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ยแก้ปัญหาโดยการอยู่ใกล้ ไม่พูดถึงวันเกิด ไม่ว่าจะของใครก็ตามในบ้าน เพราะแคร์ความรู้สึกของเด็กสาว นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวนี้ถือปฏิบัติตั้งแต่รับชลิตามาอยู่ร่วมบ้าน  

“อยู่ที่นี่เอง...” ป้าพิมพ์โผล่หน้าเข้ามาในห้องเก็บของ ที่ชลิตากำลังช่วยแม่บ้านทำความสะอาดอย่างเคย แต่วันนี้มีสิ่งที่แตกต่างออกไปคือ เด็กสาวไม่ได้ถือไม้ขนไก่ หรือผ้าปัดฝุ่นอย่างที่เคยทำ เพราะเธอกำลังก้มหน้าดูอัลบั้มรูปเล่มหนึ่งอยู่ “วันนี้เบลล์อยากทานอะไรจ๊ะ”

“ป้าพิมพ์” ดูเหมือนเธอจะไม่ทันฟังคำถาม เพราะมีสิ่งที่อยากรู้ “นี่รูปใครคะ”

รูปที่ถูกเอ่ยถึงภาพถ่ายของผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดกันเปื้อน ยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์ร้านเบเกอรี่ที่เต็มไปด้วยขนมเค้กและคุกกี้ เธอมีเรือนผมยาวสีดำนิลเช่นเดียวกับสีดวงตา ดวงตาเธอทอประกายสดใส เช่นเดียวกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่ปรากฏทำให้ยิ่งชวนมอง

“เธอสวยมากๆ เลย”

“อ้อ...คุณเปมิกาจ้ะ” พิมพ์พรยิ้มให้พลางเดินเข้ามาหา “ตัวจริงสวยกว่าในรูปอีกนะ เธอสวยจนใครๆ เห็นก็ต้องหลงรัก แม้แต่คนที่ไม่เคยคิดว่าจะตกหลุมรักใคร ก็ยังหลงรักเธอ และก็รักมากกว่าที่เคยรักผู้หญิงคนไหนในชีวิต”

“เบลล์ไม่สงสัยเลยค่ะ เธอดูสวย ดูสง่า ดูใจดี แค่มองก็ยังรู้สึกสดใส”

“ก็เหมือนหนูไงลูก แค่มองก็สดใส” 

คำพูดนั้นของผู้มากวัยทำให้คนถูกชมยิ้มเขิน ก่อนจะพูดขำๆ “ป้าพิมพ์พูดชมตรงๆ แบบนี้ ทำเอาเบลล์ไปไม่ถูกเลยค่ะ”

คนฟังหัวเราะเล็กๆ กับอาการเก้อๆ ของสาวน้อย  “ไม่ใช่คำพูดป้าหรอกนะ เป็นคำพูดของนายน้อยน่ะ”

“นายน้อย? นายน้อยเคยเห็นรูปเบลล์ด้วยเหรอคะ” อาการจ้องตาแป๋วทำให้พิมพ์พรเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรบางอย่างไป แล้วอะไรบางอย่างที่ว่าก็จะทำให้เธอต้องตอบคำถามสาวน้อยอีกมากมาย “เห็นตอนไหนคะ ป้าพิมพ์...ป้าพิมพ์ส่งรูปเบลล์ให้นายน้อยเหรอคะ ส่งทางไหน”

“ไม่ใช่หรอกจ้ะ ไม่ได้ส่งทางไหน ก็รูปเก่าๆ ที่ป้าไปเยี่ยมหนูที่บ้านอุปถัมภ์ไง บังเอิญนายน้อยเคยเห็นน่ะ”

“งั้นเหรอคะ” ชลิตาผิดหวังเล็กๆ “แล้วนายน้อยว่าไงบ้างคะ”

“ก็ว่าแค่นั้นแหล่ะจ้ะ เพราะนายน้อยก็แค่มาเห็นโดยบังเอิญ”

คำแก้ตัวดูไม่ค่อยแนบเนียนนัก เพราะความจริงคือทุกครั้งที่มาเมืองไทย พิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ยถูกขอร้องให้ไปที่บ้านอุปถัมภ์ เพื่อเยี่ยมเด็กผู้หญิงคนนี้  นำของไปให้ ให้ถามสารทุกข์สุขดิบ ถ่ายรูปเธอ พวกเขาไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร สำคัญอะไรกับนายน้อย เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิที่จะถาม รับรู้แค่สิ่งที่นายน้อยบอก พวกเขาจึงคิดไปเองว่าเธออาจเป็นคนรู้จักเมื่อครั้งนายน้อยอยู่เมืองไทย และนายน้อยคงมีเหตุผลบางอย่างที่ต้องปกปิดเรื่องนี้กับคนอื่น รวมถึงตัวของชลิตาเอง เหตุผลที่แม้ทั้งสองสามีภรรยาจะสงสัย แต่คงไม่กล้าเอ่ยถามหรือตามสืบ

คำสั่งสุดท้ายที่พวกเขาได้รับก่อนจะกลับมาไทยคือ ‘รับชลิตามาอยู่ด้วย ดูแลเธอให้ดีที่สุด’ แล้วนั่นคือสิ่งที่พิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ยทำ คราแรกนั้นอาจเป็นเพราะคำสั่งนายน้อย แต่เวลานี้พวกเขาทำเพราะความรู้สึกรักและผูกพัน

“แล้วคุณเปมิกาเป็นอะไรกับนายน้อยคะ...เป็นแฟนเหรอคะ”

คำถามอย่างซื่อๆ ทำเอาผู้มากวัยกว่าทำตาโต “แฟนที่ไหนกันลูก คุณเปมิกาน่ะ เป็นคุณแม่ของนายน้อย  นี่เป็นรูปที่ถ่ายไว้ตั้งแต่ตอนคุณเปมิกายังสาว”

“มิน่าล่ะ ถึงว่ารูปดูเก่าๆ” ชลิตายิ้มเก้อๆ ก่อนจะถามต่อ “งั้นก็แสดงว่านายน้อยมีคุณแม่เป็นคนไทย คงเป็นลูกครึ่งสินะคะ”

“ท่านเป็นลูกเสี้ยวจ้ะ แต่ได้ไทยมาเยอะ เพราะคุณพ่อท่านเป็นลูกเสี้ยวไทย จีน อเมริกัน ส่วนคุณเปมิกาเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์เลยล่ะ เมื่อก่อนนายน้อยก็เคยอยู่เมืองไทย คุณพ่อท่านก็ด้วย แต่ทั้งคู่ก็ไปโตที่ต่างประเทศ”

“เป็นลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว งั้นนายน้อยก็ต้องหน้าตาดีมากแน่เลยค่ะ”

พิมพ์พรพยักหน้า “ท่านหน้าตาคมเข้ม ผิวขาวแต่ไม่ได้ดูเป็นคนสำอางหรอกนะ สีผมและสีดวงตาดำสนิทเหมือนคุณแม่ท่าน”

“ตอนเป็นหนุ่มคงป๊อบมากแน่เลยค่ะ” 

“เป็นหนุ่ม? เบลล์คิดว่านายน้อยอายุเท่าไหร่กันจ๊ะ ถึงใช้คำว่าเมื่อตอนเป็นหนุ่ม” ผู้มากวัยกว่าถามขันๆ

“เบลล์คิดว่านายน้อยน่าจะอายุราวๆ สี่สิบห้าสิบ...ไม่ใช่เหรอคะ”

คำพูดนั้นทำให้พิมพ์พรขำ “ตอนนี้ท่านก็ยังหนุ่ม ท่านน่าจะแก่กว่าหนูเจ็ดแปดปีได้มั้งจ๊ะ”

“เจ็ดแปดปี?...เบลล์อายุสิบหก นายน้อยก็ต้องราวๆ ยี่สิบสามยี่สิบสี่?” เมื่อพิมพ์พรพยักหน้า เด็กสาวทำตาโต “แล้วตอนนี้คุณเปมิกาอยู่กับนายน้อยที่ต่างประเทศเหรอคะ” 

 “เปล่าหรอกจ้ะ เธอเสียไปนานแล้วล่ะ ตอนที่เธอเสียนายน้อยอายุแค่สิบห้าปีเอง  เธอโดนรถชนเห็นว่าเพราะปกป้องนายน้อย ตอนที่คุณเปมิกาเสีย นายน้อยเสียใจมาก รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว เพราะนายน้อยเข้ากับนายท่านไม่ค่อยได้ เหมือนพูดกันคนละเรื่องคนละภาษา ป้าเห็นนายน้อยนั่งเศร้าคนเดียวอยู่บ่อยๆ ท่านคงคิดถึงคุณแม่มาก”

“นายน้อยคงโทษตัวเอง ที่แม่ต้องเจ็บ ต้องตายก็เพราะปกป้องตัวเอง” ชลิตาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเธอจึงได้รู้สึกเศร้ากับเรื่องที่ได้ยินมาถึงขนาดนี้ หรือเพราะมันทำให้เธอนึกถึงตัวเอง นี่อาจเป็นความรู้สึกที่จิตใจรับรู้ แต่เธอจำไม่ได้ “ในวันที่เบลล์ตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาล คนแปลกหน้าบอกเบลล์ว่า บ้านเบลล์ถูกไฟไหม้ ทุกคนในครอบครัวตายหมด มีคนปลอบใจเบลล์ว่า พวกเขาอาจตายเพราะปกป้องเบลล์ เบลล์ควรเข้มแข็ง อยู่ต่อไปให้ได้เพื่อพวกเขา เบลล์ก็อยากทำอย่างนั้น แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้เบลล์ก็เจ็บ...เจ็บในนี้ เจ็บที่ทำไมเบลล์ไม่ตายไปพร้อมทุกคน”

‘ในนี้’ ที่เด็กสาวเอ่ยถึงหัวใจที่เธอชี้ 

“นายน้อยของป้าพิมพ์ก็คงรู้สึกเหมือนเบลล์ตอนนี้ใช่มั้ยคะ”

พิมพ์พรเข้ามาช่วยปลอบ เช็ดน้ำตาให้ “ป้าก็คิดอย่างนั้น แต่สุดท้ายนายน้อยก็คิดได้ว่า ถ้าวันนั้นคุณเปมิกาช่วยนายน้อยไม่ได้ คนที่จะต้องเสียใจคงเป็นคุณเปมิกา หนูเข้าใจที่ป้าจะบอกมั้ยลูก...เบลล์”

“ค่ะ” หญิงสาวสะอื้นแรงขึ้น “เบลล์จะอยู่ให้ได้ เบลล์จะเข้มแข็ง เบลล์จะอยู่อย่างมีความสุข เพราะการอยู่รอดของเบลล์ในวันนั้น ทำให้คนที่รักเบลล์จากไปอย่างหมดห่วง พวกเขาตายตาหลับที่ได้รู้ว่าหนูปลอดภัย...”

ทั้งที่บอกว่าจะเข้มแข็งแต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับยิ่งไหล พิมพ์พรเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะดึงเข้ามากอด หวังให้ความอบอุ่นห่วงใยที่ส่งไปให้ทำให้เด็กสาวคลายใจ

แล้วมันก็ได้ผล เวลานี้ชลิตาไม่ได้รู้สึกว่าอยู่อย่างเดียวดายอีกแล้ว วันนี้เธอมีป้าพิมพ์และจุ๋นเจี๋ยที่ให้ความรัก และยังมีนายน้อยที่เมตตาส่งเสียให้ชีวิตใหม่ นายน้อยที่เธออยากรู้จักท่านให้มากขึ้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเจอท่านสักครั้ง...

 

ถึงจะปฏิเสธไปแล้ว สุดท้ายเควินก็ยังต้องมาร่วมงานวันเกิดแม่ของชาคริต เพราะหลังจากจบงานในฮ่องกง ก่อนที่จะได้กลับ มีคำสั่งมาจากนิคให้เขาทำหน้าที่คนส่งของขวัญไปให้ ‘พัชรินทร์’ ผู้หญิงที่พยายามจะประกาศต่อใครทั้งโลกว่าหล่อนเคยเป็นผู้หญิงของผู้นำเดอะวันกรุ๊ป คนที่นิคเคยหลงใหลขนาดยอมรับลูกของหล่อนเป็นลูกบุญธรรม

พัชรินทร์เชื่ออย่างสนิทใจว่านิคเมตตาชาคริตมากเสียยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆ  เพราะการที่นิคสั่งให้เควินมาร่วมงานวันเกิดหล่อนเป็นสิ่งยืนยัน รอยยิ้มของความสุขยังคงแลระบายบนใบหน้าเจ้าของงานเลี้ยงที่เพิ่งกลับถึงบ้าน หลังปาร์ตี้จบลง

“ดูแม่มีความสุขมากนะครับ” ชาคริตเอ่ยถามมารดาที่แม้จะอายุห้าสิบแล้วแต่ก็ยังเป็นคนที่ดูแลตัวเอง เป็นคุณแม่ยังสาว และสวยสง่าสมวัยและยังดูแข็งแรง จนบางครั้งบางคนคิดว่าเป็นพี่สาวหรือน้าสาว มากกว่าแม่กับลูก “ผมดีใจที่เห็นแม่มีความสุข และคุณพ่อก็คงดีใจ ถ้ารู้ว่าสร้อยที่คุณพ่อให้ คุณแม่ชอบมันมาก” 

ชาคริตมองสร้อยมรกตล้อมเพชรที่คอของมารดา ซึ่งคนที่สวมสร้อยเส้นนี้ให้แม่ของเขาก็คือเควิน น้องชายบุญธรรมของเขามาร่วมงานพร้อมของขวัญ ทำตามทุกคำสั่งของนิค นั่นคือใส่สร้อยเส้นนี้ให้กับเจ้าของงานวันเกิด พร้อมกับคำอวยพรและดูเหมือนเควินจะถ่ายทอดมันอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

“ฉันชอบสร้อยที่นิคให้ก็จริง แต่ที่ฉันดีใจเพราะของขวัญอีกชิ้นมากกว่า”

ชาคริตขมวดคิ้ว มองสบตามีรอยยิ้มของมารดาแล้วก็นึกได้ “เควิน?”

“ใช่ ฉันดีใจที่เควินมาร่วมงาน เป็นตัวแทนของนิคเอาของขวัญมาให้ฉัน ซึ่งถ้าสร้อยเส้นนี้แกเป็นคนถือมา ฉันคงไม่ดีใจขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่าแค่โทรศัพท์กริ๊งเดียว จะทำให้ฉันได้ในสิ่งที่ต้องการ นิคดูให้ความสำคัญกับแกมากนะชาคริต ไม่เสียแรงจริงๆ ที่แม่ฝากทุกอย่างไว้กับแก ลูกแม่คนนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง”

“ผมว่าแม่ไม่น่าทำอย่างนี้เลยนะครับ” ชาคริตรู้ว่ามารดาคิดอะไรอยู่ เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการนั้น “การที่แม่ทำแบบนี้ ยิ่งจะทำให้เควินเกลียดคุณพ่อมากขึ้น และนั่นก็จะทำให้คุณพ่อหงุดหงิด”

“หึ ฉันว่าก็คงไม่ทำให้เควินเกลียดนิคไปมากกว่าเดิมนักหรอก หรือจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า เควินคงไม่เกลียดใครมากไปกว่านิคแล้วล่ะ” พัชรินทร์ดูจะไม่ได้ใส่ใจ เพราะหล่อนได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว “นิคสัญญากับฉันว่าจะมา ในเมื่อมาไม่ได้ ก็ต้องรับผิดชอบ จะให้ฉันเสียหน้าไม่ได้ ขืนไม่ให้เควินมาแทน คนก็เอาฉันไปนินทาสิว่าหมดบารมีในมิราเคิลฯ โดยเฉพาะกับพวกญาติๆ ที่เคยว่าฉัน หาว่าฉันท้องไม่มีพ่อ หาว่าฉันเป็นคนโกหก ป่านนี้พวกนั้นก็คงกลับมาเชื่อเหมือนเดิมแล้วว่า แกเป็นลูกของนิคจริงๆ ไม่ใช่ฉันแค่สมอ้าง”

“แต่แม่ก็รู้ว่าไม่ใช่ ผมไม่ใช่ลูกคุณพ่อ” ชาคริตดูสะเทือนใจกับสิ่งที่พูด และรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้

พัชรินทร์เองก็คงรู้สึกได้จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “แม่ดีใจนะที่เห็นแกดูสนิทกับคุณหนูหยาง”

ชื่อที่ถูกเอ่ยถึงทำให้ชาคริตมีท่าทีเปลี่ยนไป อมยิ้มเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นแววตาของมารดาก็รีบปรับสีหน้าใหม่ “ก็ไม่นี่ครับ คุณหนูหยางมาเป็นตัวแทนเจ้าสัวหยาง ผมก็แค่เข้าไปดูแลเธอตามหน้าที่”

มารดายิ้มอย่างรู้ทันลูกชาย “แกจะทำอะไรเกินหน้าที่บ้างก็ได้นะ ผู้หญิงอย่างคุณหนูหยางใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ  แล้วอีกอย่างนิคก็อยากดองกับเจ้าสัวอยู่แล้ว ถ้าแกทำให้คุณหนูหยางประทับใจได้ นิคคงดีใจ”

“แม่รู้ได้ยังไงครับว่าคุณพ่อคิดอย่างนั้น”

“ทำไมฉันจะไม่รู้สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นคิด ถ้าแกอยากให้พ่อแกรัก ก็ทำอย่างที่ฉันบอกก็พอ” พัชรินทร์บอกอย่างมั่นใจ ชาคริตไม่พูดอะไรก็จริง แต่มารดาก็ได้คำตอบที่ต้องการแล้ว จึงพูดเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “ว่าแต่แกกับเควินจะกลับเมื่อไหร่”

“ผมกลับพรุ่งนี้เลย ต้องรีบไปช่วยงานคุณพ่อ ส่วนเควินคงไปไหว้คุณเปมิกาก่อน ดูท่าแล้วคงอยู่เมืองไทยต่ออีกสักพัก”

“ข้อแลกเปลี่ยนที่ให้มันมางานวันเกิดฉันสินะ แล้วตอนนี้เขาพักอยู่ที่ไหน” พัชรินทร์และชาคริตพยายามชวนให้เควินพักที่บ้านนี้ด้วยทุกครั้งที่มาไทยแต่ไม่เคยสำเร็จ

“ผมไม่ทราบ คงเป็นโรงแรมที่ไหนสักที่ ใกล้ๆ กับสุสานริมน้ำละมั้งครับ...”

“งั้นเหรอ...” พัชรินทร์ครุ่นคิดบางอย่าง ในขณะที่ลูกชายขอตัวกลับห้อง หล่อนเองก็เช่นกัน

หลังกลับเข้าห้องหล่อนต่อสายถึงใครบางคนที่คุ้นเคย

“ฉันเอง ฉันมีเรื่องจะขอให้พี่ช่วยหน่อย...”

 

แสงแดดยามเช้าทอลำผ่านร่มไม้ใหญ่ลงกระทบร่างชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน สวมเจ๊คเกตหนังสีดำซึ่งยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพที่เขาเพิ่งวางช่อดอกลิลลี่สีขาวลง ใบหน้าของเขาดูคล้ายกับคนในรูปสลักบนป้ายหิน โดยเฉพาะสีผมและดวงตา

“ผมมาเยี่ยมครับแม่” ดวงตาคมจับจ้องรูปสลักที่มีป้ายชื่อกำกับว่า ‘เปมิกา ธาดาโสภณ’ “ขอโทษที่ช่วงนี้หายไปนานเลย...”

ไกลออกไปเกือบร้อยเมตร มีบอดี้การ์ดในชุดสูทยืนกระจายตัวอยู่รอบๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ว่าจะไปที่ไหน ข้างกายชายหนุ่มก็จะต้องคนติดตาม ทุกอย่างเริ่มขึ้นเมื่อราวสิบกว่าปีก่อน ตอนที่เควินยังเป็นเด็กชายวัยสิบขวบที่อาศัยอยู่กับแม่ เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเขาเป็นใคร กระทั่งเกิดเรื่อง ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล...

 

อดีต...

‘ซาลาเปาไส้หมูแดงได้แล้วค่ะ’ เสียงใสๆ ของพนักงานร้านสะดวกซื้อร่างท้วมดูไม่ดังพอจะให้เปมิกาได้ยิน เพราะคุณแม่ยังสาว ด้วยวัยสามสิบต้นๆ มัวแต่ชะเง้อออกไปทางหน้าร้าน ดูลูกชายวัยสิบขวบซึ่งกำลังไถสเกตบอร์ดอยู่ริมถนนอย่างเพลิดเพลินสนุกสนาน ‘คุณเปรมคะ ซาลาเปาได้แล้วค่ะ’

เมื่อโดนเรียกชื่อจึงเพิ่งรู้สึกตัว รีบส่งธนบัตรจ่ายค่าของในขณะที่สายตาก็ยังเหลือบมองลูกเป็นระยะๆ ปากก็พึมพำกับตัวเองว่าไม่น่าจะซื้อของอันตรายให้ลูกเลย พนักงานในร้านอมยิ้ม เพราะคุ้นเคยกับสองแม่ลูกนี้ดี เพราะหน้าตาดีทั้งคู่  โดยเฉพาะลูกชาย ลักษณะเด่นเหมือนลูกครึ่งลูกเสี้ยว ผมและดวงตาสีดำคงได้จากแม่ ซึ่งเป็นคนที่สวยมาก เธอจะมารับลูกชายที่โรงเรียนสอนภาษาข้างๆ ร้านนี้ทุกวัน ก่อนกลับจะต้องแวะมาซื้อซาลาเปาไส้หมูแดงกับน้ำผลไม้ให้ลูกชายเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน

‘คุณเปรมยอมซื้อสเกตบอร์ดให้น้องกวินแล้วเหรอคะ’ พนักงานที่คุ้นเคยชวนคุยระหว่างคิดเงิน ‘แสดงว่าสอบได้ที่หนึ่งอีกแล้ว ยังเก่งเหมือนเดิม น่าชื่นใจแทนคุณแม่นะคะ’

เปมิกาทำเพียงยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง ประสาคนไม่ชอบพูดโดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า ตรงข้ามกับลูกชาย ที่เป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส การที่พนักงานรู้ชื่อเปมิกาก็เพราะกวินจะเรียก ‘แม่เปรมอย่างนั้น แม่เปรมอย่างนี้’ เป็นภาพแม่ลูกที่ชวนมอง แต่คนในร้านก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อของกวิน แต่ก็พอเดาได้ว่าถ้าพ่อไม่ใช่ต่างชาติ ก็คงเป็นลูกครึ่ง ถึงได้มีลูกชายน่ารัก แถมหน้าตาดี คิ้วเข้ม เบ้าหน้าชัด ผิวขาวอมชมพู หน้าตามีเอกลักษณ์ ลักษณะค่อนไปทางลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว

‘เรียบร้อยแล้วค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ’

นั่นไม่แปลกเพราะตั้งแต่จำความได้ กวินก็อาศัยอยู่กับแม่ตามลำพัง แม่เคยพูดถึงพ่อครั้งเดียว ตอนบอกว่าชื่อของเขาพ่อเป็นคนตั้งให้ซึ่งแปลว่าดีงาม ชีวิตแม่ลูกไม่ได้สบายแต่ก็ไม่ถึงกับอัตคัด เพราะแม่เปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ หาเงินเลี้ยงดูเขา แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่แม่ก็ดูมีความสุขตามประสา กวินนึกสงสัยว่าทำไมเขาไม่มีญาติคนอื่นให้ไปหา หรือแวะมาเยี่ยมเลย  แม่ใช้ชีวิตราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่แม่และเขา ทุกครั้งที่ถามถึงพ่อ แม่จะโกรธแล้วตัดพ้อ บางครั้งก็ร้องไห้ มันทำให้เขาไม่กล้าถามอีกเลย

‘แม่ฮะ ดูนี่นะ’ เสียงร้องเรียกจากอีกฟากของถนน ‘กวินทำอย่างนี้ได้แล้วนะฮะ’

‘กวิน! อันตรายนะลูก’

‘ไม่เป็นไรฮะ’ เด็กชายวัยสิบขวบทรงตัวอยู่บนสเกตบอร์ดที่กำลังไถลไปตามถนน เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปมาสลับกับกระโดดเล่นท่าที่ทำเอาคนเป็นแม่หัวใจหล่น ไหนจะกลัวลูกล้ม ไหนจะกลัวรถที่อาจวิ่งสวนมา นึกโทษตัวเองอยู่ลึกๆ ที่เผลอไปรับปากว่าถ้าสอบได้อันดับหนึ่งคะแนนสูงกว่าเทอมก่อนจะซื้อสเกตบอร์ดให้

‘เป็นไงฮะแม่ผมเก่งมั้ย...โอ๊ย!’  ร้องเสียงหลงเมื่อข้อแขนถูกปูหนีบ รีบอ้อนแม่ให้ปล่อย แต่แม่ก็ยังทำหน้าดุ ‘ไหนสัญญากับแม่แล้วว่าจะไม่เล่นบนถนน นั่งรอแม่เฉยๆ ไม่ได้รึไง’

‘ก็กวินดีใจนี่ฮะ รอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหว เดี๋ยวกลับเข้าบ้าน กวินขอไถลสเกตบอร์ดตามหลังรถแม่เปรมนะฮะ สัญญาว่าจะระวังรถ ในหมู่บ้านรถน้อย ไม่เป็นไรหรอกฮะ’ 

‘ไม่ได้ ไม่ต้องมาอ้อน  เราสัญญากับแม่แล้วนะว่าจะไม่เล่นบนถนน รอพรุ่งนี้ก่อนแม่จะพาไปเล่นที่สนาม’

‘ก็ได้ฮะ’ เมื่อแม่เสียงแข็ง กวินรู้ว่าต้องยอมให้ เขาก้มลงหยิบสเกตบอร์ดมาเหน็บที่ใต้รักแร้ พร้อมกับยิ้มหวาน รู้ว่าจะทำอย่างไรให้แม่ใจดีด้วย ‘คอแห้งจังฮะ ขอน้ำหน่อย ไม่เอา แม่เปรมถือให้ด้วย กวินมือไม่ว่าง’

 ‘โตแล้วนะเรา...’ ต่อให้ว่าอย่างนั้น แต่เปมิกาก็ดีใจ เธอชอบให้ลูกชายเป็นเด็กขี้อ้อนอย่างนี้ ดีกว่าให้เขาลุกขึ้นมาเล่นอะไรที่อันตรายๆ แต่กระนั้นก็พยายามเข้าใจในตัวเด็กผู้ชาย ที่อาจถึงวัยจะเล่นโลดโผนแล้ว เมื่อนึกอย่างนั้นก็สงสารลูก ที่ไม่มีผู้ชายในบ้านให้ดูเป็นแบบอย่าง

‘ขอบคุณครับ ซาลาเปาด้วย แม่ป้อนหน่อย มือผมเปื้อน มือไม่ว่างด้วย’

‘งั้นไปกินที่รถ แม่จอดรถไว้ตรงถนนฟากโน้น’

 ‘งั้นกวินวิ่งไปก่อนนะ หิว’ ว่าพลางหยิบถุงซาลาเปาจากมือแม่ พลางก้าวถอยหลัง ลงจากฟุตบาท ไปที่ผิวถนน เพราะตั้งใจจะข้ามฟากกลับไป รถคันหนึ่งวิ่งผ่านมาค่อนข้างเร็ว ‘เร็วสิฮะแม่ ตามมาๆ’

‘กวิน!’ สัญชาตญาณทำให้ทิ้งทุกอย่างถลาตามลูกออกไป สิ่งแรกที่ทำคือดึงลูกเข้ามากอด ใช้ตัวเองบังรถที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว พร้อมเสียงชนโครม! 

เด็กชายรับรู้ถึงแรงกระแทก ก่อนจะกลิ้งไปบนถนน รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว แต่ยังขยับตัวลุกขึ้นได้ ในขณะที่ผู้เป็นแม่นอนคว่ำหน้าแน่นิ่ง มีเลือดไหลออกจากศีรษะ

‘แม่! แม่ฮะ...’ กวินถลาเข้าไปหา ‘แม่ฮะ แม่เป็นอะไรมั้ย’

‘กะ...กวิน เจ็บ ตรง ไหน มั้ย ลูก...’ นั่นคือสิ่งแรกที่เปมิกาอยากรู้ เธอพยายามลืมตาขึ้นมองหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของลูกชาย ซึ่งทำได้เพียงส่ายหน้าบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร ‘ดี แล้ว ที่ ลูก ปลอด...’

 ‘แม่! ช่วยด้วยครับ ใครก็ได้ช่วยแม่ผมที...’

 

ภาพที่พลเมืองดีเห็นคือเด็กชายนั่งกอดแม่ร้องไห้ขอความช่วยเหลือ ในขณะที่รถคู่กรณีไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาล อาการของผู้หญิงเคราะห์ร้ายสาหัส ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน

‘ผมไม่รู้จะติดต่อใครฮะ  ผมอยู่กับแม่สองคน’ เด็กชายที่นั่งร้องไห้จนตาบวมบอกกับพยาบาล ‘แม่เคยบอกว่า แม่ทำประกันไว้ฮะ คุณหมอรักษาแม่ผมได้เลยนะ เรามีเงินจ่ายค่ารักษา’

‘หมอไม่ได้กลัวเรื่องนั้นครับ ที่หมอห่วงคือตัวน้อง น้องต้องมีคนดูแลระหว่างที่แม่น้องรักษาตัวที่โรง’บาล’

‘ผมดูแลตัวเองได้’ เด็กชายบอกอย่างกล้าหาญ ‘ขอแค่แม่หาย แม่จะหายใช่มั้ยฮะ’

หมอและพยาบาลมองหน้ากันอย่างสะท้อนใจ จะบอกความจริงเด็กชายได้อย่างไรว่าแม่ของแกอาการหนักมาก ต่อให้รอดก็คงไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิม ที่จะตื่นขึ้นมาคงไม่ใช่แม่ที่จะมาดูแลเด็กชายต่อ เธอจะตื่นมาเพื่อเป็นภาระ จำต้องมีคนมาดูแล คนที่ไม่น่าจะใช่แค่เด็กสิบขวบ

‘แล้วพ่อล่ะคะ’ พยาบาลลองถาม เด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง ‘มีเบอร์ติดต่อมั้ย ถ้าน้องไม่สะดวกที่จะคุยกับพ่อ เดี๋ยวพี่โทร.ให้ก็ได้ค่ะ’

กวินส่ายหน้า แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ เพราะเด็กชายไม่เคยรู้เรื่องพ่อเลยจริงๆ ไม่รู้แม้แต่ชื่อของพ่อ และอาจไม่มีวันรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของผู้ชายวัยสามสิบกลางๆ ที่เดินเข้ามาในชีวิต  พร้อมแนะนำตัวว่าเป็นตัวแทนสามีของคนเจ็บและพ่อของกวิน เขาจะเข้ามารับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมด ขอให้ทางโรงพยาบาลดูแลกรณีนี้อย่างดีและเต็มที่ ขอเพียงรักษาชีวิตของเปมิกาไว้ให้ได้

‘นายน้อยโตขึ้นมากเลยนะครับ’ ชายแปลกหน้าหันมาพูดกับกวินด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อม ผิดกับตอนที่อยู่กับพวกหมอและพยาบาล ‘ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณเปมิกาจะได้รับการรักษาอย่างดี’

‘คุณลุงเป็นญาติแม่เหรอครับ’ คนจะตอบส่ายหน้าเนือยๆ  ‘แล้วทำไมถึงมาช่วยแม่ เมื่อกี้ลุงเรียกผมว่านายน้อย?  คุณลุงเป็นใครครับ’

‘ผมชื่อเทียนคง เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดตระกูลรีฟส์ ตระกูลของนายน้อยไงครับ คุณเปมิกาไม่เคยบอกนายน้อยหรือครับ’

‘ไม่ครับ แม่ไม่เคยพูดถึงญาติของแม่เลยสักคน’

‘งั้นคุณเปมิกาก็คงไม่เคยบอกเลยสินะครับว่า นายน้อยมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่าเควิน ซึ่งเป็นชื่อที่คุณพ่อของนายน้อยเป็นคนตั้งให้ มันเป็นชื่อเดียวกับชื่อคุณปู่ของนายน้อย คุณปู่ที่นายท่านรักมากจึงอยากให้ลูกชายคนเดียวใช้ชื้อนี้ด้วย...’ 

‘ลุงจะบอกว่าพ่อรักผม?’ เทียนคงพยักหน้า ‘แล้วตลอดสิบปีที่ผ่านมาพ่อหายไปไหนมา ทำไมถึงเพิ่งมาหาผมครับ พ่อจะรู้มั้ยว่าผมอยากเจอพ่อแค่ไหน’

‘งั้นเหรอ’ เสียงพูดดังมาจากผู้ชายตัวใหญ่ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น ‘ตอนนี้แกได้เจอแล้วเควิน ฉันมารับแกกลับบ้าน และฉันจะไม่มีทางปล่อยให้แกหายไปจากชีวิตฉันอีกเลย ตอนนี้ชีวิตแกเป็นของฉันแล้ว’ 

 

คำพูดที่เมื่อตอนเป็นเด็กไม่เคยเข้าใจความหมาย แต่เวลานี้กวินเข้าใจทุกอย่าง เข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงพยายามหนีให้ไกลคนอย่างนิค แม่ไม่เคยเล่าเรื่องพ่อ เพราะผู้ชายอย่างนั้นไม่เคยมีความดีให้เอ่ยถึง เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ แม้แต่ต้องทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของตน

“แม่เปรมครับ” ชายหนุ่มนั่งลงตรงพื้นหญ้าอย่างที่เคยทำ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่พบเจอมาให้แม่ฟัง เหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเด็ก “บ้านริมน้ำที่ผมซื้อให้แม่เมื่อหลายปีก่อน มีคนไปอยู่แล้วนะครับ แม่จำน้องเบลล์ได้มั้ยครับ...”

 

บ่ายแก่ๆ วันเดียวกัน...

เสียงร้องเหมียวๆ ที่ดังออกมาจากพงหญ้าข้างทางไม่ได้ทำให้สายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมาสนใจ ลูกแมวตัวเล็กๆ นอนตัวสั่นเพราะความกลัวและอาการป่วยจากพิษแผลติดเชื้อตรงสะโพกที่ถูกกัดเหวอะหวะมีคราบเลือดเกรอะกรัง   ขนสีขาวถูกย้อมด้วยโคลนน้ำเน่าเพราะมันหนีตายจากแมวเจ้าถิ่นจนพลัดตกน้ำและไหลมาติดที่กอหญ้า ทนแดดเผามาเกือบครึ่งวัน แม้ตอนนี้แสงแดดจะอ่อนลงมาก แต่มันก็ไม่มีแรงพอจะพาตัวเองไปจากที่ตรงนั้น ทำได้แต่เพียงส่งเสียงร้องครวญครางและแผ่วเบาลงทุกที เหมือนลมหายใจของมัน ที่จวนเจียนจะหยุดเต้น

 “ค่ะ ป้าพิมพ์ เบลล์ซื้อมาแล้ว...” บทสนทนาสะดุดไปเพราะเสียงร้องของแมวน้อยที่แว่วเข้ามา “ค่ะ ยังอยู่ค่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะป้า”

เด็กสาวในชุดนักเรียนคอนแวนต์วางสายโทรศัพท์ แล้วหย่อนใส่กระเป๋านักเรียน มองหาต้นเสียงร้องเหมียวๆ ที่ดังแว่วมา ซึ่งต้นเสียงดังมาจากคลองระบายน้ำข้างทางที่เต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏ มีคนเอาขยะมาเททิ้งตรงนี้ ทำเอาน้ำเน่าเหม็น ส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่ว ไม่แปลกที่ผู้คนจะรีบเดินผ่านจุดนี้ไป จะเว้นก็แค่เด็กสาวที่พยายามจะเดินลุยกอหญ้าตามเสียงร้องของลูกแมว ที่แผ่วลงทุกที

“เหมียวๆ” เธอส่งเสียงเมื่อเสียงร้องของแมวเงียบไป “เหมียวๆ” ไม่มีเสียงตอบกลับมา เธอวางกระเป๋าลงข้างทางเพื่อสะดวกในการแหวกกอหญ้า ขณะที่เดินลงไปใจก็กลัวว่าจะเจองู เพราะที่ตรงนี้เชื่อมต่อกับทุ่งและแม่น้ำ มีงูตัวใหญ่ๆ ออกมาจ๊ะเอ๋คนอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อคิดว่าเจ้าเหมียวอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย ความเป็นคนรักแมวทำให้ลืมความกลัว “เหมียวๆ เหมียวๆ”

คราวนี้มีเสียงตอบกลับมา แล้วก่อหญ้าที่อยู่อีกฟากหนึ่งของร่องน้ำไหวเบาๆ 

“เจ้าเหมียว!” ความตกใจกับภาพที่เห็นทำให้เด็กสาวไม่สนใจตัวเอง ย่ำโคลนลงไปทั้งที่ใส่รองเท้าถุงเท้า  เธอรีบช้อนตัวลูกแมวขึ้น โดยไม่สนใจว่ามันทำให้เสื้อเชิ้ตแขนยาวของเธอเปื้อน สิ่งเดียวที่เธอสนใจในเวลานี้ต้องพาลูกแมวไปหาหมอ

เด็กสาวกระเสือกกระสนขึ้นจากโคลน ที่เปรอะเปื้อนตัวเธอไปหมด แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ มือหนึ่งอุ้มลูกแมวอีกมือก็หยิบกระเป๋าและถุงของที่เพิ่งแวะซื้อมา ตรงไปเรียกรถแท็กซี่ แต่จากสภาพของเธอ ไม่มีแท็กซี่คันไหนจะจอดรับ เด็กสาวไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากอุ้มเจ้าเหมียวแล้วออกวิ่ง

พอไปถึงร้านหมอที่ใกล้สุดกลับปิด ลูกแมวแน่นิ่งไปแล้ว เธอกลับไปโบกรถแท็กซี่อีกครั้ง ไม่มีใครอยากรับคนที่ตัวเปื้อนอย่างเธอ แล้วอยู่ๆ ก็มีรถ ‘บิ๊กไบท์สปอร์ต’ เลี้ยวเข้ามาจอดตรงหน้า คนขับเป็นผู้ชายตัวใหญ่ สวมแจ๊คเกตหนัง ใส่หมวกกันน็อกปิดหน้าตา นั่นทำให้ดูไม่น่าไว้ใจ เด็กสาวผงะถอยออกห่างอย่างระวังตัว

“ขึ้นมา” เสียงทุ้มต่ำบ่งบอกว่าเป็นชายหนุ่ม เด็กสาวยังคงยืนละล้าละลัง จนอีกฝ่ายปัดกระจกหมวกกันน็อกขึ้น  เพื่อมองสบตากับคนที่จะพูดด้วย “น้องจะพาแมวไปหาหมอไม่ใช่เหรอ ส่งกระเป๋ามาให้...พี่...เร็วสิ พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก”

แววตาคมที่มองสบตาอยู่นั้นมีความแน่วแน่ “เร็วเข้า...ส่งกระเป๋ามา!”

 “ขะ...ขอบคุณค่ะ...” เด็กสาวตอบรับคำทั้งที่ยังไม่แน่ใจ แต่ความเป็นห่วงทำให้เธอก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายรถ มือหนึ่งประคองกอดเจ้าเหมียวไว้แน่น อีกมือเอื้อมไปจับชายเสื้อชายแปลกหน้าที่เธอเห็นเพียงแววตาคมของเขาที่โผล่พ้นหมวกกันน็อก เมื่อรถออกตัว เธอถึงกับผวากอดคนข้างหน้าไว้ ก่อนจะตกใจทำท่าจะปล่อยมือ

“ไม่เป็นไร...กอดเอวพี่ไว้ ไม่ต้องกลัว สัญญาว่าจะปลอดภัย...”

คำพูดที่แสนคุ้นเคยนี้ทำให้เด็กสาวไว้ใจ เธอกระชับแขนที่กอดอีกไว้นั้นไว้แน่น...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น