1

ลมฝนกล้ำกราย


แปด

ลมฝนกล้ำกราย

 

แม้ต้งหมิงมีอุปนิสัยคร่ำครึเข้มงวด แต่ห้องของเขากลับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม พิณ หมากรุกอักษรศิลป์ และภาพวาดไม่พร่องสักอย่าง ห้องตำราด้านนอกจัดวางตู้ตำราสองตู้ ด้านในอัดแน่นด้วยตำราหลากหลาย

บัดนี้ล่วงเข้ายามดึกสงัด แต่เขาหาได้หลับไม่ กลับนั่งหน้าโต๊ะจัดเรียงกระดองเต่าโดยอาศัยแสงเทียน ในมือถือตำราโบราณเก่าจนเป็นสีเหลือง เห็นบนตำราเขียนด้วยอักษรจ้วน128 เก่าแก่เรียบง่ายเป็นคำว่า ‘ทำนาย’

ตอนนี้เองอิ่นกวงก็เปิดประตูเข้ามา นั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะตำราโดยตรง เอื้อมมือหยิบจอกมารินน้ำชาให้ตนเอง

ต้งหมิงยังคงจดจ่อกับอ่านตำรา จึงถามโดยไม่เงยหน้า “ว่าอย่างไร”

อิ่นกวงจิบชาไปหนึ่งอึก วางจอกชาลงแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ข้าช้าไปแล้ว!”

ต้งหมิงถอนหายใจ วางตำราในมือลง รินน้ำชาให้ตนเอง “เว้นเสียแต่ว่าเขาจะลงมืออีกครั้ง มิฉะนั้นคงต้องเป็นคดีดำมืดแล้ว”

อิ่นกวงกลับไม่คิดเช่นนั้น พลางเอ่ยด้วยสีหน้าและท่าทางผ่อนคลาย “ในเมื่อพวกเขามีแผนมุ่งร้าย ย่อมไม่รามือเพียงเท่านี้ ตอนนี้ที่ออกมาล้วนเป็นหุ่นเชิดที่ถูกเขาชักใย ต้องมีสักวันที่คนชักใยเดินออกมาหน้าม่าน”

ต้งหมิงส่ายหน้า ปล่อยกระดองเต่าลงบนโต๊ะ ดูผลทำนายที่ได้แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ลมฝนกล้ำกราย มืดมนไม่กระจ่าง...”

อิ่นกวงยิ้มเล็กน้อย “คนชั่วช้าก่อกวน ไม่อาจพลิกฟ้า!”

ต้งหมิงเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้าไม่พูดไม่จา

 

ที่โรงพักม้า เต๋อเมี่ยวกำลังล้างหน้าล้างตาเตรียมพักผ่อน ทันใดนั้นในกระจกปรากฏเงาร่างสายหนึ่ง นางหันขวับไปอย่างตระหนก ก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทั้งยังสวมหน้ากาก

เต๋อเมี่ยวตกใจแทบกรีดร้องแต่ก็สะกดกลั้นไว้ มองผู้ล่วงล้ำด้วยความแตกตื่นสงสัย ก่อนสอบถามเสียงต่ำ “ท่านเป็นผู้ใด”

“เป็นข้า!” เสียงของคนสวมหน้ากากทุ้มต่ำ เป็นเสียงที่สนทนากับเต๋อเมี่ยวผ่านเหยี่ยวไม้และหุ่นไม้ก่อนหน้านี้

“โต๋วหมู่เทียนจุน?” สองตาเต๋อเมี่ยวสว่างวาบ ในที่สุดก็ได้พบตัวจริงแล้ว

โต๋วหมู่เทียนจุนพยักหน้าเล็กน้อย

เต๋อเมี่ยวยิ้มบางอย่างเย็นชา “ก่อนหน้าเทียนจุนไม่เคยพบผู้ใดด้วยโฉมหน้าที่แท้จริง วันนี้ในที่สุดก็มาพบด้วยตนเอง น่าเสียดายที่ยังคงหลบๆ ซ่อนๆ”

“หึๆ เรื่องเล่นลูกไม้แสร้งทำเป็นภูตผีหลอกลวง แน่นอนว่าปิดบังสายตาผู้เชี่ยวชาญอย่างเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าเคารพเกรงกลัวข้าไว้ก็ดี” โต๋วหมู่เทียนจุนยืนยิ้มเย็นชาขณะมองนาง พลางเอามือไพล่หลัง

“หากไม่เป็นเช่นนั้นเล่า” เต๋อเมี่ยวค่อยๆ ลุกขึ้น ห่อกระดาษเล็กๆ ในชายแขนเสื้อร่วงตกมาสู่ฝ่ามือ

แววตาโต๋วหมู่เทียนจุนดุดัน “ไม่เช่นนั้น... เจ้าจะตายโดยไร้ที่ฝัง!”

เพิ่งสิ้นเสียง สนามพลังไร้รูปสายหนึ่งก็บีบกระชั้นเข้ามา สองขาเต๋อเมี่ยวสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดเผือดเหมือนรับแรงกดดันไม่ไหว ในที่สุดก็ต้านทานไม่อยู่ ต้องคุกเข่าลงกับพื้น ห่อกระดาษในมือก็ร่วงตกลงบนพื้น นางพยายามเงยหน้ามองไปทางโต๋วหมู่เทียนจุนอย่างหวาดผวา

หยวนหยวนจื่อรับนางเข้าสำนักตั้งแต่เล็ก ฝึกฝนจนชำนาญศาสตร์ทางยุทธ์ แม้ต่อมาวรยุทธ์ถูกทำลาย แต่อย่างไรก็มีความรู้ บัดนี้ในสายตานาง โต๋วหมู่เทียนจุนก็เปรียบประดุจอสูรร้ายที่มือแปดเปื้อนโลหิตมานับไม่ถ้วน ทั้งร่างแผ่ซ่านรังสีสังหารและคาวโลหิต ทำให้นางไม่บังเกิดความคิดต่อต้านแม้แต่น้อย

นี่คือบุคคลแบบใดกัน ถึงทรงพลานุภาพเยี่ยงนี้ ก่อนหน้านี้เต๋อเมี่ยวได้พบกับเฉาเหว่ยในศาลต้าหลี่ ร่างของอีกฝ่ายก็เปี่ยมพลานุภาพเช่นนี้ ทว่าแม่ทัพใหญ่เฉามีความน่ายำเกรงของผู้อยู่เหนือกว่า ไม่มีความโหดเหี้ยมทารุณที่บังเกิดจากภูเขาศพทะเลโลหิต

“ศาสตร์ลวงตาของเจ้า ต่อหน้าข้าไม่มีที่ให้สำแดงอานุภาพ! หากข้าจะสังหารเจ้า ง่ายดายเหมือนเป่าขี้เถ้า!” โต๋วหมู่เทียนจุนไม่แยแสกับสิ่งที่นางคิด ก้มหน้าเล็กน้อยมองสองตาหวาดกลัวของเต๋อเมี่ยว พร้อมกับเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ข้าช่วยเจ้าได้ ก็สังหารเจ้าได้ นี่เป็นคำเตือนครั้งแรกและครั้งสุดท้าย หากกล้าไม่เคารพข้าอีกแม้เพียงนิด... เจ้าลองคิดถึงผลเอาเองเถอะ!”

ทั้งร่างเต๋อเมี่ยวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ บัดนี้ไหนเลยยังจะกล้าแข็งข้อ รีบก้มศีรษะหมอบกราบ เอ่ยเสียงสั่นเทา “เทียนจุนโปรดอภัยด้วย เต๋อเมี่ยวผิดไปแล้ว”

“เฮอะ!” โต๋วหมู่เทียนจุนหมุนตัวเดินสองก้าวอย่างเชื่องช้า เอ่ยเสียงทุ้ม น้ำเสียงผ่อนลงเล็กน้อย “ความผิดโทษฐานสังหารคนของเจ้าถูกลบล้างแล้ว แม้หน่วยดาวพิฆาตจะสงสัยแต่ก็ไร้หลักฐาน จึงทำอันใดเจ้าไม่ได้ อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท”

“ไม่ทราบว่าเทียนจุนหวังให้เต๋อเมี่ยวกระทำอันใด” เต๋อเมี่ยวไม่กล้าลุกขึ้น ได้แต่เงยหน้าสอบถามทั้งที่ตัวสั่นเทิ้ม

“เรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำเรื่องแรกก็คือ พยายามใช้ทุกวิถีทางให้ได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท” โต๋วหมู่เทียนจุนสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“จากนั้นเล่า”

“จากนั้น...” โต๋วหมู่เทียนจุนหมุนตัวมาสบตากับนางปราดหนึ่ง นิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าย่อมจัดการเอง ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องถามมาก”

“เจ้าค่ะ” เต๋อเมี่ยวไม่กล้าถามมาก ได้แต่หมอบนิ่งๆ

โต๋วหมู่เทียนจุนมองนางสองแวบแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ “เอาละ เจ้าลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบคุณเทียนจุน” เต๋อเมี่ยวกล่าวอย่างนอบน้อมก่อนลุกขึ้นทั้งที่ยังตัวสั่นงันงก ก้มหน้าหลุบตายืนอยู่ข้างๆ

โต๋วหมู่เทียนจุนยื่นมือออกมา ในมือปรากฏกระบอกทรงกลมสีเงิน ด้านหนึ่งของกระบอกเป็นรูขนาดเล็กยิบ ตรงกลางเป็นแกนฟันเฟือง บนกระบอกสลักตัวอักษรจ้วนขนาดเล็กจิ๋ว ด้านหลังเป็นแผ่นหนังกว้างขนาดฝ่ามือ

เต๋อเมี่ยวมองกระบอกเงินอย่างฉงนสงสัย “นี่คือ?”

โต๋วหมู่เทียนจุนประคองกระบอกเงินอย่างระมัดระวัง เอ่ยอย่างรอบคอบ “นี่คือเข็มพิรุณกระหน่ำดอกหลี129 ขอเพียงกระตุ้นกลไก เข็มพิษร้อยแปดเล่มจะถูกยิงออก ต่อให้เจ้ามีวรยุทธ์ดีเพียงใดก็ยากปัดป้อง ทันทีที่โดนเข็มพิษย่อมตายโดยไม่ต้องสงสัย ไม่มียารักษาแม้แต่น้อย”

“เข็มพิรุณกระหน่ำดอกหลี?” สองตาเต๋อเมี่ยวสว่างวาบ อาวุธลับเลื่องชื่อระบือนามชนิดนี้นางย่อมเคยได้ยิน ตำนานว่าวัตถุนี้เป็นอาวุธลับสามอันดับแรกของใต้ฟ้า คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ประจักษ์แก่สายตา

โต๋วหมู่เทียนจุนยื่นกระบอกเงินส่งให้เต๋อเมี่ยวอย่างระวัง พลางอธิบายเสียงทุ้ม “เห็นแผ่นหนังสองผืนนี้หรือไม่ ให้รัดไว้บนต้นแขน อย่ารัดแน่นมาก เวลาใช้เพียงยืดแขนช้าๆ ให้มันลื่นลงมาอยู่กลางฝ่ามือ หมุนกลไกตรงกลางเบาๆ เล็งไปที่เป้าหมาย ก็สามารถสังหารคนได้โดยไร้ร่องรอย”

เต๋อเมี่ยวรีบรับมา แล้วมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย “เทียนจุน นี่มอบให้ข้าหรือ”

โต๋วหมู่เทียนจุนพยักหน้า “เกรงว่าไท่สุ้ยผู้นั้นคงไม่ยอมเลิกรา อาวุธลับนี้มอบให้เจ้าไว้ป้องกันตัว”

เต๋อเมี่ยวมีสีหน้ายินดี รีบกล่าว “ขอบคุณเทียนจุน”

“เอาละ เจ้าปฏิบัติงานอย่างระมัดระวังเถอะ ข้าไปก่อนแล้ว” โต๋วหมู่เทียนจุนกำชับอีกสองสามคำก่อนหมุนตัวเปิดประตู ไม่เห็นเขาก้าวขาข้ามธรณีประตู เพียงแฉลบร่างก็หายไปไม่เห็นเงา

เมื่อเขาจากไป เต๋อเมี่ยวก็ถอนหายใจยาว รู้สึกเพียงอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ต้องเผชิญหน้ากับเทียนจุนผู้นี้ นางรู้สึกกดดันจนเกินไปอย่างแท้จริง

ยืนอยู่กับที่สักพัก แววตาของเต๋อเมี่ยวก็วูบไหว ก้มหน้าพิจารณาเข็มพิรุณกระหน่ำดอกหลีในมือ พลิกตรวจสอบหลายครั้ง สายตานางเลื่อนไปที่ตัวอักษรจ้วนเล็กๆ สองแถวซึ่งสลักตรงกลางกระบอก จึงอ่านออกเสียง “ยิงออกเห็นโลหิต วกกลางหาวอัปมงคล ฉับไวเร็วรี่ ราชันแห่งอาวุธลับ”

“ราชันแห่งอาวุธลับ!” น้ำเสียงปลื้มปีติยินดี พลันมีสีหน้าเหี้ยมโหด กอดเข็มพิรุณกระหน่ำดอกหลีแนบอกอย่างระวังแล้วพึมพำ “ไท่สุ้ยเอ๋ยไท่สุ้ย หวังว่าเจ้าอย่ามาหาเรื่องอีก มิฉะนั้นอย่าโทษว่าศิษย์พี่อำมหิตโหดเหี้ยม”

พูดจบนางก็หัวเราะคิกคัก หมุนตัวไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ล้างเครื่องประทินโฉมออกเตรียมพักผ่อน

 

เช้าตรู่วันถัดมา ภายในโถงใหญ่ของหน่วยดาวพิฆาต ต้งหมิงและอิ่นกวงในชุดขุนนางนั่งอยู่ตรงที่นั่งประธานด้วยสีหน้าและท่าทางเป็นสง่าน่ายำเกรง

หลิ่วสุยเฟิง ไคหยาง และเหยากวง ที่สวมชุดเครื่องแบบยืนอยู่ด้านซ้ายและขวา

ด้านหลังต้งหมิงและอิ่นกวงเป็นโต๊ะบูชา ด้านบนจัดวางป้ายวิญญาณสลักว่า ‘ที่สถิตแห่งเซียนฝูเหยาจื่อ130’

ไท่สุ้ยยืนกลางโถง บัดนี้ผลัดเปลี่ยนมาสวมชุดเครื่องแบบใหม่เอี่ยมของหน่วยดาวพิฆาต บนสายรัดเอวมีป้ายห้อยเอว ผมเผ้าหวีสางสะอาดเรียบร้อย ดูหล่อเหลาผ่าเผย

ต้งหมิงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า สีหน้าเข้มงวด “ไท่สุ้ย นับจากวันนี้ไปเจ้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยดาวพิฆาต ขึ้นมาจุดธูป!”

อิ่นกวงลุกขึ้นมายืนเคียงข้างต้งหมิง ส่งสัญญาณให้ไท่สุ้ยเดินไปด้านหน้าสุด

ไท่สุ้ยไม่ประหม่า เดินผึ่งผายองอาจขึ้นหน้า หยิบธูปสามดอกหน้าโต๊ะบูชาจุดกับเทียน หลังจากกราบไหว้ไปทางป้ายวิญญาณสามครั้งแล้วก็ปักธูปลงในกระถาง

เห็นเขาปักธูปแล้ว ต้งหมิงก็เอ่ยเสียงทุ้ม “หน่วยดาวพิฆาตร่วมมือก่อตั้งขึ้นโดยปรมาจารย์เซียนเฉินถวน (ชื่อเดิมของฝูเหยาจื่อ) และผู้อาวุโสเหมียวซวิ่นยอดองครักษ์ แฝงตัวภายในกรมวัง ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ ควบคุม ตรวจสอบ และไต่สวนคดีแปลกพิสดารในแผ่นดินโดยเฉพาะ”

ไท่สุ้ยกราบไหว้เสร็จสิ้นก็หมุนตัวกลับมา เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “หน่วยดาวพิฆาตก่อตั้งโดยปรมาจารย์เฉินถวนและผู้อาวุโสเหมียวซวิ่น เหตุใดจึงตั้งเพียงป้ายวิญญาณของปรมาจารย์เฉินถวน หรือผู้อาวุโสเหมียวซวิ่นยังมีชีวิตอยู่”

ต้งหมิงสบตากับอิ่นกวงแวบหนึ่ง ต่างรู้สึกแปลกใจกับความฉับไวของไท่สุ้ย เพียงแต่คำถามของเขาทำให้ทั้งคู่ออกจะลำบากใจ เรื่องบางเรื่องด้วยฐานะในตอนนั้นของพวกเขาไม่สะดวกรับรู้ ดังนั้นต้งหมิงจึงกระแอมเสียงเบาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ย “ปรมาจารย์เฉินถวนเป็นผู้บังคับการคนแรกของหน่วยดาวพิฆาต ดังนั้นจึงตั้งเพียงป้ายวิญญาณของปรมาจารย์เฉินถวน”

ไท่สุ้ยกะพริบตาปริบๆ คิดอยากถามอีกสองสามคำ

อิ่นกวงยิ้มก่อนเอ่ยแทรก “ไท่สุ้ย สมาชิกของหน่วยดาวพิฆาตนอกจากตำแหน่งอันทรงเกียรติในราชสำนักแล้ว ยังมีฉายาต่างหาก ต่างใช้ชื่อกลุ่มดาวเป็นฉายา ปรมาจารย์เฉินถวนก็คือเทพดาวต้งหมิงรุ่นแรก ตำแหน่งเป็นผู้บังคับการหน่วยดาวพิฆาต เหมียวซวิ่นก็คือเทพดาวอิ่นกวงรุ่นแรก ตำแหน่งรองผู้บังคับการ”

ต้งหมิงกล่าวสืบต่อ “พวกเราสองคนเป็นผู้บังคับการและรองผู้บังคับการรุ่นที่สอง”

เมื่อถูกทั้งสองคนเอ่ยเบี่ยงประเด็น ไท่สุ้ยก็ลืมเลือนคำถามก่อนหน้า หันไปมองหลิ่วสุยเฟิงแวบหนึ่งแล้วถามขึ้น “แล้วเขาล่ะ”

อิ่นกวงยิ้มแล้วตอบ “หลิ่วสุยเฟิงคือดาวเหวินฉวี่ของหน่วย ไคหยางเป็นชื่อฉายาดาวไคหยาง หน่วยนี้นอกจากเจ้าสี่คน ยังมีเทียนซู เทียนเสวียน เทียนจี และเทียนฉวน ตอนนี้ถูกจัดให้แยกย้ายไปปฏิบัติภารกิจทางเหนือใต้ เมื่อพวกเขากลับมาค่อยแนะนำให้เจ้ารู้จัก”

อิ่นกวงกล่าวจบ ต้งหมิงก็หันไปมองเหยากวงครั้งหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “บัดนี้เหยากวงผ่านการทดสอบของหน่วยงานนี้แล้ว เลื่อนขั้นเป็นตุลาการทหารสัญจรอย่างเป็นทางการ ได้รับฉายาว่าดาวเหยากวง”

เหยากวงพอได้ฟัง หน้าก็บานเป็นจานเชิงทันที ดีใจจนแทบกระโดดตัวลอย ไคหยางและหลิ่วสุยเฟิงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพลางพยักหน้าให้นาง ออกปากแสดงความยินดี

อิ่นกวงยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าว “สมาชิกของหน่วย ส่วนมากมีชื่อแซ่เดิม ได้รับฉายากลุ่มดาวต่างหาก ทว่าเหยากวงนั้นออกจะพิเศษ นางเดิมก็ชื่อเฉาเหยากวง...”

เหยากวงพอได้ยินก็ทำหน้าง้ำ เอ่ยปากโต้แย้งทันที “เป็นอู่เหยากวง!”

ต้งหมิงขมวดคิ้วกล่าวเสียงทุ้ม “เหยากวง แม้เจ้าไม่พอใจบิดาเจ้าเพียงใด แต่แซ่ตระกูลสายเลือดไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”

เหยากวงทำหน้าสลด ยู่ปากไม่พูดไม่จา

ไท่สุ้ยมองเหยากวงอย่างสงสัยใคร่รู้ เหยากวงค้อนเขาอย่างอารมณ์บูดแล้วเบือนหน้าหนี

อิ่นกวงเอ่ยยิ้มๆ “เหยากวงเดิมชื่อเหยากวง และเหยากวงเดิมเป็นชื่อดวงดาว ดังนั้นจึงรับฉายาว่าเหยากวง เจ้า...เจ้าเองก็เป็นคนพิเศษยิ่งเช่นกัน”

ไท่สุ้ยตะลึงงัน “ข้า?”

อิ่นกวงพยักหน้า “ถูกต้อง! เจ้าไม่รู้ประวัติความเป็นมา ไร้ชื่อ ไร้แซ่ ใช้ชื่อไท่สุ้ยมาตั้งแต่เล็ก ส่วนไท่สุ้ยเดิมเป็นชื่อดวงดาว ดังนั้นข้ากับต้งหมิงปรึกษาหารือเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่เจ้าผ่านการทดสอบ ก็ขนานนามเจ้าอย่างเป็นทางการว่าไท่สุ้ย”

เหยากวงแลบลิ้น “โอย! ช่างเป็นชื่อที่ประเสริฐเสียจริง ดาววิปโยคดวงหนึ่ง”

ไท่สุ้ยถลึงตาใส่นาง “เจ้าระวังหน่อย อย่าล่วงเกินดาวไท่สุ้ยอย่างข้า”

เหยากวงแบะปากอย่างดูแคลน “ข้ากลัวเจ้ารึ”

เห็นสองคนจะโต้เถียงกันขึ้น ต้งหมิงจึงเอ่ยปากตัดบท “เอาละ เจ้าสองคนโต้เถียงกันอีกแล้ว ทั้งหน่วยดาวพิฆาต ชื่อจริงและฉายาตรงกันก็มีเพียงเจ้าสองคน นับว่ามีวาสนาต่อกัน ภายภาคหน้าต้องสนิทสนมกันให้มากขึ้น”

“กับเขา? / กับนาง?”

ทั้งสองคนแทบจะโวยออกมาพร้อมกัน เพิ่งสิ้นเสียงทั้งคู่ก็ตกตะลึง สบตากับอีกฝ่าย ต่างทำสีหน้ารังเกียจก่อนสะบัดหน้าพรืด

คนอื่นๆ ต่างหัวเราะ กระทั่งต้งหมิงที่เข้มงวดมาโดยตลอด ในดวงตายังฉายแววขบขัน

 

ในสนามฝึก หลิ่วสุยเฟิง ไคหยาง เหยากวง และไท่สุ้ย ยืนเรียงหนึ่งแถว อิ่นกวงยืนประจันหน้ากับพวกเขา

“ไท่สุ้ย เจ้าเพิ่งเข้าร่วมหน่วยดาวพิฆาต จำเป็นต้องมีคนคอยชี้นำ ยามปกตินอกจากฝึกฝนแล้ว เมื่อมีคดีก็จะพาเจ้าออกไปหาประสบการณ์”

อิ่นกวงพูดพลางมองอีกสามคน “พวกเจ้าทั้งสาม ผู้ใดยินยอมนำคนใหม่”

หลิ่วสุยเฟิง ไคหยาง และเหยากวงต่างยืนนิ่งงัน เดิมทีหลิ่วสุยเฟิงคิดออกเสียง เพิ่งเดินออกมาหนึ่งก้าว คาดไม่ถึงว่าไท่สุ้ยจะเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวด้วยสีหน้ารอคอยมุ่งหวัง เอ่ยปากด้วยท่าทางเบิกบานอุรา “ให้พี่ไคหยางนำข้าได้หรือไม่”

หลิ่วสุยเฟิงเห็นดังนั้นก็อมยิ้มแล้วถอยกลับเข้าที่

พอเหยากวงได้ยินวาจาของไท่สุ้ย ก็มองเตือนไปทางไท่สุ้ย จากนั้นก็มองไคหยางแวบหนึ่ง เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวพลางกล่าว “ข้ายินดีนำคนใหม่”

อิ่นกวงครุ่นคิดไม่เอ่ยคำ เด่นชัดว่าออกจะลังเล

เหยากวงเห็นดังนั้นก็ร้อนใจ คว้าชายแขนเสื้ออิ่นกวงไว้แล้วเอ่ยเสียงออดอ้อน “ผู้อาวุโสอิ่นกวง ข้าบรรลุสามภารกิจแล้ว คุณสมบัติตอนนี้สามารถนำคนใหม่ได้แล้ว ท่านก็ให้ข้าลองดูเถอะนะ”

อิ่นกวงมองไท่สุ้ยแล้วอมยิ้ม “ได้ ในเมื่อเหยากวงอาสาออกทัพเอง เช่นนั้นคราวนี้ให้เหยากวงนำคนใหม่”

ครั้นได้ยินเหยากวงก็เบิกบานใจหาใดเปรียบ ไท่สุ้ยกลับมีสีหน้ารังเกียจ ชี้ไปที่เหยากวงพร้อมกับร้องขึ้น “นาง?”

เหยากวงตีนิ้วชี้ของไท่สุ้ยที่ชี้มาทางตน “ชี้หาอันใด นับจากวันนี้ไปข้าเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้า อยู่ในระเบียบหน่อย! รีบเรียกซือฟู่ (อาจารย์)”

ไท่สุ้ยทำหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจ เรียกอย่างขอไปทีว่า “สีฟู่131 (ภรรยา)”

เหยากวงไม่พอใจ ตาเบิกโพลง ถลึงตาใส่พลางรีบแก้ให้ “เรียกว่าซือฟู่ ไม่ใช่ซีฟู่ (บิดาทางตะวันตก)”

ไท่สุ้ยมองนางอย่างเกียจคร้านแล้วเอ่ย “ก็ข้าลิ้นคับปากนี่”

เหยากวงย่นจมูก อยากโมโหใส่ แต่พอคิดได้ว่าตนมีลูกศิษย์กับเขาแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นกระหยิ่มยิ้มย่อง เชิดหน้าขึ้น แล้วพยักหน้าหงึกๆ ร้องเสียงอ่อนหวาน “อือ! ลูกศิษย์เอ๋ย... ไม่ต้องมีพิธีรีตอง”

ไท่สุ้ยทำปากยื่น มองอิ่นกวงอย่างผิดหวังปราดหนึ่ง อิ่นกวงยิ้มแต่ไม่เอ่ยคำ สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปแล้ว

หลิ่วสุยเฟิงและไคหยางที่ยืนด้านข้างก็จะจากไป เหยากวงรีบดึงรั้งทั้งคู่แล้วเอ่ย “รอก่อน พวกท่านอย่าเพิ่งไป”

“ว่าอย่างไร ยังมีธุระหรือ” หลิ่วสุยเฟิงมองนางแวบหนึ่งอย่างรู้สึกขัน ก่อนชะงักฝีเท้าลง

“อือ... ข้าอยากเห็นวรยุทธ์ของเขา ท่านทั้งสองช่วยข้าดูสักครั้ง” เหยากวงมองไคหยางด้วยสายตาวิงวอน

ไคหยางยิ้มบาง “เรื่องนี้พี่สาวช่วยเจ้ามิได้ เจ้าลืมแล้วหรือว่าข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องวรยุทธ์”

พูดจบไคหยางก็มองไปทางหลิ่วสุยเฟิง “เหวินฉวี่ ช่วยดูสักหน่อยเถอะ ข้ายังต้องไปซื้ออะไหล่ ไปก่อนแล้ว”

เหยากวงยู่ปากมองไคหยางเดินจากไปไกล หันมาทางหลิ่วสุยเฟิง หน้าตาลังเล “ท่าน...”

หลิ่วสุยเฟิงกะพริบตา “ว่าอย่างไร รำคาญข้ารึ เช่นนั้นข้าไป”

หลิ่วสุยเฟิงก้าวขาทำท่าจะจากไป เหยากวงจึงรีบขวางไว้ แล้วยิ้มเอาใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร วรยุทธ์ต้าหลิ่วสูงส่งแกร่งกล้า กำลังเตรียมให้ท่านช่วยชี้แนะอยู่พอดี”

“หึๆ อย่างนั้นก็ได้” หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้าอย่างพอใจ เลื่อนสายตาไปมองไท่สุ้ย “ไท่สุ้ย ลองออกหมัดมาสักชุด”

ไท่สุ้ยลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า ถอยหลังไปหลายก้าว สองตาหลุบต่ำ สงบจิตใจ หลังหายใจหลายครั้งก็ตั้งท่า ออกวิชาหมัดมาชุดหนึ่ง

ชั่วเวลาธูปหนึ่งดอกให้หลัง ไท่สุ้ยก็หยุดมือ มองหลิ่วสุยเฟิงและเหยากวง

เหยากวงพยักหน้าอย่างมีมาด “อือ ไม่เลว ไม่เลว”

พูดจบนางก็รีบหันไปทางหลิ่วสุยเฟิง ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “เป็นอย่างไรบ้าง”

ที่แท้นางดูไม่ออกว่าดีหรือร้ายโดยสิ้นเชิง

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มๆ แต่ไม่เปิดโปงเหยากวง เพียงขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนพยักหน้า “ดูกระบวนท่าสมควรเป็นฝ่ามือมังกรทะยานแปดภูมิ ทว่าไฉนกลายเป็นวิชาหมัด”

ไท่สุ้ยถามด้วยสายตางุนงง “สมควรเป็นฝ่ามือ?”

หลิ่วสุยเฟิงมองไท่สุ้ยแล้วอมยิ้ม เดินไปไม่ไกลนักจากข้างตัวไท่สุ้ยยอบตัวลง หนึ่งขายืดหน้า หนึ่งขางอหลัง สันหลังตั้งตรงเอนไปด้านหลังเล็กน้อย ฝ่ามือซ้ายหงายขึ้น คล้ายกำลังถือวัตถุหนักอึ้งบางอย่าง ฝ่ามือขวากุมช่วงท้องน้อยด้านล่างซ้าย คล้ายกำลังป้องกันช่วงเอวและช่องท้อง

วางท่าเสร็จสิ้น หลิ่วสุยเฟิงก็เอ่ย “กระบวนท่านี้คล้ายกระบวนท่าป้องกัน แท้จริงเป็นท่านั่งม้าชนิดหนึ่งที่เห็นได้บ่อยครั้งของสำนักเต๋า มีชื่อว่าฝีเท้าจักรวาล ฝึกฝนช่วงบั้นเอว ช่องท้อง ม้าม และกระเพาะ”

พูดจบหลิ่วสุยเฟิงก็ยืดร่างขึ้น ยิ้มก่อนกล่าว “ไท่สุ้ย เจ้าลองตั้งกระบวนท่าตามวิธีของเจ้าดู”

ไท่สุ้ยพยักหน้า ตั้งท่าคลับคล้ายกับหลิ่วสุยเฟิงเมื่อสักครู่ ทว่าฝ่ามือกลายเป็นกำหมัด ร่างเอนเล็กน้อยกลายเป็นยืดตรง

“อย่าขยับ คงท่านี้ไว้” หลิ่วสุยเฟิงบอก

ไท่สุ้ยผงกศีรษะ ตั้งท่าค้างไม่ขยับ ไม่นานนักก็รู้สึกว่ากล้ามเนื้อช่วงท้องเริ่มเมื่อยล้า สองแขนก็เริ่มแข็งค้าง อดเหลือบมองหลิ่วสุยเฟิงมิได้

ตอนนี้เอง หลิ่วสุยเฟิงยิ้มทัก “รู้สึกทรมานกระมัง”

ไท่สุ้ยพยักหน้า

“เช่นนั้นเจ้าลองทำท่าอย่างข้าเมื่อสักครู่ หมัดกลายเป็นฝ่ามือ ร่างเอนไปด้านหลังเล็กน้อย”

ไท่สุ้ยเคลื่อนไหวอย่างเชื่อฟัง หลิ่วสุยเฟิงเข้าไปช่วยปรับท่าทางให้ถูกต้อง “คราวนี้ลองดูใหม่ หายใจตามวิธีของเจ้าก็ได้แล้ว”

ไท่สุ้ยพยักหน้า สองตาหรี่ลง เริ่มหายใจเข้าออก จะกล่าวไปก็ช่างน่าอัศจรรย์ เพียงกางนิ้วให้หมัดกลายเป็นฝ่ามือ เอนร่างเล็กน้อย ความรู้สึกเมื่อยขบแข็งทื่อก็พลันมลายหายไป อากาศไหลเวียนเข้าสู่ช่องท้องเป็นระลอกจากการหายใจเข้าออก ทั้งร่างกลับอบอุ่นขึ้น ถึงขั้นได้ยินเสียงหัวใจเต้นและเสียงชีพจร

เขาตระหนกยิ่ง ลืมตามองหลิ่วสุยเฟิงอย่างตกตะลึง “นี่มันเรื่องอันใดกัน”

หลิ่วสุยเฟิงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วตอบ “เอาละ เจ้าหยุดก่อน”

ไท่สุ้ยยืดตัวขึ้น รู้สึกเพียงว่าภายในเวลาไม่นาน ช่วงแขน ช่องท้อง และสองขา บังเกิดความร้อน ลองนึกเปรียบเทียบในใจ พบว่าได้ผลดีกว่าตอนฝึกยุทธ์ยามธรรมดาอย่างน้อยหนึ่งเท่า

“ท่านเป็นฝ่ามือมังกรทะยานแปดภูมิได้อย่างไร” ไท่สุ้ยมองหลิ่วสุยเฟิงอย่างแปลกใจ

เหยากวงเองก็สงสัยไม่คลาย ดวงตากลมโตมองหลิ่วสุยเฟิงเขม็ง

หลิ่วสุยเฟิงยิ้ม ไม่ตอบแต่ถามกลับ “วิชานี้เจ้าเรียนจากอาจารย์เจ้าหรือ”

ไท่สุ้ยพยักหน้า “ถูกต้อง”

“ตอนนั้นเจ้าอายุเท่าใด” หลิ่วสุยเฟิงถามอีก

“น่าจะห้าขวบกระมัง” ไท่สุ้ยคิดก่อนตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจแจ่มแจ้งฉับพลัน “เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว มิใช่อาจารย์เจ้าสอนไม่ถูก แต่เป็นเพราะตอนนั้นเจ้ายังเล็กเกินไป”

“หมายความว่าอย่างไร” ไท่สุ้ยไม่เข้าใจ เหยากวงก็ไม่เข้าใจ

หลิ่วสุยเฟิงอธิบาย “ต้องเริ่มกล่าวจากจุดเริ่มต้นของวรยุทธ์ เอ่ยแล้วเรื่องยาว ข้าอธิบายสั้นๆ ก็แล้วกัน โดยทั่วไปแล้ววรยุทธ์แบ่งเป็นห้าประเภทใหญ่”

“ห้าประเภทใหญ่?” เหยากวงอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง วิธีกล่าวเช่นนี้นางเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“มิผิด อย่างที่เหยากวงฝึกนั้นสังกัดหมัดสำนักทหาร เน้นหนักตรงไปตรงมา จู่โจมพร้อมสังหาร วิชาหมัดประเภทนี้เหมาะใช้งานในสนามรบที่สุด” หลิ่วสุยเฟิงอธิบาย “ในสนามรบทันทีที่เกิดต่อสู้ตะลุมบอนขึ้น รอบข้างล้วนเป็นผู้คน ไม่มีที่ว่างให้หลบหลีก เอาชนะกันด้วยแรงปะทะในช่วงเวลาระยะสั้น โดยมากเพียงหนึ่งหรือสองกระบวนท่าก็ตัดสินเป็นตาย ดังนั้นท่าร่างท่าฝ่าเท้าล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือทันทีที่โจมตีสามารถสำแดงพลังสูงสุด ยามบิดาและท่านอาของเจ้าฝึกวรยุทธ์ เจ้าคงเคยพบเห็นมาบ้าง หากไม่ผิดจากที่คาด พวกเขาฝึกกระบวนท่าเข่นฆ่าสังหารแบบตรงไปตรงมากระมัง”

เหยากวงพยักหน้าฉับพลัน

หลิ่วสุยเฟิงมองไปทางไท่สุ้ย “ที่ไท่สุ้ยฝึกคือวิชาของสำนักเต๋า วิชาของสำนักเต๋าดีต่อสุขภาพที่สุด เป้าหมายมิได้มีเพื่อสังหารศัตรู แต่เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดลม ยืดขยายกระดูกและเส้นเอ็น วิชาของสำนักเต๋าโดยปกติมักใช้ฝึกควบคู่กับศาสตร์การหายใจ เพื่อให้อวัยวะตันภายในทั้งห้าและอวัยวะกลวงภายในทั้งหกแข็งแรง จนบรรลุถึงเป้าหมายสุขภาพแข็งแรงมีอายุวัฒนะ”

เห็นไท่สุ้ยทำหน้ามึนงง หลิ่วสุยเฟิงยิ้มก่อนกล่าว “แน่นอน สำนักเต๋าเองก็มีวิชาที่สังหารศัตรูพิชิตชัยชนะ ทว่าข้าลองคำนวณ ตอนนั้นเจ้าอายุยังน้อย อาจารย์ยังไม่ทันได้สอนเจ้า”

ไท่สุ้ยกระจ่างโดยพลัน สีหน้าเริ่มเศร้าหมอง

เหยากวงมองไม่เห็นสีหน้าของไท่สุ้ย สอบถามหลิ่วสุยเฟิงอย่างใคร่รู้ “เมื่อครู่ท่านว่ามีทั้งสิ้นห้าประเภทใหญ่ ยังมีอื่นใดอีก”

หลิ่วสุยเฟิงมองไท่สุ้ยปราดหนึ่ง รู้ดีว่าเขานึกถึงอาจารย์ แต่ไม่มีหนทางโน้มน้าวปลอบใจ เห็นเหยากวงอยากรู้ จึงอธิบาย “อย่างเช่นหมัดสำนักทหาร วิชาดาบหรือกระบี่ และอาวุธลับอันใดเทือกนี้ เหล่านี้ล้วนจัดเป็นประเภทเดียวกันได้ นับเป็นศาตร์สังหารคน

สำนักเต๋าเป็นวิชาเพื่อสุขภาพ มีบางอย่างเลียนแบบสัตว์ อย่างท่าบริหารแบบสัตว์ห้าชนิดที่ฮว่าถัว132 คิดค้นขึ้น เหล่านี้ล้วนจัดอยู่ในประเภทวิชาของสำนักเต๋า เน้นการบริหารฝึกฝนกล้ามเนื้อเส้นเอ็นกระดูก

ยังมีวิชาของสำนักพุทธ เน้นหนักการฝึกฝนผิวหนังและกระดูก คล้ายสิบสามองครักษ์ ภูษาเหล็ก ล้วนสังกัดวิชายุทธ์แข็งกร้าว แต่จุดสำคัญเน้นฝึกฝนผิวหนังและกระดูก ยามฝึกฝนลำบากลำบนนัก”

เหยากวงยังไล่ถาม “แล้วอีกสองประเภทเล่า”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้ม “ยังมีวิชายุทธภพอย่างฝ่ามือทรายเหล็ก ไม่ฝึกฝนอย่างอื่น ฝึกเพียงฝ่ามือ วิชาประเภทนี้อานุภาพยิ่งใหญ่ แต่ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ส่วนประเภทสุดท้าย กล่าวได้ว่าเป็นศาสตร์พิเศษ”

“ศาสตร์พิเศษ?” คราวนี้ไม่เพียงเหยากวงที่สงสัยใคร่รู้ กระทั่งไท่สุ้ยยังอดอยากรู้อยากเห็นไปด้วยมิได้

หลิ่วสุยเฟิงตอบยิ้มๆ “อย่างเช่นพลังคำรามราชสีห์ มนต์มังกรร่ายของสำนักพุทธ คาถาวายุอัสนี ฝ่ามืออัสนีของสำนักเต๋า อีกทั้งพลังคำรามวิเศษที่ข้าฝึกฝนก็จัดอยู่ในประเภทนี้”

เหยากวงมองไท่สุ้ยแวบหนึ่งก่อนกะพริบตาปริบๆ “เช่นนั้นความสามารถเป็นอมตะของไท่สุ้ยนับเป็นศาสตร์พิเศษหรือ”

หลิ่วสุยเฟิงส่ายหน้า “ความเป็นอมตะของไท่สุ้ยและพละกำลังมหาศาลของเจ้าจะว่าเป็นศาสตร์พิเศษก็ได้ แต่เมื่อลองเปรียบเทียบ น่าจะเป็นความสามารถพิเศษมากกว่า เจ้าลองคิดดู ต่อให้ไท่สุ้ยไม่เป็นวรยุทธ์ ไม่มีกำลังภายใน จะสูญเสียความสามารถนี้ไปหรือ ต่อให้เจ้าไม่ได้ฝึกวรยุทธ์ แต่พละกำลังของเจ้าก็ยังอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน แต่สำหรับข้าต่างออกไป หากข้าไม่มีกำลังภายใน ย่อมใช้พลังคำรามวิเศษไม่ได้”

ไท่สุ้ยและเหยากวงพยักหน้าอย่างเข้าใจกระจ่าง

ไท่สุ้ยถามด้วยความสงสัยอีก “เช่นนั้นที่เจ้าบอกว่าข้ามิได้ฝึกฝนวรยุทธ์ให้ถูกต้อง เป็นเพราะตอนนั้นอายุยังน้อยไปหรือ”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า “ข้าบอกแล้วเมื่อครู่ว่าวิชาของสำนักเต๋านั้นเพื่อสุขภาพ ทำให้มีอายุยืนยาว กล่าวได้ว่าเหมาะสำหรับคนวัยกลางคนถึงวัยชรามากที่สุด คนเราเมื่ออายุยังเยาว์ เส้นเอ็นและกระดูกยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เดิมทีเลือดลม เส้นเอ็น และกระดูกก็แข็งแรงดี เมื่อฝึกวิชาย่อมมีการปรับเปลี่ยนบ้าง อย่างไท่สุ้ยหากฝึกตามแบบของผู้ใหญ่ตั้งแต่เล็ก ก็จะเกิดสภาวะเลือดลมไหลเวียนเกินมาตรฐาน เมื่อเลือดลมไหลเวียนดีเกินไป ก็จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่แน่อายุเพียงห้าหกขวบก็อาจโตเหมือนเด็กอายุสิบกว่าปี...”

“โตเร็วไม่ดีหรอกหรือ” เหยากวงตัดบทอย่างไม่เข้าใจ

“ร่างกายมนุษย์นั้นอัศจรรย์นัก สำนักเต๋ายิ่งเลื่อมใสศรัทธาความเป็นธรรมชาติ...” หลิ่วสุยเฟิงลองเปลี่ยนวิธีอธิบายใหม่ “กล่าวอย่างนี้แล้วกัน สมรรถภาพของแต่ละคนต่างมีขีดจำกัด อย่างลองเปรียบสมรรถนะเป็นน้ำหนึ่งถัง หากคนเราเติบโตเร็วก็จะใช้สมรรถภาพล่วงหน้า เหมือนกับดื่มน้ำในถังหมดไปกึ่งหนึ่ง เมื่อเติบใหญ่หากกระหาย ที่เหลืออีกครึ่งถังไม่แน่ว่าจะพอให้ดื่ม พวกเจ้าก็คงเคยเห็น เด็กหลายคนตัวสูงใหญ่แต่เล็ก แต่พอโตขึ้นกลับเตี้ยกว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน”

ไท่สุ้ยและเหยากวงต่างพยักหน้า

“ยังมีอีก พวกโตไวนั้นเป็นเพียงกระดูกเติบโต แต่อวัยวะต่างๆ เช่นอวัยวะภายในหรือดวงตายังไม่อาจโตทันความเร็วในการเจริญเติบโตประเภทนี้ จึงเกิดสภาวะภายนอกแข็งแกร่ง ภายในอ่อนแออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทันทีที่เป็นโรคหรือได้รับบาดเจ็บ อาการจะทุเลาได้ยาก”

ไท่สุ้ยและเหยากวงพยักหน้า เผยให้เห็นสีหน้าเข้าใจกระจ่างแจ้ง

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มคราหนึ่งแล้วกล่าว “ดังนั้นโดยปกติเมื่อผู้ใหญ่สอนเด็กให้ฝึกวรยุทธ์ ล้วนมุ่งเน้นการสร้างฐาน ไม่ดึงต้นกล้าช่วยให้เติบโต133 สถานการณ์ของไท่สุ้ยก็เป็นเช่นนั้น ข้าดูแล้วท่าทางของเจ้ายังสมควรต้องปรับแก้อีกหลายแห่ง ข้าเดาว่าวิธีการของอาจารย์เจ้าคือทำให้เจ้าคุ้นเคยก่อน รอเจ้าเติบใหญ่สักหน่อยค่อยปรับแก้เพื่อปูพื้นฐานให้เจ้า ทว่าเหมาะสำหรับฝึกฝนตอนเจ้ายังเล็ก เมื่อเติบใหญ่กลับไม่เหมาะสมแล้ว”

ไท่สุ้ยหน้าตาหมองคล้ำ ทว่าไม่นานนักก็ทำท่ากระฉับกระเฉงก่อนถาม “ต้าหลิ่วเป็นฝ่ามือมังกรทะยานแปดภูมิได้อย่างไร หรือท่านก็ฝึกฝนวิชาของสำนักเต๋า”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า ยิ้มอ่อนโยนก่อนกล่าว “เมื่อครู่ผู้อาวุโสต้งหมิงและผู้อาวุโสอิ่นกวงบอกแล้วว่า หน่วยดาวพิฆาตก่อตั้งโดยปรมาจารย์เฉินถวน ท่านปรมาจารย์ได้รับฉายาว่าเซียนนิทรา และเป็นผู้อาวุโสในสำนักเต๋า ถ่ายทอดวิชาให้มีอันใดน่าแปลกประหลาดหรือ อีกอย่าง... ฝ่ามือแปดภูมิก็เป็นวิชาที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง แพร่หลายกว้างขวางต่างสำนัก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวิชาสำหรับปูพื้นฐานที่พบเห็นได้บ่อยครั้งในยุทธภพ อย่าว่าแต่ข้า คนในยุทธภพหลายคนต่างก็เป็นสองสามกระบวนท่า”

ไท่สุ้ยเข้าใจโดยพลัน

หลิ่วสุยเฟิงคิดแล้วก็เอ่ย “อย่างนี้เถอะ หลายวันนี้เหยากวงพาเจ้าทำความคุ้นเคยหน่วยดาวพิฆาตก่อน ข้าค่อยเจียดเวลาเล็กน้อยในแต่ละวันมาช่วยเจ้าปรับแก้การวางท่า”

ไท่สุ้ยยินดีนัก ประสานมือคำนับพลางกล่าว “เช่นนั้นขอบคุณพี่หลิ่วแล้ว”

เห็นไท่สุ้ยมีผลเก็บเกี่ยว ในใจเหยากวงก็ยินดี ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกอย่างไม่พอใจ เอ่ยตำหนิ “นี่ อย่าลืมว่าข้าต่างหากเป็นซือฟู่เจ้า”

ไท่สุ้ยยิ้มร่า ประสานมือคำนับไปทางเหยากวงแล้วเอ่ย “ข้าทราบแล้ว สีฟู่”

เหยากวงพยักหน้าอย่างพอใจ

หลิ่วสุยเฟิงกลับฟังถนัดถนี่เต็มสองหู จึงอดขบขันในใจมิได้

 

ตำหนักฉุยก่ง

เจินจงฮ่องเต้ทรงฉลองพระองค์เก้ามังกร ประทับหลังตรงบนเก้าอี้ ทรงพลิกอ่านฎีกา โจวไหวเจิ้งและเหลยอวิ่นกงยืนซ้ายขวาสองข้าง

ตอนนี้เองมีขันทีชั้นผู้น้อยฝีเท้าเร็วรี่ก้าวเข้ามา หลังถวายบังคมแล้วก็ทูลรายงาน “ฝ่าบาท เต๋อเมี่ยวเซียนกูมาถึงแล้ว”

“หือ? รีบประกาศให้เข้ามา” พระองค์ทรงยินดียิ่ง

“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีชั้นผู้น้อยขานรับพลางวิ่งเหยาะๆ ไปที่หน้าประตู กู่ร้องเสียงสูง

“ให้เต๋อเมี่ยวเซียนกูเข้าเฝ้า”

ใต้ขั้นบันไดมังกร โจวไหวเจิ้งจ้องเต๋อเมี่ยวด้วยสีหน้าเข้มงวดเคร่งขรึม สองตาหลุบลงเล็กน้อย เหลยอวิ่นกงที่อยู่อีกฟากกลับมองเต๋อเมี่ยวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พยักหน้าเล็กน้อยอย่างไม่อาจสังเกตได้

สีหน้าเต๋อเมี่ยวสงบราบเรียบ เดินมาหยุดตรงหน้าฮ่องเต้แล้วถวายบังคม “นักพรตต่ำต้อยเต๋อเมี่ยว ถวายบังคมเพคะ”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเต๋อเมี่ยวอย่างสนพระทัย “เจ้าคือเต๋อเมี่ยวเซียนกูผู้เลื่องลือหรือ”

เต๋อเมี่ยวมีสีหน้าสุขุม วางมาดเป็นผู้สูงส่งเหนือโลกีย์ “ชื่อเสียงตื้นเขินเล็กจ้อย น่าละอายถึงพระเนตรพระกรรณ”

ฮ่องเต้ทรงฟังแล้วก็แย้มพระสรวลกว้าง “มาๆๆ เราเองก็เป็นเพียงคนคร่ำครึ เจ้ามีความสามารถใดก็สำแดงให้เห็น ให้เราได้เปิดหูเปิดตา”

เต๋อเมี่ยวเผยแววโกรธขึ้งบนใบหน้า “ฝ่าบาททรงเห็นว่าเต๋อเมี่ยวเป็นนักแสดงกายกรรมบนท้องถนนอย่างนั้นหรือเพคะ”

เจินจงฮ่องเต้ทรงตะลึงงัน

เหลยอวิ่นกงเห็นดังนั้น จึงรีบเอ่ยไกล่เกลี่ย “ฮ่าๆ เต๋อเมี่ยวเซียนกูช่างนิสัยใจคอตรงไปตรงมา ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ มิได้ทรงมีเจตนาอื่น เพียงแต่ทรงสงสัยใคร่รู้ในวิชาอาคมอันน่าอัศจรรย์ของเซียนกูเท่านั้น”

เต๋อเมี่ยวถวายบังคมฮ่องเต้ด้วยสีหน้าจริงจัง “เต๋อเมี่ยวเป็นผู้ออกผนวช เดิมทีสมควรปลีกตัวอาศัยในภูไพรอย่างสันโดษ มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญตบะ แต่เพราะมีวาสนากับฝ่าบาท และมีเทพเซียนสิ่งศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ถึงความเคารพเลื่อมใสในมรรคาของฝ่าบาท ไหว้วานเต๋อเมี่ยว เต๋อเมี่ยวถึงเข้าเมืองหลวงมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

เจินจงฮ่องเต้รู้สึกประหลาดพระทัยระคนยินดี “เทพเซียนถึงกับรับรู้ว่าเราเลื่อมใสศรัทธาในมรรคา?”

เต๋อเมี่ยวผงกศีรษะ “ฝ่าบาททรงเป็นโอรสมังกรสวรรค์ที่แท้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมเอาใจใส่พระองค์”

“ประเสริฐ! ประเสริฐ! ประเสริฐ!” พระองค์ตรัสติดกันสามครั้ง ความยินดีฉายชัดบนพระพักตร์

สำหรับยอดคนเหนือโลกีย์เหล่านี้ แท้จริงแล้วทรงบังเกิดความขัดแย้งอย่างยิ่งในพระทัย พวกเขาแต่ละคนมีความสามารถสูงส่งและพิเศษพิสดาร แต่มีจุดหนึ่ง... พวกเขาส่วนมากล้วนไม่แม้แต่จะสนใจชื่อเสียงลาภยศ แต่ละคนหากไม่ถือตนเข้ากระดูกดำ ก็เย่อหยิ่งทะลุชั้นฟ้า เอ่ยตามจริงแล้ว มิได้ให้ความเคารพต่อโอรสสวรรค์อย่างพระองค์เท่าใดนัก เอ่ยอย่างหนักข้อสักหน่อยก็คือมิได้เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

แท้จริงแล้วก่อนหน้าเต๋อเมี่ยว ทรงเคยมีพระบัญชาเสาะหายอดคนทางมรรคาพุทธและปราชญ์เมธี

บุคคลอัศจรรย์เปี่ยมความสามารถพิเศษส่วนมากไม่แยแสใส่ใจ ที่เกรงพระทัยก็เพียงบอกปฏิเสธ เอ่ยถ่อมตนว่าความสามารถต่ำต้อย ที่ไม่เกรงพระทัยกระทั่งทูตที่ส่งไปก็ไม่ให้เข้าพบ แท้จริงแล้วทรงทราบดี ไม่แน่ว่าบุคคลเหล่านี้ลับหลังอาจประณามว่าทรงเป็นทรราช

กว่าจะเชื้อเชิญบุคคลที่ได้ชื่อว่าอัศจรรย์เปี่ยมความสามารถพิสดารมาได้ไม่ง่ายเลย แต่เมื่อทดสอบ หากมิใช่พวกต้มตุ๋นหลอกลวงในยุทธภพ ก็เป็นพวกมีวิชาทางการแพทย์เพียงเล็กน้อย ไม่คู่ควรกับคำว่ายอดคนแม้แต่น้อย

ทว่าเต๋อเมี่ยวที่อยู่ตรงหน้านี้แตกต่างกัน ความสามารถเต็มเปี่ยม แม้มิได้ประจักษ์ด้วยสายพระเนตร แต่ทรงทราบจากข่าวคราวที่แพร่สะพัดมา อย่างน้อยฝีมือรักษาคนป่วยเลิศล้ำ ส่วนเรื่องต้นไม้เหล็กออกดอก หงส์ร่อนลงจากฟากฟ้า สำหรับพระองค์แล้ว มีหรือไม่มีก็ได้ ที่ทรงประสงค์จะศึกษาที่สุดคือทำอย่างไรให้มีอายุวัฒนะถึงขั้นเป็นอมตะ

ที่สำคัญที่สุดก็คือ บุคคลผู้นี้มีชื่อเสียงใหญ่ถึงเพียงนี้ในไท่อัน เด่นชัดว่าสนใจในชื่อเสียงลาภยศ เช่นนั้นก็คงดำเนินการง่ายขึ้น

โอรสสวรรค์ปกครองใต้ฟ้า ชื่อเสียงและผลประโยชน์เป็นอาวุธทรงพลังที่สุดของพระองค์ หากทุกผู้ทุกนามไม่สนใจในชื่อเสียงและผลประโยชน์ จะมีผู้ใดเคารพนบนอบฮ่องเต้เล่า

ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ทรงเป็นโอรสสวรรค์ ทรงสูงศักดิ์เปี่ยมบารมีอย่างชนชั้นผู้ปกครอง ย่อมมีศาสตร์แห่งฮ่องเต้ราชัน ทรงไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้พระอารมณ์ที่แท้จริงของพระองค์ แม้ในพระทัยยินดีเกินคาดหวัง แต่กลับทรงพระสรวลเพียงไม่กี่เสียง แล้วกลับมาเคร่งขรึมสุขุมดังเดิม

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรประเมินเต๋อเมี่ยวสองสามครั้ง แย้มพระสรวลแล้วตรัส “เจ้าหน้าที่ ประทานที่นั่ง!”

ขันทีชั้นผู้น้อยรีบยกเก้าอี้ออกมาจัดวาง เต๋อเมี่ยวกล่าวขอบพระทัยแต่ไม่รีบร้อนนั่งลง กลับล้วงกล่องใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “เข้าเฝ้าเป็นครั้งแรก เต๋อเมี่ยวจัดเตรียมของขวัญเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ หวังว่าฝ่าบาทจะพอพระทัยเพคะ”

โจวไหวเจิ้งรับกล่องมา ถวายตรงหน้าพระพักตร์ เหลยอวิ่นกงเปิดออก ด้านในเป็นปลาทำจากไม้

พระองค์ปรายพระเนตรมองปราดหนึ่ง ทอดพระเนตรเต๋อเมี่ยวอย่างแปลกพระทัย “นี่คือ...”

เต๋อเมี่ยวยิ้มก่อนอธิบาย “ปลานั้นไม่หลับตาทั้งวันทั้งคืน นักพรตต่ำต้อยถวายของสิ่งนี้แด่ฝ่าบาท เพราะเห็นแก่ความวิริยะอุตสาหะ ศึกษาบำเพ็ญ และพระทัยที่มุ่งมั่นเคารพศรัทธาต่อมรรคาของฝ่าบาท นอกจากนี้ทุกเจ็ดวันสามารถถามหนึ่งคำถามกับปลาไม้ตัวนี้ได้ ถึงเวลาเพียงใช้พระหัตถ์เคาะแผ่วเบา ให้ทรงนึกข้อปุจฉาในพระทัย ก็จะได้รับข้อวิสัชนาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์”

เจินจงฮ่องเต้ทรงแปลกพระทัยระคนยินดี ทรงไม่อาจต้านทานไว้ได้อีก “ถึงกับมีของวิเศษเช่นนี้? รีบๆ ส่งขึ้นมา”

เหลยอวิ่นกงหยิบปลาไม้ออกจากกล่องวางบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง คิดจะถอยออกมา แต่เหมือนคิดบางอย่างได้ กลอกสองตา ยืนขวางตรงหน้าฮ่องเต้ “ฝ่าบาททรงช้าก่อน”

ฮ่องเต้ทรงชะงักความเคลื่อนไหว ทอดพระเนตรเขาอย่างสงสัย

เหลยอวิ่นกงยิ้มก่อนทูล “ฝ่าบาท โอกาสสื่อสารระหว่างมนุษย์กับสวรรค์อันดียิ่งนี้ ไหนเลยดำเนินการอย่างเร่งร้อนได้ หากทรงยังไม่มีคำถามที่ตรึกตรองไว้อย่างดีกลับหลับหูหลับตาเคาะปลาไม้นี้ สะท้านสะเทือนถึงเทพเซียน ไยมิใช่ไม่เคารพ”

“อือ... มีเหตุผล” พระองค์พยักพระพักตร์เหมือนทรงคิดบางประการได้ ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตรัสพึมพำ “เช่นนั้นเราสมควรถามสิ่งใดดีเล่า”

โจวไหวเจิ้งที่ยืนนิ่งเนิ่นนานอยู่ด้านข้างมองเหลยอวิ่นกงแวบหนึ่ง หันข้างมาประสานมือถวายบังคม “ฝ่าบาททรงสูงศักดิ์เป็นโอรสสวรรค์แห่งต้าซ่ง ไยมิทรงถามเรื่องชะตาบ้านเมือง”

โอรสสวรรค์ทรงนิ่งงัน “เรื่องนี้...”

เหลยอวิ่นกงนิ่วหน้า แย่งเอ่ย “เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก เกรงว่าไม่เหมาะสมกระมัง”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปทางเต๋อเมี่ยว

เต๋อเมี่ยวเพียงยิ้มด้วยสีหน้าสุขุม “ฝ่าบาทย่อมทรงถามได้ ทว่า... แพร่งพรายลิขิตสวรรค์ เป็นโชคหรือเคราะห์ กลับมิใช่นักพรตต่ำต้อยสามารถคาดเดาล่วงหน้าได้”

นางเอ่ยเช่นนี้ ภายในตำหนักฉุยก่งก็เงียบกริบในบัดดล

เห็นฮ่องเต้ทรงลังเล เหลยอวิ่นกงที่ยืนด้านข้างจึงยิ้มประจบ “กระหม่อมนึกถึงเรื่องน่าสนใจขึ้นมาได้ ฝ่าบาททรงจำเต่าวิเศษที่ติงเซี่ยงกงถวายเมื่อสองวันก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ติงเซี่ยงกงว่าเต่านั้นมีอายุสามพันสามร้อยปี อีกทั้งเป็นสัตว์วิเศษที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ โค่วเซี่ยงกงและโจวกงกงต่างไม่เชื่อ มิสู้วันนี้พวกเราทดสอบว่าจริงแท้หรือหลอกลวง ลองสอบถามความเป็นมาของเต่าตัวนั้น”

สองพระเนตรเปล่งประกายวาบ ปรบพระหัตถ์พลางทรงพระสรวลเสียงดัง “จริงสิ ไฉนเราจึงลืมเรื่องเต่าวิเศษที่ติงเซี่ยงกงมอบให้ เร็ว! สั่งคนนำเต่าวิเศษมา หากมันอายุไม่ถึงพันปี พวกเราจะได้รื้อบ้านติงเซี่ยงกง ฮ่าๆ”

เหลยอวิ่นกงกำชับขันทีชั้นผู้น้อยไปนำเต่าวิเศษมา โจวไหวเจิ้งยืนมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ข้างๆ ความกังวลผุดวาบกลางหว่างคิ้วแล้วจางหายไป

ขันทีชั้นผู้น้อยนำเต่ามาด้วยความรวดเร็ว เหลยอวิ่นกงรับไว้ ถวายตรงหน้าฮ่องเต้

นี่เป็นเต่าสีเขียวเข้มตัวหนึ่ง มีขนาดเพียงฝ่ามือ กระดองดูเก่าแก่เรียบง่าย ตรงกลางนูนขึ้นคล้ายเนินเขาลาดชันลูกหนึ่ง บริเวณรอบๆ แตกลายงาและเชื่อมต่อกันคลับคล้ายสายธาร รอยแตกประกอบกันขึ้นไม่มากไม่น้อย เป็นรูปทรงหกเหลี่ยมขนาดเล็กใหญ่ใกล้เคียงกันทั้งสิ้นสิบสองอัน เด่นชัดว่าลี้ลับพิสดาร

เจินจงฮ่องเต้ทรงประคองเต่าวิเศษ ทอดพระเนตรเต๋อเมี่ยวอย่างคาดหวังแล้วตรัสถาม “เต๋อเมี่ยวเซียนกู สิ่งนี้ได้หรือไม่”

เต๋อเมี่ยวพยักหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็น พลางยิ้มตอบ “ย่อมได้ ขอฝ่าบาททรงคิดคำถามในพระทัยให้ดี ก่อนเคาะปลาไม้หนึ่งครั้ง ย่อมมีคำตอบเองเพคะ”

พระหัตถ์หนึ่งทรงประคองเต่า อีกพระหัตถ์ทรงเคาะปลาไม้อย่างใคร่รู้

ปลาไม้ส่งเสียงดังกึก พ่นควันบางเบาออกจากปาก ทรงเคลิบเคลิ้มล่องลอย ประหนึ่งหลุดเข้าสู่โลกอีกใบ

 

ท่ามกลางความพร่ามัวฮ่องเต้ทรงตื่นขึ้น ทอดพระเนตรเห็นผืนฟ้าปฐพีขาวโพลน เมฆหมอกลอยวนเป็นเกลียว แยกแยะทิศทางไม่ออก ทรงยืนอยู่ท่ามกลางมวลเมฆ ทอดพระเนตรซ้ายและขวา แต่ที่เข้าสู่สายพระเนตรล้วนเป็นปุยเมฆ ไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย

ในพระทัยหวาดหวั่น อดอ้าพระโอษฐ์ร้องตะโกนมิได้ “ที่นี่ที่ใด! มีคนหรือไม่ มีคนอยู่หรือไม่!”

ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

เสียงไม้เท้ากระทบพื้นดังแว่วขึ้น คล้อยตามสุรเสียงตะโกนก้องของพระองค์

เจินจงฮ่องเต้ทรงยินดียิ่ง เหลียวซ้ายแลขวา ทันใดนั้นปุยเมฆตรงหน้าก็แหวกออก ชายชราหน้าตาเมตตาปรานี ท่วงท่างามสง่าราวกับเทพเซียนค้ำไม้เท้าขี่เมฆลอยเข้ามา ดวงหน้าเปี่ยมรอยยิ้มประดุจผู้เฒ่าเซียนในตำนาน

พระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่เข้ามา สีพระพักตร์และท่าทางแตกตื่น “ทะ...ท่านเป็นผู้ใดกัน”

ผู้เฒ่าหัวเราะหึๆ ก่อนเอ่ยเสียงกังวาน “ในพระหัตถ์ฝ่าบาททรงประคองผู้ชราอยู่ กลับตรัสถามว่าผู้ชราเป็นผู้ใดกระนั้นหรือ”

ฮ่องเต้ทรงตกพระทัยจึงร้องขึ้น “หรือท่านเป็นเต่าวิเศษ!”

ผู้เฒ่ายิ้มพลางส่ายหน้า “ชนชั้นส่ายกระดิกหางในดินโคลนเป็นเพียงหนึ่งในร่างแปลงของผู้ชราเท่านั้น ตอนนั้นขณะที่ผู้ชราขี่กระบือดำผ่านด่านหานกู่134 เห็นแก่ที่มันมีสายเลือดแห่งเสวียนอู่135 กลับเลอะเลือนมึนงงไม่รู้จักบำเพ็ญตบะ จึงทิ้งจิตแห่งเทพสายหนึ่งไว้กับเต่าเพื่อช่วยให้มันบรรลุมรรคา กลับมิคาดว่าจะตกเข้าสู่พระหัตถ์ฝ่าบาทในวันหนึ่ง”

ผู้เฒ่ามีสีหน้าปลงตก ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงยิ่งนัก

เมื่อทรงได้สติก็ทรงกระชับจัดฉลองพระองค์ เสด็จขึ้นหน้าหนึ่งก้าวเพื่อทำความเคารพ “ขอสอบถามท่านผู้เฒ่าคือ... ไท่ซั่งเหล่าจวินผู้รจนาเต้าเต๋อจิงใช่หรือไม่”

ผู้เฒ่าลูบเครายาวแผ่วเบา ยิ้มพลางพยักหน้า “เป็นผู้ชราเอง เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋า มีนามกรเรียกขาน มิใช่นามกรยั่งยืน ไร้นาม เป็นบ่อเกิดแห่งฟ้าดิน มีนามเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง ดังนั้นธำรงในความไร้ย่อมประจักษ์ความอัศจรรย์ ธำรงในความมีย่อมประจักษ์ในมรรคา สองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกัน ทว่าเรียกขานต่างกัน ล้วนเรียกว่าความลึกล้ำ...”

โอรสสวรรค์ตั้งพระทัยฟัง ในพระทัยบังเกิดความเกรงกลัว สีพระพักตร์มุ่งมั่น พยักพระพักตร์เป็นระยะ ทรงเคลิบเคลิ้มใหลหลง

 

ในตำหนักฉุยก่ง ในพระหัตถ์ฮ่องเต้มีเต่าตัวน้อย อีกพระหัตถ์ค้ำบนโต๊ะ สีพระพักตร์เลื่อนลอย พยักพระพักตร์เป็นระยะ คล้ายทรงฟังอย่างเพลิดเพลิน

โจวไหวเจิ้งและเหลยอวิ่นกงยืนซ้ายขวาอยู่ข้างโต๊ะ สบตากันด้วยความสงสัย เต๋อเมี่ยวยืนอยู่ด้านหน้า มองฮ่องเต้ที่ถูกยามอมเมาวิญญาณจนพระสติสัมปชัญญะพร่าเลือน

รออีกสักพัก เมื่อเห็นว่าพระทัยยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โจวไหวเจิ้งออกจะเป็นกังวล เรียกเสียงเบาอย่างเป็นห่วง “ฝ่าบาท? ฝ่าบาท?”

“หือ? อา!” เจินจงฮ่องเต้ทรงสะดุ้ง ค่อยๆ คืนพระสติ ทอดพระเนตรมองไปข้างพระวรกาย ก็ทรงพบว่ากลับสู่ความเป็นจริง จึงอดอุทานอย่างประหลาดพระทัยมิได้

“เราได้พบเทพเซียนแล้วอย่างแท้จริง! เมื่อครู่เราได้พบไท่ซั่งเหล่าจวิน ฟังไท่ซั่งเหล่าจวินร่ายเต้าเต๋อจิงกับหู”

โจวไหวเจิ้งทำหน้าสงสัย เหลยอวิ่นกงกลับยินดีเต็มหน้า ชมเชยฮ่องเต้ใหญ่โต

“ฝ่าบาททรงมีวาสนาเซียนอย่างแท้จริง อภินิหารของเต๋อเมี่ยวเซียนกูเลิศล้ำยิ่งนัก”

เต๋อเมี่ยวยิ้มอย่างสำรวม “กงกงชมเกินไปแล้ว”

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้คึกคัก “มิผิด ผู้วิเศษในโลกหล้ามากมายเพียงใด เราเองก็เคยพบเคยเห็นมาไม่น้อย กลับไม่มีผู้ใดมีความสามารถอย่างเต๋อเมี่ยวเซียนกูนี้ ให้เราลองคิดดูว่าจะปูนบำเหน็จเต๋อเมี่ยวเซียนกูอย่างไรดีจึงจะถูก”

เหลยอวิ่นกงและเต๋อเมี่ยวลอบส่งสายตากัน ทั้งสองต่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

ผู้เป็นโอรสสวรรค์ทรงใคร่ครวญอยู่สักพัก สองพระเนตรก็สว่างเป็นประกาย รับสั่งไปทางเหลยอวิ่นกง “เราไม่อยากให้เต๋อเมี่ยวเซียนกูอยู่ไกลนัก เพื่อความสะดวกในการขอคำชี้แนะ คิดแต่งตั้งเซียนกูเป็นผู้ทรงศีลประจำวังหลวง เจ้าว่าอย่างไร”

เหลยอวิ่นกงแสดงสีหน้ายินดีทันที แล้วกล่าวชม “ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมว่าเช่นนี้ดีไม่มีใดเกินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ดีมาก เช่นนั้นเรื่องนี้มอบให้เจ้าไปจัดการ” ฮ่องเต้พอพระทัยอย่างยิ่ง ทรงมอบเต่าน้อยในพระหัตถ์แก่เหลยอวิ่นกง ตรัสอย่างปลาบปลื้ม “เรารู้ประวัติความเป็นมาของเต่าตัวนี้แล้ว เป็นเชื้อสายเสวียนอู่สัตว์วิเศษที่ไท่ซั่งเหล่าจวินพบพานเข้าขณะผ่านด่านหานกู่ แม้สายเลือดเบาบาง แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่สามัญธรรมดา ไท่ซั่งเหล่าจวินบังเกิดความเวทนาสงสาร ทิ้งจิตแห่งเทพไว้แก่มันเพื่อช่วยให้บรรลุมรรคา เจ้าส่งไปที่สระบัวในอุทยานด้านหลัง เลี้ยงดูให้ดี ห้ามละเลยเด็ดขาด”

เหลยอวิ่นกงตีสีหน้าจริงจัง รับเอาเต่าเทพไปอย่างเคารพ ถวายบังคมแล้วเอ่ย “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”

โจวไหวเจิ้งยืนมองอยู่ด้านข้าง ในสายตาปรากฏแววตื่นตัวระแวดระวัง

 

ภายในท้องพระโรง

บรรดาขุนนางกำลังล้อมวงจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ โค่วจุ่นถือฎีกาฉบับหนึ่งในมือ เดินผ่านมาทางหน้าประตูได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจากด้านใน จึงหันหน้าไปมอง ขมวดคิ้วพลางกระแอมเสียงหนึ่ง

บรรดาขุนนางเงยหน้าเห็นโค่วจุ่นต่างสะดุ้งตกใจ รีบยืนตัวตรง ร้องทักทายโค่วจุ่น

“โค่วเซี่ยงกง!”

โค่วจุ่นแค่นเสียงแผ่วเบา ตำหนิด้วยใบหน้าบึ้งตึง “พวกท่านในฐานะขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ ไหนเลยไม่บกพร่องต่อธรรมเนียมอันพึงปฏิบัติ”

แต่ละคนเผยสีหน้าขมฝาด ไม่กล้าเปล่งวาจา

ขุนนางวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดงก้าวขึ้นหน้ายอมรับผิดอย่างซื่อสัตย์ “โค่วเซี่ยงกงกล่าวได้ถูกต้อง ข้าน้อยผิดไปแล้ว”

“พวกท่านเมื่อครู่กำลังวิพากษ์เรื่องใด” โค่วจุ่นมองเขาปราดหนึ่งแล้วเอ่ยถาม

ขุนนางหลายนายอึ้งงัน เอ่ยอันใดไม่ออก

โค่วจุ่นเห็นในมือขุนนางหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวมีเอกสารฉบับหนึ่ง จึงชี้นิ้วสั่ง “เอามา!”

ขุนนางหนุ่มทำหน้าฝาดเฝื่อน ยื่นเอกสารในมือให้อย่างไม่เต็มใจ “คือว่า... ทรงให้เต๋อเมี่ยวเซียนกูเข้าเฝ้า ทรงรู้สึกว่าตบะมรรคาสูงส่งลึกล้ำ ดังนั้นจึงทรงแต่งตั้งเป็นผู้ทรงศีลประจำวังหลวงแล้ว”

พอโค่วจุ่นได้ฟังก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ สองตาลุกโชนด้วยเปลวเพลิงก่อนตวาด “เหลวไหล! ปราชญ์เมธีไม่เอ่ยเรื่องภูตผีเทพเซียน นักพรตบ้านนอกคอกนาถึงกับกล้าหลอกลวงปิดบัง มีอย่างที่ไหน!”

บรรดาขุนนางไม่กล้าเอ่ยคำ แต่ละคนต่างก้มศีรษะราวกับนกกระจอกเทศเอาหัวมุดดินยามตกใจกลัว โค่วจุ่นเห็นดังนี้ยิ่งโมโหไม่คลาย โยนเอกสารลงบนพื้นอย่างโกรธเคืองแล้วฮึดฮัดจากไป

ขุนนางหนุ่มเก็บเอกสารขึ้นจากพื้น ถามผู้บังคับบัญชาของตนอย่างจนใจ “ทำอย่างไรดี”

ขุนนางวัยกลางคนส่ายหน้า ถอนใจแผ่วเบา “เรื่องนี้พวกเราจัดการไม่ได้ ยังคงส่งไปให้ติงเซี่ยงกงจัดการเถอะ”

 

ตำหนักฉุยก่ง

เจินจงฮ่องเต้ประทับอ่านฎีกาหน้าโต๊ะ เหลยอวิ่นกงฝนหมึกปรนนิบัติอยู่ข้างๆ

โค่วจุ่นฝ่าเข้ามาโดยตรง เพิ่งยืนมั่นก็ทูลถามฮ่องเต้ด้วยท่าทีโกรธเคือง “กระหม่อมได้ยินว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งเต๋อเมี่ยวเป็นผู้ทรงศีลประจำวังหลวงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เจินจงฮ่องเต้ทรงกระอักกระอ่วน ก่อนเหลียวซ้ายแลขวาแล้วกระแอมเสียงเบา “คือว่า... อ้อ! เรานึกออกแล้ว มิผิด มีเรื่องดังว่า...”

โค่วจุ่นก้าวขึ้นหน้าด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง “ฝ่าบาท เรื่องนี้มิได้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”

พูดจบก็ถวายบังคมแข็งทื่อไปทางฮ่องเต้ เอ่ยวาจาอย่างถูกต้องตามหลักเหตุผลและสัจธรรม “อันเรียกว่าสวรรค์ชั้นฟ้า มิใช่บรรดาพวกชั่วร้ายเลวทรามและมิใช่เรื่องโชคชะตา แต่เป็นเรื่องบำเพ็ญมหามรรคา ฝ่าบาททรงเป็นผู้ปกครองใต้ฟ้า ย่อมมีเมตตาธรรม คุณธรรม และวิถีทางที่ถูกต้องเป็นพื้นฐาน ใกล้ชิดขุนนางผู้มีคุณธรรม หลีกห่างคนถ่อย ไหนเลยงมงายในเรื่องแปลกพิสดาร!”

เจินจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปโดยรอบ ตรัสอย่างอึกอัก “คือว่า... โค่วเซี่ยงกงเข้าใจผิดแล้ว ระยะนี้เราสุขภาพไม่ใคร่ดี แต่งตั้งเต๋อเมี่ยวเป็นผู้ทรงศีล เพื่อขอคำชี้แนะเรื่องบำรุงดูแลสุขภาพเท่านั้น”

“เต๋อเมี่ยวเชี่ยวชาญเรื่องบำรุงดูแลสุขภาพหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นเพียงนางกระทำภูตผีหลอกลวง หากเอ่ยถึงเรื่องบำรุงดูแลพระพลานามัย ในหน่วยแพทย์หลวงเต็มไปด้วยแพทย์ความรู้สูงส่งเลิศล้ำ เชี่ยวชาญศาสตร์ดูแลรักษาสุขภาพ ฝ่าบาทไม่ทรงขอคำชี้แนะในหนทางที่ถูกต้อง กลับทรงฝากความหวังไว้ที่ศาสตร์นอกรีตหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เห็นสีพระพักตร์กระอักกระอ่วน มิทรงทราบว่าสมควรตรัสตอบอย่างไรดี เหลยอวิ่นกงจึงขึ้นหน้าหนึ่งก้าวอย่างฉลาดปราดเปรียว ยิ้มเต็มหน้าเอ่ยไกล่เกลี่ย “โค่วเซี่ยงกง เต๋อเมี่ยวเซียนกูตบะสูงส่งล้ำลึก มีความสามารถยิ่งใหญ่นัก ฝ่าบาท...”

“เจ้าหุบปาก!” ยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกโค่วจุ่นตวาดตัดบทอย่างมีโทสะ

เหลยอวิ่นกงชะงักกึก หน้าม่อยคอตกปิดปากลง ถอยกลับไปยืนข้างๆ แต่โดยดี

เห็นเขารู้จักกาลเทศะ โค่วจุ่นถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง สายตาเลื่อนไปที่ฮ่องเต้ ถกด้วยเหตุผลสืบต่อ “ฝ่าบาท เต๋อเมี่ยวเป็นเพียงผู้ออกบวช ต่อให้ฝ่าบาททรงคิดแต่งตั้งนาง ก็สมควรมีพระบัญชาให้เจ้าอารามต่างๆ เข้าเฝ้า ทุกคนร่วมถกวิเคราะห์หลักคัมภีร์ หากเต๋อเมี่ยวมีความรู้ลึกล้ำในคัมภีร์เต๋า อรรถาธิบายได้อย่างเข้าถึงแท้จริง ก็สามารถแต่งตั้งนางได้พ่ะย่ะค่ะ แต่บัดนี้ทรงกระทำเช่นนี้ ออกจะลวกๆ ไปสักหน่อย...”

เจินจงฮ่องเต้พยักพระพักตร์เป็นระยะ “โค่วเซี่ยงกงกล่าวได้ถูกต้อง เราจะพิจารณาอย่างรอบคอบ”

เห็นทรงมีท่าทีกลบเกลื่อนอย่างขอไปที โค่วจุ่นก็เดือดดาล ขึ้นหน้าอีกหนึ่งก้าวจะกล่าววาจา ทว่าฮ่องเต้ทรงสะดุ้งตกพระทัย รีบยกพระหัตถ์กุมพระนลาฏขณะตรัส

“โอย! เราเวียนศีรษะ ไฉนจึงเวียนศีรษะเยี่ยงนี้ เหลยอวิ่นกง รีบประคองเรากลับไปพัก เรียกแพทย์หลวง!”

เหลยอวิ่นกงเห็นดังนั้นก็รีบปรี่ไปพยุงฮ่องเต้เดินจากไป

โค่วจุ่นเดินตามไปสองก้าว “ฝ่าบาท...”

ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะหันพระพักตร์ เพียงแต่โบกพระหัตถ์ เร่งฝีพระบาทเร็วยิ่งขึ้น “อา! เรารู้แล้ว เราจะพิจารณาให้รอบคอบ เวียนศีรษะเหลือเกิน...”

เหลยอวิ่นกงประคองฮ่องเต้เร่งร้อนจากไป โค่วจุ่นชะงักฝีเท้าอย่างจนใจ หลังจากนั้นสักพักก็สะบัดชายแขนเสื้ออย่างโมโห แล้วเดินออกไปทางด้านนอก

 

กลับถึงโรงพักม้า ในที่สุดเต๋อเมี่ยวก็ผ่อนคลายในอารมณ์ เรื่องราวที่พัวพันมาเนิ่นนานนับว่ามีผลแล้ว ประหวัดถึงความร่ำรวยหรูหราในพระราชวังแล้วย้อนนึกเรือน ‘โกโรโกโส’ ในอารามชีซิงที่อำเภอไท่อัน อดลอบหัวเราะที่ตนเองช่างเป็นกบในกะลา อยู่ก้นบ่อเหม่อมองท้องฟ้า ลำพองตนว่ายิ่งใหญ่มิได้

กลับมาถึงห้อง หลังล้างหน้าล้างตาแล้วนั่งหลังโต๊ะเครื่องประทินโฉม มองเงาร่างในคันฉ่องพลางพึมพำ “เต๋อเมี่ยวเอ๋ยเต๋อเมี่ยว เจ้าช่างโง่เขลาเสียจริง ไท่อันเมืองเล็กจ้อยเพียงนั้น เมื่อก่อนเจ้าถึงกับคิดว่าเป็นขุมสมบัติ รู้แต่เนิ่นๆ ว่า...”

ขณะที่นางกำลังพึมพำ ทันใดนั้นนกกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งก็กระพือปีกบินเข้ามาจากนอกหน้าต่าง เต๋อเมี่ยวตะลึงงัน รีบหุบปากทันที แบมือออกให้นกกระเรียนกระดาษร่อนลงบนฝ่ามือ เห็นปากของมันขยับ นางรีบเขยิบเข้าไปฟังใกล้ๆ จากนั้นก็พยักหน้าแผ่วเบาด้วยแววตาวูบไหว

 

ลานอุทยานของหน่วยดาวพิฆาต

เหยากวงในชุดเครื่องแบบของหน่วยดาวพิฆาตรอไท่สุ้ยที่หน้าประตูพลางพึมพำ “เจ้าหมอนี่เป็นคนของข้าแล้ว แต่เห็นข้ายังคงทำท่าไม่เลื่อมใสไม่ยอมสยบ วันนี้ต้องสำแดงอานุภาพให้เห็นถึงความร้ายกาจของข้า ดูซิว่าเขายังกล้าไม่เคารพยำเกรงหรือไม่”

ไม่นานนักไท่สุ้ยก็เปิดประตูออกมา เห็นเหยากวงซึ่งสวมชุดเครื่องแบบให้นึกแปลกใจ ทว่าหลังจากนั้นก็เดินไปด้านข้าง ถึงกับอ้อมผ่านเหยากวงไป

เหยากวงถลึงตาโต “หยุดอยู่ตรงนั้นนะ! ไม่เห็นหรือว่าผู้บังคับบัญชาเจ้ายืนอยู่ตรงนี้”

ไท่สุ้ยแสร้งทำเป็นเพิ่งมองเห็นนาง ประสานมือคำนับด้วยสีหน้ายินดี “โธ่ๆ นี่มิใช่ใต้เท้าอู่เหยากวง ตุลาการทหารสัญจรคนใหม่แห่งดาวพิฆาตหรอกหรือ เสียมารยาทแล้ว! เสียมารยาทแล้ว!”

อู่เหยากวงเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง แต่ไม่เห็นไท่สุ้ยกล่าวต่อไปจึงก้มหน้าลงมอง ไท่สุ้ยเดินจากไปไกลแล้ว

เหยากวงโมโหไม่มีใดเกิน จึงไล่ตามไป “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ! ข้าสั่งให้เจ้าไปแล้วหรือ”

ไท่สุ้ยชะงักฝีเท้าอย่างจำใจ แบสองมือออก “เจ้ายังจะอย่างไรอีก”

“ข้าเป็นตุลาการทหารสัญจร เจ้ายังไม่มีตำแหน่งเลย”

ไท่สุ้ยไม่สนใจ เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า”

“ไม่มีตำแหน่ง เจ้าเห็นข้าแล้วก็ต้องทำความเคารพ!” เหยากวงยืดอกอย่างได้ใจ สะบัดชุดเครื่องแบบ ย่อเข่าทำท่านั่งกลางอากาศ คล้ายนั่งอยู่บนเก้าอี้กระนั้น ทั้งยังยกขาขึ้นไขว่ห้างด้วย

“คำนับสิ!” เหยากวงเชิดจมูก

“หา? คำนับเจ้า? เจ้ารับไหวหรือ” ไท่สุ้ยมองนางอย่างดูแคลนปราดหนึ่ง

“ข้าเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้า ยังเป็นอาจารย์เจ้าด้วย จะรับไม่ไหวได้อย่างไร” เหยากวงแค่นเสียงตอบ

ไท่สุ้ยเหลือบมองอย่างดูถูกแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปั้นสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวอย่างเอาจริง “ข้าซื่อตรง แข็งกร้าว ไม่สอพลอ และไม่หวั่นเกรงอำนาจบารมี มิใช่บุคคลที่เคารพอาภรณ์ไม่เคารพคน อยากให้ข้าคำนับเจ้า เว้นเสียแต่เจ้าจะทำให้ข้าเลื่อมใสทั้งกายและใจ”

เหยากวงโมโหยกใหญ่ ทะลึ่งตัวพรวดขึ้น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “เจ้ามีที่ใดไม่เลื่อมใส”

ไท่สุ้ยมองประเมินเหยากวงพลางเอ่ยเสียงหยอกเย้า “เจ้าน่ะหรือ... วรยุทธ์พื้นๆ ธรรมดา สมองไม่ปราดเปรียวเพียงพอ นิสัยใจคอวู่วาม อายุยังน้อย ปฏิบัติภารกิจไม่น่าวางใจ มีที่ใดให้ข้าเลื่อมใส”

เหยากวงโกรธจนไฟลุกขึ้นมาสามจั้ง กระโดดขึ้นมาคิดลงมือ

ไท่สุ้ยรีบหลบ “ดูสิๆๆ ทั้งยังใจคอคับแคบ คงมิใช่ว่าข้าเอ่ยวาจาไม่น่าฟังเกี่ยวกับเจ้า เจ้าก็จะแจ้นไปฟ้องใต้เท้าผู้บังคับการหรอกกระมัง”

เหยากวงเดือดดาลจนยิ้มอย่างแค้นเคือง กำหมัดขณะมองไท่สุ้ย “ดี! เจ้าว่าข้าวรยุทธ์สามัญธรรมดา ไป! เราไปสนามฝึก”

ไท่สุ้ยออกจะแปลกใจ “ไปทำอันใด”

เหยากวงหมุนแขนขยับขา เอ่ยอย่างดุดัน “พวกเราไปสนามฝึกประลองกันสักตั้ง ให้เจ้าได้รู้ถึงความร้ายกาจของข้า!”

ไท่สุ้ยกลอกตาเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ “หากเจ้าแพ้เล่า”

เหยากวงถลึงตาใส่ไท่สุ้ย กล่าวอย่างมีน้ำโห “เจ้าคิดอย่างไรก็อย่างนั้น”

ไท่สุ้ยกล่าวอย่างยินดี “คำไหนคำนั้น!”

เหยากวงโกรธกรุ่น เดินมุ่งตรงไปยังสนามฝึก ไท่สุ้ยตามติดอยู่ด้านหลัง

ทั้งสองคนมาถึงสนามฝึกด้วยความรวดเร็ว เหยากวงเตรียมลงมือ ไท่สุ้ยรีบร้องให้หยุด

“ช้าก่อน!”

เหยากวงมองเขาอย่างแปลกใจ “ว่าอย่างไร”

ไท่สุ้ยมองซ้ายแลขวา เริ่มขยับหมุนข้อมือ กางแข้งขา ปากก็เอ่ย “รอก่อน ให้ข้าอบอุ่นร่างกายก่อน”

“เฮอะ ยุ่งยากเสียจริง!” เหยากวงยืนมองไท่สุ้ยอย่างเหลืออด

ไท่สุ้ยมองประเมินเหยากวงจากศีรษะจดเท้า ครุ่นคิดหาวิธี เขาเองก็รู้แน่แก่ใจ เอ่ยถึงวรยุทธ์ ตนมิใช่คู่ต่อกรของสตรีพลังมหาศาลนางนี้ หากคิดเอาชนะ ต้องใช้วิธีการอื่นเข้าช่วย ส่วนวิธีการที่ว่าจะชอบด้วยเหตุผลหรือไม่นั้น เขาไม่แยแส ความคิดในสมองหมุนเร็วรี่ ไม่นานก็บังเกิดแผนการ จึงบิดเอวไปมาก่อนยืนมั่น

“พร้อมแล้ว?” เหยากวงหมดความอดทนตั้งแต่แรกแล้ว เห็นเขาอบอุ่นร่างกายแล้วเสร็จก็รีบตั้งท่าเตรียมลงมือ

แต่เพิ่งเตรียมลงมือ ไท่สุ้ยก็พลันชี้มาที่บั้นเอวเหยากวงแล้วเอ่ย “ห้ามใช้อาวุธลับ!”

เหยากวงมองมีดบินที่ช่วงเอว จึงปลดสายรัดเอวทั้งเส้นโยนไปอีกฟาก จากนั้นก็แบมือไปทางไท่สุ้ย เอ่ยอย่างเหลืออด “คราวนี้ใช้ได้แล้วกระมัง”

ไท่สุ้ยเห็นนางแทบลุกเป็นไฟแล้วก็ไม่กล้าชักช้า พยักหน้าเอ่ย “ได้แล้ว”

ไท่สุ้ยเพิ่งเอ่ยคำ หมัดของเหยากวงก็พุ่งเข้ามา ไท่สุ้ยสะดุ้งตกใจ รีบกระโดดถอยหลังหนึ่งก้าว มิได้โต้คืนแม้แต่น้อย เริ่มวิ่งวนหนีไปรอบเหยากวง เหยากวงไม่ใช้อาวุธลับทำร้ายคน ใช้เพียงหมัดและเท้า เริ่มไล่กวดต่อยตีไท่สุ้ย

พลังตัวเบาของทั้งคู่ทัดเทียมกัน แม้เหยากวงไม่พอใจที่ไท่สุ้ยหลบหลีก แต่ก็ไม่กลัวเขาหนีไปไกล ซัดหมัดออกไปเป็นระลอก เสียงดังควับๆ จากลมหมัด ซัดเอาฝุ่นผงในสนามฝึกปลิวว่อน ไม่นานนักทั้งสองก็ถูกครอบคลุมด้วยฝุ่นผง

ไท่สุ้ยนึกยินดีในใจ ฉวยจังหวะขณะสายตาเหยากวงไม่ชัดแจ้ง ซองกระดาษซองหนึ่งไถลลื่นออกจากชายแขนเสื้อ สองนิ้วขยี้แผ่วเบา ซองกระดาษขาดออก เผยให้เห็นผงยาสีเหลืองกองเล็ก ตอนนี้หนึ่งหมัดของเหยากวงซัดพุ่งมา ไท่สุ้ยเบี่ยงตัวหลบ อาศัยช่วงเหยากวงถอนท่อนแขนกลับ เขาเขย่าฝ่ามือแผ่วเบา ผงยาในมือปลิวไปตามลม

เหยากวงไหนเลยจะรู้ว่าหมอนี่ต่ำช้า ซัดออกไปอีกสองหมัด พลันเสาะหาเงาร่างไท่สุ้ยไม่พบ นางชะงักฝีเท้า ขมวดคิ้วเหลียวมองซ้ายขวา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่พบไท่สุ้ย ใบหน้าฉายแววอดรนทนไม่ได้

ขณะเดียวกันไท่สุ้ยพลันปรากฏตัวที่ด้านหลังนาง เห็นนางโมโหจนหายใจหอบก็อดดีใจมิได้ เขากระหยิ่มยิ้มย่องเตรียมลงมือ กลับมิคาดว่าเหยากวงหันหลังขวับ มือราวกับฟ้าแลบ คว้าจับข้อมือเขาหมับแล้วพลิกกดกับพื้น

ไท่สุ้ยเห็นท่าไม่ดี อดลนลานอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ สีหน้าหมดความอดทนของเหยากวงเลือนหายไปแต่แรกแล้ว เอ่ยอย่างได้ใจ

“ลูกไม้กระจิบกระจ้อยเช่นนี้ยังกล้าเอาออกมาอวด เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า ผู้ที่ถูกโจมตีหากเตรียมการแต่เนิ่นๆ ศาสตร์ลวงตากลมายายากจะสำแดงอานุภาพ”

พูดจบเหยากวงก็ขึ้นหน้าหนึ่งก้าว คิดกดไท่สุ้ยไว้ ผลคือไท่สุ้ยใช้ท่ากลิ้งตัวอย่างลาขี้เกียจเอาตัวรอดจากปากเสือ

ไท่สุ้ยทำหน้านึกหวาดกลัวในภายหลัง เขาไม่กล้าใช้กลมายาอีก ได้แต่พุ่งตะวันออกหนีตะวันตก ส่วนเหยากวงนั้นเห็นชัยชนะอยู่ในกำมือ จึงไล่กวดไท่สุ้ยอย่างแมวไล่จับหนู บางครั้งก็ลงมือตีเขาหลายที บางครั้งก็ยกขาเตะก้นไท่สุ้ย ไหนเลยเป็นการประลองกำลัง เด่นชัดว่ากำลังกลั่นแกล้งไท่สุ้ย

ไท่สุ้ยโมโหจนกัดฟันกรอดแต่ก็จนด้วยเกล้า ผู้ใดใช้ให้วรยุทธ์ของตนใช้การไม่ได้เล่า ศาสตร์ลวงตาก็สิ้นประสิทธิภาพแล้ว เห็นเหยากวงไม่ลดละรามือ เขาก็ไม่นึกถึงกฎเกณฑ์แล้ว รีบเร่งฝีเท้ากระโดดหนีออกจากสนามฝึก

เหยากวงยิ้มอย่างลำพอง ไล่กวดไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว หนึ่งคนหนี หนึ่งคนไล่กวด ออกจากสนามฝึกเร็วรี่ ประมือกันที่ระเบียง ไท่สุ้ยอาศัยชัยภูมิมุดตะวันออกลอดตะวันตก เหยากวงเองก็ไม่รีบร้อนออกหมัด เพียงเงื้อง่ายกแขนขึ้นข่มขู่เขาเป็นระยะ

เห็นบนใบหน้านางล้วนเป็นสีหน้าหยอกล้อ ไท่สุ้ยกลอกตา หลบหลีกไปพลางยั่วยุไปพลาง “เจ้าสตรีป่าเถื่อน ไร้น้ำใจไมตรี ไม่เชื่อฟัง อกตัญญู!”

เหยากวงเดือดปุดๆ จึงออกกระบวนท่าคลาดเคลื่อนไปหนึ่งจังหวะ “เจ้าว่าอันใดนะ!”

ไท่สุ้ยเห็นช่องโหว่จากกระบวนท่าของเหยากวง จึงรีบรุดกระโดดหนี ในใจคิดถึงสาเหตุที่เหยากวงโมโห ‘จริงสิ นางเหมือนถือสาเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างนางกับบิดามาโดยตลอด ข้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาน่าจะก่อกวนสมาธิหรือจิตใจนางได้’

คิดถึงตรงนี้ ไท่สุ้ยก็รีบหลบไปยังสถานที่ที่ไกลออกไป จากนั้นจึงหัวเราะร่าก่อนเอ่ย “ข้าด่าว่าอกตัญญู เจ้าไม่ได้ยินหรือ บิดามารดายังอยู่ ไม่ร่อนเร่ไกล เจ้าบุตรีอกตัญญู บิดามารดาเข้าวัยชรา ไม่อยู่ปรนนิบัติดูแล กลับตะลอนตะวันออกร่อนเร่ตะวันตก ทำให้ท่านพ่อเจ้าเป็นห่วงเป็นกังวล นี่ไม่เรียกอกตัญญูเรียกว่าอันใด”

เหยากวงโกรธกรุ่น ไล่ตามขึ้นไปตีไท่สุ้ย ลงมือหนักหน่วงโดยไม่รู้ตัว คล้ายออกอาการสำแดงพลังระห่ำ

ไท่สุ้ยไม่ทันสังเกต ยังคงหลบหลีกไปพลางตะโกนยั่วยุไปพลาง “กตัญญูมีสามประการ กตัญญูที่สุดคือเคารพบิดามารดา รองลงมาไม่ลบหลู่ สุดท้ายได้เลี้ยงดู ทั้งสามประการเจ้าล้วนมิได้ปฏิบัติ มีบุตรีเยี่ยงนี้ บิดาเจ้าช่างเคราะห์ร้ายสามชาติภพ!”

เหยากวงฟังวาจาเหล่านี้ของไท่สุ้ย เพลิงโทสะลุกโชนสามจั้ง ดวงตาแดงก่ำ คำรามหนึ่งเสียง “เจ้ารู้อันใด ถึงได้กล่าววาจาเหลวไหล!”

“ข้ารู้ว่าเจ้าอกตัญญู! อกตัญญู! อกตัญญู!” ไท่สุ้ยเห็นว่าได้ผลก็ยิ่งเอาใหญ่ ว่าพลางทำหน้าผีทะเล้นใส่เหยากวง

ทันใดนั้นเหยากวงก็หยุดยืนมั่น สองตาเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ จ้องไท่สุ้ยเขม็ง เห็นทั้งร่างนางเคลื่อนไหวโดยไร้ลม กระดูกกระเดี้ยวทั้งตัวลั่นดังกร๊อบ หมัดและท่อนแขนพองโตคล้ายสูบลมกระนั้น กระแสโหดเหี้ยมดุร้ายพุ่งปะทะใบหน้า

ไท่สุ้ยสะท้านวูบ รู้สึกคล้ายถูกสัตว์ป่าดุร้ายจับจ้อง เกิดปฏิกิริยาตอบสนองฉับพลัน จึงกู่ร้อง “ไม่กระมัง ข้าอยากแหย่เจ้าให้โกรธร่ำไห้จนเลิกต่อสู้ เจ้าไฉนจึงเป็นแบบนี้ นี่...”

ทว่าบัดนี้เหยากวงอยู่ในสภาวะระห่ำโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่ได้แยแสหรือใส่ใจคำพูดเขาอีก ท่าร่างเคลื่อนไหวกระโจนใส่เขาราวกับพยัคฆ์ร้ายลงจากภูผา

“ช่วยด้วย...!” ไท่สุ้ยตกใจ หันหลังได้ก็วิ่งหนี ตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น

แม้เขารู้ถึงความร้ายกาจหลังสำแดงพลังระห่ำของเหยากวง แต่ยังคงประเมินสมรรถภาพนางต่ำเกินไป เห็นเพียงหลังเหยากวงสำแดงพลังระห่ำแล้วพละกำลังเพิ่มขึ้นมหาศาล พลังสองขายิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ความเร็วขณะวิ่งหรือเคลื่อนไหวรวดเร็วน่าอัศจรรย์ ชั่วพริบตาก็ไล่กวดทันไท่สุ้ย เงื้อหมัดแล้วเริ่มทุบตีอย่างรุนแรง

ไท่สุ้ยไหนเลยคาดคิดว่านางจะแข็งแกร่งขึ้นมาฉับพลัน ตอบสนองไม่ทันโดยสิ้นเชิง ถูกหมัดเหยากวงทุบแผ่นหลังเข้าอย่างจัง เสียงดังพลั่กจนกระอักโลหิตสด ล้มหน้าคะมำ สองตามืดวูบ สิ้นลมในบัดดล

ยิ่งน่ากลัวไปกว่านั้นคือ บัดนี้เหยากวงเสียสติโดยสิ้นเชิงแล้ว ถึงแม้ไท่สุ้ยสิ้นลมก็ไม่รามือ คร่อมบนแผ่นหลังไท่สุ้ย กระหน่ำหมัดใส่รัวเร็ว คล้ายกำลังต่อยตีก้อนแป้ง

ตอนนี้เองไคหยางในเกราะหุ่นแมงมุมเร่งรุดตามมา เห็นสถานการณ์แล้วก็อดตระหนกมิได้ ไม่ทันคิดมาก ปรี่ขึ้นหน้าปัดป่ายสองแขน คิดกวาดเหยากวงออกไป เหยากวงหลังสำแดงพลังระห่ำไม่แยกแยะมิตรหรือศัตรู ไม่เพียงพละกำลังเพิ่มมหาศาล กำลังในการป้องกันตัวก็เพิ่มขึ้น หลังถูกสองแขนของหุ่นแมงมุมกวัดแกว่งใส่ ไม่ร้องแม้สักเสียง ลุกขึ้นกระโจนใส่เกราะหุ่น ไคหยางจนปัญญาจะออกแรงหุ่นกลไกก็ไม่ได้ ได้แต่ต่อสู้พัวพันกับเหยากวง

อีกฟากหนึ่ง ไท่สุ้ยนอนอ่อนระทวยบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อน เลือดสดทะลักเปรอะร่าง สภาพไม่ใช่ร่างมนุษย์แล้ว

เหยากวงหลังประมือกับไคหยางพักหนึ่ง จู่ๆ นางก็ยืนนิ่ง สองตาที่อัดฉีดด้วยโลหิตค่อยๆ กระจ่างแจ้ง เห็นนางหยุดลง ไคหยางก็หยุดหุ่นเกราะ ถอยหลังไปหลายก้าว มองนางอย่างตื่นตัวและระแวดระวัง

เหยากวงมองไปรอบด้านอย่างมึนงง พึมพำเสียงแหบแห้ง “ข้าเป็นอะไรแล้ว”

นางก้มหน้ามองสองมือของตน เมื่อเห็นบนผิวหนังเปื้อนคราบเลือด ใบหน้าก็ซีดเผือดโดยพลัน เงยหน้าด้วยแววตาสับสนว้าวุ่นมองทางไคหยาง เอ่ยเสียงสั่น “พี่ไคหยาง ขะ...ข้า...”

ยังไม่ทันกล่าวจบนางก็นั่งยองๆ กุมศีรษะพลางร้องโฮ

ไคหยางถอนหายใจยาว ปลดชุดเกราะแล้วก้าวลงมา ปรี่เข้าไปตบบ่าเหยากวง “อย่าเพิ่งร้อง รีบไปดูไท่สุ้ยเถอะ”

เหยากวงเงยหน้าอย่างมึนงง ตะลึงไปครู่หนึ่ง สองตาพลันสว่างวาบ “ไท่สุ้ย?”

ไคหยางพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เมื่อครู่เจ้าไล่ตีเขาไม่หยุด เกรงว่า...”

“ไม่เป็นไร ถ้าเป็นเขา ไม่น่าเป็นอันใด” เหยากวงปาดคราบน้ำตาบนใบหน้า กระโดดขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง มองซ้ายขวาจนพบศพของไท่สุ้ย แล้วก็รีบวิ่งไปข้างๆ ไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มไท่สุ้ยวิ่งไปยังห้องของเขา

ไคหยางฉงนสงสัยไม่เสื่อมคลาย จึงรีบไล่ตามไป

ปัง!

เหยากวงถีบประตูห้องไท่สุ้ย ก่อนวางเขานอนราบลงบนเตียง

“เหยากวง นี่เจ้า...” ไคหยางมองเหยากวงอย่างไม่เข้าใจ

เหยากวงส่ายหน้าพลางเอ่ย “สภาพร่างกายของไท่สุ้ยพิเศษ ตามที่เขาเล่าเองก็คือเป็นอมตะ คราวก่อนตอนอยู่ไท่อันข้าก็ตีเขาตายไปครั้งหนึ่ง ต่อมาเขาก็กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่”

“เป็นอมตะจริงหรือ” ไคหยางเอ่ยอย่างไม่ค่อยเชื่อ

เหยากวงลังเลก่อนพยักหน้า

แม้ไคหยางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ในเมื่อเหยากวงกล่าวเช่นนี้ นางก็ไม่โต้แย้ง เพียงแต่อยู่เป็นเพื่อนอีกฝ่ายเฝ้าไท่สุ้ย

ผ่านไปพักหนึ่ง เห็นไท่สุ้ยยังคงไม่หายใจ ไคหยางจึงลังเลก่อนเอ่ยปากถาม “เขา... ฟื้นคืนชีพได้จริงหรือ”

เหยากวงกัดเล็บมืออย่างไม่แน่ใจ “อือ ได้...ได้กระมัง”

ไคหยางหันหน้ามามองนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ “เจ้าเองก็ไม่มั่นใจ?”

“เขาบอกเองว่าเขาทำได้” เหยากวงตอบเสียงเบา

ไคหยางถอนหายใจ เดินไปนั่งข้างโต๊ะ จดจ้องเหยากวง “อยู่ดีๆ ไฉนเจ้าถึงได้สำแดงพลังระห่ำ”

เหยากวงรู้ตัวดีว่าผิด ก้มหน้าตอบเสียงเบา “ข้าก็คิดไม่ถึง เดิมทีก็แค่ประลองวรยุทธ์กับเขา แต่เขาจงใจใช้คำพูดยั่วยุข้า ข้าโมโหก็เลย...”

“เจ้านี่นะ! รู้ดีว่าหลังอยู่ในสภาวะนั้นแล้วจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ ไม่แยกแยะมิตรหรือศัตรู ก็สมควรพยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง หากเขาถูกทั้งหมัดทั้งขาของเจ้าหนึ่งยก ไม่ฟื้นตื่นขึ้นมาอีก เจ้าจะทำอย่างไร” ไคหยางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

“ข้า...” เหยากวงหันไปมองไท่สุ้ยที่นอนราบบนเตียง แล้วหันมามองไคหยางด้วยความหวาดกลัว “ข้า...ข้าต่อยตีเขาจนกระดูกหักทั้งตัวเลยหรือ”

ไคหยางทอดถอนใจ “เฮ้อ! ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเหลือกระดูกสมบูรณ์สักท่อน”

“จริงหรือ เขาช่างวอนให้คนแค้นเคืองนักนี่...” เหยากวงถอนหายใจ

ไคหยางถลึงตาใส่ หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก “ยังเอ่ยกระแนะกระแหนอีก หากเขาไม่ฟื้นขึ้นมา เจ้าได้ร่ำไห้แน่”

“เขาเป็นอันใดกับข้า ข้าไม่ร่ำไห้ให้เขาหรอก เสียน้ำตาให้เขาเพียงหยดยังนับว่าเสียเปรียบ ท่านไม่รู้หรอก เจ้าคนถ่อยนี่พูดจาต่ำช้าเพียงใด” เหยากวงไม่แยแส

ตอนนี้เองหนังตาไท่สุ้ยขยับเล็กน้อย ยังไม่ทันลืมตาก็เอ่ยเสียงเกียจคร้าน “ตนเองขนเขียวทั้งร่าง ยังว่าผู้อื่นเป็นสัตว์ประหลาด!”

ได้ยินเสียงเขา ไคหยางก็ลุกพรวดขึ้นอย่างตระหนกระคนยินดี “ไท่สุ้ย เจ้ากลับมามีชีวิตอีกจริงด้วย!”

เหยากวงก็เผยสีหน้าตื่นเต้นระคนยินดี แต่หน้าตาง้ำงอลงทันที “ดูเอาเถอะ ข้าบอกแล้ว ตัวภัยพิบัติมีชีวิตพันปี ไหนเลยจะตายง่ายดาย” เหยากวงพูดจบก็สะบัดหน้าพรืดจากไป

ไท่สุ้ยพลิกตัวลงจากเตียง ยิ้มขณะมองไคหยาง “พี่ไคหยาง ทำให้กังวลใจแล้ว”

ไคหยางยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้านี่นะ แท้จริงแล้วอุปนิสัยของเหยากวงดีมาก แต่ว่าเจ้าอย่าได้ยั่วยุจนนางสำแดงพลังระห่ำ ไม่เช่นนั้นแม้แต่นางก็ยังควบคุมไม่อยู่”

ไท่สุ้ยพยักหน้าอย่างนึกหวั่นเกรง “อือ คราวนี้นับว่าข้าล่วงรู้แล้ว นางเป็นตัวประหลาดชัดๆ นี่ถ้าเกิดอาละวาดในสถานที่ที่มีคนมาก จุ๊ๆ...” คล้ายนึกถึงเรื่องน่าสะพรึงขวัญใดได้ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปในฉับพลัน

ไคหยางค้อนเขาวงหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก “เอาละ เจ้าพักผ่อนให้ดี ไม่มีเรื่องก็อย่าแหย่นางอีก”

“วางใจเถอะ พี่ไคหยาง” ไท่สุ้ยได้สติคืนมา เห็นไคหยางเดินออกไปด้านนอก ก็รีบลุกขึ้นเดินไปส่ง

จนกระทั่งไคหยางเดินจากไปไกล เขาถึงถอนสายตากลับมาด้วยความอาวรณ์ คิดแล้วก็เดินออกจากประตู ชะเง้อชะแง้มองสี่ทิศ เห็นที่ไม่ไกลมีพงหญ้า ในใจก็นึกยินดี รีบสาวเท้าเร็วเดินข้ามไป เสาะหาไปตามพื้น ดึงต้นหญ้าขึ้นมาหลายต้นแล้วนั่งลง

ผ่านไปพักหนึ่งเหยากวงก็เดินข้ามมาจากที่ไกล เห็นเขานั่งอยู่กับพื้น มิรู้ว่ากำลังทำอันใด จึงลอบมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ จึงเห็นไท่สุ้ยใช้ต้นหญ้าสานเป็นสัตว์ตัวน้อยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า บนพื้นหญ้าข้างตัวเขามีสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่สานเสร็จแล้ววางอยู่ประปราย

เหยากวงค้อมเอวคิดหยิบขึ้นมา “นี่คืออันใดกัน น่ารักน่าเอ็นดูนัก เจ้าสานเองหรือ”

ไท่สุ้ยเงยหน้า รีบโถมตัวมากันไว้ “เจ้าอย่าแตะต้องสุ่มสี่สุ่มห้า นี่คือของกำนัลที่ข้าจะให้พี่ไคหยาง”

พอได้ฟัง เหยากวงก็รีบโยนตั๊กแตนสานในมือทิ้ง แค่นเสียงแผ่วเบา “ไม่แตะก็ไม่แตะ ผู้ใดเห็นแปลกกัน”

นางนั่งลงข้างๆ อย่างแง่งอน ไท่สุ้ยสานไปสักพักก็หยุดความเคลื่อนไหว หันมาเห็นท่าทางโมโหของนางก็อดลอบยิ้มมิได้ ‘ไฉนถึงคล้ายเด็กน้อยกระนั้น’

เขาคิดแล้ว มองเปรียบเทียบบรรดาแมลงสานตัวอื่นๆ ที่วางบนพื้นอยู่ครึ่งค่อนวัน จึงหยิบจิ้งหรีดสานตัวเล็กที่สุดออกมาตัวหนึ่ง ยื่นส่งให้เหยากวงด้วยสีหน้าเสียดาย “นี่... ตัวนี้ให้เจ้า”

เหยากวงเดิมทีดีอกดีใจ แต่พอมองเทียบกับแมลงตัวอื่นบนพื้นก็เดือดปุดๆ ทันที ยกมือปัดมือของไท่สุ้ยกลับไป “ข้าไม่เอาหรอก!” พูดจบก็ลุกพรวด วิ่งจากไปอย่างกระฟัดกระเฟียด

“ไม่เอาก็ช่าง ข้าก็มิได้อยากให้เจ้าสักหน่อย” เห็นนางวิ่งไปไกล ไท่สุ้ยก็ทำปากยื่น ก้มหน้าสานหญ้าต่อไป

 

ห้องของไคหยางต่างจากห้องของสตรีอื่นๆ บนโต๊ะหรือผนังมีเครื่องมือ เส้นลวด เอ็นวัว และเส้นเชือกต่างๆ แขวนกองไว้เต็มไปหมด นางถือเครื่องมือคล้ายประแจ กำลังขมวดคิ้วลองกะขนาด เหยากวงก็เปิดประตูเดินเข้ามา

ไคหยางหันไปมองนางแวบหนึ่งแล้วเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ “ไฉนโกรธขึ้งแบบนั้น ผู้ใดทำเจ้าเคืองขุ่นอีกแล้ว”

เหยากวงเดินมาหยุดข้างไคหยาง ลากเก้าอี้มาตัวหนึ่งก่อนกระแทกตัวนั่งลงอย่างโมโห มองไคหยางด้วยหน้าตาเอาจริงเอาจัง “พี่ไคหยาง ข้าจะบอกให้ ไท่สุ้ยเด็กเมื่อวานซืนนั่นมีเจตนาไม่ดีต่อท่าน ท่านต้องระวังสักหน่อย”

ไคหยางตะลึงแล้วหลุดหัวเราะพรวด “เขามีเจตนาไม่ดีต่อข้าแล้ว...?”

เหยากวงขมวดคิ้ว “เริ่มแรกไท่สุ้ยไม่รับปากเข้าร่วมหน่วยดาวพิฆาต แต่พอท่านเอ่ยปาก เขาก็รับปาก ต่อมาผู้อาวุโสอิ่นกวงให้พวกเรานำคนใหม่ เขารีบเสนออยากให้ท่านเป็นผู้นำฝึกเขา ท่านยังมองไม่ออกอีกหรือ”

ไคหยางมองเหยากวงคล้ายจะหัวเราะก็ไม่เชิง “อือ หมายถึงอันใดหรือ”

เหยากวงร้อนใจเอ่ยขึ้น “โธ่เอ๊ย ท่านไฉนไม่เข้าใจ เจ้าหมอนั่นหมายปองในตัวท่าน!”

ไคหยางกลอกตาไปมา ทำท่าตระหนักฉับพลัน “อ้อ! เจ้าหมายความว่าเขาชอบข้ากระมัง”

เหยากวงพยักหน้าแรงๆ “ถูกต้อง ถูกต้อง!”

ไคหยางกลั้นยิ้ม “ชอบข้า จะนับเป็นมีเจตนาไม่ดีต่อข้าได้อย่างไร”

เหยากวงอึ้งงัน อธิบายหน้าเจื่อน “เขา... จะคู่ควรกับพี่ไคหยางได้อย่างไร แน่นอน... ย่อมมีเจตนาไม่ดี”

ไคหยางหัวเราะ “ฮ่าๆๆ ข้ารู้แล้ว เจ้าวางใจเถอะ”

เหยากวงถูกไคหยางหัวเราะใส่จนจับต้นชนปลายไม่ถูก “ท่านรู้อันใดหรือ”

ไคหยางหัวเราะก่อนวางเครื่องมือลง ยื่นนิ้วขาวเรียวราวกับต้นหอมมาแตะบนหน้าผากเหยากวง ยิ้มอ่อนหวาน “เอาละ เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ชอบหนุ่มวัยอ่อน ดังนั้นข้าไม่มีทางเข้าไปแทรกระหว่างพวกเจ้าทั้งสองคนแน่”

เหยากวงตะลึงงัน จากนั้นก็เด้งตัวขึ้นพรวด ร้อนใจจนพูดจาสับสนปนเป “โอ๊ย! ท่านพูดอันใดกัน ข้ากังวลว่าเขาหมายปองตัวท่าน ผู้ใดว่าข้าชอบเขา”

ไคหยางมองเหยากวงอย่างรู้สึกขบขัน “เจ้าไม่ชอบเขาจริงหรือ”

“แน่นอนว่าไม่ชอบ! ต่อให้บุรุษประเสริฐทั่วหล้ามอดม้วยสิ้น ก็เป็นไปไม่ได้ว่าข้าจะชอบเขา!”

ไคหยางกลั้นหัวเราะ “เจ้าเคยได้ยินประโยคหนึ่งหรือไม่ เรียกว่ามิใช่คู่แค้นมิพบพาน”

เหยากวงทำปากยู่ “พี่ไคหยาง หากท่านจับคู่เขากับข้า ข้าจะโกรธแล้ว”

ไคหยางหัวเราะพรืด “เอาละๆๆ เจ้ามิได้ชอบเขา เจ้าเพียงแต่ทนเห็นเขาโปรยเสน่ห์ใส่ผู้อื่นมิได้ ใช่หรือไม่”

เหยากวงตะลึงงัน รู้สึกตัวว่าไม่ว่าอย่างไรก็อธิบายไม่กระจ่าง ได้แต่กระทืบเท้าตะบึงตะบอน “โธ่เอ๊ย! ท่านช่าง... ช่างเถอะ ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว!” ลุกพรวดแล้ววิ่งออกจากประตูไป

ไคหยางยิ้มพลางส่ายหน้า ก้มหน้าก้มตาประกอบชิ้นส่วนอะไหล่ของตนต่อไป

 

หลังเหยากวงออกจากห้องของไคหยางแล้ว ก็เดินกระฟัดกระเฟียดมาถึงระเบียงยาว พบกับเฉาเหว่ยผู้เป็นบิดาและต้งหมิงเข้าพอดี

“ดีแล้ว สองพ่อลูกค่อยๆ พูดคุยกัน ข้ายังมีธุระ ขออำลา” ต้งหมิงยิ้มมุมปากก่อนหมุนตัวจากไป

เหยากวงชะงักฝีเท้า มองเฉาเหว่ยด้วยสายตาเย็นเฉียบ “ท่านมาทำอันใด”

“อ้อ! ลูกเอ๋ย เจ้าคิดผ่อนคลายอารมณ์ก็ตามใจเจ้า ทว่าก็เนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าสมควรกลับบ้านสักหน่อยหรือไม่ ท่านแม่เจ้าคิดถึงเจ้ามาก” เฉาเหว่ยทำท่าเอาใจประชิดเข้าใกล้

“ให้ข้ากลับไป ได้! คนถ่อยผู้นั้น ท่านไล่ไปแล้วรึ” เหยากวงมีสีหน้าเย็นยะเยือก

เฉาเหว่ยขมวดคิ้วขณะกล่าว “อาเหยาเอ๋ย แม่น้า136 เจ้าอ่อนโยนมีมารยาท เคารพนบนอบต่อท่านแม่เจ้า ปรนนิบัติพ่อมาหลายปี ไม่มีคุณงามก็มีความชอบ พ่อรู้ว่าเจ้าไม่ชอบนาง เช่นนั้นพ่อให้นางพักในเรือนนอก ไม่ให้พบปะเจ้าก็พอกระมัง”

“มีนางไม่มีข้า มีข้าไม่มีนาง ท่านไม่ไล่นางไป ข้าก็ไม่กลับ!” เหยากวงหมุนตัวจะจากไป

เฉาเหว่ยรีบขึ้นหน้าดึงรั้ง มองดวงตาของบุตรี ทอดถอนใจก่อนกล่าว “ไล่นางไป? ไล่นางไปที่ใด แม่น้าเจ้าหนีภัยมาที่เปี้ยนเหลียง ไร้ญาติขาดมิตร หากพ่อไล่นางออกจากบ้าน มิใช่บีบคั้นนางไปสู่หนทางตีบตัน บ้านเราก็ไม่ถึงกับขาดแคลนอาหาร เจ้าถือเสียว่านางมิได้ดำรงอยู่ดีหรือไม่”

“ไม่ดี! ท่านกังวลว่านางจากบ้านตระกูลเฉาไปแล้วจะไร้ที่สงบพักพิง เช่นนั้นท่านเคยคำนึงถึงท่านแม่ข้าหรือไม่ ท่านแม่ข้าเกื้อกูลสามี อบรมสั่งสอนบุตร หรือไม่ลำบาก ท่านมีที่โปรดปรานใหม่ ก็เมินเฉยท่านแม่ข้า นางหลั่งน้ำตาลับหลังมาเท่าใดแล้ว”

เอ่ยถึงตรงนี้ ขอบตาเหยากวงก็รื้นแดง สะอื้นยามกล่าว “ตอนนั้นข้ายังเล็ก เห็นนางร่ำไห้ ข้าก็ร้องไห้ตามไปด้วย ท่านรู้หรือไม่”

“พ่อ...” เฉาเหว่ยมีสีหน้าละอาย

เหยากวงเอ่ยเสียงดัง “ท่านไม่รู้! ท่านไม่ค่อยได้มาที่เรือนของเราสองแม่ลูกเสียด้วยซ้ำ ไหนเลยจะสนใจความเป็นตายของเราสองแม่ลูก”

เฉาเหว่ยถูมือ สีหน้าขมขื่น ทอดถอนใจแล้วกล่าว “ลูกเอ๋ย เจ้าไม่เข้าใจ! ท่านแม่เจ้าเป็นภรรยาพ่อ เป็นภรรยาเอก เรื่องนี้ไม่มีวันแปรเปลี่ยนตลอดกาล เมื่อพ่อเพิ่งรับอนุ ละเลยความรู้สึกของท่านแม่เจ้าจริง ต่อมาก็มิใช่รู้ตัวว่าผิดแล้วหรอกหรือ...”

สองพ่อลูกกำลังสนทนา ไม่มีผู้ใดสังเกตว่าไท่สุ้ยใช้ชายเสื้อหอบตุ๊กตาสานเดินหน้าระรื่นมาจากอีกฟาก เขาเพิ่งเดินพ้นมุมกำแพงก็เห็นเหยากวงและเฉาเหว่ยทันที จึงรีบกลับเข้าไปที่มุมแล้วมองออกไปด้านนอก

“ต่อมา พ่อก็ยอมรับผิดต่อแม่เจ้า แม่เจ้าก็ยกโทษให้แม่น้า อยู่ด้วยกันดั่งพี่สาวน้องสาว กลมเกลียวสนิทสนม มีแต่เจ้าลูกคนนี้... เฮ้อ! คราวก่อนเจ้าสำแดงพลังระห่ำ ทุบตีแม่น้าเจ้า นางยังไม่โทษเจ้า ยังบอกพ่อครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเป็นนางยังทำดีไม่พอ...”

“แน่นอนว่าเป็นนางไม่ถูกต้อง! นางแย่งบิดาข้า แย่งสามีของท่านแม่ข้า นางก็คือศัตรูของข้า แค่ยิ้มให้ข้า ข้าก็ต้องถือว่าโจรเป็นมารดาหรืออย่างไร” เหยากวงน้ำตาคลอเบ้า

เฉาเหว่ยเอ่ยอย่างเหลืออด “อาเหยาเอ๋ย เอ่ยหนักแล้วกระมัง นางไฉนกลายเป็นโจรแล้ว อีกอย่าง... บุรุษอาชาไนยสามภรรยาสี่อนุก็เป็นเรื่องปกติสามัญ พ่อเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ มีเพียงหนึ่งอนุมิใช่หรอกหรือ”

เหยากวงยกแขนปาดน้ำตา พอได้ฟังวาจานี้ก็ทำหน้าบึ้งตึง “หนึ่งอนุ? ท่านยังต้องการเท่าใด”

เฉาเหว่ยยิ้มขมขื่น “พ่อรู้ว่าบุตรสาวคนเก่งไม่พอใจ พ่อเองก็ไม่คิดรับอนุอีก แต่แม่น้าเจ้าก็ตบแต่งเข้ามาแล้ว...”

“นางเป็นเพียงอนุ ถือว่าตบแต่งอันใดกัน ท่านอยากให้ข้ากลับไป ได้! เว้นเสียแต่นางไป ไม่เช่นนั้นข้าไม่กลับไปเด็ดขาด ทั้งชาตินี้จะไม่เหยียบบ้านตระกูลเฉาสักก้าว!” เหยากวงหมุนตัวไปอย่างโมโห ไม่มองเฉาเหว่ยอีก

ไท่สุ้ยกลอกตา หนึ่งก้าวย่างออกไป แสร้งทอดถอนใจ “เฮ้อ... สตรีไยต้องทำให้สตรีลำบาก”

สองพ่อลูกหมุนตัวมาทางไท่สุ้ยพร้อมกัน

ไท่สุ้ยเดินข้ามไป มองเฉาเหว่ยกับเหยากวงแวบหนึ่ง ทำปากยื่นขณะเอ่ย “เหยากวง เจ้าดูท่านพ่อเจ้าอ่อนข้อยอมให้ ไฉนเจ้าถึงได้ไม่ลดราวาศอก บีบคั้นผู้อื่น คำโบราณว่าไว้ได้ดี สวรรค์อภัยให้ผู้ใดบ้าง! เอ๊ะ... มิใช่สิ ประโยคนั้นว่าอย่างไรแล้วนะ”

เหยากวงค้อนเขาวงหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าจะไปรู้อันใด! ท่านพ่อข้าซื้ออนุกลับบ้านมาราวีท่านแม่ข้า ข้าให้ท่านพ่อไล่อนุนั่นไป ทำเกินเลยไปหรือ”

ไท่สุ้ยฟังจบก็หันไปทางเฉาเหว่ย “ท่านแม่ทัพ หากกล่าวเช่นนี้ก็เป็นท่านไม่ถูกต้องแล้ว ชาติมีกฎหมาย บ้านมีกฎบ้าน อนุภรรยาราวีภรรยาเอก เช่นนั้นจะใช้การได้อย่างไร”

เฉาเหว่ยเอ่ยด้วยสีหน้าฝาดเฝื่อน “โธ่! นางเป็นแค่อนุคนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าราวีภรรยาเอก หากภรรยาเอกคิดจัดการนาง ลงไม้โบยสักยกจนตาย ทางการล้วนไม่แยแส”

“มีเหตุผล!” ไท่สุ้ยฟังแล้วพยักหน้า ก่อนมองเหยากวง

เหยากวงแค่นเสียงเฮอะแผ่วเบา “นางมีท่านหนุนหลัง ย่อมกล้าเป็นอนุราวีเอก!”

“นั่นสิ!” ไท่สุ้ยพยักหน้าต่อเนื่องแล้วหันมามองเฉาเหว่ย

เฉาเหว่ยรีบดึงตัวไท่สุ้ยไว้แล้วกล่าว “น้องชาย เจ้าอย่าฟังที่นางเอ่ยเหลวไหล ข้าโปรดปรานนางรึ โปรดปรานนางแล้วมีประโยชน์อันใด อนุภรรยาราวีภรรยาเอก บรรดาพี่น้องของข้าล้วนตามืดบอดมองไม่เห็นหรือ บรรดาพี่สะใภ้น้องสะใภ้ไม่ซุบซิบนินทาหรอกหรือ ท่านย่าของอาเหยาจะนั่งมองในบ้านวุ่นวายไร้กฎระเบียบหรือ ท่านตาท่านยายของนางจะนั่งมองบุตรีตนถูกรังแกหรือ”

ไท่สุ้ยพยักหน้า หันมาทางเหยากวงอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพกล่าววาจานี้ได้มีเหตุผล หากท่านกล่าวว่าบรรดาสนมนางในราวีกดขี่ฮองเฮา นั่นอาจมีความเป็นไปได้ เพราะครอบครัวของสนมนางในบางคนมีอำนาจทรงอิทธิพลมากกว่าครอบครัวฮองเฮา แต่อนุในบ้านของผู้สูงศักดิ์ทั่วไปมีฐานันดรใดกัน ไหนเลยจะมีต้นทุนต่อสู้กับภรรยาเอก”

เหยากวงถามเสียงเย็นชา “ท่านแม่ข้าน้ำตานองหน้า ข้าประจักษ์แก่ตาตนเอง ด้วยวาจาของเจ้า... เป็นข้าโป้ปดมดเท็จ?”

เห็นไท่สุ้ยหันมามองอีกครั้ง เฉาเหว่ยก็ทำหน้าฝาดเฝื่อน “คือว่า... ก็เป็นความจริง นั่นมิใช่เพราะพ่อเพิ่งรับอนุ อยู่ในเรือนของนางนานไปสักหน่อยหรอกหรือ ต่อมาก็รู้ว่าผิดแล้ว ท่านย่าเจ้าต่อว่าพ่อสาดเสียเทเสีย พ่อเองก็ขอโทษขอโพยท่านแม่เจ้าแล้ว ยังไม่พออีกหรือ แม่น้าเจ้าชาติกำเนิดไม่ดี ไม่มีความสามารถสักอย่าง ไล่ออกจากจวนก็มอดม้วยเพียงหนทางเดียว พ่อบุรุษอาชาไนยไม่อาจไร้มโนธรรมบีบคั้นสตรีเข้าสู่หนทางตีบตัน”

ไท่สุ้ยฟังจบก็รู้สึกว่าช่างมีเหตุผลนัก จึงหันไปเกลี้ยกล่อมเหยากวง “บิดาเจ้ากล่าวถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ลืมตาข้างหลับตาข้าง ที่แล้วก็ให้มันแล้วไปเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดเจ้า ไหนเลยจะมีความแค้นไม่อาจคลายได้”

เฉาเหว่ยได้ฟังวาจานี้แล้วรู้สึกสบายใจ มองไท่สุ้ยด้วยสีหน้าสนิทสนมเป็นกันเอง เอาแต่พยักหน้าไม่หยุด “ยังคงเป็นน้องชายที่เข้าอกเข้าใจ มีเหตุผล”

เหยากวงเห็นไท่สุ้ยเอนเอียงไปทางบิดาก็โกรธกรุ่น “ที่ใดเย็นสบาย เจ้าก็ไปเถอะ! เรื่องในบ้านของพวกเรา ถึงคราวเจ้าออกหน้าตั้งแต่เมื่อใดกัน”

พูดจบนางก็ไม่แยแสไท่สุ้ย หันไปเอ่ยกับเฉาเหว่ย “ท่านว่าเขาเข้าอกเข้าใจมีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นท่านรับตัวกลับบ้านไปเป็นบุตรชายเถอะ ข้าไม่เข้าอกเข้าใจ ไม่มีเหตุผล ท่านก็ไม่ต้องนับว่าข้าเป็นบุตรี” เหยากวงพูดจบก็หมุนตัวจากไป

เฉาเหว่ยสาวเท้าเร็วรี่ไล่ตาม “ลูกเหยา! อาเหยา เจ้าฟังคำพ่อ...”

“เฮ้อ! ขุนนางสัตย์ซื่อยากตัดสินเรื่องในบ้าน137” ไท่สุ้ยมองเงาหลังของทั้งคู่แล้วส่ายหน้า หมุนตัวเดินไปทางห้องไคหยาง

 

ไคหยางกำลังตั้งอกตั้งใจประกอบกลไก ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น จึงตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “เข้ามาเถอะ”

ไท่สุ้ยใช้ชายเสื้อคลุมหอบตุ๊กตาที่สานอย่างพิถีพิถัน หันข้างดันประตูเปิดแล้วก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

ไคหยางวางกลไกในมือลง หันมามองพลางยิ้มอย่างเบิกบาน “โอ้! ของเล่นน่าเอ็นดูนัก”

นางหยิบติดมือขึ้นมาหนึ่งตัว วางเบื้องหน้าแล้วพินิจพิจารณาอย่างละเอียดพักหนึ่งก่อนชื่นชม “ไม่เลวๆ ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าจะมีฝีมือจักสานเช่นนี้”

สองตาไท่สุ้ยสว่างวาบ มองไคหยางด้วยความดีใจ ถามอย่างรอคอยคำตอบ “ชอบหรือไม่”

“ไม่เลวเลย แต่ว่าข้าไม่ชอบ” ไคหยางยิ้มเอ่ยชมอีกคำแล้วเงยหน้ามองไท่สุ้ย ในดวงตาผุดแววกระเซ้า

ไท่สุ้ยฟังวาจานี้ก็ทำหน้าม่อยคอตก ชั่วขณะกระทั่งคำพูดก็ไม่อยากกล่าวแล้ว

ไคหยางมองไท่สุ้ย หัวเราะแผ่วเบาพลางส่ายหน้า วจีเดียวสองความนัย “ไท่สุ้ย บุรุษย่อมตั้งปณิธานอันสูงส่ง สร้างคุณงามความชอบก่อร่างสร้างตัว ตอนนี้เจ้าก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยดาวพิฆาตแล้ว ทว่าจะได้รับฉายาดวงดาวธำรงขื่อแปเพื่อแผ่นดินหรือไม่ ยังต้องดูว่าเจ้าผ่านการทดสอบหรือไม่ เจ้าสมควรทุ่มเทความคิดจิตใจเพื่อหน้าที่การงาน หมั่นฝึกฝนวิทยายุทธ์ ศึกษาเคล็ดลับในการทำคดี เช่นนั้นถึงเป็นลูกผู้ชายที่องอาจกล้าหาญ”

ไท่สุ้ยได้ยินวาจาให้กำลังใจ ก็เบิกบานขึ้นมาทันที สอบถามอย่างตื่นเต้น “ที่พี่ไคหยางชอบ คงเป็นวีรบุรุษรับผิดชอบการใหญ่ได้กระมัง”

ไคหยางเม้มปากแย้มยิ้ม “นั่นแน่นอน วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ใดไม่ชื่นชอบ”

ไท่สุ้ยยืดอกตั้งอย่างตื่นเต้นกระฉับกระเฉง “ข้าเข้าใจแล้ว! ท่านวางใจ ข้าย่อมทำได้แน่!” พูดจบก็ไม่รอให้ไคหยางขานรับ หมุนตัวเชิดหน้ายืดอกเดินออกไป ท่วงท่าคล้ายแม่ทัพเตรียมเข้าสู่สนามรบกระนั้น

ไคหยางตะลึงงัน ส่ายหน้าอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ก่อนหันมาประกอบกลไกอย่างตั้งอกตั้งใจต่อไป

 

เหยากวงนั่งเหม่อชมทัศนียภาพบนรั้วระเบียง ไท่สุ้ยโยนตุ๊กตาสานทิ้งแล้ว ย่องเข้ามาชะโงกหน้ามองซ้ายขวาตามสายตานาง

ไท่สุ้ยถามขึ้น “มองอันใดอยู่”

เหยากวงยังคงเหม่อมองไปเบื้องหน้าด้วยแววตาเย็นชา “เจ้ามาทำอันใด”

“ท่านพ่อเจ้าเล่า”

“ไปแล้ว”

“เฮ้อ! มิใช่ข้าว่าเจ้า เจ้าเองก็เกินไปสักหน่อยอย่างแท้จริง เจ้าว่าท่านพ่อเจ้า...” พอได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่เฉาไปแล้ว ไท่สุ้ยก็กลับมาทำท่าเกียจคร้านดังเดิม ยืนชิดข้างตัวเหยากวง เตรียมเอ่ยปากสั่งสอนชี้แนะ

แต่เขาเพิ่งเอ่ยไปได้เพียงสองประโยค เหยากวงก็ออกปากไล่อย่างเย็นชา “หลีกไป!”

“อ้อ” ไท่สุ้ยอึ้งงัน เห็นนางอารมณ์ไม่ดี และไม่อยากหาเรื่องให้ถูกเมินเฉยเสียเอง จึงหมุนตัวเดินจากมา แต่เพิ่งเดินมาได้ไม่กี่ก้าวก็ตบหน้าผากตนแล้วเร่งฝีเท้าเร็วเดินกลับมา เอ่ยด้วยสีหน้านบนอบ “รุ่นพี่ ข้าอยากแข็งแกร่งขึ้น!”

เหยากวงหันหน้ามามองเขาอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าว่าอันใดนะ”

ไท่สุ้ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าว่าข้าอยากแข็งแกร่งขึ้น ข้าต้องผ่านการทดสอบของหน่วยดาวพิฆาต ได้รับฉายาดวงดาวธำรงขื่อแปแผ่นดิน สร้างคุณงามความชอบก่อร่างสร้างตัว เป็นวีรบุรุษองอาจหาญกล้ายิ่งใหญ่! ดังนั้นโปรดสั่งสอนข้าเถอะ!”

เหยากวงคิดว่าเขาก่อกวนอีก จึงค้อนเขาอย่างไม่สบอารมณ์วงหนึ่ง “ถอยไป! ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี!”

ไท่สุ้ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “รุ่นพี่เหยากวง เช่นนี้เจ้าก็ไม่ถูกต้องแล้ว ไม่อาจเป็นเพราะเจ้าอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ปฏิบัติหน้าที่การงานกระมัง สั่งสอนข้าเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า ต่อหน้าผู้อาวุโสอิ่นกวง เจ้าขันอาสา...”

เหยากวงกระโดดลงจากรั้วระเบียง ถูหมัดถูมือพลางเอ่ย “เจ้าจะฝึกตอนนี้ให้ได้ใช่หรือไม่”

ไท่สุ้ยออกแรงพยักหน้า “ใช่! ยิ่งฝึกฝนเข้มข้นเคร่งครัดยิ่งดี เจ้าไม่ต้องออมมือ ข้าผู้นี้ทนทาน!”

“ได้ เปลี่ยนเสื้อผ้า ไปสนามฝึกเถอะ” เหยากวงก็ไม่พิรี้พิไร หมุนตัวไปทางสนามฝึก

 

ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นเหยากวงในชุดฝึกยืนตระหง่านกลางสนามฝึก ถูมือไปมา ใบหน้าฉายแววเบิกบานใจ “อือ ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว” พูดจบนางก็หมุนตัวจากไป

นางเดินจากไปได้สักพัก ไท่สุ้ยซึ่งจมูกเขียวหน้าบวมปูดถึงได้โงนเงนลุกขึ้นมาจากพื้น เอ่ยด้วยลมหายใจแผ่ว “ต้องฝึกดุเดือดขนาดนี้ด้วยหรือ” พูดจบเพียงประโยคเดียว เขาก็ตาเหลือก หงายหลังล้มตึง

 

เช้าตรู่วันถัดมา ไท่สุ้ยออกมาจากห้อง ยืนบิดขี้เกียจ ท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา

เหยากวงในชุดฝึกกระชับรูปร่างเดินเข้ามา “ไท่สุ้ย ฝึกต่อ!”

ไท่สุ้ยพอได้ฟังก็ทำหน้าสลด รีบทำท่าอ่อนระโหยโรยแรงหาใดเปรียบ แล้วโอดครวญ “โอย แขนขาข้าขัดยอกไปหมดแล้ว ตอนนี้ออกแรงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย วันนี้พักสักวันได้หรือไม่”

เหยากวงคว้าจับข้อมือไท่สุ้ยไว้แน่น “เพลาๆ หน่อย ใต้ฟ้านี้ไม่มีผู้ใดฟื้นตัวเร็วกว่าเจ้าแล้ว เจ้ามิใช่อยากเป็นชายชาตรียืนหยัดค้ำฟ้าหรอกรึ ไป! ไปฝึกกับข้าต่อ”

ไท่สุ้ยเอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “ข้าไม่อยากค้ำฟ้าและไม่อยากยืนหยัดแล้ว ยังไม่ได้หรอกหรือ”

ตอนนี้เองไคหยางที่อยู่ในห้องตรงกันข้ามเปิดประตูเดินออกมา

ไท่สุ้ยพอเห็นก็รีบยืดอกตั้ง วางท่าวีรบุรุษพลีชีพเพื่อคุณธรรม ถามเสียงดัง “รุ่นพี่เหยากวง วันนี้พวกเราจะฝึกอันใด”

เหยากวงมองไคหยางปราดหนึ่ง เข้าใจทันทีว่าเหตุใดไท่สุ้ยเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน นึกโกรธกรุ่นในใจ ก่อนเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ค่ายสิบแปดมนุษย์ทองแดง!”

ไท่สุ้ยรูดชายแขนเสื้อขึ้น “ก็เพียงแค่สิบแปดมนุษย์ทองแดงมิใช่หรือ ของเรียกน้ำย่อย พวกเราไป!”

ไคหยางมองดูพวกเขาแล้วแย้มยิ้ม ขณะที่ไท่สุ้ยยืดอกตั้ง

 

เหยากวงนำไท่สุ้ยเข้าสู่อุโมงค์ด้วยความรวดเร็ว สายตานางตรงแน่วเดินนำทาง ส่วนไท่สุ้ยมองซ้ายมองขวาอย่างสงสัยใคร่รู้

ในอุโมงค์เงียบสงัดนัก ไท่สุ้ยออกจะทนความเงียบเช่นนี้มิได้ เหลียวซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่งก็ถาม “นี่ ที่นี่ที่ใดกัน เหมือนมิใช่ทางเข้าหน่วยดาวพิฆาต”

เหยากวงนำทางอยู่เบื้องหน้า ตอบโดยไม่หันไป “เจ้าคิดว่าสิบแปดมนุษย์ทองแดงของหน่วยดาวพิฆาตมีเพียงตรงทางเข้าเท่านั้นหรือ ที่ข้าพาเจ้าไปเป็นสนามฝึกใต้ดิน สิบแปดมนุษย์ทองแดงที่นี่เป็นรุ่นแรก เรียบง่ายกว่าสิบแปดมนุษย์ทองแดงตรงทางเข้า แต่ยากรับมือเช่นเดียวกัน”

เหยากวงเดินไปจนสุดอุโมงค์ ผนังด้านหนึ่งกีดขวางทางเดิน นางยื่นแขนขาวราวกับหยกกดบนผนังหลายครั้ง ผนังแยกเปิดออก เผยให้เห็นโถงใต้ดินมืดทะมึน

ภายใต้เส้นแสงอ่อนจาง มนุษย์ทองแดงแต่ละตัวยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น เห็นเพียงโครงร่างเลือนราง หลังเปิดระบบกลไกแล้ว ตะเกียงน้ำมันทำจากทองแดงเป็นใบหน้าสัตว์ดุร้ายแต่ละดวงก็ติดไฟขึ้น สิบแปดมนุษย์ทองแดงเริ่มเคลื่อนไหวเสียงดังแกรกๆ แล้วค่อยๆ หมุนตัวมา

เหยากวงยืนติดผนัง เอ่ยเสียงทุ้ม “ไปสิ! เอาชนะพวกมัน”

ไท่สุ้ยตกตะลึง “หา? พวกมันล้วนเป็นเส้นเอ็นทองแดงกระดูกเหล็ก ข้าจะเอาชนะพวกมันได้อย่างไร”

เหยากวงยิ้มอย่างทะเล้น “คิดเอาเอง”

“นี่...” ไท่สุ้ยเพิ่งแย้ง สิบแปดมนุษย์ทองแดงก็โจมตีใส่เขา

พวกมันพอเคลื่อนไหว ลำพังเพียงก้าวย่างก็บังเกิดเสียงดังครืนครัน ไท่สุ้ยไหนเลยจะกล้าต้านทานซึ่งหน้า รีบหลบซ้ายหลีกขวา ดีที่พวกมันงุ่มง่ามเชื่องช้า เขากลับอาศัยจังหวะโจมตีกลับได้

ตุบ!

หนึ่งหมัดของไท่สุ้ยอัดใส่บั้นเอวของหนึ่งในมนุษย์ทองแดง เกิดเสียงทึบดังแผ่ว มันไม่โยกไหวสักนิด แต่ไท่สุ้ยกลับเจ็บปวดจนแทบหลั่งน้ำตา นวดข้อมืออย่างเอาเป็นเอาตาย

‘อันตรายนัก ดีที่ข้าผ่อนแรงหลายส่วน ไม่เช่นนั้นอัดลงไปครานี้คงได้ข้อมือหักเป็นแน่’ ในใจไท่สุ้ยลอบร่ำร้องว่าย่ำแย่ ไม่กล้าจู่โจมอีก ได้แต่มุดซ้ายหนีขวาน่าอนาถ

เห็นเขาเคราะห์ร้าย เหยากวงก็สาแก่ใจ สองมือกอดอกยืนชมความครึกครื้นข้างสนามยังไม่กล่าวถึง ทั้งยังเอ่ยกับไท่สุ้ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ “สิบแปดมนุษย์ทองแดงนี้มิใช่ข้านำมาหาเรื่องเจ้า สมาชิกหน่วยดาวพิฆาตที่ได้รับฉายาดวงดาวต่างฝ่าด่านสิบแปดมนุษย์ทองแดงนี้ และผ่านไปได้อย่างราบรื่น”

ไท่สุ้ยหลบหลีกไปพลางร้องถามไปพลาง “พี่ไคหยางก็ผ่านด่านนี้หรือ”

เหยากวงยิ้มหน้าระรื่น “มิผิด! ทว่าพี่ไคหยางไม่เป็นวรยุทธ์ นางเชี่ยวชาญการประดิษฐ์เกราะกลไก ดังนั้นจึงสวมเกราะกลไก”

ไท่สุ้ยกัดฟันกรอดโต้แย้ง “ฮึ! ต่อให้สวมเกราะกลไก แต่ถึงอย่างไรพี่ไคหยางก็ไม่เป็นวรยุทธ์ นางยังฝ่าด่านไปได้ ข้าก็ต้องทำได้”

เหยากวงยิ้มในหน้า “พยายามเข้า ตอนที่ข้าฝ่าด่านนี้ได้ ไม่ได้ใช้พละกำลังจากพลังระห่ำ”

ไท่สุ้ยหลบหลีกมนุษย์ทองแดงสุดกำลัง กลับพบว่ามนุษย์ทองแดงสอดรับการโจมตี ไร้ซึ่งช่องโหว่ หลบนี่ได้เลี่ยงนั่นไม่พ้น เขาถูกต่อยตีจนจมูกเขียวหน้าบวมปูดอย่างรวดเร็ว หากมิใช่สภาพร่างกายเขาพิเศษ ฟื้นตัวฉับไว คงถูกต่อยตีล้มกองไปแต่แรกแล้ว

“เป็นไปไม่ได้! สิบแปดมนุษย์ทองแดงไม่มีทางเอาชนะได้โดยสิ้นเชิง เจ้าไม่ได้คิดสั่งสอนชี้แนะข้า เจ้าอาศัยเรื่องงานบังหน้า จงใจกลั่นแกล้งทรมานข้า!” ไท่สุ้ยทดลองไปได้สักระยะก่อนร้องโวยวาย

เหยากวงยืนแคะหูอย่างไม่สนไยดีอยู่ข้างสนาม “แล้วแต่เจ้าจะว่าอย่างไรก็ได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางตาย”

เห็นท่าทางผยองพองขนของนาง ไท่สุ้ยก็กัดฟันกรอดอย่างแค้นเคือง เริ่มตั้งอกตั้งใจต่อกรกับสิบแปดมนุษย์ทองแดง

เมื่อเขาถูกต่อยตีจนเกือบล้มลงอีกครั้ง และใช้ท่ากลิ้งอย่างลาขี้เกียจ ให้พอดีกับที่มนุษย์ทองแดงข้างตัวกำลังยกเท้าเพื่อก้าวข้าม ไท่สุ้ยถึงกับกลิ้งไปอยู่ใต้ฝ่าเท้ามัน

“อา!” ไท่สุ้ยตกใจกู่ร้อง มนุษย์ทองแดงนี้แม้มิได้หล่อจากทองแดงทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็หนักหลายร้อยจิน หากถูกมันเหยียบ ดีไม่ดีอาจแบนเป็นเนื้อแผ่น

แม้เขาเป็นอมตะ แต่ก็ไม่กล้ารับประกันว่าหากถูกเหยียบแบนเป็นเนื้อแผ่นแล้วจะคืนสภาพเดิมได้หรือไม่ ชั่วขณะนั้นจึงตระหนกผวาจนหน้าถอดสี แต่ก็สำแดงศักยภาพแฝงในคราวเดียวกัน เห็นว่าหลบหลีกไม่พ้นแล้ว เขาจึงเพียงบิดช่วงเอวพุ่งชนรุนแรงใส่ขาข้างเดียวของมนุษย์ทองแดงที่ยืนอยู่

ได้ยินเสียงดังโครม แม้ร่างมนุษย์ทองแดงหนักแน่น แต่เมื่อเหลือเพียงขาเดียวยันพื้น จึงเสียสมดุลไปมาก เมื่อถูกไท่สุ้ยพุ่งชนเลยล้มหงายหลังอย่างไม่อาจต้านทานโดยสิ้นเชิง

ไท่สุ้ยตกตะลึงก่อนยินดียิ่ง ไม่รอให้มันลุกขึ้นก็กระโจนใส่ คิดหักสะบั้นแยกชิ้นส่วนมัน คาดไม่ถึงว่ามนุษย์ทองแดงอีกตัวจะเข้ามา เขาจึงได้แต่กลิ้งหลบ

จนเขาหลบหลีกอย่างน่าอนาถหลายหน คิดจะกระโจนเข้าไปแยกชิ้นส่วนมนุษย์ทองแดงที่ล้มหงายบนพื้น ทว่ามันกลับยืนขึ้นมาแล้ว ไท่สุ้ยจึงจำใจต่อสู้กับมันซึ่งหน้า แน่นอนว่าเขาไม่โง่เขลา แขนขาออกแรงเพียงห้าส่วน มุ่งโจมตีที่ข้อต่อของมนุษย์ทองแดง

เขาถูกต่อยตีล้มกองครั้งแล้วครั้งเล่า ลุกขึ้นหนแล้วหนเล่า ใช้พละกำลังพิเศษของตนฝืนต้านทาน

ครึ่งชั่วยามผ่านพ้น มนุษย์ทองแดงบางตัวถูกไท่สุ้ยเตะต่อยที่ข้อต่อจนหยุดค้างอยู่กับที่ เคลื่อนไหวไม่ได้ เขาเริ่มมีโอกาสหายใจหายคอบ้าง

เหยากวงยืนมองอยู่ข้างสนาม สีหน้าจากยั่วเย้ากลายเป็นจริงจัง สุดท้ายก็ขมวดคิ้วตามอาการบาดเจ็บที่หนักหน่วงขึ้นของไท่สุ้ย ทั้งยังรู้สึกเสียใจและร้อนใจหลายส่วน

เมื่อนางตัดสินใจให้มนุษย์ทองแดงหยุดการโจมตี ไท่สุ้ยก็ใช้ความฉลาดหลักแหลมหลอกล่อให้มนุษย์ทองแดงสองตัวสุดท้ายโจมตีกันเอง จนเสียหายล้มกองลงไปทั้งคู่ เหยากวงระบายลมหายใจยาว

ไท่สุ้ยโงนเงนลุกขึ้นก้าวออกจากกองซากมนุษย์ทองแดง แม้หน้าตาบวมปูด จมูกเขียวช้ำ แต่ใบหน้ากลับฉายแววภูมิอกภูมิใจ “ว่าอย่างไร อย่าคิดว่าเรื่องลำบากเล็กน้อยเท่านี้จะทำอันใดข้าได้”

เหยากวงหน้าตึง แค่นเสียงเฮอะ ไม่ต่อปากต่อคำกับไท่สุ้ย แต่หมุนตัวจากไป ไท่สุ้ยเห็นสถานการณ์ หันกลับไปมองอย่างนึกหวาดหวั่นภายหลังปราดหนึ่ง แล้วรีบติดตามเหยากวงไป

เหยากวงพาไท่สุ้ยเดินในอุทยาน เห็นชายชราผู้หนึ่งกำลังวางค่าย สีหน้าเหยากวงพลันแปรเปลี่ยน รีบผ่อนฝีเท้าเบาลง คิดลอบผ่านไป

ชายชราจัดวางค่ายกำลังหน้าดำคร่ำเคร่งครุ่นคิดอยู่ เมื่อเห็นเหยากวงพาคนใหม่เดินผ่านมาจึงตื่นเต้นดีใจ ไม่เห็นว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างไร แต่คว้าจับเหยากวงไว้หมับ เอ่ยอย่างดีอกดีใจ “เหยากวง เจ้ามาได้พอดี ข้าออกแบบค่ายฉีเหมินตุ้นเจี่ย138 อีก เจ้ามาช่วยข้าทดสอบดูว่ามีข้อบกพร่องที่ใด”

เหยากวงปฏิเสธโดยอัตโนมัติ “ไม่ๆๆ ข้ายังมีธุระ ข้า...” เพิ่งกล่าวเพียงครึ่ง นางก็นึกถึงไท่สุ้ยที่อยู่ด้านหลัง พลันยิ้มเจ้าเล่ห์

“นั่น! ท่านให้ไท่สุ้ยทดสอบให้ท่านสิ”

พูดจบนางก็ดึงไท่สุ้ยซึ่งเดินทำหน้ามึนงงตามหลังนางมาด้านหน้า แล้วผลักไปยืนตรงหน้าชายชราผู้กำลังวางค่าย ก่อนแนะนำ “ผู้อาวุโส นี่คือไท่สุ้ย สมาชิกเพิ่งเข้าใหม่ของหน่วยงานเรา เขากำลังทดลองฝึกฝน ช่วยท่านทดสอบค่ายได้พอดี”

ชายชรามองประเมินไท่สุ้ย ลูบเคราอย่างพออกพอใจ พยักหน้าพร้อมกับเอ่ย “ดีๆ เจ้าหนุ่มรอก่อน ข้าจะจัดเตรียมค่ายคาถา แล้วเจ้าก็ทดสอบอานุภาพของมัน” พูดจบชายชราก็เดินจากไปอย่างรีบร้อน

ไท่สุ้ยกล่าวกับเหยากวงอย่างไม่พอใจ “ไฉนยังให้ข้าทดสอบค่ายไร้แก่นสารบ้าบอนี่ด้วย”

เหยากวงยิ้มมุมปาก “เจ้ายังไม่ทดสอบ จะรู้ได้อย่างไรว่าค่ายฉีเหมินตุ้นเจี่ยไร้แก่นสาร”

“ข้าอาศัยอันใดไปทดสอบ” ไท่สุ้ยมีสีหน้าไม่เต็มใจ แม้อาการบาดเจ็บจากค่ายสิบแปดมนุษย์ทองแดงทุเลาแล้ว แต่ทนทรมานมาชั่วยามกว่า เขาก็เหน็ดเหนื่อยจนกระอักเพียงพอแล้ว

เหยากวงกะพริบตาปริบๆ แค่นเสียงตอบ “เพราะพวกเราที่ได้ฉายาดวงดาวล้วนผ่านการทดสอบค่ายของผู้อาวุโสท่านนี้ นี่เป็น... ภารกิจที่ต้องกระทำให้สำเร็จ หากเจ้าหวาดกลัว ไม่ไปก็ได้”

“หา? ข้าน่ะรึกลัว” ไท่สุ้ยเบิกตาโพลง ชี้หน้าตนเอง รู้สึกน่าขัน “อู่เหยากวง เจ้าทำได้ ข้าไท่สุ้ยก็ต้องทำได้!”

เหยากวงไม่ทันเอ่ยอันใด ชายชราก็วางค่ายแล้วเสร็จ ยืนยิ้มตาหยี กวักมือเรียกแต่ไกล “มาเถอะ มาเถอะ ข้าเดินปราณค่ายแล้ว”

ไท่สุ้ยมองเหยากวงอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง แล้วสาวเท้ายาวเร็วรี่เดินไปเบื้องหน้า

เหยากวงกลั้นยิ้ม มองเขาเดินเข้าไป ตนกลับยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มในหน้ารอชมเรื่องสำราญ

ไท่สุ้ยเดิมเข้าไป มองค่ายใหญ่อย่างฉงนสงสัย แท้จริงแล้วเขาไหนเลยจะดูออกว่าเป็นค่ายใหญ่ เห็นเพียงบนพื้นจัดวางวัตถุเล็กๆ น้อยๆ มีน้ำเต้า ชามกระเบื้อง ขลุ่ย และธงเล็กสองผืน บนพื้นมิรู้ว่าใช้สิ่งใดวาดภาพปากว้า ไท่สุ้ยหาได้แยแส ไม่พูดมาก เดินตรงเข้าไปด้านในโดยตรง

กลับมิคาดว่าหนึ่งก้าวย่างออก พลันสี่ทิศรอบด้านแปรผัน ท้องฟ้าและแผ่นดินที่สว่างไสวแต่เดิมกลับกลายเป็นมืดมัวสลัวครึ้ม แสงไฟหรุบหรู่เป็นระลอกลอยละล่องอยู่กลางนภากาศ

“เอ๊ะ?” ไท่สุ้ยชะงักฝีเท้า มองสำรวจโดยรอบอย่างสงสัยใคร่รู้ คิดในใจว่าค่ายใหญ่นี้พิสดารอยู่บ้าง พอกับศาสตร์ลวงตาของตน

เขาไม่ชะงักฝีเท้ายังพอว่า เมื่อชะงักฝีเท้าคล้ายปลุกค่ายใหญ่ให้มีชีวิต แสงเพลิงที่ลอยคว้างกลางอากาศพุ่งซัดใส่ราวกับดาวตก เขาหลบเลี่ยงโดยอัตโนมัติแต่ก็หลบไม่พ้น ชายเสื้อติดไฟแล้ว เขารีบยื่นมือไปตบๆ แต่ก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ด้วยความจนใจเขาจึงรีบกลิ้งตัวไปบนพื้น

เคราะห์ดีที่เป็นเพียงประกายไฟเล็กน้อย และเป็นไปได้ว่าผู้เฒ่าซึ่งวางค่ายทำเพียงเพื่อทดสอบ จึงลดทอนพลานุภาพของค่ายใหญ่ ไท่สุ้ยเพียงกลิ้งไปบนพื้นสองรอบ เพลิงก็ดับมอดลง

ไท่สุ้ยเบาใจ เพิ่งลุกขึ้นมา กลับมิคาดว่าพื้นดินใต้ร่างอ่อนยวบ คล้ายจะยุบจมลงไป เขารีบกระโดดหนี ก็เห็นพื้นดินที่เหยียบเมื่อครู่ยุบตัวลง เผยให้เห็นดาบสาดรังสียะเยือกเย็น คล้ายกับดักล่าสัตว์ป่าของนายพรานภูเขาอย่างไรอย่างนั้น

ไท่สุ้ยสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง อดร้องโดยไม่รู้ตัวมิได้ “นี่ก็โหดเหี้ยมเกินไปกระมัง”

เขายืนอยู่กับที่อีกสักครู่ ก็เห็นว่าไม่มีผู้ใดแยแสตน ในใจจึงไม่ยอมจำนน สาวเท้าไปเบื้องหน้าอีกหลายก้าว ทันใดนั้นเถาเครือหลายเส้นก็เลื้อยลามราวกับอสรพิษมาทางเขา รัดรึงข้อเท้าแน่น ไท่สุ้ยไม่ทันคิดมาก เร่งร้อนกระโดดขึ้นกลางอากาศ แต่เขาเพิ่งกระดอนตัวขึ้น ฟ้าก็ผ่าท่ามกลางท้องฟ้าขมุกขมัว เขากู่ร้องตกใจ สองมือกุมศีรษะ สายฟ้า

ฟาดเปรี้ยงอย่างรวดเร็วหาใดเปรียบ ต่อให้เขามีปฏิกิริยาตอบสนองฉับไวก็หลบไม่พ้น เมื่อสองขาแตะพื้น หน้าตาก็ขะมุกขะมอม ผมเผ้าชี้ตั้ง ทั้งร่างแข็งทื่อ

ทันใดนั้นควันหนาทึบก็ลอยตลบ มีดบินเล่มแล้วเล่มเล่าพุ่งซัดฉับพลัน เขาพลิกตัวกระโดดทะยานสูง หมอบต่ำหลบเลี่ยง เบี่ยงตัวพ้นจากมีดบินอันตรายเล่มแล้วเล่มเล่าไปได้อย่างหวุดหวิด ทว่ายังมีบางเล่มพุ่งซัดทำร้ายเขาได้

หลังมีดบินแล้วก็ปรากฏสัตว์ป่านานาชนิดกระโจนใส่เขา หมาใน หมาป่า หรือเสือดาว มิต้องเอ่ยถึง ที่ทำให้เขาตระหนกผวาที่สุดคือ สัตว์มีพิษเป็นกลุ่มก้อน มีทั้งงู แมงป่อง มดพิษ และผึ้งพิษ...

ในดวงตาไท่สุ้ยผุดแววสิ้นหวัง หากเป็นเพียงอาวุธประเภทดาบหรือกระบี่ ในใจเขาไม่หวั่นเกรง ต่อให้ถูกสังหารจนมอดม้วยก็ฟื้นคืนชีพได้ แต่ถ้าถูกสัตว์ป่ากัดกิน... เพียงแค่คิดก็ทำให้เขาขนลุกซู่

เขาพยายามดิ้นรน เห็นงูเห่าขนาดเท่าถังน้ำเลื้อยคลานเข้ามา จากนั้นก็แผ่แม่เบี้ย อ้าปากกว้างเท่าอ่างโลหิตสังเวยกระโจนใส่ หัวใจของไท่สุ้ยเย็นวาบโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้เองเสียงตวาดพลันดังลั่นก้องห้วงนภา

“หยุด!”

ไท่สุ้ยฟังออกทันทีว่านี่คือเสียงของเหยากวง อดรู้สึกดีใจมิได้ คิดเอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือ ที่อัศจรรย์ก็คือ ทันทีที่สิ้นเสียงของเหยากวง งูยักษ์ตัวนั้นถึงกับวูบไหวเล็กน้อยคล้ายภาพมายา แล้วหายวับไปกับตา จากนั้นสิ่งแวดล้อมประหลาดแปลกตาโดยรอบก็ค่อยๆ มลายหายไป เบื้องหน้าสายตาสว่างวาบ ฟ้าดินกลับสู่สภาพเดิม

ไท่สุ้ยนิ่งงันไปพักหนึ่งก่อนกวาดตามองรอบตัว ก็เห็นว่าเหยากวงมาอยู่ข้างตัวตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ได้ เขาผ่อนคลายในใจ ความเหนื่อยล้าเอ่อท้นท่วมร่าง ขาอ่อนยวบแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น

เหยากวงรีบยื่นมือมาประคอง มองประเมินไท่สุ้ยขึ้นลง เห็นคราบเลือดเป็นด่างดวงบนร่าง ที่ข้างแก้มก็มีคราบเลือดสายหนึ่ง อเนจอนาถผิดธรรมดา จึงอดยิ้มมิได้ “ว่าอย่างไร รู้ถึงความร้ายกาจแล้วกระมัง”

ไท่สุ้ยพยักหน้าอย่างสิ้นเรี่ยวแรง มองไปสี่ทิศรอบด้านก็เห็นไม้เอย ธงเอย กำแพงดินเอย ที่ถูกเหยากวงต่อยตีจนหักสะบั้น ในใจนึกหวาดหวั่นภายหลัง ค่ายใหญ่นี้ร้ายกาจกว่าศาสตร์ลวงตาของตนมากนัก!

อีกฟากหนึ่ง ผู้อาวุโสยืนซอยเท้าอย่างเสียดายข้างซากปรักหักพัง “โอยๆๆ เหยากวง เจ้าจะช่วยคนด้วยการทำลายค่ายคาถาของข้าแบบนี้มิได้”

เหยากวงค้อนเขาวงหนึ่ง “เอาเถอะ ท่านก็ได้พิสูจน์พลานุภาพของค่ายคาถาแล้วมิใช่หรือ ข้าจะบอกให้ ที่ไท่สุ้ยชำนาญที่สุดก็คือศาสตร์ลวงตา กระทั่งเขายังแยกแยะเท็จจริงในค่ายคาถาของท่านมิได้ ยังหลงกลท่าน เช่นนั้นย่อมพิสูจน์ได้ว่าค่ายคาถาของท่านสำเร็จแล้ว ยังจะทิ้งพวกมันไว้ที่นี่ไปไยกัน”

สีหน้าท่านผู้เฒ่ากลัดกลุ้ม “เจ้าก็ไม่ต้องหักสะบั้นพวกมัน ย้ายไปอีกที่ก็ได้ผลเหมือนกัน เฮ้อ! ล้วนเป็นชีวิตจิตใจของข้า...”

พูดจบเขาก็ไม่สนใจเหยากวงอีก ปรี่เข้าไปตรวจสอบเครื่องมือที่นำมาวางค่ายด้วยความเสียดายสุดกำลัง ก่อนทอดถอนใจเป็นระยะ

ไท่สุ้ยหอบหายใจพักหนึ่ง แล้วหมุนตัวจะเดินจาก

เหยากวงเห็นที่ข้อพับเขาเป็นคราบโลหิตสายหนึ่งจึงเดินเข้าไปประคอง “ข้าพยุงเจ้า”

ไท่สุ้ยสะบัดแขนหลุดจากการประคองของเหยากวง เอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่ต้องให้เจ้าแสร้งทำมีน้ำใจ!”

พูดจบเขาก็เดินกะโผลกกะเผลกไปทางถนนสายเล็ก เหยากวงตกตะลึง ต่อมาก็โมโหยกใหญ่ หยุดฝีเท้าตะโกนเรียก

“เจ้าหยุดนะ!”

ไท่สุ้ยชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมา ยกแขนที่บาดเจ็บขึ้น เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ข้าไม่ลืมหรอกว่าบาดแผลทั้งร่างนี้ต้องคารวะผู้ใดที่ประทาน!”

“เจ้า...” ใบหน้าเล็กของเหยากวงแดงก่ำ เห็นท่าทางไม่รับเกลือน้ำมัน139 ของไท่สุ้ยก็ทั้งกลัดกลุ้มทั้งน้อยใจ มองคราบเลือดเป็นด่างดวงบนร่างและท่าเดินกะโผลกกะเผลกจากไป เหยากวงขอบตารื้นแดง กระทืบเท้าอย่างรุนแรง หมุนตัวกลับไปยังห้องของตน ยังไม่ทันนั่งลง ภายนอกก็แว่วเสียงเคาะประตูดังลอดเข้ามา

“ผู้ใด” เหยากวงถามอย่างหมดความอดทน

“ใต้เท้าอู่ โปรดเปิดประตู”

เหยากวงเปิดประตูอย่างฮึดฮัด ก็เห็นเจ้าหน้าที่หนุ่มยืนตรงหน้าประตู ประสานมือคำนับด้วยสีหน้าเข้มงวดจริงจังมาทางนาง

“ใต้เท้าอู่ ใต้เท้าผู้บังคับการรอท่านที่โถงใหญ่ เชิญท่านไปสักเที่ยว”

“รับทราบแล้ว” เหยากวงพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึมลง ไม่สนใจเจ้าหน้าที่ผู้นั้น ก่อนปิดประตูเดินไปทางโถงใหญ่

 

ต้งหมิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางโถง เหยากวงเข้ามาด้วยสีหน้าไม่แช่มชื่น พอเห็นต้งหมิงก็หยุดยืนมั่นแล้วคารวะ

“ใต้เท้าผู้บังคับการ”

ต้งหมิงหมุนตัวกลับมามองนางอย่างลึกล้ำปราดหนึ่ง “เจ้าฝึกฝนไท่สุ้ยอยู่หรือ”

เหยากวงตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าค่ะ!”

ต้งหมิงถามเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเข้าร่วมหน่วยดาวพิฆาตนานเท่าใดถึงไปทดสอบสิบแปดมนุษย์ทองแดง”

เหยากวงรู้ตัวว่ามิชอบด้วยเหตุผล จึงก้มหน้าลง “คะ...ครึ่งปี”

“เช่นนั้น... ครั้งแรกเจ้าทดสอบกับกี่ตัว”

เหยากวงยิ่งตอบเสียงเบา “สามตัว”

ต้งหมิงถามต่ออีก “ค่ายฉีเหมินตุ้นเจี่ยของเหล่าจั๋ว พลานุภาพไม่เป็นรองสิบแปดมนุษย์ทองแดง เจ้าเริ่มทดสอบค่ายให้เขาตั้งแต่เมื่อใด”

เหยากวงตอบอย่างลำบากใจ “สองเดือนก่อน”

“เจ้าเข้าไปทดสอบตามลำพังหรือไม่”

เหยากวงตอบ “หามิได้ หลิ่วสุยเฟิง และ...และพี่ไคหยางที่สวมเกราะกลไกเป็นเพื่อนข้าเข้าไปในค่าย”

ต้งหมิงพยักหน้าเชื่องช้า ไม่เอ่ยกล่าววาจาอีก แววตาของเขาเต็มไปด้วยการตำหนิประณาม ค่อยๆ เดินเอามือไพล่หลังผ่านนางไป

เหยากวงยืนอยู่กับที่ จิกชายเสื้อตนเอง ปลายเท้าวาดรูปวงกลมแผ่วเบา พึมพำเสียงอ่อย “ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางตาย...”

 

ไท่สุ้ยนั่งบนเตียง ทั้งเนื้อทั้งตัวกระทั่งใบหน้าล้วนพันด้วยผ้าพันแผลคล้ายบ๊ะจ่างสีขาว

หลิ่วสุยเฟิงกลั้นยิ้ม ในมือถือผ้าพันแผลสีขาวยังช่วยพันแผลให้ไท่สุ้ยอีกหนึ่งรอบ “ยาจินชวง140 นี้ หาซื้อตามท้องตลาดมิได้ นี่เป็นยาขี้ผึ้งที่ผู้อาวุโสต้งหมิงผสมขึ้นโดยเฉพาะ รักษาบาดแผลได้ชะงัดนัก ผนวกกับพลังในการฟื้นตัวอันน่าตกตะลึง ใช้ไม่นานก็หายดีแล้ว”

ใบหน้าไท่สุ้ยถูกพันด้วยผ้าพันแผล โผล่เพียงสองตาและริมฝีปาก จนหลิ่วสุดเฟิงพันผ้ารอบสุดท้ายเสร็จสิ้น ไท่สุ้ยก็ลุกขึ้นอย่างโมโห กระโดดขาเดียวเหยงๆ บนพื้น

“ข้าไม่ทำแล้ว! ข้าจะออกจากหน่วยดาวพิฆาต”

รอยยิ้มบนใบหน้าหลิ่วสุยเฟิงแข็งค้าง “เจ้าว่าอันใดนะ”

ไท่สุ้ยคำรามอย่างเคืองขุ่น “นางมิได้คิดฝึกข้าดีๆ เสียหน่อย! กลั่นแกล้งข้าชัดๆ ข้ามิใช่ของเล่นของนาง!”

หลิ่วสุยเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าสงบราบเรียบยามเอ่ย “ที่เหยากวงให้ฝึกนั้นเป็นสิ่งที่สมาชิกหน่วยดาวพิฆาตต้องผ่านกันมาทั้งนั้น”

ไท่สุ้ยสอบถามอย่างเดือดดาล “เช่นนั้นพวกท่านก็ฝึกแบบข้าหรือ ในสนามฝึกต่อยตีข้าแทบตาย ข้าจะฝึกอันใดได้ กักขังข้าในค่ายสิบแปดมนุษย์ทองแดงให้ถูกต่อยตี ข้าได้ฝึกอันใด ทั้งยังให้ข้าบุกฝ่าเข้าไปในค่ายฉีเหมินตุ้นเจี่ยผีหลอกนั่น ข้าได้ฝึกอันใดกัน!”

ไท่สุ้ยกระโดดขาเดียวมาข้างตัวหลิ่วสุยเฟิง จ้องเขาเขม็ง “ฝึกพลังฝีมือรับการต่อยตีอย่างนั้นหรือ ไม่สอนวิทยายุทธ์ข้า ไม่สอนวิธีคลี่คลายคดีแก่ข้า กลั่นแกล้งข้าอยู่ชัดแจ้ง!”

หลิ่วสุยเฟิงจดจ้องเขาอยู่เป็นนาน ก่อนหมุนตัวเดินออกไปภายนอก “เจ้าตามข้ามา พวกเราฝ่าด่านสิบแปดมนุษย์ทองแดงอีกครั้ง ฝ่าด่านนี้แล้ว ถ้าเจ้ายังอยากไป ข้าจะไม่รั้งเจ้า”

ไท่สุ้ยมองเงาหลังของหลิ่วสุยเฟิงอย่างแปลกใจ เอียงคอลองตรึกตรอง กระโดดขาเดียวติดตามไป

ประตูใหญ่รูปทรงไท่จี๋ในอุโมงค์ค่อยๆ เปิดออก หลิ่วสุยเฟิงก้าวเข้าไปในวังใต้ดินก่อน ไท่สุ้ยที่อยู่ด้านหลังกระโดดขาเดียวเหยงๆ ติดตามเข้าไป

สองคนเข้าสู่ด้านใน พบว่าตะเกียงน้ำมันในอุโมงค์ส่องสว่าง ไคหยางในชุดเสื้อตัวสั้นกำลังนั่งยองๆ บนพื้นตรวจสอบซ่อมแซมเกราะกลไก

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ไคหยางก็เงยหน้าขึ้น เห็นเป็นทั้งสองคนก็ประหลาดใจ

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มพลางเดินเข้าไป “เป็นอย่างไร มนุษย์ทองแดงเหล่านี้ยังใช้ได้หรือไม่”

ไคหยางมองไท่สุ้ยอย่างตกตะลึง จากนั้นก็เผยสีหน้าตระหนักโดยพลัน ยิ้มบางไปทางเขาแล้วพยักหน้า ก้มหน้าก้มตาซ่อมแซมต่อไปพลางเอ่ย “ปัญหาของมนุษย์ทองแดงเหล่านี้ล้วนไม่มาก ซ่อมเสร็จได้อย่างรวดเร็ว”

ไท่สุ้ยกระโดดมาอยู่ข้างตัวหลิ่วสุยเฟิง ยืนเป็นไก่ทองขาเดียว

รออยู่สักพัก ไคหยางก็ลุกขึ้น ตบปัดมือแล้วยิ้ม “ซ่อมเสร็จแล้ว! พวกเจ้าจะทดลองอีกหรือ”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า ประกบสองมือมองสิบแปดมนุษย์ทองแดงที่หันมาทางพวกเขาอย่างเชื่องช้า แล้วหันไปมองไท่สุ้ย แบะปากเอ่ย “เอาละ ต่อหน้าข้าก็ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว บาดแผลของเจ้าล้วนเป็นบาดแผลผิวเผิน ไม่ได้สาหัสถึงเพียงนั้น”

ไท่สุ้ยปล่อยขาที่ยกขึ้นอย่างรุนแรง มองค้อนหลิ่วสุยเฟิงปราดหนึ่ง

หลิ่วสุยเฟิงยิ้ม “ข้าฝ่าเข้าไปในค่ายพร้อมเจ้า ข้าบอกวิธี เจ้าลงมือ!”

ไท่สุ้ยชี้ไปที่สิบแปดมนุษย์ทองแดง “พวกเศษทองแดงเหล่านี้... ท่านแค่ขยับปากก็เอาชนะพวกมันได้รึ”

หลิ่วสุยเฟิงหัวเราะแผ่วเบา “ไม่ใช่ข้าลงมือ เป็นเจ้าลงมือ!”

ไคหยางมองทั้งสองคน หัวเราะเสียงเบาพลางถอยหลังไปหลายก้าว

“ลงมือก็ลงมือสิ” ไท่สุ้ยแค่นเสียงคราหนึ่ง เดินไปตรงหน้ามนุษย์ทองแดง

มิรู้ว่าหลิ่วสุยเฟิงแตะต้องกลไกส่วนใด มนุษย์ทองแดงที่ยืนนิ่งกับที่พลันส่งเสียงดังแกรกๆ แต่ละตัวหมุนมาล้อมวง ไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มลงมือมาทางไท่สุ้ย

หลิ่วสุยเฟิงร้องบอกเสียงทุ้ม “เดินตามข้า เบี่ยงซ้าย เบี่ยงขวา คืบหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังสามก้าว...”

ไท่สุ้ยรีบปฏิบัติตามการเคลื่อนไหวของหลิ่วสุยเฟิง หลบหลีกการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของมนุษย์ทองแดงได้อย่างเฉียดฉิว

“ตัวทางซ้ายมือ... ถีบที่ข้อเข่ามัน”

ขาไท่สุ้ยถีบออกในคราวเดียวถูกข้อพับของมนุษย์ทองแดงเข้าอย่างจัง เสียงโลหะเสียดสีบาดแก้วหูดังขึ้นจากข้อพับของมนุษย์ทองแดง มันยังคงเคลื่อนไหวได้ ทว่าได้แต่ลากขาที่บาดเจ็บ กลายเป็นเคลื่อนไหวงุ่มง่ามเชื่องช้ายิ่งนัก

หลิ่วสุยเฟิงนำทางไท่สุ้ยหลบหลีกต่อไป ฉวยโอกาสร้องบอกเสียงดัง “ตัวที่อยู่ตรงหน้า... เตะที่ข้อพับเข่า”

ไท่สุ้ยเตะออกไปอีกครั้ง มนุษย์ทองแดงตัวที่สองก็เคลื่อนไหวเชื่องช้าลง

ไท่สุ้ยหอบแฮก หลบหลีกมนุษย์ทองแดง เขากระจ่างฉับพลัน “ที่แท้ข้อพับเข่าเป็นจุดอ่อนของพวกมัน”

หลิ่วสุยเฟิงตามติดด้านหลังไท่สุ้ย เคลื่อนไหวพร้อมกับเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เพียงที่ข้อพับเข่า แม้พวกมันสร้างจากเหล็กทองแดง แต่ต้องเคลื่อนไหว ดังนั้นช่วงข้อต่อไม่อาจเป็นของแข็งอย่างเหล็กกล้า ดังนั้นที่เหล่านั้นจึงเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของพวกมันไปโดยปริยาย”

ไท่สุ้ยเอ่ยอย่างยินดี “ที่แท้ก็แบบนี้! เช่นนั้นไยพวกเราไม่ทำลายข้อพับเข่าอีกข้างของมันด้วยเล่า พวกมันก็เคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว”

หลิ่วสุยเฟิงตอบ “โง่งม! ไม่มีพวกมันคอยกันอยู่ตรงหน้าพวกเรา พวกเรายังสนทนากันได้อย่างสบายๆ เช่นนี้หรือ”

ไท่สุ้ยถึงสังเกตว่ามนุษย์ทองแดงที่ได้รับบาดเจ็บนั้นเคลื่อนไหวเชื่องช้า จึงกันมนุษย์ทองแดงตัวอื่น สถานการณ์ในตอนนี้ของพวกเขาปลอดภัยกว่าเมื่อครู่มากนัก

หลิ่วสุยเฟิงถาม “ตอนนี้เจ้ารู้ว่าสมควรทำอย่างไรแล้วกระมัง”

ไท่สุ้ยกระปรี้กระเปร่าขึ้นเป็นกอง ตอบเสียงดัง “เข้าใจ! ใช้ประโยชน์จากมนุษย์ทองแดงที่ได้รับบาดเจ็บหน่วงเหนี่ยวตัวที่ยังสมบูรณ์ แล้วจัดการตัวที่ยังสมบูรณ์ทีละตัว ให้พวกมันกลายเป็นหุ่นพิการ จนพวกมันทั้งหมดเคลื่อนไหวงุ่มง่ามเชื่องช้า ค่อยจัดการล้มพวกมันทั้งหมด”

ตอนนี้มนุษย์ทองแดงทั้งหมดจู่ๆ ก็หยุดชะงักไม่ขยับเขยื้อน ไท่สุ้ยตะลึงงัน เหมือนคิดสิ่งใดได้ หันขวับไปมองทางข้างผนัง ไคหยางยืนตรงนั้น มือเพิ่งผละออกห่างจากกลไก

ไคหยางยิ้มรื่นมองเขาทั้งคู่ “ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องทดสอบอีก ไม่เช่นนั้นข้ายังต้องซ่อมอีกรอบ”

 

ไคหยางและหลิ่วสุยเฟิงเดินช้าๆ มาตามทางสายเล็กเป็นเพื่อนไท่สุ้ย

น้ำเสียงของไท่สุ้ยเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ “หลังรู้เคล็ดลับแล้ว ถึงกับง่ายดายเพียงนี้!”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มก่อนเอ่ย “มนุษย์มีจุดตาย หุ่นกลไกก็ไม่มีข้อยกเว้น หาจุดตายของพวกมันพบ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า โจมตีจุดอ่อนของศัตรู จะกังวลว่าไม่ชนะไปไย”

ไท่สุ้ยพยักหน้าอย่างเลื่อมใส แต่จู่ๆ ก็เอ่ยอย่างไม่ยอมจำนน “เช่นนั้นเหยากวงเหตุใดไม่บอกกล่าวข้าเรื่องนี้ นางเพียงแต่ปล่อยข้าเข้าไปในค่ายสิบแปดมนุษย์ทองแดง ปล่อยให้พวกมันต่อยตีข้าตามอำเภอใจ”

ไคหยางยิ้มในหน้าแล้วเอ่ย “ตอนแรกที่พวกเราทลายด่านสิบแปดมนุษย์ทองแดง ก็ไม่เคยมีใครชี้แนะมาก่อน”

ไท่สุ้ยมองไคหยางอย่างตะลึง

เห็นเขาไม่เชื่อ ไคหยางจึงอธิบาย “สิบแปดมนุษย์ทองแดงเป็นอาจารย์ข้าออกแบบไว้ ในฐานะของศิษย์ผู้รับสืบทอดสายตรงของอาจารย์ ข้ารู้เรื่องหุ่นกลไกมากสักหน่อย สามารถทลายค่ายได้ ออกจะเอาเปรียบอยู่บ้าง แต่ต้าหลิ่ว เหยากวง และสมาชิกคนอื่นๆ ในหน่วยดาวพิฆาต ต่างรู้แจ้งถึงวิธีคลี่คลายทีละนิดด้วยตนเอง หนึ่งในบรรดาผู้ที่ช้าที่สุดใช้เวลาฝ่าด่านถึงแปดครั้งกว่าจะสำเร็จ บาดเจ็บสาหัสกว่าเจ้า แต่เขาไม่เคยกล่าวว่าจะออกจากหน่วยดาวพิฆาต”

ไท่สุ้ยนิ่งงัน ไม่เอ่ยวาจา

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มไกล่เกลี่ย “พวกเราก็ต้องยอมรับว่าเหยากวงมีความคิดปั่นหัวเจ้าอยู่บ้างอย่างแท้จริง พวกเราคนอื่นต้องได้รับการอบรมฝึกฝนอย่างน้อยครึ่งปี ถึงเริ่มเข้าทดสอบด่านต่างๆ เหล่านี้ ทว่าเหยากวงยังรู้จักหนักเบา นางกล้าดำเนินการเช่นนี้เพราะรู้ถึงความสามารถพิเศษของเจ้า”

ไคหยางค้อนไท่สุ้ยวงหนึ่งก่อนเอ่ย “เจ้าเป็นชายชาตรี แง่งอนอันใดกับเด็กสาวคนหนึ่ง อันที่จริงเหยากวงมิได้รังเกียจรังงอนเจ้า เพียงแต่เด็กคนนี้บางครั้งไม่รู้ว่าสมควรใช้วิธีการใดแสดงออกถึงความคิดของนาง คล้ายออกจะไม่รู้จักหนักเบาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มบางแล้วกล่าว “อย่างเช่น... ระหว่างนางกับบิดาของนาง...”

ไคหยางยิ้มอ่อนหวาน “ข้าพบว่ายิ่งเป็นบุคคลที่เด็กคนนี้ใส่ใจ ก็จะยิ่งทุกข์ทรมานเพราะนางได้ง่ายดาย”

ไท่สุ้ยมองไคหยางแวบหนึ่ง ในแววตาปรากฏแววครุ่นคิดลึกซึ้ง

หลิ่วสุยเฟิงมองไท่สุ้ยปราดหนึ่ง ในดวงตาผุดรอยยิ้มอย่างไม่อาจบรรยาย แล้วกล่าวอีก “ค่ายฉีเหมินตุ้นเจี่ยกลับทลายได้ยากกว่าค่ายสิบแปดมนุษย์ทองแดง แต่ถ้าเจ้าไม่สุ่มสี่สุ่มห้าฝ่าเข้าไป แต่สังเกตอย่างสงบ วางแผนก่อนเคลื่อนไหว เมื่อเพิ่งเข้าไปก็ไม่ตกอยู่ในอันตราย”

ไคหยางพยักหน้ากล่าว “นั่นสิ! ตอนนั้นแม้เหยากวงมีเจตนาแกล้งเจ้า แต่นางไม่คิดว่าเจ้าจะบุ่มบ่ามถึงเพียงนี้ ดังนั้นเมื่อเห็นเจ้าประสบอันตราย นางก็ไม่แยแสสิ่งใดแล้ว รีบร้อนฝ่าเข้าไปด้านใน ทลายค่ายเอาดื้อๆ ทำลายสมบัติของผู้อาวุโสจั๋วไปมากมาย ตอนนี้ผู้อาวุโสจั๋วยังเสียดายไม่หาย”

ไท่สุ้ยชะงักฝีเท้า ตรึกตรองเงียบๆ ไคหยางและหลิ่วสุยเฟิงสบตากันแวบหนึ่ง ยืนนิ่งๆ อีกฟากไม่เอ่ยวาจา

ไท่สุ้ยเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ข้าเข้าใจแล้ว อันที่จริงถึงแม้ขั้นตอนการอบรมฝึกฝนจะทดสอบวรยุทธ์ก็ตาม แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือสอนให้รู้จักคิดวิเคราะห์การทลายค่ายกล”

“มิผิด! ทันทีที่เป็นสมาชิกของหน่วยดาวพิฆาต ก็ต้องรับมือเหตุการณ์และบุคคลแปลกประหลาดพิสดารมากมายหลากหลายชนิด เรื่องราวและบุคคลเหล่านั้นไม่อาจใช้วรยุทธ์มาคลี่คลายแก้ไข ที่มากกว่านั้นต้องใช้ตรงนี้” หลิ่วสุยเฟิงชี้ที่ศีรษะตนเองแล้วยิ้ม “เจ้าคิดตกเรื่องนี้ถึงจะนับว่าผ่านการทดสอบอย่างแท้จริง”

ไท่สุ้ยพยักหน้าเงียบๆ “อือ ข้าพึ่งพาความเป็นอมตะของตนเองมากเกินไป ดังนั้น... ทำการใดก็มุทะลุบุ่มบ่าม”

ไคหยางยิ้มอย่างปลื้มใจ “ก่อนหน้านี้เจ้ามีอคติต่อเหยากวง ใช้อารมณ์ในการฝึก ดังนั้นจึงรู้สึกว่านางจงใจหาเรื่องเจ้าไปทุกอย่าง ขอเพียงเปิดใจให้กว้าง เจ้าก็จะพบว่าอาจกลายเป็นอีกเรื่องโดยสิ้นเชิง”

ไท่สุ้ยพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง

 

ภายในห้อง เหยากวงผุดลุกผุดนั่ง เดินกลับไปกลับมา

‘ข้าเหมือนว่าทำเกินไปอย่างแท้จริง เขา... จะไปจริงหรือ’ นางเดินกลับไปกลับมาอีกหลายก้าว กัดริมฝีปากอย่างกังวล ‘ไม่เช่นนั้นข้าควรไปขอโทษเขา’

นางลังเล ไม่อาจตัดสินใจ หมุนตัวเดินกลับมาข้างโต๊ะ หยิบจอกชาว่างเปล่ายื่นส่งมาที่ข้างริมฝีปาก แล้วหยุดชะงัก พลางพึมพำ “หากข้าขอโทษ ถูกเขาใช้เป็นข้อตลบหลัง ต่อไปไยมิใช่ถูกเขาขู่เข็ญบังคับ โอย น่ากลุ้มนัก!”

เหยากวงกระแทกจอกชาลง แล้วทิ้งตัวลงนั่ง

ตอนนี้เองประตูถูกคนเปิดเข้ามากะทันหัน ไท่สุ้ยพันผ้าพันแผลทั้งตัวเดินเข้ามาจากภายนอก

เหยากวงสะดุ้งตกใจทะลึ่งตัวพรวด เตรียมท่าป้องกัน “ตัวประหลาดใดกัน”

ไท่สุ้ยตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ประหลาดกับผี เป็นข้า!”

เหยากวงอึ้งงัน มองไท่สุ้ยอย่างตกตะลึง “เจ้า... ถึงกับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้?”

สองตาที่โผล่พ้นผ้าพันแผลจ้องนางเขม็ง

เหยากวงก้มหน้างุดอย่างสำนึกผิดด้วยความเสียใจ “ขะ...ขอโทษ”

ได้ยินคำขอโทษจากเหยากวง ไท่สุ้ยก็เบิกตาโพลงทันควัน ท่าทางคาดไม่ถึง จากนั้นสองตาก็หยักโค้งเล็กน้อย ผุดรอยยิ้ม แต่พอเหยากวงเงยหน้า ไท่สุ้ยกลับรีบทำหน้าบึ้งตึงจริงจังดังเดิม

ขอบตาเหยากวงรื้นแดง เงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเศร้า “จะ...เจ้าจะไปแล้วหรือ”

ไท่สุ้ยตอบเสียงแข็ง “ถ้าข้าคิดจะไป ยังจะมาบอกลาเจ้าหรือ”

เหยากวงถามอย่างแปลกใจ “เช่นนั้นเจ้า?”

ไท่สุ้ยแค่นเสียงครั้งหนึ่ง “ฮึ! ข้ามาเพื่อบอกเจ้าว่าพรุ่งนี้ฝึกฝนตามเดิม”

“หา?” เหยากวงอ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ

“มีปัญหายากอันใด เจ้าก็ออกมาให้เต็มที่ ข้าไม่เพียงปฏิบัติตาม ยังจะทำให้ดีกว่าเจ้า! ตอนนี้เจ้าอยู่เหนือข้า ต้องมีสักวัน ข้าจะปีนไปอยู่เหนือเจ้า!” ไท่สุ้ยเชิดคางอย่างหยิ่งทะนง “พวกเราคอยดูก็แล้วกัน!”

พูดจบไท่สุ้ยก็หมุนตัว เดินตัวแข็งทื่อออกไปจากห้อง

เหยากวงยังคงมองเงาหลังของเขาอย่างประหลาดใจ คิดแล้วพลันปล่อยหัวเราะพรวด ก่อนพึมพำเสียงเบา “ปากแข็ง หัวดื้อ!”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น