1

สิบแปด วาสนาเริ่มขึ้นและดับมอด


สิบแปด วาสนาเริ่มขึ้นและดับมอด

 

ภายใต้แสงยามราตรี เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ต่างมาชุมนุมกันใต้ประตูอู่

โค่วจุ่นปรากฏกายท่ามกลางหมู่ขุนนาง ชูแขนกู่ร้องเสียงสูง “ฮองเฮาแห่งแผ่นดิน มารดาแห่งผืนปฐพี นี่เป็นเรื่องของบ้านเมือง ไหนเลยโอรสสวรรค์รับสั่งเดียวตัดสินได้ ตำแหน่งฮองเฮาผู้นำแห่งหกตำหนัก227 ถึงกับลอบสถาปนายามสามค่อนคืน ไหนเลยทั่วหล้าจะไม่หัวเราะเยาะ พวกข้าบรรดาขุนนางกินเบี้ยหวัดแห่งราชสำนัก เวลานี้สมควรถวายความจงรักภักดีต่อราชสำนัก แม้ตายก็ไม่เสียใจ”

บรรดาขุนนางต่างถลกแขนเสื้อชูแขน พร่ำร้องเสียงสูง “แม้ตายก็ไม่เสียใจ! แม้นตายก็ไม่เสียใจ!”

โค่วจุ่นนำบรรดาขุนนางบุกฝ่าไปทางประตูพระราชวังด้วยทีท่าเกรี้ยวกราดและดุดัน

 

องครักษ์ภายในพระราชวังวิ่งมาถึงตำหนักต้าชิ่ง ประสานมือถวายรายงาน “ทูลฝ่าบาท บรรดาขุนนางใหญ่ที่ทราบว่าฝ่าบาททรงจัดพิธีสถาปนาฮองเฮาที่ตำหนักต้าชิ่ง ต่างออกันนอกประตูอู่ คิดฝ่าเข้ามาในพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้า”

ไคหยางและรัชทายาทต่างตกตะลึง

เหลยอวิ่นกงเลิกคิ้วเอ่ยเสียงแหลม “บรรดาขุนนางเหล่านี้บังอาจนัก ถึงกับจาบจ้วงเบื้องสูงเยี่ยงนี้”

หลิวเอ๋อร์เผยสีหน้าเป็นกังวล มองไปทางฮ่องเต้

เจินจงฮ่องเต้ขมวดพระขนง รับสั่งสุรเสียงทุ้ม “ระดมองครักษ์ที่อยู่เวรยามกันพวกเขาไว้!”

องครักษ์รับพระบัญชา หมุนตัวจะจากไป

“ช้าก่อน!” ฮ่องเต้ทรงลังเลครู่หนึ่งก่อนตรัสกำชับ “อนุญาตเพียงสกัดกั้นบรรดาขุนนางใหญ่เข้าวัง ห้ามทำร้ายพวกเขาเด็ดขาด”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา!” องครักษ์รับพระบัญชาก่อนจากไป

 

นอกประตูอู่ โค่วจุ่นและคนอื่นๆ กำลังทุบประตู ต่างร้องตะโกนเสียงดัง “เปิดประตู! เปิดประตู! พวกเราขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”

“พวกเราขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”

องครักษ์กลุ่มใหญ่มิได้ติดอาวุธ ในมือถือโล่ขนาดใหญ่ ตั้งแถวเป็นระเบียบพร้อมเพรียงวิ่งกรูเข้ามาใช้โล่ดันบรรดาขุนนางออกไป ก่อนตั้งแถวโล่ขนาดใหญ่ขวางหน้าประตูอู่

ขุนนางเฒ่าผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลน อายุอานามอย่างน้อยหกสิบปีผู้หนึ่งเดือดดาลยิ่ง เขาชูแขนกู่ก้อง “ที่สถิตแห่งสัทธรรม แม้พันหมื่นคนขัดขวาง ข้าจะทะลวงฝ่าไป!”

พูดพลางเป็นหัวหอกพุ่งเข้าไปเตะต่อยโล่ขนาดใหญ่ของกององครักษ์ ขุนนางอื่นต่างกระทำเลียนแบบ ดาหน้าเข้าใส่

กององครักษ์หดหัวอยู่หลังโล่ยักษ์ ถูกเตะต่อยแต่ไม่โต้กลับ ถูกด่าว่าแต่ไม่ต่อคำ

 

กลางตำหนักต้าชิ่ง ลูกศิษย์ของเต๋อเมี่ยวถือตะเกียงน้ำมันยืนเรียงสองแถว ลูกศิษย์ที่สวมหน้ากากกำลังร่ายรำบูชาเทพเจ้าอย่างเอาจริงเอาจัง

“ฝ่าบาท ถึงศุภวารฤกษ์สถาปนาฮองเฮาแล้ว” เต๋อเมี่ยวสะบัดไม้ปัดธุลี ค้อมศีรษะไปทางฮ่องเต้

เหลยอวิ่นกงและโจวไหวเจิ้งซอยเท้าขึ้นหน้า เหลยอวิ่นกงเทินถาดวางราชโองการ พระสุพรรณบัฏ มงกุฎหงส์ และพระลัญจกรของฮองเฮาไว้เหนือศีรษะ

โจวไหวเจิ้งยื่นมือไปหยิบราชโองการ เจินจงฮ่องเต้ผายพระหัตถ์พลางตรัส “เราประกาศราชโองการด้วยตัวเอง!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” โจวไหวเจิ้งรีบถอยหลังหนึ่งก้าว

ฮ่องเต้ทรงหยิบราชโองการจากถาดขึ้นมาคลี่เปิด ทรงอ่านประกาศด้วยพระองค์เอง

รัชทายาทส่งสัญญาณให้กองมโหรีที่อยู่ด้านข้างเริ่มบรรเลง

เจินจงฮ่องเต้ทรงชูพระสุพรรณบัฏและพระลัญจกรของฮองเฮาไปทางหลิวเอ๋อร์ สีพระพักตร์น่ายำเกรงขณะรับสั่ง “ราชันครองราชย์ด้วยโองการแห่งสวรรค์ เป็นบิดามารดาแห่งทวยราษฎร์ ให้สี่สมุทรทัดเทียม หมื่นทิศกลมกลืน ทรงวินิจฉัยคัดเลือกพระชายาผู้พรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัติคู่ควร หลิวสื้อตำแหน่งเต๋อเฟย อ่อนโยนเพียบพร้อมด้วยจริยธรรม สง่าผ่าเผย งดงามสุภาพ สงบสุขุม เคารพขนบธรรมเนียม สมควรสถาปนาเป็นหลักแห่งฝ่ายใน เป็นมารดาแห่งแผ่นดิน ด้วยราชโองการและพระลัญจกร ขอสถาปนาแต่งตั้งหลิวสื้อตำแหน่งเต๋อเฟยเป็นฮองเฮา!”

หลิวเอ๋อร์ค้อมศีรษะคุกเข่าลงกับพื้น ชูมือเหนือศีรษะรับราชโองการ กล่าวเสียงดังฟังชัด “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาเพคะ!”

เจินจงฮ่องเต้ทรงพระดำเนินขึ้นหน้า ทรงประคองหลิวเอ๋อร์ขึ้น มอบพระลัญจกรแห่งฮองเฮาและพระสุพรรณบัฏแก่นาง หลิวเอ๋อร์วางลงเบื้องบนก่อนหมุนตัวมาทางฮ่องเต้

สองร่างสวมชุดคลุมหงส์มังกร สี่ดวงตาสบประสาน ในใจตื้นตันมิคลาย

‘วันนี้... ข้ารอมานานเพียงใด’

‘วันนี้... ข้ารอมานานเกินไปแล้ว!’

เจินจงฮ่องเต้ทรงจูงมือหลิวเอ๋อร์ สบพระเนตรกับนางด้วยความรู้สึกลึกล้ำ ขอบพระเนตรและขอบตาของนางต่างรื้นน้ำตา

กลางลานพระราชพิธีอันกว้างใหญ่ องครักษ์ยืนแถวเรียงราย ทุกห้าก้าวมีทหารยืนหนึ่งนาย ร่างหยัดตรงองอาจราวกับด้ามทวน เข้มงวดทรงเกียรติภูมิ

เจินจงฮ่องเต้ทรงกุมมือหลิวเอ๋อร์ เสด็จออกไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางการติดตามของทุกคน

“เจ้าหน้าที่ ลำเลียงพลุไฟที่เตรียมให้ฮองเฮาออกไป” ฮ่องเต้รับสั่งสุรเสียงก้องกังวาน เมื่อตรัสคำว่า ‘ฮองเฮา’ ในพระทัยก็ซาบซึ้งและหวั่นไหว

ขันทีชั้นผู้น้อยยกแท่งพลุไฟไปกลางลานพิธี เจินจงฮ่องเต้ทรงประคองมือหลิวเอ๋อร์ ทอดพระเนตรไปยังพลุไฟพลางแย้มพระสรวลให้กัน

ไคหยางเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว รับคบเพลิงจากมือเสี่ยวหลินจื่อ ก่อนเดินไปหยุดตรงหน้าพลุไฟ กำลังจะจุดชนวน

“ช้าก่อน” เจินจงฮ่องเต้ตรัสห้ามขึ้นกะทันหัน

ไคหยางยืดตัวขึ้นมองไปทางฮ่องเต้ด้วยความสงสัย

“เราจะจุดพลุไฟฉลองให้ฮองเฮาด้วยตนเอง” เจินจงฮ่องเต้ตรัสขึ้น

ไคหยางยิ้มเล็กน้อย ก่อนถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรหลิวเอ๋อร์ ยื่นพระหัตถ์ไปประคองนางแล้วทอดพระเนตรรัชทายาท

“ลูกเจิน”

รัชทายาทเร่งฝีเท้าขึ้นหน้า ถวายบังคมฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ!”

พระองค์ทรงดึงมือรัชทายาท ย่างพระบาทไปทางบันไดแท่นพิธี

หนึ่งในเก้าลูกศิษย์ของเต๋อเมี่ยวที่สวมหน้ากากจ้องฮ่องเต้ซึ่งเสด็จตัดหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา ท่าร่างเคลื่อนไหวและสายตากวาดมองไปทางพลุไฟกลางลานพลันหยุดชะงัก

เจินจงฮ่องเต้ทรงรับคบเพลิงมาจากมือไคหยาง ทรงส่งสัญญาณให้หลิวเอ๋อร์จับคบเพลิงพร้อมกัน ก่อนตรัสกับรัชทายาท “ลูกเจิน เราสามคนทั้งครอบครัวร่วมกันจุดพลุไฟเถิด!”

รัชทายาทรับพระบัญชาด้วยความยินดี ก่อนปรี่เข้าไปหนึ่งก้าว แล้วจับที่ปลายด้ามคบเพลิง

ทั้งสามร่วมประคองด้ามคบเพลิงจ่อที่สายชนวน

ขณะที่เปลวเพลิงและสายชนวนห่างกันเพียงชั่วข้อนิ้วนั่นเอง เสียงของต้งหมิงก็ดังแหวกความเงียบสงัดยามราตรี

“หยุดมือ!”

ทั้งสามคนต่างตะลึงงัน ยืนนิ่งอยู่กับที่ ฮ่องเต้หันไปทอดพระเนตรต้งหมิงที่เร่งรุดกระโดดเข้ามาด้วยวิชาตัวเบา ด้านหลังตามติดด้วยเหยากวงกับไท่สุ้ย

เจินจงฮ่องเต้ทรงชูคบเพลิงพลางหันพระวรกายมา หลิวเอ๋อร์โอบร่างรัชทายาทพร้อมหมุนตัวมา

“ต้งหมิง ท่านมายับยั้งการสถาปนาฮองเฮาของเราหรือ” สีพระพักตร์ของพระองค์อึมครึม

รัชทายาทก้าวขึ้นหน้าพลางเอ่ย “ใต้เท้าผู้บังคับการ พิธีสถาปนาเสร็จสิ้นแล้ว!” พูดพลางขยิบตาให้ต้งหมิง เป็นนัยให้ต้งหมิงรีบหลบไป อย่าได้ทำให้พระบิดาทรงพิโรธ

ต้งหมิงประสานมือกราบทูล “ฝ่าบาท กระหม่อมมาถวายการอารักขาพ่ะย่ะค่ะ”

“อารักขา? เราอยู่ในพระราชวัง องครักษ์แน่นหนา ไยต้องอารักขา” เจินจงฮ่องเต้ หลิวเอ๋อร์ และรัชทายาทต่างตกตะลึง

“ฝ่าบาท อันตรายล่อแหลมแฝงอยู่ในพลุไฟนี้” วาจาที่ต้งหมิงกล่าวออกมาทำให้ผู้คนตื่นตะลึง

เจินจงฮ่องเต้ตกพระทัย หันกลับไปทอดพระเนตรพลุไฟแล้วทอดพระเนตรต้งหมิง “วาจานี้หมายความว่าอย่างไร”

พอทุกคนได้ฟังคำต่างก็มองต้งหมิงอย่างตระหนก ดวงตาของหนึ่งในเก้าลูกศิษย์ที่สวมหน้ากากดุร้ายขึ้นมาฉับพลัน

ต้งหมิงประสานมือกราบทูลต่อ “ฝ่าบาท พลุไฟนี้มีไคหยางของหน่วยดาวพิฆาตเป็นผู้จัดสร้าง ไคหยางรับพระบัญชาคิดสร้างพลุไฟนี้ให้วิจิตรงดงาม จึงขอให้เมิ่งตง นายช่างชาวบ้านช่วยเหลือ ดังนั้นพลุไฟนี้แท้จริงแล้วเป็นไคหยางกับเมิ่งตงร่วมกันสร้างขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”

ในหมู่ลูกศิษย์ที่สวมหน้ากาก ผู้ที่มีแววตาดุร้ายนั้นลอบเขยิบขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว

“บัดนี้กระหม่อมตรวจสอบกระจ่างชัดแจ้ง เมิ่งตงผู้นั้นเป็นหลานชายนายช่างหลวงเหยี่ยนเจิ้งผู้ต้องโทษอุกฉกรรจ์ เขาปิดบังอำพรางฐานะเพื่อใกล้ชิดหน่วยดาวพิฆาตของกระหม่อม เกรงว่าจะแฝงเจตนาร้าย ฝ่าบาท พลุไฟนี้ทรงจุดมิได้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ”

เจินจงฮ่องเต้ตรัสด้วยสุรเสียงตระหนก “ถึงกับเป็นเช่นนี้ เช่นนั้น...”

ยังไม่ทันสิ้นสุรเสียง กลางกลุ่มลูกศิษย์ของเต๋อเมี่ยว เมิ่งตงซึ่งสวมหน้ากากพลันพุ่งตัวออกมาปราดเข้าใส่ฮ่องเต้โดยตรง

ขณะเดียวกันอาวุธวิเศษที่เต๋อเมี่ยวนำมาด้วยก็แปลงร่างเป็นหุ่นวิหคเหิน หน้ากลองหลายใบปริแตก หุ่นวิหคเหินขนาดเล็กหลายตัวบินกรูออกมา ส่วนปลายปีกล้วนเป็นเหล็กแหลมคมราวกับกระบี่ บินแตกรังทะลักออกมาจากกลอง โจมตีใส่หมู่คนไม่เลือกหน้า กระทั่งเต๋อเมี่ยวกับลูกศิษย์ของนางก็ไม่ละเว้น

หุ่นวิหคเหินเหล่านี้ปะทะผู้ใดก็โจมตี ยังซัดลูกดอกสีน้ำเงินออกมาเป็นระยะ เด่นชัดว่าฉาบยาพิษ ขนาดหุ่นวิหคเหินเล็กและปราดเปรียวว่องไว ยากจะรับมือยิ่งกว่าหุ่นสัตว์จักรกล ลานพิธีอลหม่านโกลาหลในชั่วพริบตา

ต้งหมิงถวายการอารักขาเบื้องหน้าฮ่องเต้ โจมตีโต้ตอบหุ่นวิหคเหินที่บินพุ่งเข้ามา คุ้มกันฮ่องเต้และคนอื่นเข้าสู่ตำหนัก

ไท่สุ้ยกับเหยากวงก็เข้าร่วมรบ

เหยากวงใช้อาวุธลับซัดทำลายหุ่นวิหคเหินที่บินว่อนกลางอากาศ

ส่วนไคหยางกลับยืนหน้าเสียอยู่กับที่ ตะลึงลานชั่วขณะจนมิได้ตอบโต้

กลางฝูงชน เต๋อเมี่ยวหลบซ้ายเลี่ยงขวา ทันทีที่พลั้งพลาด หัวไหล่ถูกหุ่นวิหคเหินบินแฉลบจนเป็นแผล นางร้องอุทานอย่างตกใจ กุมท่อนแขนก่อนล้มลงกับพื้น กำลังจะลุกขึ้นยืนแล้วหลบหนี พลันพบว่าหุ่นวิหคเหินเหล่านี้ไม่ใคร่โจมตีเป้าหมายที่อยู่ต่ำ ดวงตาเต๋อเมี่ยวกลอกไปมา ตัดสินใจไม่ลุกขึ้นยืน รีบคืบคลานไปทางมุมกำแพง

ไคหยางเบิกตาโพลง มองสถานการณ์เบื้องหน้าด้วยสายตามึนงง ถ้อยคำที่ต้งหมิงกล่าวเมื่อครู่และภาพเหตุการณ์ยามพบพานของนางกับเมิ่งตงผุดวาบในสมองไม่หยุด

“บัดนี้กระหม่อมตรวจสอบกระจ่างชัดแจ้ง เมิ่งตงนั้นเป็นหลานชายนายช่างหลวงเหยี่ยนเจิ้งผู้ต้องโทษอุกฉกรรจ์ เขาปิดบังอำพรางฐานะเพื่อใกล้ชิดกับหน่วยดาวพิฆาตของกระหม่อม เกรงว่าจะแฝงเจตนาร้าย...”

เสียงของต้งหมิงก้องสะท้อนในสมองของนาง

“เขาปิดบังอำพรางฐานะเพื่อใกล้ชิดหน่วยดาวพิฆาตของกระหม่อม...”

‘หรือเขาจงใจใกล้ชิดกับข้า’

ไคหยางปวดแปลบในใจ ชั่วขณะนั้นไม่อยากเชื่อ

ภายในตำหนักวุ่นวายอลหม่าน เสียงกรีดร้องโหยหวนน่าอนาถดังขึ้นเป็นระยะ บรรดาองครักษ์หน้าตำหนักต่างเข้าร่วมรบ กวัดแกว่งสะบั้นหุ่นวิหคเหิน ทว่าเพราะหุ่นเหล่านี้มีขนาดกระจิริด ปราดเปรียวคล่องแคล่ว และหลบหลีกอย่างชำนาญ บรรดาองครักษ์คงมิใช่คู่ต่อกร

บัดนี้เสี่ยวหลินจื่อขันทีชั้นผู้น้อยไม่ทันหลบหลีก ถูกหุ่นวิหคเหินตัวหนึ่งโจมตีจนต้องรีบถอยหลัง เห็นจะงอยปากแหลมคมของหุ่นวิหคเหินเข้ามาใกล้ ได้แต่ตกใจยืนนิ่งงันพร้อมกับอ้าปากค้าง

ตอนนี้เองไท่สุ้ยพลันกระโจนเข้ามาโถมกอดเสี่ยวหลินจื่อ ทั้งคู่ล้มลงก่อนกลิ้งไปจนถึงข้างกำแพง หลบเลี่ยงหุ่นวิหคเหินได้ทันกาล

แต่มันยังบินวนเวียน ลูกดอกแหลมคมซัดพุ่งออกมาจากจะงอย จะปักเข้าไปในดวงตาของเสี่ยวหลินจื่อ

เสี่ยวหลินจื่อตกใจร้องลั่น ยกมือขึ้นปิดหน้า ไท่สุ้ยตาแหลมคม มือว่องไว ยกมือขึ้นกันจนลูกดอกแหลมคมปักเข้าบนหลังมือของเขาแทน

ไท่สุ้ยร้องพลางยกแขนขึ้นมาดึงลูกดอกเงินออก เก็บดาบที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นมาเล่มหนึ่ง ก่อนจะเหวี่ยงไปกลางอากาศอย่างรุนแรงเสียงดังพลั่ก หุ่นวิหคเหินที่บินตรงเข้ามากลายเป็นเศษซาก

 

อีกทางหนึ่ง ต้งหมิงและเหยากวงถวายการอารักขาฮ่องเต้ หลิวเต๋อเฟย และรัชทายาท มิทราบว่าต้งหมิงเก็บดาบมาจากที่ใด กวัดแกว่งดาบขึ้นลง กระทั่งหยดน้ำยังไม่อาจกระเซ็น ส่วนเหยากวงนั้นไม่แยแสสิ่งใดทั้งสิ้น คว้าโต๊ะตัวหนึ่งขึ้นมาเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา

เพียงแต่รูปร่างของหุ่นวิหคเหินไม่ใหญ่ อีกทั้งยังบินได้ ทั้งคู่ไม่อาจดูแลป้องกันได้ทั่วถึง

มือหนึ่งของหลิวเอ๋อร์ดึงฮ่องเต้ อีกมือดึงตัวรัชทายาทไว้ด้วยสีหน้าแตกตื่นลนลานเพราะอับจนหนทาง ทันทีที่ต้งหมิงและเหยากวงพลาดพลั้ง หุ่นวิหคเหินตัวหนึ่งก็บินฝ่าการป้องกันของพวกเขาพุ่งเข้าไปทำร้ายฮ่องเต้

หลิวเอ๋อร์กรีดร้องเสียงแหลม เอนร่างโค้งไปด้านหลัง พร้อมกับดึงพระวรกายของฮ่องเต้ให้เอนไปด้วย หุ่นวิหคเหินจึงแทงพลาดเป้า บินแฉลบผ่านไป

ฝ่าเท้าหลิวเอ๋อร์ยืนอย่างมั่นคง ก่อนดีดร่างกลับขึ้นมายืนตรงราวกับตุ๊กตาล้มลุก นางแสร้งทำท่าตื่นตระหนกพลางหมุนตัวไปดึงรัชทายาทให้ออกห่างจากที่เดิม

ลูกดอกที่ยิงมาจากหุ่นวิหคเหินตัวหนึ่งแฉลบผ่านแก้มของรัชทายาทไป

ต้งหมิงซึ่งคิดจะกลับมาช่วยเหลือเห็นฉากนี้พอดิบพอดี รูม่านตาก็หดเล็กลง ทว่ายามนี้หาใช่เวลาเปล่งวาจา เขาได้แต่ปรายตามองหลิวเอ๋อร์คราหนึ่งก่อนหมุนตัวเข้าสู่การรบ

แท้จริงแล้วเมิ่งตงที่สวมหน้ากากนั้นมีวรยุทธ์ เขาคิดจู่โจมฮ่องเต้อยู่ตลอดเวลา แต่กลับถูกคนขัดขวางทุกครั้ง บางครั้งหุ่นวิหคเหินก็บินโจมตีใส่ บีบบังคับให้เขาต้องรักษาตัวรอด จึงคลาดโอกาสโถมเข้าใส่ฮ่องเต้

ในตอนนี้เองหุ่นวิหคเหินตัวหนึ่งบินใส่หัวไหล่ไคหยาง แฉลบผ่านจนเป็นแผลมีเลือดซึม ไคหยางเจ็บจนร้องอุทานอย่างตกใจ ร่างเอนเอียงโงนเงน

ไม่รอให้นางล้มลงกับพื้น หุ่นวิหคเหินอีกตัวก็บินมาทางนี้ มุ่งตรงเข้าใส่ทรวงอกของไคหยาง จะงอยแหลมคมเล็กยาวพร้อมเสียงลมบาดหูทำให้ผู้คนขวัญผวา

แววตาของเมิ่งตงที่สวมหน้ากากตื่นตระหนก ท่าร่างที่กระโจนเข้าใส่เจินจงฮ่องเต้พลันพลิกผัน กระโดดพุ่งตัวไปทางไคหยาง พลิกข้อมือตบปัดหุ่นวิหคเหินเอียงลอยหวือไป ขณะเดียวกันก็ดึงตัวไคหยางมาอยู่ข้างกาย ปกป้องนางมายังข้างเสาใหญ่ต้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“หลังแนบเสาไว้ ยอบตัวลงต่ำ!” เมิ่งตงบอกเสียงทุ้ม

เมื่อได้ยินเสียงเขา ร่างไคหยางก็สั่นสะท้านฉับพลัน ร้องถามอย่างตกตะลึง “เมิ่งตง?”

ร่างของเขาแข็งเกร็ง ไคหยางมองเขาอย่างตะลึง ยื่นมือจับหน้ากากเขาทันที

เมิ่งตงที่ไม่ทันตอบสนองถูกนางกระชากหน้ากากออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง

“เมิ่งตง? ไฉนเป็นท่าน... เป็นท่านจริงหรือ!” ไคหยางเบิกตาโพลงอย่างตกใจ มองเมิ่งตงอย่างไม่อยากเชื่อ

ผมเผ้าของเมิ่งตงรุ่ยร่ายตกระบนใบหน้า ชุดคลุมนักพรตบนร่างขาดรุ่งริ่ง รอยแผลปรากฏต่อเนื่อง ไหนจะมีคราบโลหิตมากมาย ยามเผชิญหน้ากับดวงตากลมโตของไคหยาง เขาก็หลบสายตาอย่างละอายแก่ใจ แต่พอเบนสายตาก็เห็นต้งหมิงกำลังรับมือกับหุ่นวิหคเหินที่จู่โจมฮ่องเต้ หลิวเอ๋อร์ และรัชทายาทพอดี

เมิ่งตงกัดฟันกรอด ไม่สนใจไคหยาง พุ่งตัวไปทางฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว พลางค้อมเอวลงเก็บดาบขึ้นมาเล่มหนึ่ง ฟันไปทางต้งหมิงเสียงดังสวบ

บริเวณโดยรอบมีคนแตกตื่นหลบหนีไม่ขาดสาย แต่ไคหยางกลับยืนนิ่งราวกับไม้ตายซาก ในมือกำหน้ากาก ยังคงมองเมิ่งตงอย่างไม่อยากเชื่อ

ทันใดนั้นหุ่นวิหคเหินตัวหนึ่งโจมตีเมิ่งตง เขาหลบหลีกอย่างแคล่วคล่อง ฝ่ามือหนึ่งตบบนปีกไม้ของหุ่นวิหคเหิน

หุ่นตัวนั้นบินเอียงๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนมุ่งตรงมาทางไคหยาง ยิงลูกดอกออกมาดอกหนึ่ง

ไคหยางยืนนิ่งงันอยู่กับที่ มองเมิ่งตงตาค้าง ไม่ได้หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย

เมิ่งตงตระหนกตกใจพลางร้องลั่น “ไคหยาง!”

เขาไม่แยแสต้งหมิงที่กำลังประมือกัน แต่กลับกระโจนไปทางไคหยาง

ต้งหมิงไม่ทันเก็บฝ่ามือ ซัดใส่แผ่นหลังของเมิ่งตง เห็นว่าเขากระโจนไปช่วยเหลือไคหยาง ต้งหมิงได้แต่ตื่นตะลึง ไม่ตามไปโจมตีอีก

เมิ่งตงกระอักโลหิตสดออกมาคำหนึ่ง แต่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย อาศัยแรงถลาไปเบื้องหน้า โอบกอดไคหยาง ใช้ตัวบังลูกดอกไว้

ฉึก!

ลูกดอกปักลึกเข้าไปตรงตำแหน่งหัวใจจากด้านหลังของเมิ่งตงพอดี ร่างของเขาสะท้านเฮือกก่อนอ่อนระทวยล้มลงไป

ไคหยางตื่นตะลึง ตั้งสติได้ก็ออกแรงโอบกอดเมิ่งตง เพียงแต่นางไม่มีวรยุทธ์ พละกำลังอ่อนด้อยน้อยนิด กอดรั้งเขาไว้ไม่อยู่ ได้แต่ล้มไปด้านหลังตามเมิ่งตง

นางชันเข่านั่งกับพื้น น้ำตาไหลพรากยามมองเมิ่งตงที่หายใจรวยรินอยู่ในอ้อมแขน สอบถามเสียงสั่นเทา “เพราะเหตุใด เมิ่งตง ไฉนถึงทำเช่นนี้”

ผู้คนโดยรอบกำลังต่อกรกับหุ่นวิหคเหิน เงาร่างวูบไหว

เมิ่งตงฝืนรวบรวมกำลัง ยิ้มอย่างอ่อนแรงให้ไคหยาง “ท่านปู่ของข้า... ก็คือนายช่างหลวงเหยี่ยนเจิ้ง!”

“นายช่างหลวงเหยี่ยน?” ไคหยางตกตะลึง

“และเขาเสียชีวิตด้วยฝีมือของหน่วยดาวพิฆาต!” เมิ่งตงพยักหน้าอย่างเชื่องช้า

ไคหยางมึนงง มองเมิ่งตงพลางพึมพำ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้! ท่าน...ท่านใกล้ชิดข้า...”

“ถูกต้อง! ข้าหลอกใช้เจ้า!” เมิ่งตงไอเบาๆ โลหิตทะลักออกมาจากปาก ใบหน้าแขวนรอยยิ้มบางๆ

เมื่อได้ยินวาจาของเขา ร่างของไคหยางก็โงนเงน สั่นสะท้านไปทั้งตัว

เมิ่งตงมองดวงตาของไคหยาง ลอบถอนหายใจแผ่วเบาคราหนึ่งก่อนเอ่ย “การรู้จักของข้ากับเจ้าเป็นวาสนาอย่างแท้จริง ตอนนั้นท่านปู่ข้ายังไม่ประสบเคราะห์ ข้ากำลังจะปิดร้าน ติดตามท่านปู่กลับบ้านเกิด...”

สี่ทิศรอบด้านต่อสู้กันไม่ขาดสาย เสียงอาวุธกระทบกระทั่ง เสียงกรีดร้องกู่ก้องตะโกนทุกแห่งหน เงาร่างผู้คนพลิ้วไหว

“แต่ที่ข้านำกลับบ้านเกิดกลับเป็นป้ายวิญญาณของท่านปู่ ข้าชิงชังหน่วยดาวพิฆาต ข้าต้องแก้แค้นให้ท่านปู่! ตอนนั้นเองโต๋วหมู่เทียนจุนก็หาข้าจนพบ”

“โต๋วหมู่เทียนจุน?” ไคหยางพึมพำถามด้วยแววตาเลื่อนลอย

เมิ่งตงหาได้สนใจว่าไคหยางตั้งใจฟังหรือไม่ อาศัยว่ายังมีเรี่ยวแรง หอบหายใจกระชั้นหลายครั้ง ก่อนเอ่ยสืบต่อ “ใช่! โต๋วหมู่เทียนจุน! ท่านปู่ข้า... ปวารณาตนรับใช้เขา ตอนนั้นข้ารู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้าแล้ว เพราะ... สิ่งที่เจ้าไหว้วานให้ข้าสร้างขึ้นนั้นพิเศษพิสดารจนเกินไป ข้าตรวจสอบ... พื้นเพของเจ้า เรื่องนี้... โต๋วหมู่เทียนจุนก็ล่วงรู้ เขาบอกข้าว่า... ขอเพียงข้ายอมทำตามแผนการของเขา เขาจะช่วยข้าแก้แค้น!”

เล่าถึงตรงนี้ เมิ่งตงก็ส่งยิ้มขื่นขมให้ไคหยาง “ข้าจึงกลับเมืองหลวง! และได้พบพานกับเจ้าอีกครั้ง...”

ไคหยางงุนงง ในสมองสับสนว้าวุ่นชั่วครู่ น้ำตาสองสายมิทราบว่าไหลพรากลงมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ที่น่าประหลาดก็คือ บัดนี้เวลานี้ไคหยางกลับไม่เกลียดชังเมิ่งตง นางเพียงแต่อ่อนล้า อยากนิทราสักงีบ ดีที่สุดเมื่อตื่นขึ้น คงพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน

ทุกคนยังคงรบราต่อสู้กันครั้งใหญ่ แม้วรยุทธ์ของต้งหมิงสูงส่งเลิศล้ำ ถวายการอารักขาอย่างไร้กังวล แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธลับและหุ่นวิหคเหินที่ปรากฏไม่ขาดตอน ก็มือไม้พันกันเป็นระวิง ช่างล่อแหลมอันตราย

โจวไหวเจิ้งและเหลยอวิ่นกงไม่มีวรยุทธ์ ทว่าโจวไหวเจิ้งจงรักภักดีคิดปกป้องนาย ติดตามฮ่องเต้กระชั้นชิด ตะโกนด้วยน้ำเสียงลนลาน

“ถวายการอารักขา! ถวายการอารักขา! โยกย้ายกำลังทหารมาเร็ว!”

อีกฟากหนึ่ง เหลยอวิ่นกงเอาแขนขาแนบพื้น คลานไปคืบมา ทันใดนั้นก็คลานไปถึงข้างเสาต้นใหญ่ เห็นเต๋อเมี่ยวกำลังคลานอยู่ตรงนั้นเช่นกัน สองคนสบตากันอย่างแตกตื่นแวบหนึ่ง ต่างไม่พูดไม่จา

ตอนนี้เอง โต๊ะในมือเหยากวงแหลกเละไปแล้ว จึงถูกโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี ได้แต่ซัดอาวุธลับใส่หุ่นวิหคเหินที่บินว่อนกลางอากาศ เพียงทว่าพวกมันหาใช่ร่างแห่งเลือดเนื้อ เว้นเสียแต่ว่าซัดสะบั้นข้อต่อซึ่งเป็นจุดสำคัญ มิฉะนั้นกระทั่งถูกอาวุธลับหลายชิ้น พวกมันก็ยังไม่สะท้านสะเทือน

ขณะนี้ยังพอตรึงสถานการณ์ได้สักพัก แต่ผ่านไปไม่นาน เมื่อเหยากวงล้วงมือไปที่บั้นเอวก็ร้องอุทาน “แย่แล้ว! ใช้อาวุธลับจนเกลี้ยงแล้ว!”

ยามปกตินางพกพาอาวุธลับเพียงสิบชิ้นก็พอรับมือกับศัตรู แต่บัดนี้จำนวนอาวุธลับเล็กน้อยเพียงเท่านี้แทบไร้ประโยชน์

ตอนนี้เองไท่สุ้ยพลันกระโจนเข้ามาชนนางจนกระเด็นออกไป หุ่นวิหคเหินตัวหนึ่งบินแฉลบผ่านจุดที่เหยากวงยืนเมื่อสักครู่แทบจะในเวลาเดียวกัน

“ระวังหน่อย! บนตัวพวกมันมีพิษ”ไท่สุ้ยร้องเตือนเหยากวงอย่างร้อนใจ ก้มหน้ามองหลังมือของตนที่โดนลูกดอกพิษ ผิวหนังม่วงเขียวเป็นปื้น เคราะห์ดีที่พลังฟื้นตัวของเขาน่าตื่นตะลึง อีกทั้งกินยาวิเศษหลากชนิดมาตั้งแต่เล็ก ร้อยพิษไม่อาจกล้ำกราย

เขาไม่เกรงกลัวพิษ แต่มิได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่เกรงกลัวพิษ

“มีพิษ?” เหยากวงฟังแล้วก็ให้ตระหนกตกใจ รีบตะเบ็งเสียง “ทุกคนจงระวัง! ลูกดอกที่หุ่นสัตว์พวกนั้นยิงออกมาฉาบยาพิษ!”

พอทุกคนได้ฟัง แม้วุ่นวายสับสน แต่ต่างก็ยิ่งระแวดระวัง

อีกทางหนึ่ง ไคหยางประคองกอดเมิ่งตง ประดุจทั้งโลกเหลือเพียงคนที่อยู่ในอ้อมแขนนางเท่านั้น

เมิ่งตงเพ่งสายตาจ้องไคหยาง กล่าวด้วยอารมณ์ลึกล้ำ “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นการจัดฉาก! ให้เจ้าเชื่อข้า พึ่งพาข้า ข้าก็จะมีโอกาส... ช่วยสร้างพลุไฟให้เจ้า! และขอเพียงเล่นลูกไม้ในพลุไฟทำร้ายฮ่องเต้ ฮองเฮา และรัชทายาท เจ้ากับหน่วยดาวพิฆาตก็ยากจะหลุดพ้นความข้องเกี่ยว! น่าเสียดาย...”

เมิ่งตงยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก ทาบมือสั่นเทากับแก้มของไคหยาง “น่าเสียดาย พันกะเกณฑ์หมื่นคำนวณ ข้าก็ดี โต๋วหมู่เทียนจุนก็ดี มีเพียงเรื่องเดียวที่คาดการณ์ไม่ถึง”

ไคหยางถามเสียงสั่น “เรื่องใด”

“ข้าถึงกับ... กระทำเรื่องพันธนาการตนเอง หลงรักเจ้าอย่างไม่อาจถอนตัว ข้าไม่คิด... และไม่อาจตัดใจทำร้ายเจ้า ได้แต่เปลี่ยนแปลงแผนการ แสร้งเผยแพร่คำสั่งของโต๋วหมู่เทียนจุน หลอกใช้เต๋อเมี่ยว... ให้พาข้าเข้าวัง สังหารฮ่องเต้... ด้วยตนเอง!” เมิ่งตงเริ่มอ่อนแรง น้ำเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ

“เพราะเจ้า ข้าจนหนทางแก้แค้นให้ท่านปู่ ข้าได้แต่เพียง... ทำความปรารถนาก่อนตายของท่านปู่ให้สำเร็จ ปลงพระชนม์ฮ่องเต้ที่ท่านปู่คิดสังหาร!”

 

นอกประตูอู่ ขันทีชั้นผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามา ชูไม้ชูมืออย่างกระหืดกระหอบพลางตะโกนเสียงดังลั่น

“ถวายการอารักขา! ถวายการคุ้มกัน! รีบไปตำหนักต้าชิ่งถวายการคุ้มกัน! มีมือสังหาร! รีบไปตำหนักต้าชิ่งถวายการอารักขา!”

กองทหารองครักษ์ต่างเร่งรุดไปตำหนักต้าชิ่ง

ทันทีที่ทหารรักษาการณ์ล่าถอย บรรดาขุนนางใหญ่ที่คิดถวายฎีกาต่างฉวยโอกาสเข้าวังติดตามไป

โค่วจุ่นและคนอื่นๆ ต่างงุนงงด้วยสีหน้าตระหนก มิทราบว่าภายในวังเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่

กองทหารองครักษ์เคลื่อนพลเร็วรี่อย่างพร้อมเพรียง ทิ้งระยะห่างจากบรรดาขุนนางใหญ่

 

เมิ่งตงไอโขลกไม่หยุด กระอักโลหิตออกมาอีกคำหนึ่ง ไคหยางน้ำตาไหลพรากอย่างปวดร้าวใจ

เมิ่งตงมองไปทางฮ่องเต้อย่างเลื่อนลอยแวบหนึ่ง บัดนี้ต้งหมิงและทหารองครักษ์ยังคงต่อกรกับหุ่นวิหคเหิน แม้ตกเป็นรอง แต่ในชั่วขณะมิได้มีอันตรายถึงชีวิต

ตอนนี้เองได้ยินเสียงเหยางกวงตะโกนก้อง “มีพิษ!”

เมิ่งตงมองสีหน้าเป็นกังวลของไคหยาง ยิ้มบางก่อนกล่าว “วางใจเถอะ นั่นมิใช่พิษ เป็นเพียงยาน้ำเปลี่ยนสีชนิดหนึ่ง สีจางอย่างรวดเร็ว หึๆ ข้าหลอกพวกเขาให้ตกใจ เดิมที... ข้าเตรียมใช้ยาพิษ แต่ข้ารู้ว่าวันนี้เจ้าต้องร่วมงาน ข้า... ไม่อยากทำร้ายเจ้า”

เมื่อหันกลับมา เมิ่งตงก็ยิ้มมุมปากขณะมองไคหยาง “เมื่อครู่... ฮ่องเต้เสด็จผ่านข้างกายข้าเพื่อทรงจุดพลุไฟ ข้า... เดิมทีมีโอกาสลงมือ แต่ข้าคิดว่า... รอฮ่องเต้จุดพลุไฟเสร็จสิ้น ชื่นชมพลุไฟคู่สวรรค์สร้าง... ที่พวกเราร่วมมือกันสร้างขึ้น เพราะ... ทันทีที่ข้าลงมือ ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ ล้วนไม่อาจมีชีวิตรอดไปจากที่นี่”

น้ำตาของไคหยางพรั่งพรูราวกับน้ำพุ

เมิ่งตงพยายามล้วงตำราลับเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กุมมือไคหยางทาบบนตำราลับนั้น เอ่ยอย่างยากลำบาก “ในนี้มีศาสตร์กลไกที่ท่านปู่ถ่ายทอดให้ข้า ยังมี... บันทึกความเข้าใจและข้อคิดของข้า ข้าตายได้... แต่ศาสตร์ความรู้ที่บรรพชนถ่ายทอดไม่อาจสาบสูญ ข้า... มอบให้เจ้าแล้ว”

ไคหยางสะอึกสะอื้นยามเอ่ย “เมิ่งตง ไฉนท่านถึงได้โง่เขลาเช่นนี้... โง่เขลาถึงเพียงนี้...”

มุมปากเมิ่งตงยกยิ้มแล้วเอ่ย “หลายเรื่องนั้นมิใช่ว่าข้าอยากกระทำ แต่ข้าไม่อาจไม่กระทำ อีกหลายเรื่องที่ข้าอยากกระทำ แต่กลับมิใช่เป็นของข้า”

เขาค่อยๆ ยื่นมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าไคหยางด้วยแววตาอบอุ่นอ่อนโยน ใบหน้าผุดรอยยิ้มละมุนราวกับสายธารเหมือนวันวาน น้ำเสียงยิ่งอ่อนล้า “รู้จักเจ้า เป็นความสุขที่สุด... ในชีวิตข้า...”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง มือของเมิ่งตงก็ร่วงผล็อยลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรง เสียชีวิตฉับพลัน

ไคหยางกุมมือของเมิ่งตงขึ้นลูบไล้ใบหน้าตนเอง จุมพิตมือของเขา น้ำตาไหลพราก ในที่สุดก็อดกลั้นไม่อยู่ ร่ำไห้ขานชื่อเขาออกมาอย่างใจสลาย

“เมิ่งตง!”

 

ภายในวังหลวงยังคงรบพุ่งกันอย่างดุเดือด

ต้งหมิงต่อสู้กับหุ่นวิหคเหินที่จู่โจมฮ่องเต้ หลิวเอ๋อร์ และรัชทายาท

หลิวเอ๋อร์ลอบใช้วรยุทธ์คุ้มกันฮ่องเต้และรัชทายาท หลบซ้ายเบี่ยงขวาเพื่อหลบหลีกหุ่นวิหคเหินที่โจมตีได้อย่างยอดเยี่ยมเลิศล้ำ

ต้งหมิงทางหนึ่งต่อสู้ อีกทางก็สังเกตเห็น จึงลอบมองหลิวเอ๋อร์เป็นระยะ

ตอนนี้เอง กองทหารองครักษ์กลุ่มใหญ่เร่งรุดมาถึงบริเวณใกล้ๆ ฮ่องเต้ หลิวเอ๋อร์ และรัชทายาท แถวหนึ่งคุกเข่าตั้งโล่ขึ้น ทหารอีกแถววางโล่ต่อบนโล่ของทหารแถวแรก ด้านบนสุดพาดโล่แบบเฉียงทำมุมเพื่อป้องกันศีรษะของพลโล่

ทหารองครักษ์ต่อโล่ตั้งค่าย ก่อเป็นเกราะป้องกันรอบทิศ ไม่เพียงคุ้มกันฮ่องเต้ หลิวเอ๋อร์ และรัชทายาท ยังบีบประชิดขึ้นหน้าทีละก้าว

แม้หุ่นวิหคเหินจะกะทัดรัดคล่องแคล่ว แต่เทียบกับการบีบกระชั้นของกำลังที่ตรงไปตรงมาประเภทนี้ ก็เผยให้เห็นจุดอ่อนทันที

หุ่นวิหคเหินหลายตัวเสียหายเพราะบินกระแทกกับโล่ ทุกคนต่างก็โล่งใจ

ศึกใหญ่เพิ่งซาลง ทุกคนต่างหยุดมือ สภาพภายในพระราชวังน่าอเนจอนาถ

ไท่สุ้ยยกแขนเสื้อขึ้นปาดคราบโลหิตและเหงื่อบนใบหน้า ก่อนจะนั่งอย่างหมดแรงกับพื้น

หุ่นวิหคเหินเหล่านี้รับมือได้ยากอย่างแท้จริง ไท่สุ้ยขอรบราด้วยหอกดาบอาวุธจริงกับบุรุษอาชาไนยสักกลุ่มยังดีเสียกว่า ที่เขากังวลที่สุดก็คือเหยากวงจะถูกพิษเพราะความวู่วาม จึงคอยปกป้องอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา

ทุกคนหันกลับไปมองสถานที่เกิดเหตุ กองทหารองครักษ์ลดโล่ลง เจินจงฮ่องเต้เพิ่งปรากฏพระองค์ เต๋อเมี่ยวก็รีบวิ่งเข้ามาเบื้องหน้าพระพักตร์ คุกเข่าร้องขอให้ละเว้นโทษ

“เต๋อเมี่ยวพลาดพลั้งมิได้ตรวจสอบ เป็นเหตุให้ทุรชนแทรกซึมปะปน เป็นอันตรายต่อฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงลงทัณฑ์เพคะ”

เจินจงฮ่องเต้ทรงสะบัดชายแขนฉลองพระองค์เสด็จออกมา ตรัสอย่างเดือดดาล “ฮึ! เราดีต่อเจ้าไม่น้อย เจ้ากลับแฝงเจตนาร้าย คิดลอบสังหารเรา!”

เต๋อเมี่ยวรีบหมอบกรานขอพระราชทานอภัยโทษ “ความจงรักภักดีของเต๋อเมี่ยวต่อฝ่าบาทฟ้าดินเป็นประจักษ์พยาน! สถานการณ์ล่อแหลมอันตรายครั้งนี้ เต๋อเมี่ยวมิได้คาดคิดอย่างแท้จริงเพคะ”

ไท่สุ้ยยิ้มหยันก่อนเอ่ย “เจ้ามิใช่เทพเซียนเดินดินหรอกหรือ เทพพยากรณ์ทำนายอนาคตห้าร้อยปีล่วงรู้อดีตห้าร้อยปี เหตุใดคราวนี้ไม่แม่นยำเล่า”

เต๋อเมี่ยวหายใจติดขัด รีบลนลานโต้แย้ง “ฝ่าบาท นักพรตต่ำต้อยไม่คาดคิดว่าจะมีคนชั่วปะปนในบรรดาลูกศิษย์ จึงมิได้เสี่ยงทาย ย่อมไร้หนทางล่วงรู้เพคะ ฝ่าบาท เต๋อเมี่ยวเคยเทศนาธรรมแก่ฝ่าบาทหลายต่อหลายครั้ง หากมีเจตนาคิดร้ายแม้สักส่วนเสี้ยว โอกาสที่แล้วมามีนับจำนวนไม่ถ้วน ไยต้องเสี่ยงอันตรายครั้งใหญ่เยี่ยงนี้ ทอดพระเนตรสิเพคะ...”

เต๋อเมี่ยวฉวยโอกาสกราบทูลเพิ่มเติม ชี้ไปที่บาดแผลบนหัวไหล่ตนเอง “เต๋อเมี่ยวเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบให้กระจ่างด้วยเพคะ”

เจินจงฮ่องเต้ทรงเห็นว่าเต๋อเมี่ยวก็บาดเจ็บ อาการกริ้วจึงคลายลง แต่ยังกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย “เรื่องราวละเอียดเป็นอย่างไร ไม่ต้องให้เจ้าปฏิเสธในคำเดียว เราเองก็ไม่อาจตัดสินในวาจาเดียว! เรื่องนี้เราจะกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบอย่างละเอียด เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด”

“ขอบพระทัยเพคะ” เต๋อเมี่ยวโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ท่ามกลางการประคองของลูกศิษย์ นางกุมหัวไหล่ที่บาดเจ็บก่อนค่อยๆ ลุกขึ้น

ตอนนี้เองเสียงของไคหยางก็ดังก้องขึ้นกะทันหัน “เต๋อเมี่ยวเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับมือสังหารอย่างแท้จริง!”

องครักษ์ทุกนายต่างตึงเครียด กรูล้อมเต๋อเมี่ยว ต้งหมิงเข้าขวางหน้าฮ่องเต้เพื่อถวายการคุ้มกัน

ที่ไม่ไกลนัก ไคหยางวางเมิ่งตงที่อยู่ในอ้อมแขนลงอย่างแผ่วเบา ใบหน้าปรากฏคราบน้ำตา สีหน้าเศร้าโศก นางลุกขึ้นเดินหลายก้าว ถวายบังคมเจินจงฮ่องเต้

“ทูลฝ่าบาท ก่อนเมิ่งตงมือสังหารจะเสียชีวิต ได้สารภาพความจริงออกมาจนสิ้น กล่าวว่าเขาเป็นหลานของขุนนางต้องโทษเหยี่ยนเจิ้ง พร้อมกับเล่าว่าเต๋อเมี่ยวและท่านปู่เหยี่ยนเจิ้งของเขาล้วนเป็นลูกสมุนของบุคคลที่มีชื่อว่า ‘โต๋วหมู่เทียนจุน’ เขาลักลอบเข้าวังหลวงได้เพราะความช่วยเหลือของเต๋อเมี่ยวเพคะ”

เต๋อเมี่ยวตกตะลึง รีบอธิบาย “เจ้า... เจ้าวาจาเหลวไหล! ดูลักษณะท่าทางเจ้ารู้จักมักคุ้นกับมือสังหารผู้นั้น เพื่อขจัดมลทินของตนเอง คิดใส่ความป้ายสีนักพรตต่ำต้อยหรือ นักพรตต่ำต้อยได้รับการชี้ทางสว่างจากทวยเทพ มุ่งมั่นบำเพ็ญตบะ จิตใจแสวงหาความดีงามเพื่อบรรลุมหาสัทธรรม ไหนเลยกระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากนักพรตต่ำต้อยมีเจตนาในทางร้ายจริง บัดนี้ถวายการรับใช้เฉพาะพระพักตร์ ด้วยพระกรุณาแผ่ไพศาล ไยต้องเสี่ยงกระทำความผิดมหันต์ สมคบคิดกับมือสังหารทำร้ายฝ่าบาทเล่า หากนักพรตต่ำต้อยสวามิภักดิ์ต่อผู้อื่น มีผลดีใดให้เอ่ยถึง”

นางคุกเข่าลงอีกครั้ง วจีวาจาสัตย์ซื่อจริงใจ “ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบให้กระจ่าง นักพรตต่ำต้อยถูกปรักปรำเพคะ”

เมื่อได้ยินเจินจงฮ่องเต้ก็ทรงลังเล ด้วยพระทัยเดิมนั้นมิใคร่เชื่อว่าเต๋อเมี่ยวเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับมือสังหาร เหตุผลง่ายดายนัก คล้ายที่เต๋อเมี่ยวกล่าวเอง นางมีเหตุผลใดต้องสวามิภักดิ์ต่อผู้อื่น

ผู้อื่นมอบให้นางมากไปกว่านี้ จะเทียบกับที่พระองค์ทรงมอบได้หรือ

แทนที่จะกล่าวว่าทรงเชื่อเต๋อเมี่ยว มิสู้กล่าวว่าทรงเชื่อในพระราชอำนาจแห่งฮ่องเต้ ทรงเชื่อในพลานุภาพแห่งโอรสสวรรค์

อีกทางหนึ่งก็บังเกิดจากสันดานแห่งมนุษย์ ไม่ใคร่ยินยอมเชื่อว่าผู้อื่นคิดคดทรยศตนเอง

แน่นอนว่ากษัตริย์ราชันนั้นมักหวาดระแวง ไม่แน่ว่าผ่านพ้นไปสักระยะหนึ่ง เมื่อขบคิดถึงเรื่องในวันนี้อีกครั้ง เจินจงฮ่องเต้อาจเปลี่ยนพระทัย แต่นั่นเป็นเรื่องในภายภาคหน้า

อย่างน้อยในตอนนี้เต๋อเมี่ยวก็ช่วงชิงโอกาสรอดให้ตนไว้ได้ นางเองก็ตัดสินใจแล้ว ขอเพียงผ่านด่านในวันนี้ไปได้ นางจะออกจากวังหลวงทันที

ผ่านเรื่องราวครานี้ นางเองก็กระจ่างแก่ใจแล้ว ต่อให้ไม่บังเกิดความผิดพลาด ปลงพระชนม์ฮ่องเต้ได้ แต่นางจะมีจุดจบดีอันใดกัน

มิผิดที่โต๋วหมู่เทียนจุนลี้ลับยิ่งใหญ่ แต่นางเชื่อว่าขอเพียงตนเร้นแซ่แฝงนามหนีไกลไปเมืองอื่น ด้วยความทะเยอทะยานของโต๋วหมู่เทียนจุน เป็นไปไม่ได้ว่าจะจากไปไกลเพื่อเสาะหานาง

“เจ้า...” เจินจงฮ่องเต้ทรงลังเลครู่หนึ่ง ทอดพระเนตรหลิวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างพระวรกายและมีสีหน้าท่าทางอ่อนล้า ทรงคิดว่าไม่ควรรีบร้อนในตอนนี้ รอตรวจสอบกระจ่างในภายภาคหน้าก็ไม่สาย

เสียงแข็งกร้าวพลันดังแว่วมาจากภายนอกตำหนัก

“เหลวไหลทั้งเพ!”

สี่คำแหวกอากาศเข้ามา สะท้อนก้องไปทั่วตำหนัก ทุกคนได้ยินต่างสบตากัน

เห็นเปาเจิ่งและจั่นเจาเร่งรุดมาถึง สภาพทั้งสองคนดูอ่อนล้าจากการเดินทาง บนหลังจั่นเจายังสะพายห่อสัมภาระ เด่นชัดว่ารีบเร่งกลับมาจากที่ไกล

ทันทีที่ไท่สุ้ยเห็นทั้งสองคนก็ยิ้มมุมปาก อดโพล่งออกไปมิได้ “เปาหน้าดำ!”

เหยากวงถามอย่างแปลกใจ “เขามาได้อย่างไร”

เปาเจิ่งเข้ามาในตำหนัก สะบัดชุดคลุมคุกเข่าถวายบังคม “กระหม่อมเปาเจิ่ง ตุลาการสำนักศาลต้าหลี่ ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”

พระสุรเสียงราบเรียบละมุน “ลุกขึ้นเถอะ”

เปาเจิ่งลุกขึ้น “กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

“ว่ามา!” เจินจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรสีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจังของเปาเจิ่งก็สงบพระทัย ทรงอยากฟังว่าเขาจะกราบทูลสิ่งใด

เปาเจิ่งมองไปทางจั่นเจาที่อยู่ข้างตัว จั่นเจาพยักหน้า ปลดห่อสัมภาระจากแผ่นหลัง สองมือประคองไว้ เปาเจิ่งขึ้นหน้าแก้ปมเปิดออก ด้านในเป็นบันทึกคดีปึกหนา

“ที่กระหม่อมจะกราบทูลก็คือคดีสังหารขุนนางตรวจการพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่สุ้ยฟังจบแล้วให้ตื่นตะลึง เจินจงฮ่องเต้ทรงได้ฟังแล้วก็ออกจะแปลกพระทัย

“ยกคดีเก่าขึ้นมาใหม่ด้วยเหตุใดกัน”

เปาเจิ่งทูลด้วยน้ำเสียงเข้มงวดจริงจัง “ฝ่าบาท คดีขุนนางตรวจการเจิ้ง หลักฐานหลายอย่างชี้ไปที่เต๋อเมี่ยว ขณะที่สามหน่วยงานร่วมไต่สวน เซวียเหลียงกลับรับผิดทุกข้อหา ต่อมาก็ตายอย่างพิสดาร กระหม่อมคิดว่ามีเงื่อนงำอย่างใหญ่หลวง จึงเดินทางไปไท่อันหนึ่งเที่ยวเพื่อสืบคดีทางลับพ่ะย่ะค่ะ”

เอ่ยถึงตรงนี้เปาเจิ่งก็มองเต๋อเมี่ยวแล้วเอ่ย “แม้เจ้ากระทำการรอบคอบระมัดระวัง แต่หลังออกจากไท่อัน ก็ไม่มีความสามารถปิดบังแผ่นฟ้าด้วยมือเดียวเหมือนอยู่ในไท่อัน เดิมทีข้าคิดว่าไปคราวนี้ต้องลงแรงสิ้นเปลืองกำลัง กลับมิคาดว่าทันทีที่สอบถามก็เป็นเรื่องกรรมชั่วที่เจ้าก่อไว้ทุกแห่งหน!”

เปาเจิ่งคืบประชิดบีบคั้นเต๋อเมี่ยวทีละก้าว ตำหนิอย่างโมโห “สิ่งที่เจ้าเรียกว่าช่วยรักษาคน ก็เป็นเพียงใช้ยาแปลกประหลาด บรรเทาอาการเจ็บปวดของคนป่วยเพียงชั่วครั้งชั่วคราว หน่วงเหนี่ยวเวลาในการรักษาช่วยชีวิตพวกเขา ถึงขั้นทำร้ายหลายคนที่เดิมทีไม่ถึงขั้นเสียชีวิต เพราะรักษาช้าไปจนต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน! เจ้ายังมีหน้าเอ่ยว่าเพื่อมหาสัทธรรมไม่กระทำเรื่องต่ำช้าหรือ จิตใจเหี้ยมโหดอำมหิตเช่นนี้ เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ทำให้โลกมนุษย์เป็นนรกโลกันตร์! มีหน้าเอ่ยว่าตนแสวงหาความดีงามอย่างนั้นรึ”

เต๋อเมี่ยวตะลึงพรึงเพริด สองตาเบิกโพลงขณะจ้องเปาเจิ่ง “เจ้า! เจ้าเอ่ยเหลวไหล! ปรักปรำใส่ความข้า!”

เปาเจิ่งเดือดดาล “บันทึกคำสารภาพล้วนอยู่ที่นี่ เจ้ายังกล้าโต้แย้ง! ข้ายังนำพยานหลายคนเข้าเมืองหลวง บัดนี้รออยู่นอกประตูพระราชวัง”

เต๋อเมี่ยวสะท้านวูบ เอ่ยอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ

เปาเจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “ลั่วตงซานคู่ชู้ชื่นของเจ้ายอมตายเพื่อเจ้า ลูกสมุนของเขากระจัดพลัดไปเป็นโจรสวะ ถูกทางการจับกุมขณะก่อคดี สารภาพความจริงเรื่องเจ้าสมคบคิดกับลั่วตงซานสังหารทำร้ายขุนนางตรวจการเจิ้งออกมาจนสิ้น คนเหล่านี้ถูกทางอำเภอไท่อันควบคุมตัว และกำลังเดินทางเข้าเมืองหลวง!”

เต๋อเมี่ยวถอยกรูดหลายก้าวด้วยความตกใจ

เจินจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเต๋อเมี่ยวอย่างเย็นชาก่อนรับสั่ง “เจ้าหน้าที่! จับกุมนาง!”

ทหารองครักษ์กรูกันขึ้นหน้า คิดจับกุมเต๋อเมี่ยว

แต่ตอนนี้เองใบหน้านางพลันบิดเบี้ยวดุร้าย ล้วงเข้าไปในทรวงอก หยิบกล่องเล็กใบหนึ่งออกมา

หลิ่วสุยเฟิงที่ยืนไม่ห่างพระวรกายเห็นความเคลื่อนไหวก็ร้องลั่น “ฝ่าบาทระวัง!”

หลิ่วสุยเฟิงกระโจนขวางเบื้องหน้า ป้องกันฮ่องเต้ไว้ได้ทันท่วงที

เต๋อเมี่ยวกระตุ้นกลไกในกล่อง เข็มเล็กบางกว่าขนวัวพลันยิงออกมาห่าใหญ่ สิ่งนี้คือ ‘เข็มพิรุณกระหน่ำดอกหลี’ ที่โต๋วหมู่เทียนจุนมอบให้นางไว้ก่อนหน้านี้

‘ยิงออกเห็นโลหิต วกกลางหาวอัปมงคล ฉับไวเร็วรี่ ราชันแห่งอาวุธลับ’

อาวุธลับลือชื่อในยุทธภพเช่นนี้ ไหนเลยหน่วยดาวพิฆาตจะไม่รู้จัก ความจริงแล้วหน่วยดาวพิฆาตไม่เพียงรู้จัก ในคลังลับยังมีอาวุธจริง กระทั่งวิธีสร้างยังมีบันทึกไว้

ทันทีที่เต๋อเมี่ยวล้วงมันออกมา รูม่านตาของหลิ่วสุยเฟิงก็หดเล็กลง แทบจะก่อนเต๋อเมี่ยวกระตุ้นกลไก เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ สำแดงพลังคำรามวิเศษ

เสียงประดุจพยัคฆ์กู่ร้อง ตามติดด้วยคลื่นเสียงขนาดมหึมา

คลื่นเสียงแผ่ขยาย เข็มพิษลอยหวือกลับไป ทว่าเข็มพิรุณกระหน่ำดอกหลีซัดออกเป็นวงโค้งราวกับหน้าพัด ครอบคลุมบริเวณกว้าง แม้พลังคำรามวิเศษของหลิ่วสุยเฟิงแข็งแกร่ง แต่ดีดสะท้อนเข็มพิษที่อยู่ตรงหน้าจนสะเทือนย้อนกลับไปเท่านั้น เข็มพิษที่อยู่บริเวณขอบนอกกลับซัดพุ่งใส่รัชทายาทหลายเล่ม

ไท่สุ้ยยืนข้างรัชทายาทพอดี เห็นเช่นนั้นก็ไม่ทันคิดมาก ฝีเท้าเร็วเอาตัวบังหน้ากอดรัชทายาทไว้ในอ้อมอก ใช้แผ่นหลังรับเข็มพิษ

ฉึกๆ... เข็มพิษทะลุเนื้อ หลายเล่มยังปักอยู่บนร่าง

ส่วนอีกทางหนึ่ง หลิ่วสุยเฟิงสำแดงพลังคำรามวิเศษดีดสะท้อนเข็มพิษกลับไป เต๋อเมี่ยวไม่ทันตั้งตัว ถูกเข็มพิษปักใส่ร่างหลายเล่ม

เข็มพิรุณกระหน่ำดอกหลีมีพิษร้ายแรงถึงเพียงใด นางไหนเลยจะไม่รู้ ตกตะลึงใหญ่โตในบัดดล ไม่ทันคิดมากในชั่วขณะนั้น ด้วยความลนลานร้อนรนจึงหมุนตัวคิดหลบหนี

เล่าลือในยุทธภพว่าบนเข็มพิรุณกระหน่ำดอกหลีฉาบพิษร้ายแรง ทั้งดีนกยูงและเห็นโลหิตปิดลำคอ228 ไร้ยารักษา

แม้เต๋อเมี่ยวเชี่ยวชาญเพียงศาสตร์ลวงตา แต่ขณะสำแดงศาสตร์ลวงตา ก็จำต้องใช้ยาหลากหลายชนิด ซึ่งหมายความว่านางเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ยาผู้หนึ่ง

ยิ่งกว่านั้น เข็มพิรุณกระหน่ำดอกหลีอยู่ในมือนางมาเนิ่นนาน มากน้อยนางล้วนศึกษาวิเคราะห์มาบ้าง

แม้ดีนกยูงมีพิษ แต่นางก็มั่นใจว่าแก้พิษได้ ขอเพียงให้นางกลับห้องตนเอง นางมั่นใจว่าสามารถใช้ยาที่มีสะกดอาการพิษไว้ได้ชั่วคราว

แต่ว่าบัดนี้เวลานี้นางจะหลบหนีไปได้หรือ

นางเพิ่งหมุนตัว กองทหารองครักษ์ก็ดาหน้าเข้ามา

ครั้นเห็นว่าจะจับกุมนางได้แล้ว รอบตัวเต๋อเมี่ยวพลันผุดหมอกควันอวลตลบ ทั้งร่างมลายหายไปไม่เห็นเงา

“นี่คือ...” เจินจงฮ่องเต้แปลกพระทัย ทรงพระดำเนินถอยหลังไปหลายก้าว กองทหารองครักษ์รีบตั้งโล่ป้องกัน

ทุกคนต่างสอดส่องมองหาสี่ทิศรอบด้านอย่างตื่นตะลึง องครักษ์ผู้หนึ่งพลันชี้ไปที่จัตุรัสนอกตำหนักพร้อมกับตะโกน “นางปีศาจอยู่ตรงนั้น!”

ทุกคนหันหน้าไปมอง เต๋อเมี่ยวกำลังวิ่งอย่างแตกตื่นลนลานบนจัตุรัส มีคนไล่ตามไปทันที แต่ต้งหมิงกับหลิ่วสุยเฟิงยืนคุ้มกันเบื้องหน้าฮ่องเต้ไม่ขยับเขยื้อน

ไท่สุ้ยปล่อยตัวรัชทายาท ถามเสียงร้อนใจ “รัชทายาทไม่เป็นไรกระมัง”

รัชทายาทตอบอย่างตื้นตัน “ข้าไม่เป็นไร ท่าน...ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

เหยากวงเร่งมาข้างตัวไท่สุ้ยพลางอุทาน “แย่แล้ว เจ้าถูกเข็มพิษ!”

ไท่สุ้ยฉีกยิ้ม กล่าวกับรัชทายาทและเหยากวง “ข้าไม่เป็นไร เข็มพิษเล็กจ้อย ทำร้ายข้าไม่ได้!”

เขาหันไปมองเห็นเงาร่างเต๋อเมี่ยววูบไหวประหลาดปรากฏที่ชายขอบจัตุรัส ก็อดแค่นเสียงเฮอะเย็นชามิได้ “ก็แค่ศาสตร์ลวงตา มีอันใดมหัศจรรย์!” พูดพลางชักเท้าไล่ตามออกจากตำหนักไป

“ข้าไปกับเจ้า!” เหยากวงร้องขึ้น แล้วตามติดไปอย่างกระชั้น

 

บนทางเสด็จเต๋อเมี่ยววิ่งหนีไปเบื้องหน้าอย่างรีบร้อน ที่เผชิญหน้าเป็นโค่วจุ่นและบรรดาขุนนางมากมายที่วิ่งเหยาะๆ พลางกระหืดกระหอบเข้ามา

นางกลอกดวงตาไปมาขณะวิ่งขึ้นไปเผชิญหน้าแล้วเอ่ย “ขุนนางทุกท่านรีบคุ้มกัน รีบคุ้มกัน!”

โค่วจุ่นและคนอื่นๆ ต่างเพ่งมองไปอย่างตื่นตระหนก ผู้ที่วิ่งเข้าหาพวกเขาอย่างรีบร้อนเป็นเจินจงฮ่องเต้ “ฝ่าบาท! ไฉนทรงลนลานแตกตื่นเพียงนี้”

เจินจงฮ่องเต้ทรงกุมแขนที่ได้รับบาดเจ็บ ทรงวิ่งพลางตะโกน “มือสังหาร! มือสังหารฆ่าเต๋อเมี่ยวกับลูกศิษย์ ทั้งยังคิดสังหารเรา ขุนนางทุกท่านรีบคุ้มกัน!”

โค่วจุ่นและขุนนางอื่นๆ ต่างตะลึงงัน “อันใดนะ!”

ตอนนี้เองที่ไท่สุ้ยกับเหยากวงวิ่งมาถึง

เจินจงฮ่องเต้ทรงชี้ไปที่ไท่สุ้ยกับเหยากวง “พวกเขาคือมือสังหาร!”

โค่วจุ่นและบรรดาขุนนางมองไปที่ไท่สุ้ยและเหยากวง ในสายตาของพวกเขา ทั้งคู่เป็นมือสังหารสวมชุดดำถือดาบไล่ตามมาด้วยท่าทางดุดันโหดเหี้ยม

โค่วจุ่นเบิกสองตาโพลง พลางตะคอกเสียงดัง “ฝ่าบาทรีบเสด็จ! แม้กระหม่อมต้องตายก็จะขัดขวางมันไว้!” พูดพลางอ้าสองแขนออกกว้าง ก่อนกระโจนเข้าใส่มือสังหารชุดดำ

บรรดาขุนนางใหญ่ต่างกระโจนไปเบื้องหน้าพร้อมกับตะโกน “ถวายการอารักขาฝ่าบาท!”

ไท่สุ้ยกับเหยากวงเห็นบรรดาขุนนางอย่างโค่วจุ่นกระโจนเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง ก็อดยืนนิ่งอย่างมึนงงมิได้

“ขุนนางเหล่านี้เป็นอะไรไปแล้ว” ไท่สุ้ยถามอย่างแปลกใจ

“สีหน้าพวกเขาผิดปกตินัก” เหยากวงทำหน้าฉงน

ไท่สุ้ยพลันกระจ่างแจ้ง “แย่แล้ว! พวกเขาตกอยู่ในห้วงลวงตา!”

บัดนี้เหล่าขุนนางใหญ่ต่างกระโจนมาถึงตัวไท่สุ้ย ออกหมัดชก ใช้ขาเตะถีบ

ไท่สุ้ยถูกขัดขา ทั้งมิกล้าทำร้ายขุนนางใหญ่บาดเจ็บ ได้แต่ต้านรับการต่อยตี

เหยากวงแฉลบหลบพลางร้องอย่างตกใจ “ไท่สุ้ย รีบคลายศาสตร์ลวงตาพวกเขา!”

ไท่สุ้ยถูกต่อยตีพลางร้องบอก “เจ้าต้องลากพวกเขาออกไป ให้มือข้าได้ว่างก่อนสิ!”

เต๋อเมี่ยววิ่งไปไกลอย่างเร่งร้อน แล้วหันกลับไปมองพวกเขาแวบหนึ่งด้วยรอยยิ้มเย็นเยาะหยัน ก่อนแฝงตัวเข้าสู่ความมืดมิด

 

ภายในตำหนักต้าชิ่งมีสภาพน่าอเนจอนาถ ทหารองครักษ์ลำเลียงซากศพของสหายผู้พลีชีพไปยังด้านนอก เหลยอวิ่นกงสั่งการบรรดานางข้าหลวงและขันทีปัดกวาดทำความสะอาด เคลื่อนย้ายวัตถุชิ้นส่วนแตกหักของหุ่นสัตว์กลไกออกไป

ไคหยางเฝ้าอยู่ข้างร่างของเมิ่งตงอย่างเลื่อนลอย สองทหารองครักษ์เฉียดผ่านข้างตัวนาง เห็นไคหยางในสภาพนี้ต่างก็ส่ายหน้า ก่อนไปหามลำเลียงศพผู้อื่นก่อน

ต้งหมิงและหลิ่วสุยเฟิงยืนอยู่อีกฟาก หลิ่วสุยเฟิงกวาดตามองสภาพอลหม่าน ต้งหมิงกลับจดจ้องฮ่องเต้และฮองเฮาที่ทรงสนทนากันเสียงเบาอยู่ไกลๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบ รัชทายาทเองก็ยืนอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้

บนจัตุรัส ขันทีชั้นผู้น้อยหลายคนคิดย้ายพลุไฟที่จัดตั้งตรงนั้นออกไป

ไคหยางซึ่งกอดศพของเมิ่งตงมองไปเบื้องหน้าอย่างใจลอย เมื่อประสบกับเหตุการณ์นี้ก็ได้สติกลับมาฉับพลัน นางวางเมิ่งตงลงอย่างแผ่วเบาก่อนเดินไปทางฮ่องเต้กับฮองเฮา

ฮ่องเต้ตรัสสุรเสียงเบากับฮองเฮาและรัชทายาท ทอดพระเนตรไคหยางซึ่งเดินน้ำตานองหน้าเข้ามาก็อดชะงักมิได้ ทั้งฮองเฮาและรัชทายาทต่างมองนางพร้อมกัน

“ฝ่าบาท หม่อมฉัน... ขอพระราชทานพระราชานุญาตจุดชนวนพลุไฟเพคะ”

เจินจงฮ่องเต้ทรงตกตะลึงก่อนตรัสถาม “อันใดนะ!”

น้ำตาสองสายค่อยๆ ไหลพรากผ่านพวงแก้มของไคหยาง นางสะอื้นก่อนเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “หม่อมฉันขอพระราชทานพระราชานุญาตจุดชนวนพลุไฟเพคะ”

รัชทายาทเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อครู่ผู้บังคับการต้งหมิงกล่าวแล้วว่าพลุไฟนั่นมีกลไกทำร้ายคนได้”

ไคหยางยืนกราน “ไม่! เมิ่งตงบอกว่าพลุไฟนั่นเป็นเพียงพลุไฟ หม่อมฉันเชื่อเขาเพคะ”

เจินจงฮ่องเต้ขมวดพระขนง ทรงคิดตวาด แต่ถูกหลิวเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างรั้งไว้ จึงทรงเงียบ

หลิวเอ๋อร์มองไคหยางอย่างเห็นใจ พยักหน้าพร้อมกับเอ่ย “เจ้าไปเถอะ”

ไคหยางมองหลิวเอ๋อร์อย่างซาบซึ้ง ถวายบังคมพลางกล่าวอย่างแผ่วเบา “ขอบพระทัยเหนียงเหนียงที่ประทานอนุญาตเพคะ!”

นางหมุนตัวเดินกลับมายังร่างของเมิ่งตง ก้มหน้าลงกระซิบข้างหูเมิ่งตงเพื่อบอกบางอย่าง

เจินจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรหลิวเอ๋อร์อย่างไม่เข้าพระทัย หลิวเอ๋อร์มองด้านหลังของไคหยางพร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “คำว่า ‘รัก’ เป็นทุกข์ที่สุด”

ไคหยางกำลังยกร่างเมิ่งตง ทว่าอ่อนด้อยด้านพละกำลัง หลิ่วสุยเฟิงเห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้าทอดถอนใจ เดินเข้าไปช่วยนางอุ้มร่างเมิ่งตงขึ้นมา แล้วเดินออกไปนอกตำหนักพร้อมกัน

ตอนนี้เองเจินจงฮ่องเต้ทรงดึงมือของหลิวเอ๋อร์ “ไป พวกเราก็ไปดูด้วย”

หลิวเอ๋อร์มองทางฮ่องเต้ก่อนพยักหน้าแผ่วเบา รัชทายาทก็รีบติดตาม

ไม่มีผู้ใดสังเกตว่าบัดนี้ที่ปลายรองพระบาทของเจินจงฮ่องเต้มีเข็มเล็กละเอียดราวกับขนวัวปักอยู่ตั้งแต่เมื่อใด เข็มนั้นโผล่พ้นจากรองพระบาทมาเพียงส่วนเดียว เด่นชัดว่าตัวเข็มปักเข้าไปในเนื้อแล้ว

ทันทีที่ฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนัก ทหารองครักษ์ต่างถือโล่วิ่งเข้ามายืนเรียงแถวเป็นระเบียบ ก่อเป็นกำแพงโล่กันเบื้องหน้าพวกเขา

ผู้ที่อยู่ในกำแพงโล่โผล่แค่ใบหน้า ขณะที่รัชทายาทซึ่งมีรูปร่างเล็ก กระทั่งใบหน้าก็ถูกบังมิด

เจินจงฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนง ทอดพระเนตรไปด้านข้างที่มีโจวไหวเจิ้งและเหลยอวิ่นกงยืนอยู่

โจวไหวเจิ้งรีบทูลอธิบาย “ฝ่าบาททรงสูงศักดิ์ทรงพระเกียรติ ระวังไว้ก่อนเป็นดีพ่ะย่ะค่ะ”

เหลยอวิ่นกงก็พยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย “ถูกต้อง! ถูกต้อง!”

ด้วยความจำใจ จึงได้แต่หันพระพักตร์ไปทางจัตุรัส

ไคหยางคุกเข่าข้างเดียวกับพื้น ให้เมิ่งตงเอนพิงบนหน้าขาของนาง มืออีกข้างก็ถือคบเพลิง

แสงเพลิงส่องสะท้อนใบหน้านางจนสว่างไสว สองตาสาดประกายระยิบระยับ

ตอนนี้เองเหยากวงกับไท่สุ้ยวิ่งกลับมาในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยน่าอนาถ ด้านหลังตามติดมาด้วยโค่วจุ่นและบรรดาขุนนางอื่นๆ

เห็นฉากนั้นบนจัตุรัส ขุนนางต่างก็หน้าตาตื่น

ไท่สุ้ยกับเหยากวงวิ่งขึ้นหน้าไปยืนข้างกายหลิ่วสุยเฟิง

เหยากวงถามหลิ่วสุยเฟิงเสียงเบา “ต้าหลิ่ว นี่ทำอันใดกัน”

หลิ่วสุยเฟิงส่ายหน้า ไม่เอ่ยตอบ

กลางจัตุรัส ไคหยางกอดเมิ่งตง ก้มหน้ามองใบหน้าของเขาที่แสนสงบนิ่ง ก่อนเอ่ยเสียงสั่น “พี่เมิ่ง พวกเราดูพลุไฟพร้อมกัน”

ไท่สุ้ยสาวเท้ายาวๆ เข้ามาพลางเอ่ย “ยังมีพวกเรา!”

ไคหยางเงยหน้า พบว่าไท่สุ้ยกับเหยากวงยืนเบื้องหน้า จึงออกจะแปลกใจ จากนั้นก็ยิ้มด้วยความตื้นตันใจ

หลิ่วสุยเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้าวเท้าเชื่องช้าเข้าไปยืนมั่นอยู่ตรงนั้นเช่นกัน

ต้งหมิงก็ก้าวเชื่องช้าเข้ามายืนเคียงข้างพวกเขาในเวลาติดๆ กัน

ไท่สุ้ยกับเหยากวงมองเขาอย่างประหลาดใจก่อนเอ่ย “ใต้เท้าผู้บังคับการ ท่าน...”

สีหน้าต้งหมิงเข้มงวดเคร่งขรึม ปรายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง ก่อนแค่นเสียงเอ่ย “หน่วยดาวพิฆาตของข้าร่วมใจเป็นหนึ่ง หรือคิดกีดกันตาเฒ่าอย่างข้า”

ไท่สุ้ยส่ายหน้าพลางตอบ “ข้าคิดว่าแต่ไรมาผู้อาวุโสต้งหมิงเคร่งครัดเข้มงวด ไม่เห็นแก่หน้าใคร...”

ต้งหมิงแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่ง

ไคหยางมองพวกเขาอย่างซาบซึ้ง สูดก้อนสะอื้นพร้อมกับยื่นคบเพลิงไปจ่อสายชนวน สายชนวนถูกจุดเป็นประกายเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะ

สายชนวนเผาไหม้จนสิ้น ก่อนจะมีเสียงฟิ้วดังสนั่นก้อง แสงสว่างราวกับดาวตกพุ่งทะยานแหวกม่านเมฆ ระเบิดเสียงดังปังเป็นรูปดวงใจขนาดมหึมากลางฟากฟ้าสูง ส่องสว่างไปทั่ว

พลุไฟระเบิดเปล่งแสงกลางท้องฟ้าติดต่อกันยาวนาน งดงามหลากสีสันหาใดเปรียบ บ้างคล้ายดอกเบญจมาศทองผลิบาน งามสะพรั่งละลานตา บ้างเป็นรูปตัวอักษรอวยพร ‘คู่เคียงนิจนิรันดร์’ ‘สุขสวัสดิ์ร่มเย็น’ มีรูปนกเคียงปีกบินคู่

ทุกคนต่างแหงนเงยทัศนาด้วยแววตาตื่นตะลึง ไม่มีผู้ใดเปล่งวาจา

ฮ่องเต้สบพระเนตรกับฮองเฮา ทรงกุมมือนางแผ่วเบา

เหยากวงกับไท่สุ้ยเขยิบเข้าใกล้กันโดยไม่รู้ตัว แนบไหล่แอบอิงเคียงคู่

ไคหยางกอดเมิ่งตงไว้ในอ้อมแขนขณะนั่งอยู่กับพื้น แหงนมองท้องฟ้าอันงดงามโชติช่วง ศีรษะของเมิ่งตงพิงอยู่ที่ต้นคอไคหยาง สีหน้าสงบราบเรียบคล้ายหลับสนิทไปกระนั้น

ไคหยางอมยิ้มขณะเงยหน้ามองท้องฟ้า น้ำตารินไหลโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ภาพอดีตผุดขึ้นในสมองไม่ขาดสาย

“ท่านรับคำไหว้วานของข้าแล้ว?”

“ข้าไม่เพียงรับงานเจ้า ยังคิดเชิญเจ้าดื่มชา มิทราบว่าแม่นางให้เกียรติหรือไม่”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

“พบพานเป็นจุดเริ่มแห่งวาสนา ได้รู้จักเป็นวาสนา ได้ประสบพบเจออีกหรือไม่... ยังต้องดูวาสนาสืบต่อของพวกเรา แม่นางมิต้องยึดมั่นถือมั่นเกินไป”

“เช่นนั้น... ท่านว่าวาสนาเป็นชะตาฟ้าลิขิตหรือไม่”

“หากทุกสิ่งอย่างเป็นฟ้าลิขิต เช่นนั้นเรามีชีวิตอยู่อย่างน่าเบื่อเสียนี่กระไร”

“ในเมื่อวาสนามิใช่ฟ้าลิขิต เช่นนั้นต่อไปข้าจะมาให้บ่อย อาศัยตนแสวงหาวาสนาได้พานพบอีกครั้ง”

“ท่านทำออกมาได้จริง? ฝีมือไม่เลว”

“แค่ไม่เลวหรือ”

“ไม่ เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่คำนึงถึงความถ่อมตนของบางคน ข้าจึงช่วยเขาถ่อมตนสักหน่อย”

“ว่าอย่างไร แม่นางไม่ชอบหรือ เช่นนั้นคืนให้ข้า...”

“ของข้า!”

“ได้ๆ ของเจ้า ไม่มีผู้ใดแย่งกับเจ้า”

...

หยาดน้ำตาวาววามไหลมาตามร่องแก้มของไคหยาง หยดน้ำตาต้องแสงพลุไฟเป็นสีสันหลากหลายแตกต่าง จนกระทั่งแตกกระเซ็นเมื่อตกต้องพื้น

เจินจงฮ่องเต้ทรงกุมมือของหลิวเอ๋อร์พลางแหงนพระพักตร์ชมดูพลุไฟ ขณะทอดพระเนตรยังคงแย้มพระสรวลเล็กน้อย แต่กลับทรงหงายหลังล้ม

หลิวเอ๋อร์ที่กุมพระหัตถ์ฮ่องเต้ และรัชทายาทที่อยู่ด้านข้างต่างตกใจยามหันไปมอง

หลิวเอ๋อร์กรีดร้องอย่างเสียขวัญ “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!”

ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าปลายรองพระบาทของเจินจงฮ่องเต้มีเข็มพิษปักอยู่เล่มหนึ่ง ทั้งยังเปล่งสีสันหลากหลายท่ามกลางพลุไฟที่ระเบิดเป็นประกายบนฟากฟ้า งดงามดารดาษ คล้ายนกยูงกำลังรำแพน

 

ภายในตำหนักฝูหนิง

เจินจงฮ่องเต้ทรงนอนบนแท่นบรรทมโดยมิได้ผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์ แพทย์หลวงผู้หนึ่งจับพระชีพจร ขณะที่แพทย์หลวงอีกท่านยืนขมวดคิ้วแน่นอยู่ด้านข้าง

แพทย์ผู้จับพระชีพจรส่ายหน้า ความกังวลฉายชัดบนใบหน้าขณะเงยขึ้นสบตากับแพทย์หลวงอีกท่าน

หลิวเอ๋อร์คืบหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว ก่อนสอบถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง”

“เหนียงเหนียง ฝ่าบาททรงต้องพิษประหลาด กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่อาจรักษาพิษร้ายแรงขั้นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ!” แพทย์หลวงประสานมือคำนับอย่างจนใจ

หลิวเอ๋อร์เอ่ยอย่างตื่นตะลึง “ต้องพิษร้ายแรง!? เป็นไปได้อย่างไร”

“เหนียงเหนียง พระชีพจรของฝ่าบาทจากแรงเป็นอ่อนพร่อง บีบตัววิกฤติ ประเดี๋ยวเบาบาง ประเดี๋ยวถี่เร็ว คล้ายนิ้วดีดกระทบศิลา นี่เป็น... นี่เป็น...”

“หุบปาก!” หลิวเอ๋อร์เดือดดาลยิ่ง

สองแพทย์หลวงคุกเข่าลง เอ่ยอย่างหวั่นเกรง “ขอเหนียงเหนียงประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ!”

รัชทายาทคุกเข่าลงอย่างแรง คลานเข่าหลายก้าวไปถึงเบื้องหน้าแท่นบรรทม กุมพระหัตถ์เจินจงฮ่องเต้ไว้ น้ำตาไหลขณะร้องเรียก “เสด็จพ่อ! ต้องทรงฟื้นขึ้นมาแน่นอน เสด็จพ่อ!”

โจวไหวเจิ้งและเหลยอวิ่นกงหน้าตาตื่นด้วยความกังวล

โค่วจุ่นมีสีหน้ากลัดกลุ้ม

หลิวเอ๋อร์หันไปมองต้งหมิงอย่างตื่นตระหนก แฝงด้วยความคาดหวังและวิงวอน

ต้งหมิงบัดนี้กำลังมองพระวรกายที่ทอดยาวบนแท่นบรรทม สายตาที่เคลื่อนไหวต่อเนื่องพลันชะงักนิ่ง เดินขึ้นหน้าไปค้อมเอวหนีบเข็มแหลมคมตรงรองพระบาท ก่อนดึงมันออกมา

โจวไหวเจิ้งร้องเสียงหลง “นี่มิใช่เข็มพิษที่นางปีศาจเต๋อเมี่ยวยิงออกมาหรอกหรือ”

เหลยอวิ่นกงร้องอย่างตกใจ “ฝ่าบาททรงถูกเข็มพิษหรือ”

หลิวเอ๋อร์รีบย่างสองก้าวเข้าไปใกล้ต้งหมิง “ผู้บังคับการต้งหมิง ยาพิษที่ฝ่าบาททรงได้รับ... ท่านแก้ได้หรือไม่”

ต้งหมิงจ้องเข็มพิษภายใต้แสงโคม ยกขึ้นสูดดมก่อนสีหน้าจะหนักอึ้งขึ้นทันที

โค่วจุ่นทำหน้าเครียดขณะมองเขา “ผู้บังคับการต้งหมิง? พิษที่ฝ่าบาททรงได้รับมีทางแก้หรือไม่”

ต้งหมิงมองโค่วจุ่นด้วยสีหน้าหนักอึ้งก่อนส่ายหน้า มองไปทางหลิวเอ๋อร์แล้วกล่าว “เหนียงเหนียง สมควรเรียกชุมนุมขุนนางบุ๋นบู๊สำคัญ...”

หลิวเอ๋อร์ผวาถอยกรูดไปสองก้าว “ท่านหมายถึง?”

ต้งหมิงพยักหน้าเชื่องช้า “พิษนี้พบเห็นได้ยากยิ่ง กระหม่อมศึกษาศาสตร์การแพทย์มาตลอดชีวิต ยังพบเห็นเพียงครั้งเดียวเมื่อยังหนุ่ม”

“พิษนี้?” เสียงของหลิวเอ๋อร์สั่นเครือ

“พิษนี้มีชื่อว่า ‘พรากวิญญาณ’ ผู้ถูกพิษไม่มียารักษา!” สีหน้าต้งหมิงไม่น่าดูชม “พิษนี้เล่ากันว่าประกอบจากดีนกยูงและหงอนกระเรียนแดง229 ผสมผสานกับยาพิษแตกต่างกันอีกห้าประเภท ต่อให้เป็นผู้หลอมยานี้ขึ้นในขั้นแรก ก็ไม่แน่ว่าจะหลอมยาแก้พิษออกมาได้”

ฟังวาจานี้ ทั้งร่างหลิวเอ๋อร์ก็โงนเงนจนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น

“เหนียงเหนียง!” สองนางกำนัลรีบเข้าไปประคอง

สีหน้าโค่วจุ่นหนักอึ้งขณะมองไปทางฮ่องเต้ ก่อนสอบถามต้งหมิง “ฝ่าบาท... ยังทรงมีเวลาอีกเท่าใด”

ต้งหมิงมองเขาปราดหนึ่ง ส่ายหน้าเคร่งเครียดพลางตอบ “ถูกพิษพรากวิญญาณก็หมดหวังจะฟื้น เวลาของฝ่าบาทมีไม่ถึงช่วงไก่ขันแล้ว”

โค่วจุ่นอึ้งงันราวกับไก่ไม้ทันที

จ้าวเจินผู้เป็นรัชทายาทได้ฟังก็ปล่อยโฮเสียงดังลั่นหน้าแท่นบรรทม “เสด็จพ่อ ทรงอย่าจากไป ทรงอย่าจากไป...”

หลิวเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่หวั่นไหวเหมือนเมื่อครู่ ใบหน้านางเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา สองตาหลับลง เอ่ยเสียงราบเรียบ “พวกท่านล้วน... ออกไปเถอะ”

เหลยอวิ่นกงกล่าว “ขอเหนียงเหนียงทรงเห็นแก่พระพลานามัยเป็นสำคัญพ่ะย่ะค่ะ”

หลิวเอ๋อร์หลับตาพร้อมกับพยักหน้า พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตนเอง ทว่ายังมีน้ำตาร่วงพรูลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ล้วนออกไปเถอะ... ออกไปเถอะ...”

โค่วจุ่นและต้งหมิงต่างลังเล แต่ก็ถอยออกมาอย่างเชื่องช้า คนอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน

หลิวเอ๋อร์เดินเชื่องช้ามายังข้างแท่นบรรทม

รัชทายาทเงยหน้าขึ้น ร่ำไห้น้ำตานองขณะมองหน้านาง “ท่านแม่!”

หลิวเอ๋อร์ลูบศีรษะจ้าวเจิน “ลูกเจิน เจ้าก็ออกไปเถอะ แม่... อยากอยู่ตามลำพังกับเสด็จพ่อของเจ้าสักครู่”

จ้าวเจินแหงนหน้าที่เปรอะคราบน้ำตา สีหน้าอาวรณ์ไม่อยากจากไป “ท่านแม่...”

หลิวเอ๋อร์มองเจินจงฮ่องเต้ที่ทรงสลบไสลไม่ฟื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงอึมครึม “หากเสด็จพ่อของเจ้าทรงเกิดเรื่องไม่คาดคิด เจ้าต้องรับภาระมากมายทันที ออกไปเถอะ มีเรื่องใดให้ขอคำชี้แนะจากโค่วเซี่ยงกง”

จ้าวเจินมองเจินจงฮ่องเต้อย่างไม่อยากจากพราก ก่อนถอยออกจากห้องไป

 

ใต้ระเบียงทางเดินนอกตำหนัก ต้งหมิงและโค่วจุ่นยืนอยู่ด้วยกัน เหลยอวิ่นกงและโจวไหวเจิ้งยืนเศร้าสลดอยู่อีกฟาก

ต้งหมิงมองโค่วจุ่นแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “บรรดาขุนนางใหญ่ยังคงรอข่าวอยู่ด้านนอก โค่วเซี่ยงกง...”

“ข้าเข้าใจแล้วว่าสมควรทำอย่างไร” โค่วจุ่นพยักหน้า คิดจะหมุนตัวออกไปพลันชะงักกึก มองต้งหมิงด้วยความหวังริบหรี่ “ผู้บังคับการต้งหมิง ฝ่าบาท... หมดหนทางเยียวยาจริงหรือ”

ต้งหมิงพยักหน้าเชื่องช้า

ดวงตาโค่วจุ่นหลุบลง เอ่ยเสียงทุ้ม “ข้ารู้แล้ว”

ในตอนนี้เองรัชทายาทเดินออกมาด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง

เหลยอวิ่นกงรีบคลานเข่าขึ้นหน้ามาสองก้าว โถมกอดขารัชทายาท “รัชทายาท! รัชทายาท! ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”

โจวไหวเจิ้งรีบมาหยุดตรงหน้า มองเขาตาปริบๆ

รัชทายาทส่ายหน้าช้าๆ ปาดเช็ดน้ำตา เห็นโค่วจุ่นก็รีบเดินเข้าไปกล่าว “โค่วเซี่ยงกง”

โค่วจุ่นพยักหน้ากล่าว “ข้าตามรัชทายาทไปปลอบขวัญบรรดาขุนนางก่อน พระอาการของฝ่าบาทตอนนี้ไม่เหมาะจะเปิดเผย ทว่าขุนนางที่เป็นที่ไว้วางพระทัยต้องลอบประกาศให้เข้าวังมารับพระบัญชาแล้ว”

รัชทายาทประสานมือคำนับ ตอบเสียงสะอื้น “จิตใจข้าสับสนว้าวุ่น ลังเลอับจนหนทาง ล้วนอาศัยโค่วเซี่ยงกงตัดสินใจ”

โค่วจุ่นถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เดินไปด้านนอกพร้อมรัชทายาท

ต้งหมิงมองโจวไหวเจิ้งและเหลยอวิ่นกงที่เพิ่งลุกขึ้น ก่อนเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว

“โจวกงกง เหลยกงกง”

โจวไหวเจิ้งและเหลยอวิ่นกงรีบประสานมือคำนับต้งหมิง “ผู้บังคับการต้งหมิง”

ต้งหมิงมองทั้งสองคน เอ่ยเสียงเบา “สองท่านควบคุมฝ่ายใน มีบางเรื่องก็สมควรไปตระเตรียมแล้ว”

พอได้ยิน น้ำตาโจวไหวเจิ้งก็ไหลพราก “ข้า... อยากส่งฝ่าบาทเป็นครั้งสุดท้าย”

ต้งหมิงส่ายหน้า “กงกงทั้งสอง กระทำในสิ่งที่ควรกระทำ ฝ่าบาทจะได้ทรงจากไปอย่างสบายพระทัย”

เหลยอวิ่นกงปาดน้ำตา ดึงโจวไหวเจิ้งไว้ “ผู้บังคับการต้งหมิงกล่าวได้ถูกต้อง โจวกงกง พวกเรา... ไปตระเตรียมบางอย่างเถอะ”

โจวไหวเจิ้งหันกลับไปมองภายในตำหนักอย่างเสียใจแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าเงียบๆ

 

ข้างแท่นบรรทม มือหนึ่งของหลิวเอ๋อร์เกาะกุมพระหัตถ์ อีกมือหนึ่งลูบไล้พระพักตร์ น้ำตาร้อนรื้นท่วมท้นขอบตา “นับจากปีนั้น บนถนนเปี้ยนเหลียง เราได้รู้จักกันครั้งแรก หลายปีมานี้ผ่านลมผ่านฝนล้มลุกคลุกคลานเพียงใด...” เสียงของนางสะอึกสะอื้น “ข้ารู้จักท่าน เดิมทีเป็นการจัดการของเทียนจุน เพื่อตอกตะปูดอกหนึ่งในราชวงศ์ แต่ท่านไฉนถึงดีต่อข้าถึงเพียงนี้...”

หลิวเอ๋อร์ลูบไล้พระพักตร์ด้วยความรู้สึกลึกล้ำ “ข้าใกล้ชิดท่าน คิดสละตนเองเพื่อให้เทียนจุนสำเร็จการใหญ่ หลายปีมานี้กลับกล้ำกลืนฝืนทนต่อความไม่เป็นธรรม เพียงเพื่อรักษาชีวิตของท่าน แต่สุดท้าย... พวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยท่าน...”

น้ำตาสองสายค่อยๆ ไหลผ่านวงหน้าของหลิวเอ๋อร์ นางเพ่งมองเจินจงฮ่องเต้ พลันตัดสินใจบางอย่าง

นางชูนิ้วแตะที่หัวใจตนเอง จากนั้นก็พลิกมือ ของเหลวสีแดงเข้มราวกับอำพันผุดขึ้นที่กลางทรวงอก ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นของแข็ง ร่วงหล่นลงบนฝ่ามือนาง

วัตถุราวกับอำพันแดงเข้มแปลงสภาพ ค่อยๆ แยกตัวเป็นวัตถุรูปทรงหยดน้ำสองชิ้น

หลิวเอ๋อร์หยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้น ค่อยๆ ยื่นเข้าไปตรงพระโอษฐ์ที่ปิดสนิทของเจินจงฮ่องเต้ เอ่ยเสียงเบา “เหิงหลาง230 นี่คือกู่อัตชีวีของข้า ข้าแบ่งมันเป็นสองส่วนให้เข้าสู่ร่างท่านโดยตรงเพื่อต่อชีวิตของท่าน นับจากนี้ท่านกับข้าร่วมดวงชะตาเดียวกัน ท่านรอด ข้ารอด! ท่านตาย ข้าตาย!”

พูดจบนางก็พลิกหมุนมือที่ถือกู่อัตชีวีกดลงบนริมพระโอษฐ์

 

นอกตำหนักต้าชิ่ง บรรดาขุนนางใหญ่ต่างชุมนุมกัน โค่วจุ่นประคองรัชทายาทพลางกล่าวบางอย่าง

ต้งหมิงเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็ว กวาดตามองทางนั้นคราหนึ่ง ตอนนี้ไท่สุ้ย เหยากวง และหลิ่วสุยเฟิงที่รออยู่ด้านข้างรีบก้าวขึ้นหน้า

ต้งหมิงกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่งแล้วถาม “ไคหยางล่ะ”

“นางไปจัดการศพของเมิ่งตง” หลิ่วสุยเฟิงตอบ

ต้งหมิงพยักหน้าแล้วมองไปทางโค่วจุ่นและรัชทายาท กำชับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเจ้าตามข้ามา!”

พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป หลิ่วสุยเฟิงและคนอื่นต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก รีบก้าวเร็วๆ ตามไป

 

ทั้งหมดมาถึงตำหนักข้างแห่งหนึ่ง ต้งหมิงปิดประตู เอ่ยเสียงเบาหลายประโยค

“อันใดนะ เต๋อเฟย... อา... ไม่สิ! ฮองเฮามีวรยุทธ์?” ไท่สุ้ยตื่นตะลึง

ต้งหมิงพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เพียงเป็นวิทยายุทธ์ ยังฝีมือสูงส่งยิ่งนัก”

ทั้งหมดต่างมองหน้ากันอย่างแปลกใจ

หลิ่วสุยเฟิงขมวดคิ้วขณะกล่าว “ต่อให้ทรงมีวรยุทธ์ก็ไม่กระไร ในฐานะฮองเฮา ไม่อาจแสดงออกว่ามีความสามารถรำหอกร่ายทวนก็สมเหตุสมผล”

ต้งหมิงยิ้มเย็นชาแล้วกล่าว “ก่อนหน้านั้นเต๋อเฟยถูกกู่พิษ ต่อมาปล่อยให้เต๋อเมี่ยวกำเริบเสิบสานในพระราชวัง เกือบเอาชีวิตเสิ่นไฉเหริน หลังจากนั้นกู่พิษนี้ก็คลี่คลายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ข้ายังคงสงสัยมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ว่าข้าจะขบคิดอย่างไร ก็ไม่เคยคิดไปถึงเต๋อเฟย เพราะคิดไม่ออกอย่างแท้จริงถึงเหตุผลที่นางกระทำเช่นนี้ แต่ว่า...”

ต้งหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เริ่มก้าวเชื่องช้าภายในตำหนัก “เมื่อครู่เต๋อเมี่ยวถูกเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริง ขณะคุกเข่าอย่างลนลานกับพื้น ข้าสังเกตเห็นว่าคนที่นางคุกเข่าขอร้อง มิใช่ฮ่องเต้ แต่เป็น... เต๋อเฟย!”

“อีกอย่าง...” ต้งหมิงยิ้มเย็นชาก่อนเอ่ย “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจับสังเกตได้หรือไม่ ขณะที่เต๋อเมี่ยวจะเอ่ยปากขอร้อง เต๋อเฟยก็งอนิ้วดีดกะทันหัน เต๋อเมี่ยวจึงจนหนทางเปล่งวาจา...”

ต้งหมิงมองทุกคน “วิธีการประเภทนี้ นอกจากสกัดจุดก็มีเพียง...”

“กู่!” หลิ่วสุยเฟิงโพล่งออกมาคำหนึ่ง

“มิผิด ก็คือกู่!” ต้งหมิงหรี่ตา “เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องที่ถูกกู่พิษก่อนหน้าเป็นไปได้มากว่านางกำกับและแสดงเอง!”

ไท่สุ้ยถามอย่างฉงน “พวกท่านหมายถึง... เหนียงเหนียงและเต๋อเมี่ยวแท้จริงแล้วเป็นพวกเดียวกัน?”

เหยากวงออกปากอย่างคาดไม่ถึง “มิใช่กระมัง เหนียงเหนียงรักลึกซึ้งกับฝ่าบาท ไฉนนางจะทำร้ายฝ่าบาท”

“นี่คือสิ่งที่ข้าอยากรู้ให้กระจ่าง” ต้งหมิงมองหลิ่วสุยเฟิงด้วยสีหน้าจริงจัง “เหวินฉวี่!”

หลิ่วสุยเฟิงรีบขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ประกบมือเอ่ย “ขอรับ!”

“หากวันนี้ข้าเสียชีวิตในวัง ให้เจ้ารับตำแหน่งผู้บังคับการ กำกับดูแลหน่วยดาวพิฆาต!” ต้งหมิงกำชับเสียงทุ้ม

หลิ่วสุยเฟิงตกใจ หลุดปากถาม “อันใดนะ! ผู้อาวุโส ท่านคิดกระทำสิ่งใด”

ไท่สุ้ยกับเหยากวงมองต้งหมิงอย่างตระหนก

สีหน้าต้งหมิงเคร่งขรึม “ฝ่าบาททรงถูกพิษ ‘พรากวิญญาณ’ ไม่สามารถรักษาได้แล้ว พรุ่งนี้เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ตอนนั้นเต๋อเฟยก็กลายเป็นไทเฮา!”

สีหน้าเขาเครียดขมึง “หากไทเฮาเป็นกลุ่มของคนชั่ว ผลที่จะเกิดขึ้นย่อมเลวร้ายจนคาดไม่ถึง ดังนั้นข้าต้องรีบไปพบนาง ยืนยันกันซึ่งหน้า สอบถามให้กระจ่าง หากนางมีข้อน่าสงสัยแม้เพียงเศษเสี้ยว...”

ต้งหมิงหรี่สองตา เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “เพื่อแผ่นดินต้าซ่ง ต้งหมิงถึงต่อสู้จนตัวตายก็ต้องสังหารนางให้จงได้! ถึงตอนนั้นหน่วยดาวพิฆาตก็ต้องมอบให้พวกเจ้าแล้ว”

สีหน้าหลิ่วสุยเฟิงสะท้านหวั่นไหว เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว “ผู้อาวุโส...”

ต้งหมิงโบกมือเพื่อตัดบท “รัชทายาทโอบอ้อมอารี สุภาพอ่อนโยน แต่ไรมาเป็นมิตรต่อหน่วยดาวพิฆาตของเรา พวกเจ้าเพียงอธิบายความจริงให้รัชทายาทฟัง เชื่อว่ารัชทายาทไม่ยืนกรานสืบสาวราวเรื่องกับทั้งหน่วยดาวพิฆาต”

พูดจบเขาก็หาได้ใส่ใจปฏิกิริยาตอบสนองของทุกคน หมุนจากไปทันที

หลิ่วสุยเฟิงรีบติดตามทัดทาน “ไม่ได้! ในฐานะหนึ่งในสมาชิกของหน่วยดาวพิฆาต เหวินฉวี่ไหนเลยยอมให้ผู้อาวุโสเสี่ยงอันตรายเพียงลำพัง ข้าตามท่านไป”

ไท่สุ้ยกับเหยากวงก็รีบติดตามไป เอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน “ข้าก็ไปด้วย!”

ต้งหมิงชะงักฝีเท้าฉับพลัน สีหน้าเข้มขรึม หันกลับมาตวาดใส่ “หยุดอยู่ตรงนั้น! ตายเป็นเพื่อนข้านั้นง่าย สืบทอดหน่วยดาวพิฆาต ดูแลปกปักแผ่นดินต้าซ่งต่อไปนั้นยาก! ข้าละความยากแสวงหาความง่าย พวกเจ้าคนหนุ่มสาวก็ไม่ยอมแบกรับภาระหนักหรือ”

หลิ่วสุยเฟิงส่ายหน้าพลางเอ่ย “วาจาของผู้อาวุโสนี้ไม่ถูกต้อง ในเมื่อนี่คือการละความยากแสวงหาความง่าย ไยไม่ลองให้ข้าไปด้วย หน่วยดาวพิฆาตยังมีบรรดาผู้อาวุโสดาวขุยอยู่ ไม่ต้องกลัวไร้ผู้สืบทอด”

ไท่สุ้ยกับเหยากวงเอ่ยเป็นเสียงเดียว “ถูกต้อง!”

ต้งหมิงนึกเคือง ถลึงตาใส่พวกเขาแล้วกล่าว “ข้าไปเพียงลำพังยังพอมีเหตุผล! พวกเจ้าไปพร้อมข้า กลายเป็นหน่วยดาวพิฆาตก่อกบฏต่อราชสำนัก! ล้วนรั้งอยู่ตรงนี้ให้ข้าทั้งหมด!”

ทั้งสามคนเห็นต้งหมิงโมโหก็อดยืนนิ่งมิได้

ต้งหมิงกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่งก่อนสาวเท้ายาวจากไป

 

เรือนหลังตำหนักฝูหนิง เจินจงฮ่องเต้บรรทมบนแท่นบรรทม สีพระพักตร์ดีขึ้นมาก ทว่ายังคงทรงสลบไสล

หลิวเอ๋อร์ในชุดคลุมหงส์ สีหน้ากลับซีดเผือดไร้สีเลือด บัดนี้นั่งอย่างอ่อนแรงข้างแท่นบรรทม มองเจินจงฮ่องเต้ด้วยความรักอันลึกซึ้ง เอ่ยวาจาแผ่วเบาเป็นระยะ

“ต้งหมิงแห่งหน่วยดาวพิฆาต ขอเข้าเฝ้าเหนียงเหนียง!” เวลานี้เสียงของต้งหมิงดังแว่วมาจากด้านนอก

หลิวเอ๋อร์นั่งนิ่งอยู่อีกสักครู่ กระซิบบอกเจินจงฮ่องเต้ที่ประทับบนแท่นบรรทม “เหิงหลาง ท่านรอข้า ข้าจะกลับมาอย่างรวดเร็ว”

พูดจบนางก็ค่อยๆ ลุกขึ้น จัดกระชับเสื้อผ้าอาภรณ์ ยืดหลังตรงก่อนเดินออกไปภายนอก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น