ยี่สิบเจ็ด
สงครามตัดสินแห่งนรก
ภายในตำหนัก เทียนจีจื่อจัดวางแผ่นป้ายที่ประกบเป็นแผนที่ลงบนโต๊ะ ทุกคนมุงล้อมตรวจสอบ แต่ดูเพียงครู่เดียว ทุกคนต่างก็ส่ายหน้าเพราะแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งที่วาดอยู่บนแผนที่เป็นที่ใด
มีเพียงเทียนจีจื่อที่เปลี่ยนมุมมองพินิจพิจารณาสักพัก แล้วก็พลันย่นยู่หัวคิ้ว เปล่งเสียงอุทานออกจากปาก
“เอ?”
ทุกคนต่างเงยหน้ามองไปทางเขา
“ท่านนักพรต...” ปาเสียนอ๋องเปิดปากคิดสอบถาม
เทียนจีจื่อโบกมือ เป็นนัยให้ปาเสียนอ๋องอย่าเพิ่งเอ่ยคำ ประชิดเข้าไปหมุนตำแหน่งของแผนที่ แล้วใช้นิ้วลองกางวัดระยะบนแผนที่ จากนั้นก็ชี้ไปที่มุมหนึ่งบนแผนที่ เคาะนิ้วแผ่วเบาหลายครั้ง น้ำเสียงออกจะลังเล
“ที่นี่คล้ายว่าเป็น... วังปี้โหยว”
ต้งหมิงโน้มตัวไปเบื้องหน้า ค้อมร่างลงเพ่งพินิจอย่างจริงจัง จากนั้นก็พยักหน้าเชื่องช้า “มิผิด ดูจากภูมิลักษณะบนแผนที่ คลับคล้ายวังปี้โหยวมาก”
ตี้หลิงจื่อเอ่ยอย่างตกตะลึง “ถึงกับเก็บซ่อนไว้ที่วังปี้โหยวของเรา?”
เทียนจีจื่อพยักหน้า นิ้วมือเคลื่อนไหวบนแผนที่ เมื่อเลื่อนมาถึงกลางแผนที่ก็หยุดชะงัก “เช่นนั้น... ที่นี่สมควรเป็นหุบเขานรก”
ต้งหมิงขมวดคิ้วมุ่น แล้วมองแผนที่อย่างจริงจังอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าเห็นชอบด้วย “หากเป็นหุบเขานรกก็ยากจะจัดการแล้ว”
เขาเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าฮ่องเต้ ไทเฮา และปาเสียนอ๋องต่างไม่เข้าใจ จึงอธิบาย “หุบเขานรกเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านเพื่อไปยังวังปี้โหยว ที่นั่นภูมิลักษณะแปลกพิสดาร ฟ้าผ่าตลอดปีไม่หยุด สิ่งมีชีวิตยากจะเข้าสู่ด้านใน หาก ‘ภาพผลักหลัง’ ซ่อนไว้ที่นั่นจริง ออกจะดำเนินการยากแล้ว”
หลิวไทเฮามองเทียนจีจื่อก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย “กระทั่งท่านนักพรตก็ไม่ทราบวิธีเข้าออกหรือ”
เทียนจีจื่อส่ายหน้า เผยให้เห็นสีหน้าจนใจ
ตอนนี้เองจ้าวเจินฮ่องเต้พลันเอ่ยอย่างไร้เดียงสา “ที่นั่นกระทั่งท่านนักพรตเทียนจีจื่อยังเข้าไปมิได้ คาดว่าผู้อื่นก็คงเข้าไปมิได้กระมัง ในเมื่อ ‘ภาพผลักหลัง’ ซ่อนอยู่ที่นั่นปลอดภัยยิ่งนัก ก็อย่าสนใจมันเลย”
“ฝ่าบาท มิได้เด็ดขาด” สีหน้าปาเสียนอ๋องน่าเกรงขามขึ้นทันที
จ้าวเจินเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เรารู้ดีว่า ‘ภาพผลักหลัง’ นั่นวิเศษพิสดาร แต่สำหรับเรา ขอเพียงมันไม่ถูกผู้ใดค้นพบแล้วนำมาก่อกรรมทำเข็ญต่อใต้ฟ้า เช่นนั้นมันคือวัตถุที่มีหรือไม่ก็ได้ ในเมื่อมีอสนีบาตปกป้อง มิสู้ปล่อยมันทิ้งไว้ที่นั่นต่อไป คิดว่านี่คงเป็นเจตนารมณ์แต่แรกของสองปรมาจารย์หยวนเทียนกังและหลี่ฉุนเฟิง”
ปาเสียนอ๋องได้ฟังแล้วก็ส่ายหน้ากล่าว “ฝ่าบาท บัดนี้ไม่เหมือนกาลก่อน เมื่อก่อนแม้เล่าลือว่า ‘ภาพผลักหลัง’ วิเศษพิสดาร แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอยู่ที่ใด และไม่มีผู้ใดเสาะหาอย่างจริงจัง มันซ่อนอยู่ที่นั่นย่อมปลอดภัย แต่บัดนี้ต่างออกไป ไม่ว่าชี่ตัน ซีเซี่ย หรือแม้แต่ภายในต้าซ่งเอง ล้วนมีคนเสาะหาสิ่งนี้ ยากกล่าวว่าจะไม่ถูกผู้มีใจมาดหมายเสาะหาจนพบแหล่งที่อยู่”
เอ่ยถึงตรงนี้ ปาเสียนอ๋องก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่ออย่างปลงตก “แม้ฟ้าผ่าจะแข็งแกร่ง แต่ไม่อาจขวางกั้นความละโมบแห่งใจมนุษย์!”
หลิวเอ๋อร์พยักหน้าเห็นด้วย จึงเอ่ยกับจ้าวเจิน “ลูกเจิน ท่านอาของเจ้ากล่าวมามีเหตุผล ในเมื่อเราตรวจสอบพบที่อยู่ของ ‘ภาพผลักหลัง’ ผู้อื่นก็ใช่ว่าจะทำมิได้ คนเก่งกาจอัศจรรย์บนโลกนี้มากมีนับไม่ถ้วน หากมีผู้ไม่หวาดกลัวต่อฟ้าผ่าฟ้าร้องขึ้นมาจริง ถึงตอนนั้นฉกฉวย ‘ภาพผลักหลัง’ ไป ไหนเลยมิใช่ทั่วหล้าระส่ำระสายครั้งใหญ่ ‘ภาพผลักหลัง’ อยู่ที่นั่น พวกเราต้องคอยพะวงทุกเวลา นี่ต่างอันใดกับพันวันเฝ้าระวังโจร285 เล่า”
บัดนี้ต้งหมิงก็เอ่ยโน้มน้าว “ฝ่าบาท แม้ยามนี้กลางหุบเขานรกบังเกิดฟ้าผ่าไม่ขาดสาย ทว่าสรรพสิ่งบนโลกไม่แน่นอน หากวันใดวันหนึ่งฟ้าผ่าเกิดหยุดลงเล่า”
จ้าวเจินขบคิดอย่างจริงจัง ด้วยความจนใจจึงพยักหน้ากล่าว “ในเมื่อทุกท่านต่างกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นก็หาหนทางนำมันออกมาเถิด ผู้บังคับการต้งหมิง เรื่องนี้มอบให้หน่วยดาวพิฆาตของท่านดำเนินการ บุคลากรที่จำเป็น ท่านจัดสรรด้วยตนเอง”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
นอกตำหนักฉุยก่ง ไท่สุ้ย เหยากวง และเสวียนเสวียนจื่อกำลังรอข่าว เทียนจีจื่อและตี้หลิงจื่อก้าวฝีเท้าเร็วออกมา หลายคนนั้นต่างกรูเข้าไปทันที
เทียนจีจื่อกวาดตามองทุกคนก่อนพยักหน้าแผ่วเบา “สิ่งนั้นอยู่ที่หุบเขานรก”
เสวียนเสวียนจื่อตกตะลึง “หุบเขานรก? หุบเขานรกแห่งวังปี้โหยว?”
สีหน้าต้งหมิงเข้มงวด รีบเอ่ยตัดบท “ทุกท่าน เรื่องไม่เหมาะรอช้า เกรงว่าจะเกิดความพลิกผัน ฝ่าบาททรงอนุมัติเป็นกรณีพิเศษ พระราชทานม้าเร็วให้พวกเราควบขี่จากในพระราชวัง มีเรื่องอันใด พวกเราสนทนาหารือกันระหว่างทางเถอะ”
ทุกคนพยักหน้า เร่งฝีเท้าเดินไปด้านนอก
ออกจากพระราชวัง ทุกคนควบม้าห้อตะบึงอย่างเร็วรี่ ในที่สุดก็เร่งรุดมาถึงเบื้องหน้าหุบเขานรกในช่วงเย็น
กลางหุบเขานรกฟ้าผ่าฟ้าครืนครั่น ด้านบนปรากฏเมฆครึ้มดำปกคลุมเป็นระยะ ไม่รอให้ถึงระยะใกล้ อาชาที่ทุกคนควบต่างตื่นตกใจชะงักฝีเท้ากึก ไม่ยอมวิ่งขึ้นหน้าอีก
เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ทุกคนก็ไม่ฝืนบังคับ ต่างลงจากหลังม้า คอยปลอบขวัญอาชา
ไท่สุ้ยลูบปลอบม้าตัวหนึ่งไปพลางส่ายหน้าพึมพำไปพลาง “เฮ้อ อ้อมวนเสียรอบใหญ่ ที่แท้สิ่งของซุกซ่อนอยู่หน้าประตูบ้าน”
ตี้หลิงจื่อมองเขาแวบหนึ่งแต่ไม่เอ่ยคำ คอยลูบปลอบม้าอย่างแผ่วเบา แล้วหันไปมองหุบเขานรก
เมื่อทุกคนปลอบขวัญม้าแล้วเสร็จ ก็ปรึกษาหารือกันสักพัก ก่อนผูกม้าไว้ริมทาง ทุกคนเดินหน้าไปอีกระยะ เมื่อเข้าใกล้ก็สำรวจตรวจสอบสภาพหุบเขานรกอย่างละเอียด
หลิ่วสุยเฟิงพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนย่างเท้าไปเบื้องหน้าสองก้าว
เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดจากกลางฟ้าทันที สีหน้าหลิ่วสุยเฟิงแปรผันรุนแรง รีบตีลังกาถอยกลับหลัง เพ่งมองอีกครั้ง บริเวณที่ยืนเมื่อครู่ถูกฟ้าผ่าจนเห็นควันลอยกรุ่น
ทุกคนต่างตกตะลึง อดถอยกรูดไปหลายก้าวมิได้
มีเพียงไท่สุ้ยไม่เชื่อในปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติ ลองสาวเท้าเดินไปสองก้าว แต่แล้วก็ร้องโหวกเหวกโวยวายกลิ้งตัวกลับมา สายอสนีบาตด้านหลังแลบแปลบปลาบอย่างต่อเนื่อง ผ่าบนพื้นไล่หลังคล้ายกำลังตามรอยเท้าของเขากระนั้น
คราวนี้ต้งหมิงลองย่างเท้าขึ้นหน้า เพิ่งย่ำไปได้เพียงหนึ่งก้าว สายฟ้าเบื้องหน้าก็กระหน่ำฟาดลงมาอย่างรุนแรง เขาได้แต่ถอยหลัง
เปาเจิ่งขมวดคิ้วครุ่นคิด ล้วงเงินเหรียญทองแดงจากอกเสื้อแล้วโยนออกไป เงินยังไม่ทันตกพื้น สายฟ้าก็ฟาดกระหน่ำ หลังเหรียญทองแดงตกถึงพื้นแล้ว ก็ยิ่งล่อสายฟ้าไม่หยุด
คนอื่นเห็นรูปการณ์นี้แล้วก็ไม่คิดทดลองอีก ต่างขมวดคิ้วครุ่นคิด
ผ่านไปสักพักใหญ่ ต้งหมิงก็มองทางเทียนจีจื่อพลางสอบถาม “ท่านนักพรต ท่านเห็นว่าอย่างไร”
เทียนจีจื่อมองประเมินสายฟ้าผ่ากลางหุบเขานรกอย่างจริงจัง ก่อนส่ายหน้าไม่กล่าววาจา
ต้งหมิงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มองหุบเขานรกพลางตรึกตรอง พลันบังเกิดความคิด จึงกวักมือเรียกไท่สุ้ยและเหยากวง
ไท่สุ้ยกับเหยากวงต่างสบตากันแวบหนึ่งแล้วเดินเข้าไปหาต้งหมิง
ต้งหมิงกล่าว “ไท่สุ้ย เหยากวง พวกเจ้ากลับไปหน่วยดาวพิฆาตสักเที่ยว เล่าสภาพการณ์ที่นี่ให้ไคหยางฟังอย่างละเอียด ดูว่านางมีวิธีหรือไม่”
เหยากวงตบหน้าผากอย่างเข้าใจฉับพลัน “จริงด้วย พี่ไคหยางควบคุมหุ่นกลไกได้ ถึงตอนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราเข้าไปเองแล้ว”
ไท่สุ้ยพยักหน้า หมุนตัวเดินกลับไปพร้อมเหยากวง เดินไปพลางถอนหายใจไปพลาง “เฮ้อ เหตุใดข้าจึงนึกไม่ถึง”
เหยากวงยิ้มร่า “ก็เจ้าโง่อย่างไรล่ะ”
ไท่สุ้ยเสตามองนางแวบหนึ่ง แล้วทำปากเบ้ “เฮอะ เจ้าฉลาดรึ เช่นนั้นเจ้าคิดได้อย่างนั้นหรือ”
“คันผิวหนังอีกแล้วใช่หรือไม่” เหยากวงกางนิ้ว ปรายตามองไท่สุ้ยพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย
สองคนขึ้นม้า ค่อยๆ เคลื่อนออกไปไกล เสียงเหยากวงดังมาแว่วๆ
“ไท่สุ้ย เป็นบุรุษเจ้าก็อย่าหนี”
“เป็นสตรีเจ้าก็อย่าตาม”
ต้งหมิงเสมองหลิ่วสุยเฟิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลิ่วสุยเฟิงยิ้มปะเหลาะ “วางใจเถอะผู้อาวุโส พวกเขาทั้งคู่ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ ไม่เสียถึงเรื่องการงานอย่างแน่นอน”
ตอนนี้ตี้หลิงจื่อพลันก้าวขึ้นหน้าคุกเข่าคำนับตรงหน้าเทียนจีจื่อ น้ำเสียงโศกศัลย์รันทด “อาจารย์อา ศิษย์อกตัญญู ทำให้อาจารย์ต้องประสบเคราะห์กรรมครั้งนี้ ศิษย์... โทษสมควรตาย”
ตี้หลิงจื่อโขกศีรษะ ฟุบกับพื้นไม่ยอมลุกขึ้น
เทียนจีจื่อมองวังปี้โหยวที่อยู่ไกลๆ เห็นภาพก็พลันเกิดความคิดคำนึง ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ปรี่เข้าไปประคองตี้หลิงจื่อ น้ำตาคลอเบ้าขณะกล่าว “ลุกขึ้นเถอะ ศิษย์หลาน เจ้าไม่มีความผิด ยิ่งไร้โทษทัณฑ์ ที่มีโทษทัณฑ์คือคนร้ายผู้นั้น”
ตี้หลิงจื่อยืดตัวลุกขึ้น เทียนจีจื่อตบบ่าของเขา ถอนหายใจแล้วกล่าว “เฮ้อ... ต้องโทษที่พวกเรามุ่งใจมั่นเพียงหลุดพ้นทางโลกบำเพ็ญพรต ดูเบาความน่าหวาดกลัวและอันตรายแห่งจิตใจมนุษย์ ยิ่งลืมเลือนหลักเหตุผลเรื่องทุกขลาภเพราะครอบครองหยกงาม ศิษย์หลาน เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง รักษาสุขภาพให้ดี ภายภาคหน้ายังต้องอาศัยเจ้าแก้แค้นให้ศิษย์พี่”
สองตาตี้หลิงจื่อแดงก่ำ น้ำตาไหลพราก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “อาจารย์อาวางใจ ความแค้นความชิงชังครั้งนี้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก ขอเพียงศิษย์ยังมีลมหายใจ ย่อมสังหารคนร้ายอย่างแน่นอน เพื่อให้อาจารย์นอนตายตาหลับในปรโลก”
เทียนจีจื่อพยักหน้าเงียบเชียบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตี้หลิงจื่อก็ค่อยๆ กลั้นน้ำตา ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดปาดคราบน้ำตาตรงหางตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้ามองเทียนจีจื่อ “อาจารย์อา บัดนี้ศพอาจารย์ยังไม่ทันเย็น ศิษย์ขอเข้าไปในหมู่บ้านหาซื้อธูปเทียนขึ้นเขาไปกราบไหว้อาจารย์ ขออาจารย์อาอนุญาตด้วย”
เทียนจีจื่อพยักหน้า ตบบ่าตี้หลิงจื่อ ทอดถอนใจกล่าว “นี่สมควรแล้ว เจ้าไปเถอะ”
ตี้หลิงจื่อค้อมตัวคำนับ เอ่ยอำลาจากไป
เหยากวงกับไท่สุ้ยควบม้าเร็วกลับมาถึงเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
หลังจากเข้าหน่วยดาวพิฆาตแล้ว เหยากวงก็แย้มยิ้มเต็มหน้า สาวเท้ายาวเดินนำ ไท่สุ้ยจมูกเขียวหน้าบวมปูดติดตามอยู่ด้านหลังอย่างมีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง พลางถอนหายใจเป็นระยะ
เดินไปได้สักพัก เหยากวงก็รำคาญที่ไท่สุ้ยเดินชักช้า จึงหันขวับมาเอ่ยเร่งเขา “เดินเร็วหน่อย กระบิดกระบวนราวกับสตรี”
ไท่สุ้ยเงยหน้าขึ้นอย่างสิ้นเรี่ยวหมดแรง อ้าปากคิดเอ่ยวาจา แต่เห็นเหยากวงกำลังถลึงตาใส่ เขาจึงรีบหุบปากลงทันควัน ฝืนฉีกยิ้มประจบเอาใจ พยักหน้าค้อมเอวเร่งฝีเท้า
“เมิ่งตง...”
ไคหยางพึมพำเสียงเบา น้ำตาหลั่งรินจากหางตาลงมาช้าๆ
“พี่ไคหยาง พี่ไคหยาง”
ตอนนี้เอง เสียงดีอกดีใจของเหยากวงแว่วมาจากด้านนอก ไคหยางรีบสูดหายใจลึกๆ มือไม้พันกันล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปาดเช็ดน้ำตา แล้วรีบม้วนเก็บแบบร่างในมืออย่างระมัดระวัง ก่อนเงยหน้ามองออกไปภายนอก
เหยากวงเปิดประตู กระโดดโลดเต้นวิ่งเข้ามา ใบหน้าพกพารอยยิ้มเบิกบานใจ
“เป็นเหยากวงนี่เอง” ไคหยางยิ้มบางก่อนลุกขึ้น จากนั้นก็มองเห็นไท่สุ้ยซึ่งอยู่ข้างหลังเหยากวงเดินเข้ามาด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
“พี่ไคหยาง...” เมื่อเห็นไคหยาง ไท่สุ้ยก็พยายามทำท่ากระฉับกระเฉง ยืดอกพลางสาวเท้ายาวเข้าไป จะเอ่ยกล่าววาจา
แต่เหยากวงไม่รอให้ไท่สุ้ยพูดจนจบก็เอ่ยปากตัดบท “พี่ไคหยาง ผู้อาวุโสต้งหมิงให้ข้ามาหาท่าน ให้ท่านช่วยคิดหาวิธีเข้าไปในหุบเขานรก”
ไคหยางตกตะลึง ถามอย่างไม่แน่ใจ “หุบเขานรก?”
“ก็คือหุบเขาที่มีฟ้าผ่าไม่ขาดสาย ซึ่งอยู่เบื้องหน้าวังปี้โหยวแห่งนั้น ฟังผู้อาวุโสต้งหมิงกล่าวว่าสิ่งของที่ต้องการเสาะหาอยู่ที่นั่น” เหยากวงอธิบาย
ไคหยางยังคงสงสัย “ฟ้าผ่าไม่ขาดสาย?”
ไท่สุ้ยแย่งเดินขึ้นหน้าไปเล่า “พี่ไคหยาง เป็นเช่นนี้... หุบเขานรกนั้นแปลกพิสดารนัก ฟ้าผ่าไม่หยุดทั้งวัน ทันทีที่มีสิ่งมีชีวิตหลุดรอดเข้าไป สายฟ้าก็ฟาดกระหน่ำไม่หยุด ดังนั้นพวกเราต่างเข้าไปมิได้ ผู้อาวุโสต้งหมิงคิดว่า บางทีอาจใช้ศาสตร์กลไกของท่านให้เกิดประโยชน์...”
ฟังถึงตรงนี้ ไคหยางก็พยักหน้าอย่างเข้าใจโดยพลัน “ที่แท้เป็นแบบนี้ ได้ พวกเราไปคลังอาวุธก่อน”
ว่าพลางลุกขึ้นเดินนำออกไปด้านนอก ไท่สุ้ยและเหยากวงที่อยู่ด้านหลังจึงรีบติดตาม
ไม่นานนัก ไท่สุ้ยหิ้วกล่องเหล็กขนาดสูงกว่าครึ่งตัวคน เดินหอบแฮกออกมา ส่วนไคหยางและเหยากวงกลับเดินกุมมือ สนทนายิ้มหัวอยู่ด้านหน้า
หนึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งสามคนเร่งรุดมาถึงบริเวณพื้นที่ราบระหว่างหุบเขานรก ทั้งไท่สุ้ยและเหยากวงต่างควบม้า ส่วนไคหยางกลับบังคับหุ่นแมงมุมขนาดใหญ่ โผล่ให้เห็นเพียงช่วงศีรษะอยู่บริเวณด้านหลังหุ่นแมงมุม
“ด้านหน้าก็คือหุบเขานรก” ทั้งสามคนต่างหยุดหายใจหายคอ เหยากวงกล่าว “ม้าฝ่าขึ้นไปมิได้ หนทางที่เหลือพวกเราต้องเดินเท้า”
ไท่สุ้ยมองเหยากวงด้วยสีหน้ามิได้รับความเป็นธรรม “ที่แท้แมงมุมนี้บังคับควบคุมได้ จุคนได้ เช่นนั้นเมื่อครู่ขณะอยู่ในเมือง ไยให้ข้าหิ้วกล่องเหล็กอยู่นั่น”
ไคหยางยิ้มอ่อนหวาน “ถามเหยากวงสิ!”
พอได้ยิน ไท่สุ้ยก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปว่าตนถูกปั่นหัว จึงอดถลึงตาใส่เหยากวงมิได้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “เจ้าอีกแล้ว!”
เหยากวงตีหน้าผีทะเล้นใส่ หัวเราะร่าก่อนกล่าว “ถูกต้องแล้ว!”
ไคหยางที่อยู่ด้านข้างเห็นทั้งคู่ต่อล้อต่อเถียงกัน ก็อดปิดปากแย้มยิ้มมิได้
รอจนไท่สุ้ยกับเหยากวงผูกม้าแล้วเสร็จ ทั้งสามต่างก็ไม่ชักช้ารีรอ มาถึงหุบเขานรกอย่างรวดเร็ว
หุ่นแมงมุมของไคหยางเพิ่งหยุดชะงักก็ถูกทุกคนกรูล้อม ต่างอุทานว่าอัศจรรย์
เทียนจีจื่อมองประเมินขึ้นลงอย่างสงสัยใคร่รู้ แล้วยื่นมือออกไปลูบสัมผัส พยักหน้าชื่นชม “ความคิดวิจิตรมหัศจรรย์ เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่”
วังปี้โหยวสืบทอดมายาวนาน ไม่ว่าวรยุทธ์ ศาสตร์ลวงตา หรือศาสตร์การแพทย์ ล้วนเชี่ยวชาญปรุโปร่ง สำหรับศาสตร์หุ่นกลไกกลับไม่ชำนาญโดยแท้ บัดนี้ได้พบเห็นหุ่นกลไกที่บรรทุกมนุษย์ได้เป็นครั้งแรก ต่างก็อดอุทานอย่างประหลาดอัศจรรย์ใจมิได้
ตี้หลิงจื่อที่เซ่นไหว้อาจารย์กลับมาแล้ว เมื่อเห็นหุ่นกลไกของไคหยางก็อุทานอย่างอัศจรรย์ใจไม่หยุดเช่นกัน มองประเมินขึ้นลงอยู่สักพักก็เอ่ยปากชื่นชม “เล่าลือกันว่าโบราณกาลมีบันทึกใน โม่จื่อกงซู286 ถึงความวิจิตรประณีตเลิศล้ำแดนสรวง นักพรตต่ำต้อยแต่แรกยังไม่เชื่อ บัดนี้ดูท่ากลับเป็นนักพรตต่ำต้อยดั่งกบอยู่ในกะลาครอบแล้ว!”
เสวียนเสวียนจื่ออุทานอย่างชื่นชม “ที่ศิษย์พี่ว่ามาล้วนถูกต้อง จากที่ศิษย์น้องมอง ความวิจิตรพิสดารของวัตถุนี้ไม่เป็นรองโคไม้ม้าจรที่ขงเบ้งประดิษฐ์ขึ้น”
หลายคนนั้นต่างรั้งไคหยางเพื่อสอบถามหลายประโยค จากนั้นต่างคนต่างแยกย้าย
จวบจนบัดนี้ ต้งหมิงถึงเอ่ยปากสอบถาม “ไคหยาง ภายในหุบเขานรกบังเกิดฟ้าผ่าไม่หยุด หุ่นกลไกของเจ้านี้ไม่มีปัญหากระมัง”
“วางใจเถอะผู้อาวุโส ข้าได้ฟังสภาพการณ์ของที่นี่จากเหยากวง จึงเลือกหุ่นกลไกนี้เป็นพิเศษ” ไคหยางเคาะหุ่นกลไกครู่หนึ่ง ก็บังเกิดเสียงไม้กระทบกันดังก๊อกๆ
“อะไหล่ทั้งตัวหุ่นทำจากไม้ ไม่กลัวฟ้าผ่า”
ต้งหมิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ถอยหลังไปสองก้าว ทุกคนเห็นดังนั้นก็เข้าใจความนัย จึงแยกย้ายไปด้านข้างทันที มอบพื้นที่ว่างให้หุ่นกลไกเคลื่อนไหว
ไคหยางไม่ชักช้า พยักหน้าไปทางต้งหมิงและคนอื่นๆ ยื่นมือกดปุ่มหลายปุ่ม จากนั้นก็ถอยหลังหนึ่งก้าว บังคับหุ่นกลไกให้เดินเข้าสู่หุบเขานรก
แต่คราวนี้นางมิได้ขึ้นไปบังคับควบคุมตัวหุ่นด้วยตนเองเหมือนขณะเร่งรุดเดินทางมา แต่ยืนอยู่กับที่บังคับหุ่นกลไกให้เดินไปข้างหน้า
ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จับจ้อง หุ่นแมงมุมสาวเท้าย่างไปเบื้องหน้าทีละก้าว ถึงบริเวณเส้นเขตแดนที่ทุกคนลองทดสอบเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว ที่ทำให้ทุกคนทั้งประหลาดใจระคนยินดีก็คืออสนีบาตเป็นดังที่คาดการณ์ก่อนหน้า กลับมิได้ผ่ากระหน่ำใส่หุ่นกลไก
หุ่นแมงมุมเดินวนอยู่ในหุบเขานรกหนึ่งเที่ยว แล้วถอยกลับมาอย่างปลอดภัย
เหยากวงลิงโลด ดึงรั้งแขนของไคหยางพลางร้องโหวกเหวก “พี่ไคหยางยอดเยี่ยมเหลือเกิน!”
จนกระทั่งหุ่นกลไกมาถึงระยะใกล้ ต้งหมิงเดินขึ้นหน้าไปสอบถาม “หุ่นแมงมุมนี้ทำอันใดได้บ้าง”
ไคหยางยิ้มตอบ “ผ่านการแก้ไขปรับปรุงไม่หยุดของข้า บัดนี้มันสามารถสัญจร ป่ายปีน จู่โจม ขุดเจาะ ลำเลียง...”
เปาเจิ่งที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ย “หุ่นแมงมุมที่สร้างจากศาสตร์กลไก แม้แปลกพิสดารน่าอัศจรรย์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นวัตถุไม่มีชีวิต ไม่อาจวิเคราะห์แยกแยะเหมือนมนุษย์อย่างเราๆ พวกเรารู้เพียงว่า ‘ภาพผลักหลัง’ อยู่ในหุบเขานรก แต่หุบเขานี้ไม่เล็กเลย กลับมิรู้ว่าแท้จริงแล้วซ่อนอยู่ที่ใดแน่ หรือต้องขุดหุบเขานี้จนทั่ว แล้วลำเลียงสิ่งของที่ขุดออกมาเพื่อตรวจสอบ”
ไคหยางตะลึงงัน ส่ายหน้ากล่าว “บัดนี้หุ่นแมงมุมตัวนี้แม้ผ่านการปรับปรุงไม่ขาดสาย แต่ทำได้เพียงสัญจรได้เอง จะให้มันปีนป่าย จู่โจม ขุดเจาะ บรรทุกคน ยังคงต้องให้คนเข้าไปบังคับอยู่ภายใน”
เทียนจีจื่อตบเคาะช่วงขาของหุ่นแมงมุม พลางสอบถาม “หากคนนั่งอยู่ภายในตัวหุ่น จะกันฟ้าผ่าได้หรือไม่”
“เรื่องนี้... ข้าเองก็ไม่เคยทดสอบ” ไคหยางลังเลไปครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า
พอได้ฟัง ไท่สุ้ยก็คันไม้คันมืออยากทดลอง อาสาอย่างกล้าหาญ “เช่นนั้นข้ามาทดสอบ”
ไคหยางรีบห้ามปราม “ไม่ได้! หุ่นแมงมุมนี้เกรงว่าชั่วครึ่งค่อนขณะเจ้าคงไม่อาจบังคับควบคุมได้ อีกประการ ความเคลื่อนไหวของมันไม่คล่องแคล่วเหมือนเกราะกลไก หากไม่สามารถกันฟ้าผ่าได้ เจ้าคิดหนีออกมานั้นยากนัก”
ไท่สุ้ยคิดแล้วก็เสนอ “เช่นนั้น... ข้าลองสวมเกราะกลไกดู”
ทุกคนต่างส่ายหน้า รู้สึกว่าไม่เหมาะสม มีเพียงหลิ่วสุยเฟิงมองไท่สุ้ยแล้วยิ้มเล็กน้อย เอ่ยไปทางต้งหมิง “ผู้อาวุโส ในหมู่พวกเราก็มีเพียงไท่สุ้ยที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ต้งหมิงพอได้ฟังก็เข้าใจทันที ซึ่งเขากล่าวเป็นนัยว่าไท่สุ้ยมีความสามารถเป็นอมตะ หลังจากตรึกตรองแล้วก็ยิ้มไปทางไท่สุ้ยก่อนพยักหน้า “ได้ เจ้ามาลองดู!”
เหยากวงที่อยู่ด้านข้างพอได้ยินก็อดมองไปทางไท่สุ้ยมิได้ แม้ในใจเป็นห่วงไม่เสื่อมคลาย แต่ปากกลับไร้วาจาดี “นี่ เจ้าอย่าได้ถูกฟ้าผ่าจนเลอะเลือนอีกครั้งล่ะ”
“ปากอีกา!” ไท่สุ้ยโมโหจนมองค้อนนางวงหนึ่ง ก่อนหันไปทางไคหยาง “พี่ไคหยาง เกราะกลไกเล่า”
เห็นทุกคนตัดสินใจแล้ว ผนวกกับนางรู้ถึงคุณสมบัติพิเศษของไท่สุ้ย ไคหยางจึงไม่ปฏิเสธอีก
นางเดินไปยังด้านหลังหุ่นแมงมุม ตบปุ่มกลไก พลันได้ยินเสียงแกรก แผ่นฝาช่วงลำตัวด้านหลังของหุ่นแมงมุมก็กระเด้งออก เผยให้เห็นช่องโหว่สำหรับเก็บสิ่งของกว้างขนาดจั้งกว่า เพียงยื่นมือเข้าไป ไคหยางก็หิ้วกล่องใบหนึ่งออกมา
“มา ข้าสอนเจ้าก่อนว่าใช้งานอย่างไร”
ไคหยางเปิดกล่อง ล้วงหยิบเกราะกลไกที่แยกชิ้นส่วนชุดหนึ่งมาจากด้านใน ทางหนึ่งช่วยไท่สุ้ยสวม อีกทางคอยชี้แนะว่าควบคุมใช้งานอย่างไร
การควบคุมบังคับเกราะกลไกนั้นง่ายดายมาก คลับคล้ายชุดเกราะอีกหนึ่งชั้นหุ้มร่างกายอย่างไรอย่างนั้น ขอเพียงรักษาสมดุลและทำความคุ้นเคยกับส่วนควบคุมจุดสำคัญบริเวณข้อต่อ ก็ไม่มีระดับความยากแต่อย่างใดอีก
ไม่นานนักไท่สุ้ยก็ฝึกจนบังคับได้แล้ว
ภายนอกเกราะกลไกทาทับด้วยหมึกดำ ไท่สุ้ยสวมไว้บนร่าง ดูสง่างามน่าเกรงขามเป็นพิเศษ รูปร่างลักษณะเด่นชัดว่าสูงใหญ่ขึ้นไม่น้อย
“เอาละ!” ไท่สุ้ยทำความคุ้นเคยอีกสักพักก่อนพยักหน้าอย่างพออกพอใจ
ทุกคนต่างมองไปทางต้งหมิง
ต้งหมิงให้ไท่สุ้ยลองเคลื่อนไหวหลายครั้ง สอบถามหลายคำก่อนพยักหน้ากล่าว “เอาละ ระวังหน่อย”
พูดจบเขาก็โบกมือ ทุกคนต่างถอยหลบไปด้านหลัง
ไท่สุ้ยพยักหน้าให้ทุกคน ลองเดินไปเบื้องหน้าหลายก้าว จากนั้นก็ทำท่าเตรียมออกวิ่ง สีหน้าเครียดขรึมขึ้นมา
ทุกคนต่างมองเขาอย่างกระวนกระวาย โดยเฉพาะเหยากวงที่หายใจหอบกระชั้น
ทันใดนั้น ใต้ขาไท่สุ้ยออกแรงแตะพื้นอย่างรุนแรง ทั้งร่างราวกับกระสุนปืนใหญ่ยิงพรวดออกไป ชั่วพริบตาก็พุ่งไปอยู่กลางหุบเขานรก
แต่วินาทีถัดไปเสียงครืนครั่นก็ดังก้องขึ้น ไท่สุ้ยกลิ้งตัวกลับมาเพราะถูกฟ้าผ่า
เขานอนแผ่อยู่บนพื้น สองแขนที่ห่อหุ้มด้วยเกราะกลไกกระตุกเกร็งไม่หยุด กระแสไฟวิ่งพล่านไปทั่วร่าง
ทุกคนรีบรุดขึ้นหน้า ไคหยางกดปุ่มเบื้องหน้าตัวไท่สุ้ย เกราะที่หุ้มบนศีรษะและใบหน้าหลุดออก เห็นเพียงผมเผ้าไท่สุ้ยลุกตั้ง ใบหน้าล้วนดำเกรียม ควันกรุ่นลอยออกจากศีรษะตลอดเวลา บนร่างเห็นกระแสไฟไหลเวียนโคจร ไท่สุ้ยในชุดเกราะยังคงชักกระตุกไม่หยุด
เหยากวงโถมเข้าไปอุทานอย่างตระหนกตกใจ “ไท่สุ้ย! เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
ไท่สุ้ยอ้าปากพะงาบๆ คิดเปล่งเสียง แต่เมื่อเอ่ยปากกลับกระอักควันดำสายหนึ่งออกมา
หลิ่วสุยเฟิงปราดเข้าไป ประเมินมองไท่สุ้ยขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นก็หันไปส่ายศีรษะด้วยสีหน้าเรียบเฉยต่อทุกคนที่กำลังตื่นตกใจ “ไม่เป็นอันใด ยังมีลมหายใจ”
ทุกคนบ้างนั่งบ้างยืนตรงหน้าหุบเขา ในชั่วขณะก็จมเข้าสู่ความอึดอัด ต่างอับจนหนทาง
ผ่านไปครู่ใหญ่ เห็นว่าทุกคนต่างนิ่งงันไร้วาจา ตี้หลิงจื่อก็มองซ้ายมองขวา เดินไปคำนับตรงหน้าเทียนจีจื่อ “อาจารย์อา ศิษย์กลับมีความคิดหนึ่ง”
ทุกคนต่างมองตี้หลิงจื่ออย่างตกตะลึง
เทียนจีจื่อยิ่งประหลาดใจนัก ถามอย่างฉงนสงสัย “หือ? ลองว่ามา”
ตี้หลิงจื่อเอ่ยอย่างนบนอบ “ที่กล่าวว่าหนึ่งคนอับจนความคิด สองคนมากวิธีการ ในเมื่อพวกเราจนหนทางเข้าไป เสียเวลาอยู่ตรงนี้ก็มิใช่วิธี มิสู้กลับไปก่อน ต่างคนต่างลองเสาะหาวิธีการที่ใช้การได้”
นี่เรียกว่าข้อเสนออันใดกัน
เหยากวงอดทำปากเบ้อย่างดูแคลนมิได้ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ลุงของไท่สุ้ย คำพูดประชดประชันที่เอ่อท้นมาถึงริมฝีปากจึงถูกกลืนลงไป
ต้งหมิงได้ยินว่าตี้หลิงจื่อคิดหาคนมาช่วยเหลือก็รีบส่ายหน้ากล่าว “มิได้เด็ดขาด! เรื่องสำคัญใหญ่หลวง ไหนเลยจะแพร่งพรายความลับได้ หากถูกผู้มีใจทะเยอทะยานเสาะหา ‘ภาพผลักหลัง’ พบ ย่อมก่อให้เกิดความวุ่นวายมหันต์”
ตี้หลิงจื่อโต้แย้ง “สถานที่นี้ไร้ผู้ใดเข้าไปได้ ต่อให้แพร่งพรายออกไปก็มิเป็นอันใดกระมัง หรือมิฉะนั้นก็ทิ้งหลายคนไว้คอยเฝ้าระวังที่นี่”
“มิได้! มิได้!” ต้งหมิงยังคงส่ายหน้า ในสายตาเขา ต่อให้ทุกคนไม่อาจเข้าไปได้ก็ยังดีกว่าความลับแพร่งพรายมากนัก
บัดนี้ไท่สุ้ยตบต้นขาก่อนลุกขึ้นยืน ใบหน้าฉายความตื่นเต้นและกระฉับกระเฉง
ทุกคนต่างตื่นตระหนก หันไปมองเขาอย่างพร้อมเพรียง
“เจ้ามีวิธี?” เหยากวงถามอย่างประหลาดใจระคนยินดี
“วิธีการฉลาดนั้นไม่มี วิธีการโง่เขลากลับมีอย่างหนึ่ง” สองตาไท่สุ้ยสาดประกายวาบ มองไปทางทุกคน
หลิ่วสุยเฟิงพอได้ฟังก็นึกสนใจขึ้นมาทันที มองไท่สุ้ยอย่างให้กำลังใจ “บางครั้งวิธีการโง่เขลากลับใช้ได้ดีกว่าวิธีการฉลาด เจ้าลองว่ามา”
ไท่สุ้ยโบกมือวูบ กล่าวด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมห้าวหาญ “พวกเราไปขอราชโองการ ให้ส่งกองทัพมา!”
“หา!?” ทุกคนต่างอึ้งงัน
ไท่สุ้ยเอ่ยเสียงดัง “ให้กองทหารขุดอุโมงค์ใต้ดินจากใต้พื้น แล้วพวกเรามุดเข้าไป!”
เหยากวงกะพริบตาปริบๆ “จากนั้นล่ะ เจ้าจะโผล่ขึ้นไปหรือไม่”
ไท่สุ้ยนิ่งงัน “เอ่อ... อา...” นั่นสิ ต่อให้มีอุโมงค์ใต้ดิน ตนก็ต้องโผล่ศีรษะขึ้นไปอยู่ดี ว่ามาเช่นนี้ ข้อเสนอของตนเองเช่นนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไท่สุ้ยหน้าม่อยคอตก นั่งแหมะกับพื้นอย่างมีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง ไม่เอ่ยอันใดอีก
ตอนนี้เอง ไคหยางประหนึ่งว่าบังเกิดความคิดเฉียบแหลมขึ้นจากข้อเสนอของไท่สุ้ย พลันยิ้มชื่นบาน “จริงด้วยสิ! วิธีการนี้ไม่เลว!”
ไท่สุ้ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พี่ไคหยาง ท่านก็ล้อเลียนข้า?”
ไคหยางยิ้มแย้มด้วยความปีติ โบกมือเอ่ย “ข้ามิได้ล้อเลียนเจ้า เมื่อได้ฟังเจ้าเสนอ ข้าก็พลันนึกถึงวิธีหลบเลี่ยงฟ้าผ่าได้”
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น ไคหยาง เหยากวง ไท่สุ้ย และหลิ่วสุยเฟิง ต่างก็เข้าไปในหมู่บ้านหมังหลิน หุ่นแมงมุมแบกกล่องใบใหญ่เดินตามอยู่ด้านหลัง หลายคนเดินไปพลางสนทนาหารือกันไปพลาง
เหยากวงมองไคหยางอย่างสงสัยใคร่รู้ “พี่ไคหยาง วิธีการนี้ใช้ได้จริงหรือ”
ไคหยางพยักหน้า ยิ้มแล้วกล่าว “ข้าอ่านพบเรื่องนี้ในตำราสมัยราชวงศ์ถังเล่มหนึ่ง เล่าว่าสมัยราชวงศ์ฮั่น มีวันหนึ่งตำหนักป๋อเหลียงในพระราชวังถูกฟ้าผ่าจนเกิดเพลิงไหม้ นักพรตท่านหนึ่งจึงหาวิธีหลบเลี่ยงสายฟ้า เขาประดิษฐ์กระเบื้องทองแดงรูปหางปลาติดตั้งไว้เหนือหลังคา แล้วเชื่อมต่อสายทองแดงลากลงไปฝังไว้ใต้ดิน ผลคือนับจากนั้นมาเมื่อใดที่เกิดฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าจะถูกชักนำลงสู่พื้นดิน ไม่บังเกิดฟ้าผ่าทำลายตำหนักจนเกิดเพลิงไหม้อีก”
เหยากวงกระจ่างโดยพลัน เอ่ยอย่างตื่นเต้นระคนยินดี “จริงด้วย! ทองแดงโลหะชักนำสายฟ้าดีกว่ามนุษย์ ตอนแรกเปาหน้าดำก็ทดลองด้วยเงินเหรียญทองแดง โยนเข้าไปเพียงเหรียญเดียวก็ถูกสายฟ้าฟาดจนแหลกเป็นผุยผง”
ไคหยางเอ่ยยิ้มๆ “หากบันทึกนี้เป็นความจริง พวกเราก็มีวิธีแล้ว พวกเรามุดใต้ดินไปแน่นอนว่าไร้ประโยชน์ แต่ถ้าเราชักนำสายฟ้าลงไปได้เล่า”
หลิ่วสุยเฟิงกับไท่สุ้ยต่างสบตากัน พลันกระจ่างแจ้ง
หลายคนนั้นเดินเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน เพราะสวมชุดขุนนางบนร่าง ด้านหลังยังตามติดด้วยหุ่นแมงมุมไม้รูปร่างแปลกประหลาดพิสดาร ชาวบ้านต่างยืนชี้มือชี้ไม้กันอยู่ไกลๆ จนเรื่องไปถึงผู้ใหญ่บ้านอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักผู้ใหญ่บ้านก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามา มองหุ่นแมงมุมอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง แล้วปรี่เข้าไปประสานมือคำนับหลิ่วสุยเฟิง “ใต้เท้าหลิ่ว พวกท่านนี่คือ...”
เอ่ยถึงตรงนี้ ผู้ใหญ่บ้านก็เหลือบมองไปทางไท่สุ้ย กะพริบตาปริบๆ อย่างตกตะลึง
หลังจากไท่สุ้ยฟื้นความทรงจำแล้วย่อมประหวัดถึงประสบการณ์ขณะตนใช้ชีวิตที่นี่ แต่นอกจากพอจะจดจำลุงหนิวได้บ้าง ก็จำได้เพียงเล่นกับบรรดาเด็กน้อยในหมู่บ้าน ดังนั้นแม้เห็นผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย
ก่อนหน้านี้ขณะสืบสวนเรื่องฟ้าผ่า หลายคนเคยมาที่นี่ หลิ่วสุยเฟิงและเหยากวงต่างรู้จักผู้ใหญ่บ้าน จึงไม่มีพิธีรีตอง เอ่ยขอร้องโดยตรง “พวกเรามาที่นี่เพื่อทำคดี ตอนนี้ต้องการให้ชาวบ้านในหมู่บ้านช่วยเหลือพวกเราเล็กน้อย”
ผู้ใหญ่บ้านพอได้ฟังก็รีบเบนสายตาจากร่างไท่สุ้ย พยักหน้าค้อมเอวกล่าว “ขอรับๆ ใต้เท้ากำชับได้เต็มที่”
หลิ่วสุยเฟิงกวาดตามองโดยรอบแล้วเอ่ยกำชับ “เช่นนี้ท่านช่วยจัดเตรียมลานบ้านให้ข้าก่อน จากนั้นให้ชาวบ้านมาช่วยสักสองสามคน”
“ขอรับๆ เช่นนั้นไปบ้านข้าเถิด” เมื่อได้ฟังว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ผู้ใหญ่บ้านก็รีบตกปากรับคำ นำทางทุกคนไปยังบ้านของตนเอง เดินไปพลางกวักมือเรียกชาวบ้านที่ยืนห้อมล้อมไปพลาง แล้วเรียกบุรุษหลายคนให้ติดตามมา
มาถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้าน หลิ่วสุยเฟิง เหยากวง และไท่สุ้ยต่างมองไปทางไคหยาง
ไคหยางไม่ชักช้ารีรอ สั่งการโดยตรง หยิบแผนที่ออกมาก่อนให้ช่างไม้ในหมู่บ้านไปไสไม้ ประกอบเป็นโครงรถในระยะแรก จากนั้นก็สั่งการไท่สุ้ยให้รื้อเกราะกลไกและหุ่นแมงมุมเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ให้ช่างเหล็กในหมู่บ้านสร้างอะไหล่...
หลังจากไคหยางแบ่งงานเสร็จสิ้น หลิ่วสุยเฟิงก็ดึงตัวนางมาที่มุมกำแพง สีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจัง เอ่ยกระซิบเสียงต่ำหลายประโยค
ไคหยางฟังแล้วแสดงสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็พยักหน้าเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง
เหยากวงยกน้ำมาถึงลานบ้าน เห็นไท่สุ้ยกำลังรื้ออะไหล่กลไก ยุ่งจนเหงื่อไหลชุ่มโชกเต็มหลัง ก็อดสงสารมิได้ จึงตักน้ำกระบวยหนึ่ง เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ไท่สุ้ยในตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตารื้อชิ้นส่วน ทันใดนั้นกระบวยด้ามหนึ่งก็ถูกยื่นมาข้างริมฝีปาก
ไท่สุ้ยเงยหน้ามองไป ก็เห็นเหยากวงกำลังยิ้มพลางค้อมเอวยื่นกระบวยมาให้ตนเอง แสงตะวันสาดส่องต้องหน้าผากกลมมนของเหยากวง เส้นผมตกระพัดปลิวตามแรงลมแผ่วเบา งดงามราวกับนางเซียนเยื้องย่างออกมาจากภาพวาด ทำให้หัวใจวูบวาบหวั่นไหว
ไท่สุ้ยตะลึงงันในชั่วขณะ โลกทั้งใบในสายตาเขาบัดนี้เหลือเพียงใบหน้างามตรงหน้า
เหยากวงถูกแววตาตะลึงงันของไท่สุ้ยมองเสียจนใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำ ใบหน้าแดงซ่านขึ้นมาฉับพลัน แต่นางตั้งสติได้ทันที คล้ายรู้สึกว่าน่าอับอาย จึงถลึงตากลมโตใส่ไท่สุ้ย เอ่ยแผ่วเบาด้วยความขุ่นเคือง “มองอันใดกัน หากไม่ดื่ม ข้าเอาไปแล้ว”
ไท่สุ้ยพลันได้สติ ยิ้มแหยๆ อ้าปากดื่มน้ำจากมือเหยากวง
ตอนนี้เองไคหยางกับหลิ่วสุยเฟิงเพิ่งสนทนาแล้วเสร็จ หันหน้ามาเห็นภาพหวานชื่นตอนเหยากวงป้อนน้ำให้ไท่สุ้ยพอดี นางก็อดวูบไหวมิได้ ละม้ายเห็นภาพเหตุการณ์เมิ่งตงละเลียดชาสนทนาแย้มสรวลกับนางในตอนนั้น
ความอบอุ่นหวานชื่นทำให้จิตใจอบอุ่นและสงบสุข
หลิ่วสุยเฟิงที่อยู่ด้านข้างพบว่าไคหยางเดินไปสองก้าวพลันหยุดชะงัก ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ ก็อดมองไล่ตามสายตานางไปมิได้ เห็นท่าทางของไท่สุ้ยกับเหยากวง แล้วมองไคหยางอีกครั้ง หลิ่วสุยเฟิงก็กระจ่างฉับพลัน ในดวงตาเผยความสงสารเวทนา ทอดถอนใจแผ่วเบาเฮือกหนึ่ง ไม่เดินเข้าไปรบกวน
ทุกคนร่วมแรง ไม่นานก็สร้างรถล่อฟ้าออกมาหนึ่งคัน ตัวรถใหญ่โต หลังคาคล้ายร่มสร้างจากแผ่นโลหะ กางออกครอบคลุมบริเวณกว้าง ด้านล่างใต้ตัวร่มสามารถจุคนยืนรอบตัวรถได้ถึงเจ็ดแปดคน ด้านบนมีเหล็กแหลมสูงตั้งอยู่ ก้านร่มหล่อจากทองเหลืองขนาดหนาเท่านิ้วมือ สูงหนึ่งจั้งกว่า เงินเหรียญทองแดงร้อยเรียงเป็นสายไต่ตามก้านร่มไปเชื่อมต่อกับฟันเฟืองล้อที่อยู่บนตัวรถ โครงล้อรัดพันด้วยสายทองแดงเช่นกัน ปมขมวดเข้ากับสายร้อยเหรียญทองแดง
รูปลักษณ์ของตัวรถนั้นแปลกชอบกลนัก ด้านบนกางออกเป็นร่มโลหะ ด้านล่างกลับไร้แผ่นพื้นรถ อีกทั้งยังมีเพียงช่วงคานสำหรับเทียมแอกที่สร้างจากไม้ บริเวณด้านหน้ายังมีมือจับ เด่นชัดว่าออกแบบเพื่อให้คนเข็นได้สะดวก
หากคิดเข็นรถให้เคลื่อนไหว มิใช่ผลักหรือดันจากด้านหลัง แต่ต้องยืนกลางรถใต้ร่มโลหะเพื่อเข็นรถให้เคลื่อนที่
หลังสร้างรถแล้วเสร็จ ไคหยางก็ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมทั้งชี้บริเวณที่ไม่เหมาะสมหลายแห่ง มีคนเข้ามาแก้ไขทันที หนึ่งชั่วยามให้หลังนางถึงได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
รถล่อฟ้าสร้างสำเร็จ หลายคนนั้นรีบออกเดินทางทันที ขอแรงชาวบ้านช่วยเข็นไปจนถึงปากทางภูเขา
หลังมองเห็นสายฟ้าฟาดครืนครั่นภายในหุบเขานรกแต่ไกลๆ เหล่าชาวบ้านต่างก็ชะงักกึกทันที สุมหัวซุบซิบ ต่างไม่กล้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
หลิ่วสุยเฟิง ไท่สุ้ย เหยากวง และไคหยางเดินอยู่ด้านหน้า พบว่าผู้คนที่เดินตามหลังพลันหยุดชะงัก ก็อดแปลกใจมิได้
ไท่สุ้ยกับหลิ่วสุยเฟิงสบตากันแวบหนึ่ง หมุนตัวหันกลับมาถาม “เหตุใดถึงหยุดลงแล้ว รถเกิดปัญหาหรือ”
เมื่อได้ยินหลิ่วสุยเฟิงสอบถาม ผู้ใหญ่บ้านก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดึงแขนหลิ่วสุยเฟิง ยกแขนชี้ไปทางหุบเขานรก สอบถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “ใต้เท้าพวกท่านจะไปที่นั่นหรือ”
หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า ไท่สุ้ยที่อยู่ข้างๆ ประชิดเข้ามา สอบถามด้วยสีหน้างุนงง “ใช่แล้ว มีปัญหาหรือ”
ผู้ใหญ่บ้านมองๆ ไท่สุ้ยแล้วเหลือบมองหลิ่วสุยเฟิง ซอยเท้าอย่างร้อนใจเอ่ย “ใต้เท้าขอรับ ที่นั่นไปมิได้!”
“ล่วงเกินเทพเจ้าจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!”
ตอนนี้ไคหยางและเหยากวงเดินมาถึงพอดี ก็ได้ยินเสียงวิพากษ์ของชาวบ้าน เหยากวงรีบถลึงตาใส่พวกเขาแล้วกล่าว “เทพเจ้าอันใดกัน เพียงแค่ฟ้าผ่าเท่านั้น มีอันใดน่ากลัวเล่า”
“แม่นางน้อย ท่านไม่รู้อันใด ที่นั่นเป็นสถานที่ต้องห้าม มีแต่ไปไม่มีกลับ!” บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเอ่ยเตือน “ที่นั่นไม่อาจไปได้จริงๆ หลายปีก่อนท่านอาสี่ของบ้านข้าก็ไม่เชื่อ จะเข้าไปลองดูให้ได้ ผลคือมิได้กลับออกมาอีก”
เหยากวงทำปากเบ้ “สถานที่ต้องห้ามอันใดกัน! ข้าไม่มีทางเชื่อหรอก ข้าว่าพวกท่านกลัวฟ้าผ่ากระมัง ช่างเป็นผีขี้ขลาดตาขาวเสียจริง”
ได้ยินเหยากวงกระทบกระเทียบว่าตนขี้ขลาด บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็หน้าแดง คิดเอ่ยปากโต้แย้ง แต่รีบหุบปากทันที แค่นเสียงเฮอะอย่างโมโหก่อนหันขวับไปไม่เอ่ยวาจา
ในใจเขาลอบคิดแค้น หมุนตัวได้ก็เดินจากไป ขณะเดียวกันก็หันหลังเอ่ยกับเหยากวง “ผีขี้ขลาดตาขาวยังดีกว่ากลายเป็นผี ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ไป ข้าไม่อยากมาตายที่นี่หรอก!”
ชาวบ้านคนอื่นได้ยินแล้วก็ส่งเสียงฮือฮาพร้อมกัน ต่างเอ่ยว่าไม่ไป แต่ละคนหมุนตัวจะเดินจากไป
ผู้ใหญ่บ้านมองหลิ่วสุยเฟิงอย่างจนใจ ยิ้มปะเหลาะก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ใต้เท้า ท่านก็อย่าได้ถือสาหาความพวกเขา สิบลี้แปดหมู่บ้านแถบนี้ ผู้ใดไม่รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้าม หลายปีก่อนมีคนใจกล้าบ้าบิ่นบุกฝ่าเข้าไปในนั้น แต่ผลน่ะหรือ ไม่มีสักคนกลับออกมาได้”
ไคหยางสบตากับหลิ่วสุยเฟิงแวบหนึ่ง ก่อนหันไปมองหุบเขานรก พยักหน้ากล่าวกับผู้ใหญ่บ้าน “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็ห่างไม่ไกลแล้ว พวกเราเข็นกันเองได้”
พูดแล้วไคหยางก็ขยิบตาให้หลิ่วสุยเฟิง หลิ่วสุยเฟิงยิ้มๆ ล้วงเศษเงินจากอกเสื้อส่งให้ผู้ใหญ่บ้าน “เงินเล็กน้อยนี้ท่านนำไปเลี้ยงน้ำชาทุกคน ไม่อาจให้ทุกคนช่วยเหลือโดยเปล่า”
ผู้ใหญ่บ้านรีบเอ่ยปฏิเสธ “โธ่เอ๋ย เช่นนี้จะได้อย่างไร! ไม่ต้อง ไม่ต้องจริงๆ!”
“รับไว้เถิด” หลิ่วสุยเฟิงมีสีหน้าเข้มขรึม ดึงมือผู้ใหญ่บ้านขึ้นมา วางเงินลงบนมือเขา “ถือเสียว่าพวกเราจ้างทำงาน”
พอเห็นสีหน้าอึมครึม ผู้ใหญ่บ้านก็ตกใจไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่รับเงินอย่างเก้ๆ กังๆ พลางกล่าวขอบคุณ
หลิ่วสุยเฟิงออกจะหมดความอดทน จึงโบกมือแล้วเอ่ย “เอาละ พวกท่านกลับไปเถอะ จำไว้ว่าเรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายสู่ภายนอก กลับไปบอกพวกเขา ห้ามซุบซิบวิจารณ์กัน”
“ขอรับๆๆ” ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าต่อเนื่อง เห็นพวกหลิ่วสุยเฟิงเริ่มมีสีหน้าเหลืออด จึงไม่กล้ากวนใจอีก ประคองเงินแล้วหมุนตัวเดินกลับไปหาชาวบ้านคนอื่น
รอจนกระทั่งชาวบ้านจากไปแล้ว ไท่สุ้ยและคนอื่นก็เริ่มเข็นรถล่อฟ้าเร่งรุดเดินทาง
ไม่นานก็มาถึงปากทางหุบเขานรก เทียนจีจื่อ เปาเจิ่ง ตี้หลิงจื่อ และต้งหมิงต่างมุงล้อมเข้ามา มองประเมินรถล่อฟ้าตั้งแต่บนลงล่าง
ไคหยางดึงสายทองแดงที่พันกับฟันเฟืองออกมา ปลายสายผูกด้วยแผ่นโลหะขนาดใหญ่ อธิบายถึงหลักการทำงานสักพัก ก่อนกลบแผ่นโลหะลงในดิน เหนือพื้นดินมีเพียงสายเหรียญทองแดงที่เชื่อมต่อกับโครงล้อโผล่ให้เห็น
ไคหยางชี้ร่มโลหะบนหลังคารถให้ทุกคนดู “ทุกคนจงระวัง หลังเข้าไปในหุบเขานรกแล้ว อย่าออกนอกเขตร่มโลหะนี้ เหล็กแหลมด้านบนเชื่อมต่อกับสายทองแดง มันจะดูดสายฟ้า จากนั้นกระแสไฟจะถูกชักนำไปตามสายทองแดงลงสู่ใต้ดิน พวกเราอยู่ใต้ร่มก็จะปลอดภัย แต่ถ้าออกนอกร่มก็พูดได้ยากแล้ว”
เทียนจีจื่อได้ฟังแล้วก็พยักหน้าไม่หยุด ใบหน้าแสดงความชื่นชม
ใบหน้าต้งหมิงฉายความระแวดระวัง คิดแล้วก็เอ่ย “ยังคงทดลองสักครั้งเถอะ”
ทุกคนต่างมองมาที่ไท่สุ้ย ไท่สุ้ยทำหน้าเลิ่กลั่ก ชี้ปลายจมูกตนเอง “ข้าอีกแล้วหรือ”
ทุกคนต่างพยักหน้า ต่างตีสีหน้าเป็นทำนองว่ามิใช่เจ้าแล้วจะเป็นผู้ใดเล่า
ไท่สุ้ยมิทราบว่าดีใจหรือเสียใจดี แม้ไม่กลัวความตาย แต่ถูกฟ้าผ่านั้นเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก!
ใบหน้าเขากระตุกเกร็งครั้งหนึ่ง มองซ้ายแลขวา สุดท้ายก็พบว่าภารกิจนี้ยังคงเป็นเขาต้องปฏิบัติอย่างแท้จริง จึงถลกแขนเสื้อขึ้น เข็นรถล่อฟ้าเข้าไปในหุบเขานรกตามลำพัง
คราวนี้แตกต่างไปตามคาด ฟ้าร้องครืนครั่นก่อนผ่าเปรี้ยง แต่สายฟ้าล้วนถูกเหล็กแหลมเหนือหลังคาดูดไว้ กระแสไฟไหลไปตามสายทองแดงลงสู่พื้น ไท่สุ้ยยืนใต้ร่มอย่างปลอดภัยเป็นพิเศษ อดหมุนตัวไปโบกมือให้คนอื่นๆ มิได้
ทุกคนยืนอยู่ที่ไกล เห็นว่าไท่สุ้ยปลอดภัยดี แต่ละคนต่างก็ยินดี
ไท่สุ้ยทดลองไปสักพักก็เข็นรถล่อฟ้ากลับมาด้วยความรวดเร็ว คราวนี้ทุกคนต่างไร้ความเห็นแตกต่าง เข้ามายืนใต้ร่มโลหะ จับมือจับเข็นรถเข้าไปในหุบเขานรกพร้อมกัน
หลังรถล่อฟ้าเข้าไปในหุบเขานรกแล้วก็ปลอดภัยมาก สายฟ้าผ่าไม่ฟาดเปรี้ยงลงมาบ่อยครั้งอีก ฟ้าผ่าลงมาบ้างแต่ล้วนถูกร่มโลหะดูดไว้ เริ่มแรกทุกคนยังคงเคร่งเครียด แต่แล้วก็คลายใจได้อย่างรวดเร็ว
พอเข็นรถล่อฟ้าไปด้านหน้าอีกสักพัก สภาพแวดล้อมภายในหุบเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
หากเอ่ยว่าบริเวณปากทางหุบเขาเป็นทะเลทรายแห้งแล้งเวิ้งว้าง แต่เมื่อมาถึงด้านในกลับกลายเป็นสยองขวัญน่าสะพรึงกลัว พบเห็นโครงกระดูกของมนุษย์และสัตว์เป็นระยะ
ท้องฟ้าครอบคลุมด้วยเมฆครึ้ม เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเลือนลั่น เส้นสายตามืดวูบลงอย่างรวดเร็ว
เคลื่อนที่ไปพร้อมรถล่อฟ้า บางครั้งก็บดเบียดกองกระดูก บังเกิดเสียงแครกๆ ของกระดูกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สีหน้าของทุกคนอดผันแปรมิได้ ยกขาก้าวย่างยิ่งเพิ่มความระแวดระวังมากขึ้น
ทันใดนั้นเหยากวงคล้ายเหยียบบางอย่าง ร่างลื่นพรวดเกือบหกล้ม เคราะห์ดีที่ไท่สุ้ยซึ่งอยู่ด้านข้างตาคมมือไวคว้าจับนางไว้ทัน นางถึงมิได้หกล้มไปกับพื้น แต่เหยากวงยังไม่ทันได้ยืนมั่น ก็พลันกรีดร้องเสียงแหลม ที่แท้บนตำแหน่งที่นางเกือบล้มลง มีโครงกระดูกแตกหักซากหนึ่งกึ่งตั้งกึ่งหลบเร้นอยู่บนพื้น เบ้าตาดำมืดกลวงโบ๋ห่างจากนางไปไม่ถึงครึ่งฝ่ามือ
“เป็นอย่างไร” ไท่สุ้ยร้อนใจ รีบดึงนางให้ลุกขึ้น
ใบหน้าเหยากวงเผือดซีด เกาะกุมแขนไท่สุ้ยไว้แน่นไม่ยอมคลาย เอาแต่ส่ายหน้าไม่หยุด ทั้งยังไม่เอ่ยคำ
ไท่สุ้ยมองนางอย่างนึกแปลกใจ แล้วก้มหน้าลงมองที่ใต้ฝ่าเท้า ให้สะดุ้งโหยงเช่นกัน
ทุกคนต่างเคลื่อนไปเบื้องหน้า ในมือเทียนจีจื่อกำป้ายทองแดง เดินไปพลางชี้บอกทางไปพลาง
ไม่นานนัก ทุกคนก็มาถึงหน้าศิลาขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง
เทียนจีจื่อยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดรถ
ไคหยางรีบยกมือส่งสัญญาณ ให้รถล่อฟ้าหยุดลง ในขณะเดียวกันทุกคนก็ชักมือออกจากมือจับ ไม่เข็นรถให้เคลื่อนที่อีก ต่างเงยหน้ามองไปทางศิลาขนาดมหึมา
ศิลานี้สูงขนาดห้าหกตัวคน กว้างขนาดหนึ่งตัวคน สภาพโดยรวมเป็นเสารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่บริเวณขอบมุมมิใช่มุมคม คล้ายผ่านการขัดถูมาแล้วกระนั้น เด่นชัดว่าลื่นเป็นมันปลาบ
ศิลาขนาดยักษ์ดำมะเมื่อม จากรูปลักษณ์ภายนอกมองไม่ออกว่าเป็นวัสดุใด แต่มองจากรูปร่างลักษณะ มากน้อยล้วนมีร่องรอยแรงงานคนหลงเหลืออยู่บ้าง
ทว่าเพราะเหตุนี้ ทุกคนกลับมีความเชื่อมั่น
เทียนจีจื่อกวาดตามองสี่ทิศรอบด้าน เปรียบเทียบกับแผนที่ในป้ายทองแดงไม่หยุด ใบหน้าค่อยๆ เผยความยินดีให้เห็น
“มิผิดแล้ว เป็นที่นี่!”
ต้งหมิงรู้สึกตื่นเต้น สอบถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนไปทางเทียนจีจื่อ “ท่านนักพรต มั่นใจได้หรือ”
เทียนจีจื่อพยักหน้าอย่างมั่นใจ เอาแผนที่บนป้ายทองแดงให้ต้งหมิงดู ขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วแตะลงบนแผนที่
“ท่านดู ที่นี่... ที่นี่...”
บางครั้งเทียนจีจื่อก็เปรียบเทียบกับแผนที่ บางครั้งก็ชี้ไปยังสภาพแวดล้อมในหุบเขาเพื่อพิสูจน์ยืนยัน ต้งหมิงไล่มองไปตามนิ้วชี้ของเขาพลางพยักหน้าไปด้วย มั่นใจอย่างรวดเร็วว่าแผนที่บนป้ายทองแดงเป็นสถานที่นี้
ทุกคนมองต้งหมิงและเทียนจีจื่อ สุดท้ายสายตาต่างรวมศูนย์ที่ก้อนศิลาขนาดมโหฬาร รูปลักษณ์ของศิลาพิสดารมหัศจรรย์ หนึ่งเสาค้ำฟ้า เผยความแปลกประหลาดชัดแจ้ง
ตี้หลิงจื่อแหงนมองศิลายักษ์ เอ่ยพึมพำ “หรือว่า... ที่ซ่อนของ ‘ภาพผลักหลัง’ จะอยู่บนศิลาก้อนนี้”
เมื่อได้ยินทุกคนต่างก็ตั้งสติได้ ที่นี่ไม่มีวัตถุอื่นใด หากกล่าวว่าซุกซ่อนความลับบางอย่าง ซ้ายขวาก็ไม่อาจออกห่างจากศิลายักษ์ก้อนนี้แล้วกระมัง
คิดถึงตรงนี้ ทุกคนต่างก็เพ่งสายตาไปบนศิลายักษ์อีกครั้ง คิดว่าจะค้นพบบางอย่างจากก้อนศิลา
ในตอนนี้เอง สีหน้าของเทียนจีจื่อและต้งหมิงต่างแปรเปลี่ยนไปพร้อมกัน ก่อนตะโกนลั่นเป็นเสียงเดียว
“ระวัง!”
ขณะที่เสียงเตือนของทั้งคู่ดังขึ้น เปลวเพลิงสายหนึ่งก็พุ่งวาบจากด้านหลังศิลาออกมา บีบทุกคนให้หนีออกนอกเขตร่มโลหะ
ในบรรดาทุกคนมีเพียงเปาเจิ่งที่ไม่มีวรยุทธ์ ชั่วขณะจึงรับมือไม่ทันกาล เห็นกับตาว่าเปลวเพลิงจะพวยพุ่งใส่ร่างแล้ว เคราะห์ดีที่ไท่สุ้ยตาคมมือไว ทั้งยังยืนอยู่ใกล้ๆ จึงรีบคว้าดึงแขนเขาไปยังด้านหลัง ตนเองคอยกันไว้ด้านหน้า แล้วเหินทะยานไปด้านนอก
“ฟู่...” เปลวเพลิงร้อนระอุไล่ลามตามหลังไท่สุ้ย เขาหลบรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
หลังทุกคนยืนมั่นแล้ว ก็มองยังตำแหน่งรถล่อฟ้าอย่างตื่นตระหนก
เปลวเพลิงมลายหายไปแล้ว คนปิดคลุมหน้าผู้หนึ่งปรากฏตัวอยู่ใต้ร่มโลหะ แหงนหน้าหัวเราะบ้าคลั่ง “ช่างย่ำรองเท้าเหล็กจนสึกไม่อาจพบ สบช่องได้มาโดยไม่เปลืองแรง287 โดยแท้ ฮ่าๆๆ!”
เมื่อเห็นอีกฝ่าย ตี้หลิงจื่อก็จดจำได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือคนร้ายเผาวังปี้โหยว เขากู่ร้องอย่างเคียดแค้นทันที “โจรชั่ว ตายเสียเถอะ!”
ว่าแล้วตี้หลิงจื่อก็ชักดาบออกมาดังชิ้ง ถลาเข้าใส่อีกฝ่าย
ส่วนคนอื่นๆ นอกจากเปาเจิ่งซึ่งไม่มีวรยุทธ์และไคหยาง ต่างโถมตัวเข้าใส่คนปิดคลุมใบหน้า
เผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของทุกคน คนปิดคลุมหน้ากลับไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงสักนิด
พอเห็นชายแขนเสื้อขนาดใหญ่ม้วนขึ้น เปลวเพลิงสองสายก็พวยพุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อของคนปิดคลุมหน้า ด้วยความจนใจ ทุกคนได้แต่หลบเลี่ยงกระโดดกลับมาอีกครั้ง
คนปิดคลุมหน้าหัวเราะลั่นอย่างได้ใจ “ฮ่าๆๆ โชคดีที่พวกเจ้าคิดหาวิธีอันดีงามนี้ออกมาได้! หากมิใช่พวกเจ้าสร้างรถล่อฟ้าชักนำสายฟ้าไป ข้าเองก็คงไม่กล้าเข้ามา”
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่” ต้งหมิงสอบถามเสียงเย็นชา
อาศัยช่วงจังหวะที่ต้งหมิงเอ่ยถาม หลิ่วสุยเฟิงแฉลบร่างไปยังที่ไม่ไกลด้านหลังคนปิดคลุมหน้า เตรียมลงมือลอบโจมตี
สำหรับคนในหน่วยดาวพิฆาต สิ่งที่เรียกว่ากฎเกณฑ์ทางยุทธภพไม่มีผลต่อพวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขาตระหนักดีถึงฐานะของตนเอง ยิ่งกระจ่างชัดแจ้งถึงหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง ขอเพียงทำคดีได้อย่างราบรื่น ในสภาวการณ์ที่ไม่ทำให้ผู้บริสุทธิ์เดือดร้อน ไม่ขัดต่อกฎหมาย ก็สามารถกระทำได้ทุกวิถีทาง มิได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
ในบรรดาทุกคนมีเพียงเสวียนเสวียนจื่อและตี้หลิงจื่อซึ่งรับมิค่อยได้กับพฤติกรรมของหลิ่วสุยเฟิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนก็เป็นฝ่ายเดียวกัน จึงไม่อาจเปล่งเสียงให้ความแตก
ส่วนเทียนจีจื่อนั้น ด้วยอายุและประสบการณ์ของเขา เรื่องราวเหล่านี้ล้วนมองอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว กฎเกณฑ์ ศีลธรรม สัจธรรมอันใดในยุทธภพ สำหรับเขาแล้วล้วนไร้ประโยชน์ ในสายตาเขา ขอเพียงบรรลุเป้าหมายนั่นคือวิธีการดี
แต่ที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ คนปิดคลุมหน้าตื่นตัวระมัดระวังอย่างยิ่ง แม้หลิ่วสุยเฟิงเข้าไปใกล้โดยไร้สุ้มเสียง แต่เหมือนเขาเตรียมพร้อมมาแล้วกระนั้น เพียงหมุนตัวก็พ่นเปลวเพลิงใส่สายหนึ่ง ทำเอาหลิ่วสุยเฟิงตื่นตระหนกไม่ทันคิดมาก กระโดดถอยกรูดห่างออกไปหลายจั้ง เมื่อยืนมั่นแล้วก็เหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มศีรษะ มองไปทางคนปิดคลุมหน้าอย่างนึกประหวั่น ในดวงตาฉายความหวาดผวาเสียขวัญ
สำหรับหน่วยดาวพิฆาตที่ผ่านคดีแปลกพิสดารบ่อยครั้งอย่างหลิ่วสุยเฟิง มักต้องต่อกรรับมือกับบุคคลที่มีวิธีการแปลกประหลาดหลายต่อหลายครั้ง แต่โดยทั่วไปแล้ว วรยุทธ์ของบุคคลประเภทนี้ล้วนไม่สูงส่งเลิศล้ำ อย่างไท่สุ้ยในช่วงแรก แม้ศาสตร์ลวงตาของไท่สุ้ยลี้ลับพิสดาร แต่ทันทีที่ถูกทลาย วรยุทธ์ของไท่สุ้ยก็ไม่อาจสำแดงออกหน้าออกตาได้
และอย่างเต๋อเมี่ยว วรยุทธ์ของนางถูกทำลายในตอนแรก ใช้ศาสตร์ลวงตารีดเงินทองอย่างกำเริบเสิบสาน ตัวนางไม่มีวรยุทธ์ป้องกันตนเอง ด้วยเหตุสุดวิสัย ถึงต้องเสาะหาสหายที่มีวรยุทธ์สูงส่งมาคุ้มครองตนเอง
ส่วนคนปิดคลุมหน้าในตอนนี้กลับแตกต่าง เขาไม่เพียงมากวิธีการแปลกประหลาด มีความสามารถควบคุมเปลวเพลิง อีกทั้งจากการประมือในระยะสั้นๆ เมื่อครู่ก็พอมองออกว่า วรยุทธ์ของบุคคลผู้นี้สูงส่งแกร่งกล้านัก
บุคคลประเภทนี้กล่าวว่ายากรับมือ มิสู้กล่าวว่าน่ากลัว
หลังบีบให้หลิ่วสุยเฟิงล่าถอย คนปิดคลุมหน้าก็กวาดตามองทุกคน หัวเราะเสียงเยียบเย็นก่อนกล่าว “คิดหน่วงเหนี่ยวเวลารึ ฮึ!”
ทุกคนต่างเงียบงันไร้วจี ส่วนคนปิดคลุมหน้าคล้ายไม่รีบร้อนกระนั้น ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างสุขุม กวาดตามองบริเวณโดยรอบอย่างไม่รีบร้อน ไม่ว่าที่ใดบังเกิดความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย เขาก็หันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว
หลิ่วสุยเฟิงทดลองหลายครั้งจนถูกเขาจับทางได้ ในที่สุดก็ไม่ผลีผลามวู่วามอีก
ทุกคนต่างแลกเปลี่ยนสายตาอย่างไร้สุ้มเสียง แต่หลายคนเพิ่งร่วมมือกันเป็นครั้งแรก พร่องความรู้ใจกันไปมาก ในชั่วขณะมิรู้ว่าจะทำอย่างไรกับเขาดี
แม้สองฝ่ายขาดความรู้ใจกัน แต่ภายในหน่วยดาวพิฆาตและภายในวังปี้โหยวต่างมีวิธีการของตนเอง
เทียนจีจื่อ เสวียนเสวียนจื่อ และตี้หลิงจื่อต่างส่งสัญญาณทางสายตากันไม่หยุด บังเกิดแผนการขึ้นอย่างรวดเร็ว
ก่อนอื่นเป็นตี้หลิงจื่อลงมือ เขาเลียนแบบท่าทางของหลิ่วสุยเฟิง สำแดงวิชาตัวเบาอ้อมไปทางด้านหลังของคนปิดคลุมหน้า แต่ไม่เป็นฝ่ายจู่โจม เพียงแต่เบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย
อาศัยช่วงจังหวะที่คนปิดคลุมหน้าหมุนตัว เสวียนเสวียนจื่อที่อยู่ด้านข้างพลันยกขาเตะหินออกไปก้อนหนึ่ง ขณะเดียวกันเทียนจีจื่อซึ่งยืนบริเวณด้านซ้ายของคนปิดคลุมหน้ากระโจนเข้าใส่อย่างรุนแรง
สามทิศทางเคลื่อนไหวพร้อมเพรียง ชั่วพริบตาทำลายความสงัดเงียบ คนอื่นๆ ต่างสะท้านไหว กล้ามเนื้อทั้งร่างเครียดขมึง อยู่ในท่าเตรียมพร้อมลงมือ
แต่คนปิดคลุมหน้ากลับสุขุมเยือกเย็นเป็นพิเศษ หรืออาจกล่าวได้ว่าเจ้าเล่ห์นัก
ชั่วพริบตาที่เทียนจีจื่อลงมือ เขาก็หันขวับกลับมาทันที เพียงเบี่ยงตัวคลับคล้ายเคลื่อนไหวอย่างปกติธรรมดา ก็หลบเลี่ยงก้อนหินที่เสวียนเสวียนจื่อเตะมาได้พ้น
ในชั่วแวบที่หันกลับมา ยิ่งเห็นความเคลื่อนไหวของเทียนจีจื่อได้อย่างกระจ่างชัดแจ้ง จึงรับมือทันกาลแม่นยำ ยกแขนพ่นเปลวเพลิงออกมาสายหนึ่ง
ปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ทุกคนต่างคาดเดาไว้แต่เนิ่นแล้ว แต่ต่อให้ล่วงรู้ก็อับจนหนทาง ได้แต่ถอยหลังหลบเลี่ยง
ทุกคนต่างสิ้นหวังในชั่วขณะ ต่างคิดว่านี่เป็นการลองที่ล้มเหลวอีกครั้ง แต่คาดไม่ถึงว่าหลังปล่อยเปลวเพลิงออกมาสายหนึ่งแล้ว คนปิดคลุมหน้าก็ถลาอย่างกระชั้นขึ้นหน้าไล่ตามเทียนจีจื่อที่กำลังถอยกรูด คล้ายจะพิชิตสังหารเทียนจีจื่อในระยะเวลาอันสั้น
นี่เพราะเหตุใดกัน
ในใจทุกคนต่างบังเกิดความสงสัย
หรือว่าเขามีความแค้นกับนักพรตเทียนจีจื่อ
หรือเขาล่วงรู้ว่าในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ เทียนจีจื่อมีวรยุทธ์สูงสุด ดังนั้นจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจรก่อน
หรือว่า...
ความคิดวาบผ่านสมองของทุกคนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในเวลาเพียงพริบตา แต่ไม่รอให้พวกเขาคิดกระจ่าง ก็พบว่าคนปิดคลุมหน้าไปจากใต้ร่มโลหะรถล่อฟ้าเสียแล้ว
เทียนจีจื่อหมดหนทางต่อต้านโดยสิ้นเชิง ได้แต่ถอยกรูดห่างออกไป ล่อให้คนปิดคลุมหน้าไล่กวด
นี่มิใช่ครั้งแรกที่ประมือกับคนปิดคลุมหน้า แม้วรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงส่งแกร่งกล้า แต่ต่อให้แข็งแกร่งอย่างไร หรือต่อให้มีความสามารถควบคุมเปลวเพลิง เทียนจีจื่อก็มีความมั่นใจว่าอย่างน้อยภายในหลายสิบกระบวนท่า ตนย่อมไม่ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
ประมือหลายสิบกระบวนท่าเป็นเวลานานเท่าใด
และแย่งชิงรถล่อฟ้ากลับมาจำเป็นต้องใช้เวลานานเท่าใด
เทียนจีจื่อไม่คิดมากแม้แต่น้อย แทบจะตัดสินใจในทันที ใช้ตนเองเป็นเหยื่อชักนำให้อีกฝ่ายออกห่างจากรถล่อฟ้า แล้วรวบรวมพละกำลังของทุกคนโจมตีสังหารเขาเสีย
ถึงขนาดว่าคิดหลอกล่อคนปิดคลุมหน้าให้ไกลออกไปยิ่งขึ้น ชักนำสายฟ้าผ่ากระหน่ำสังหารคนปิดคลุมหน้าทิ้งเสีย
‘มาเถิด มาเถิด ยังขาดเพียงนิดเดียว!’
ครั้นเห็นว่าตนออกห่างจากรถล่อฟ้าเข้าสู่เขตฟ้าผ่า เทียนจีจื่อก็เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมพลีชีพ แต่ทันใดนั้นเอง คนปิดคลุมหน้าก็ร้องเฮอะเย็นชาเสียงหนึ่ง หมุนตัวขวับ แตะพื้นทะยานร่างตกบนหลังคารถล่อฟ้า
ไม่รอให้ทุกคนประหลาดใจ เขาก็โบกมือสะบั้นเหล็กแหลมบนหลังคาทิ้ง จากนั้นสองแขนยกขึ้นปล่อยเปลวเพลิงไปโดยรอบ
เมื่อเขาบีบทุกคนให้ถอยร่นแล้ว ก็กระโดดลงจากหลังคารถล่อฟ้า ผลุบหลบเข้าไปใต้ร่มโลหะ
ทุกคนไม่ทันได้คิด ก็เห็นเหล็กแหลมล่อฟ้าร่วงตกลงบนพื้นเสียงดังสนั่น
เปรี้ยง!
“ทุกคนระวัง!” หลิ่วสุยเฟิงตะโกนลั่น รีบกระโดดหลบไปด้านข้าง
เมื่อเหล็กแหลมเหนือหลังคาหักสะบั้นลง ความสามารถในการดึงดูดสายฟ้าก็ประหนึ่งมลายหายไปสิ้น อสนีบาตเริ่มดุเดือดรุนแรงขึ้นมาอีกครา ผ่ากระหน่ำใส่ทุกคนทันที
ด้วยความจนใจ ทุกคนได้แต่หลบซ่อนอย่างโกลาหล ชั่วขณะทุกคนตกอยู่ในสภาพน่าอนาถย่ำแย่
คนปิดคลุมหน้าที่ยืนใต้ร่มโลหะจ้องมองสภาพการณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง อดหัวเราะลั่นอย่างคลุ้มคลั่งมิได้ แต่เขาก็ระแวดระวังยิ่งนัก เพียงเห็นคนเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ก็ปล่อยรีบเปลวเพลิงบีบให้คนผู้นั้นถอยร่น ไม่คิดเหลือทางรอดให้ทุกคนเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนถูกสายฟ้าฟาดกระหน่ำไม่ยั้ง ได้แต่หลบซ้ายเบี่ยงขวา ผู้ที่มีวรยุทธ์นั้นค่อยยังชั่ว แม้ความเคลื่อนไหวไม่ว่องไวปราดเปรียวเท่าความเร็วของสายฟ้า แต่หลังจากฝึกฝนวรยุทธ์จนถึงระดับขั้นหนึ่งแล้ว ความคล่องแคล่วฉับไวก็เพิ่มสูงขึ้นโดยปริยาย ก่อนที่สายฟ้าจะผ่าลงก็จับสัมผัสได้ถึงความอันตราย หลบหลีกได้ทันท่วงที
แต่ผู้ที่ไม่มีวรยุทธ์นับว่าอันตราย เหยากวงรีบคุ้มกันไคหยางให้หลบเข้าไปในแอ่งเว้าบนพื้น เป็นแอ่งน้ำตื้นๆ ที่ถูกน้ำฝนกัดเซาะมานานปี ด้านบนมีหินผาปิดคลุม หากหลบอยู่ด้านในไม่ขยับเขยื้อน ไม่ต้องกังวลว่าสายฟ้าจะกระหน่ำใส่
ไท่สุ้ยลากเปาเจิ่งห้อตะบึงซ้ายขวา สายฟ้าไล่กวดตามหลัง สองคนน่าอนาถไม่น้อย
“รีบหลบเข้าไปในแอ่งน้ำ หลบที่แอ่งน้ำตรงเชิงเขา!” หลังไคหยางหลบซ่อนอย่างดีแล้วก็รีบตะโกนบอกทุกคน
ไท่สุ้ยมองตามเสียง สองตาสว่างวาบ รีบกวาดตามองสี่ทิศรอบด้าน ก็พบว่าในบริเวณไม่ไกลมีแอ่งเป็นหลุมลึกครึ่งตัวคน คลับคล้ายกับแอ่งที่ไคหยางและเหยากวงหลบซ่อนตัวอยู่ ไท่สุ้ยจึงรีบลากเปาเจิ่งให้ทิ้งตัวลงไป
“ฟู่ๆๆ...” สองคนถอนหายใจเฮือก แต่หลังจากนั้นก็รีบมองออกไปด้านนอก พบว่าทุกคนต่างเสาะหาที่หลบได้แล้ว ไท่สุ้ยกับเปาเจิ่งถึงได้โล่งใจ สบตากันพลางยิ้มขมขื่น
เมื่อทุกคนปลอดภัยดีแล้ว ต่างก็มองออกไปด้านนอก จ้องมองคนปิดคลุมหน้าอย่างเคียดแค้น
สองฝ่ายคุมเชิงกัน คนปิดคลุมหน้าไม่อาจออกมา หากทุกคนออกไปก็อันตรายเกิน ในชั่วขณะไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
ทันใดนั้นต้งหมิงก็เอ่ยปากสอบถาม “เจ้าติดตามพวกเรามาโดยตลอดรึ”
คนปิดคลุมหน้าหัวเราะลั่น “แน่นอน หากมิใช่พวกเจ้าสร้างรถล่อฟ้าคันนี้ ข้ายังคงเข้ามามิได้หรอก”
เขาพลันม้วนชายแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นอาวุธเพลิงที่มัดไว้ที่ท่อนแขนทั้งสองข้าง เป็นกระบอกสีเหมือนโลหะ แต่ดูจากลักษณะแล้วช่างเรียบง่าย
ทุกคนต่างรู้ดีว่านี่เป็นเพียงส่วนที่โผล่ออกมาให้เห็น รายละเอียดที่มากกว่านั้นย่อมซุกซ่อนอยู่ในอาภรณ์ของคนปิดคลุมหน้า ไม่เปิดเผยให้เห็น
‘‘ ‘ภาพผลักหลัง’ ของหยวนเทียนกังกับหลี่ฉุนเฟิงเล่าขานว่า พยากรณ์เรื่องราวในอนาคตไว้สิ้น กลับไม่ทราบว่าพวกเขาได้พยากรณ์เรื่องในวันนี้ไว้หรือไม่ ฮ่าๆๆ” คนปิดคลุมหน้าหัวเราะลั่นไม่ยอมหยุด
บัดนี้ทุกคนไม่มีเวลาต่อปากต่อคำกับเขา ต่างคนต่างขบคิดเร็วรี่ในใจ คิดหาวิธีพลิกแพ้เป็นชนะ
ในบรรดาคนเหล่านี้เทียนจีจื่อและต้งหมิงไม่ว่าวรยุทธ์หรือศักดิ์ฐานะตำแหน่งล้วนสูงสุด ไม่อาจให้ผู้ด้อยอาวุโสเสี่ยงภัย ดังนั้นผู้ชิงลงมือก่อนจึงเป็นพวกเขาทั้งสองคน
เห็นทั้งสองคนสลับกันทะยานร่างขึ้น จู่โจมใส่คนปิดคลุมหน้าเป็นระยะ เพียงแตะสัมผัสก็ล่าถอย กลับมาคอยหลบซ่อนสายฟ้าผ่าในแอ่งหลุม จากนั้นจึงเริ่มโจมตีอีกครั้ง เมื่อแล้วเสร็จก็ถอยกลับมา บ่อยครั้งที่พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงแอ่งหลุม บริเวณที่ยืนอยู่เมื่อครู่ก็ถูกสายฟ้าฟาดกระหน่ำ
คนปิดคลุมหน้าบ้างก็ใช้เปลวเพลิงบีบให้พวกเขาล่าถอย บ้างก็ใช้พลังหมัดขาต้านรับ ไม่ยอมให้พวกเขาเข้าสู่ใต้ร่มโลหะ
มีเทียนจีจื่อและต้งหมิงกระทำเป็นตัวอย่าง คนอื่นๆ จึงเริ่มลงมือ อาศัยจังหวะลงมือ ทุกคนเริ่มแลกเปลี่ยนสื่อสารกัน
ไม่นานนักหลิ่วสุยเฟิงและไท่สุ้ยเข้าประชิดใกล้ สองคนสบตากันแวบหนึ่ง หลิ่วสุยเฟิงกระทำสัญญาณมือเร็วรี่ ไท่สุ้ยพยักหน้าจริงจังเป็นนัยว่าเข้าใจ
วรยุทธ์ของเทียนจีจื่อสูงสุด ยามหลบเลี่ยงฟ้าผ่าก็สะดวกง่ายดายที่สุด ขณะเดียวกันเขาก็เคียดแค้นชิงชังคนปิดคลุมหน้านัก จึงโจมตีอีกฝ่ายอย่างดุเดือดเลือดพล่าน แม้ถูกคนปิดคลุมหน้าใช้เปลวเพลิงบีบให้ถอยร่นทุกครั้ง แต่กลับเบี่ยงเบนสมาธิของคนปิดคลุมหน้าได้อย่างมาก
เมื่อเขาเข้าไปใกล้และถูกเปลวเพลิงพวยพุ่งใส่อีกครั้ง หลิ่วสุยเฟิงก็พลันสำแดงพลังคำรามวิเศษจากทางด้านซ้าย ได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวคล้ายราชสีห์คำรามก้องพงไพร และละม้ายพายุโหมพัดสะเทือนฟ้าสะท้านแผ่นดิน คลื่นเสียงรุนแรงกระเพื่อมแผ่ซ่าน ร่างของคนปิดคลุมหน้าวูบไหว พลันลอยหวืดกระเด็นไปด้านหลัง ชั่วขณะนั้นหนวดเคราสะบัดปลิว ยิ่งไปกว่านั้นผ้าปิดคลุมหน้าก็ร่วงจากใบหน้า เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
“ฮาฟั่น เป็นเจ้า?” ต้งหมิงกู่ร้องเสียงดัง
ที่แท้คนผู้นี้มิใช่อื่นไกล ถึงกับเป็นฮาฟั่นราชครูแห่งชี่ตัน
ร่างฮาฟั่นลอยคว้างกลางฟ้าแต่ยังไม่ยอมจำนน ยกแขนพ่นเปลวเพลิงออกมาอีกสาย ขัดขวางการไล่ล่าอย่างกระชั้นของหลิ่วสุยเฟิง ไท่สุ้ยฉวยโอกาสนี้กระโดดทะยานร่างขึ้นจากอีกด้าน หนึ่งฝ่ามือซัดใส่แผ่นหลังบริเวณหัวใจของฮาฟั่น
พลั่ก!
เสียงทึบก้องแว่วดัง ฮาฟั่นถูกฝ่ามือซัดใส่อย่างจัง กระอักโลหิตเหินลอยไปเบื้องหน้า
ทว่าวรยุทธ์ของเขาน่าตื่นตระหนก ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ยังคงไม่สะทกสะท้าน อาศัยแรงฝ่ามือของไท่สุ้ยตีลังกาม้วนหน้ากลางอากาศ ขณะเดียวกันขาขวาก็จัดวางอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวไปด้านหลัง
เสียงดังพลั่กหนึ่ง ไท่สุ้ยซึ่งไม่ทันหลบเลี่ยงพลันกระอักโลหิตลอยกระเด็น
สำหรับฮาฟั่นแล้ว วรยุทธ์ของไท่สุ้ยอ่อนด้อยยิ่งนัก แม้ซัดฝ่ามือถูกเขาอย่างจัง แต่หลังจากกระอักโลหิตแล้ว ขับปราณแท้ที่ซัดพุ่งเข้าร่าง ยังเหลืออาการบาดเจ็บเล็กน้อย มิใช่ปัญหาใหญ่โต นั่งขัดสมาธิสักพักก็ฟื้นคืนสภาพ
แต่สำหรับสภาพร่างกายอันแปลกพิสดารของไท่สุ้ย อย่าว่าแต่กระอักโลหิตหนึ่งคำ ต่อให้อวัยวะตันภายในทั้งห้าและอวัยวะกลวงภายในทั้งหกกระอักออกมาจนสิ้นก็ไม่เป็นอันใด
นับว่าไท่สุ้ยโชคร้าย ถูกเตะลอยกระเด็น ขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ สายฟ้ากลับฟาดผ่าต่อเนื่องลงมาหลายครั้ง โดนร่างของเขาอย่างจัง
ไท่สุ้ยกระอักโลหิตหนึ่งคำ จากนั้นก็ล้มลงไปกองบนพื้นอย่างสิ้นแรง ชั่วขณะเป็นตายไม่อาจคาดการณ์
“ไท่สุ้ย!” เหยากวงและเปาเจิ่งร้องลั่น รีบปรี่เข้าไปใกล้อย่างร้อนใจ
ตอนนี้เองทุกคนมองเห็นโฉมหน้าของฮาฟั่น ต่างตระหนกตะลึงงัน จากนั้นต่างก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
เป็นพวกชี่ตันตามคาดอย่างนั้นหรือ
เป็นพวกเขาอยู่เบื้องหลังคอยก่อความวุ่นวายด้วยประสงค์ครอบครอง ‘ภาพผลักหลัง’ อย่างนั้นหรือ
ไม่ว่าอย่างไร ไม่อาจให้พวกเขากระทำการสำเร็จได้
หลิ่วสุยเฟิงกับต้งหมิงสบตากันแวบหนึ่ง ต่างเข้าใจความนัยจากแววตาของอีกฝ่าย
“เป็นเจ้าจริงเสียด้วย ราชครูแห่งชี่ตัน” บัดนี้ตี้หลิงจื่อกู่ก้องอย่างโมโห
ฮาฟั่นลูบคลำใบหน้าคราหนึ่ง พบว่าผ้าคลุมหน้าหายไปแล้วแต่ก็ไม่ลนลาน กลับแสยะยิ้มเย็นชา
“ฮึ ต่อให้พวกเจ้ารู้ว่าเป็นข้าแล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรวันนี้พวกเจ้าล้วนต้องตาย!”
ตอนนี้เหยากวงและเปาเจิ่งกรูมาถึงข้างกายไท่สุ้ย ประจักษ์แก่สายตาว่าใบหน้าไท่สุ้ยเกรียมดำ สลบไสลไม่ฟื้น ร่างกายยังคงกรุ่นไอควัน เหยากวงโกรธแค้นขึ้นมาทันที รู้สึกเพียงเพลิงโทสะในร่างพุ่งปรี่ท่วมท้น เพียงชั่วพริบตาสองตาของนางก็ซ่านโลหิต ดวงตาพร่ามัว
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เทียนจีจื่อ ต้งหมิง หลิ่วสุยเฟิง และตี้หลิงจื่อ ต่างผลัดกันเข้าโจมตีฮาฟั่น คนหนึ่งลงมือหนึ่งกระบวนท่า อีกคนรีบโจมตีอีกหนึ่งกระบวนท่าจากอีกฟาก
ทุกคนต่างจู่โจมแล้วล่าถอยทันที ประการแรกด้วยเกรงว่าจะถูกเปลวเพลิงของฮาฟั่นเผาผลาญ อีกประการก็เพื่อหลบเลี่ยงสายฟ้าผ่า สำแดงไปหนึ่งกระบวนท่าแล้วก็รีบถอยไปตั้งหลักที่แอ่งหลุมก่อนปรากฏกายอีกครั้ง
เพียงแต่ฮาฟั่นมีเปลวเพลิงและสายฟ้าคอยช่วยเหลือ ผนวกกับวรยุทธ์ก็สูงส่งแกร่งกล้า ยืนใต้ร่มโลหะใช้เปลวเพลิงหรือวรยุทธ์ แม้ทุกคนเปิดศึกสลับหมุนเวียนโจมตีก็ไม่อาจทำอันใดเขาได้
ในตอนนี้เองเหยากวงที่อยู่ห่างออกไปพลันหมุนตัวขวับ จ้องฮาฟั่นดวงตาถลน กระแสโหดเหี้ยมอำมหิตราวกับสัตว์ป่าดุร้ายดึกดำบรรพ์พุ่งทะยานฟ้า
บัดนี้เหยากวงบ้าระห่ำโดยสิ้นเชิงแล้ว ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มีเพียงความคิดสังหารตามสัญชาตญาณขับเคลื่อนให้นางสาวเท้ายาวไปทางฮาฟั่น
“แย่แล้ว! เหยากวงบ้าระห่ำแล้ว!” หลิ่วสุยเฟิงและต้งหมิงต่างตะลึงงัน แต่จนปัญญาจะเข้าห้ามปราม
แต่เปาเจิ่งไม่เข้าใจความเป็นมาเป็นไป ไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าเกิดอันใดขึ้น เห็นเหยากวงลุกขึ้นเดินเข้าไปหาฮาฟั่น เขาไม่เข้าใจเป็นลำดับแรก ต่อมาก็คิดว่าเหยากวงคิดแก้แค้นแทนไท่สุ้ย จึงโอบประคองไท่สุ้ยไว้ด้านหลังแล้วตะโกนเรียกเสียงดัง
“เหยากวง ท่านระวังตัวด้วย! เหยากวง...”
อีกฟากหนึ่ง ไคหยางที่หลบซ่อนอยู่ในแอ่งหลุมได้ยินเสียงตะโกนของเปาเจิ่งจึงมองไป ก่อนอุทานอย่างตื่นตระหนก “เหยากวงสำแดงพลังระห่ำแล้ว!”
สายฟ้าดุร้ายราวกับอสรพิษฟาดกระหน่ำไล่ตามรอยย่ำของเหยากวงไม่หยุดยั้ง แต่เหยากวงในบัดนี้ประดุจฟันแทงไม่เข้า ฟ้าผ่าเปลวเพลิงไม่อาจกล้ำกราย ถูกสายฟ้าฟาดจำนวนนับไม่ถ้วนก็เพียงแต่ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วสาวเท้าเดินสืบเนื่องต่อไป
กระแสพลังไร้รูปสายหนึ่งโหมซัดร่างเหยากวง เสื้อผ้าอาภรณ์คล้ายขยายพองขึ้น
กล้ามเนื้อ กระดูก โลหิต... เหยากวงในบัดนี้ราวกับกำลังเดือดพล่านลุกโชน ประดุจปีศาจมารร้ายย่ำเหยียบออกมาจากนรก รังสีฆ่าฟันและความอำมหิตไร้รูปห้อมล้อมรอบตัวนาง ผู้ได้พบเห็นต่างบังเกิดความกริ่งเกรง
เทียนจีจื่อและคนของวังปี้โหยวล้วนสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง ต่างเผยสีหน้าสะท้านผวา ไม่ทราบว่าเหตุใดนางถึงเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
มีเพียงเทียนจีจื่อที่อายุยืนนานเพียงพอ เชี่ยวชาญรู้ซึ้งในตำราคัมภีร์โบราณ รู้สึกรำไรว่าสภาพของเหยากวงตอนนี้คลับคล้ายเผ่าแม่มดที่เล่าลือในโบราณกาล
ที่เรียกขานว่าเผ่าแม่มด เป็นเผ่าดั้งเดิมของเผ่าจิ่วหลี เล่าขานกันว่าเป็นผู้ครอบครองแผ่นฟ้าปฐพีในยุคบุพกาล ก่อนเผ่ามนุษย์ถือกำเนิดถึงหนึ่งล้านล้านปี ต่อมาเกิดสงครามกับเผ่าภูต ราพณาสูรไปพร้อมกัน นับแต่นั้นมาเผ่าแม่มดและเผ่าภูตในแดนโลกาก็ล่มสลาย เผ่ามนุษย์ครอบครองฟ้า
แน่นอนว่าเหล่านี้ล้วนเป็นเทพปกรณัม ไม่ว่าผู้ใดต่างไม่รู้จริงเท็จ
ทว่าเห็นเหยากวงไม่เกรงกลัวสายฟ้า ท่าทางดุร้ายโหดเหี้ยมท่วมท้น กลับคลับคล้ายเผ่าแม่มดในตำนานเทพเจ้าโบราณอยู่บ้าง
สติและจิตใจของเทียนจีจื่อสะท้านไหว หรือว่าตำนานเทพเจ้าเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง หรือกล่าวได้ว่ามีบางส่วนเป็นความจริง
ขณะที่เขาคิดฟุ้งซ่านอยู่นั่นเอง เหยากวงก็ฝ่าอสนีบาตเข้าโจมตีฮาฟั่นแล้ว
การโจมตีของเหยากวงตรงไปตรงมาและหยาบกระด้างยิ่งนัก เอ่ยอย่างง่ายดายก็คือโถมใส่ต่อยหมัดรุนแรง
เปรี้ยง!
หนึ่งหมัดชกออก มิรู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไร อสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงบนหมัดของนางพอดี พินิจแล้วกลับคล้ายเหยากวงออกหนึ่งหมัด สายฟ้าฟาดกระหน่ำประสมโรงกระนั้น น่าครั่นคร้ามยำเกรง ยิ่งใหญ่อหังการถึงขีดสุด
ฮาฟั่นมองเหยากวงอย่างตื่นตะลึง อึ้งงันไปครู่ใหญ่ จนกระทั่งหมัดของเหยากวงประชิดใกล้ เขาถึงตั้งสติได้ พลาดโอกาสพ่นเปลวเพลิง ได้แต่ต้านรับด้วยหมัดขา
ทว่าเหยากวงที่อยู่ในสภาวะบ้าระห่ำนั้นพละกำลังมหาศาลไร้สิ้นสุด พลังป้องกันก็เพิ่มขึ้นมาก กอปรกับสายฟ้าฟาดกระหน่ำบนหมัด ฮาฟั่นไม่กล้าปะทะโดยตรง ได้แต่เพียงต่อสู้ด้วยวิชายุทธ์อันประณีตปลีกย่อย
วรยุทธ์ของฮาฟั่นสูงส่งเลิศล้ำเป็นพิเศษ แต่วิชายุทธ์ของเขานั้นโดยมากใช้สำหรับไล่ล่าสังหารในสนามรบ หากไม่จะแจ้งผ่าเผยก็อำมหิตโหดเหี้ยม แต่ถ้าเอ่ยถึงวิชายุทธ์อันประณีตปลีกย่อย เขายังห่างชั้นไกลลิบลับ
ผนวกกับก่อนหน้าสะท้านยำเกรงต่อท่าทีของเหยากวง แทบจะชั่วพริบตาที่ประมือ ฮาฟั่นก็ตกเป็นรองทันที จำเป็นต้องประมือไปพลางถอยร่นไปพลาง แม้ไม่ห่างจากบริเวณรถล่อฟ้า แต่ก็ไม่ได้เปรียบเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป
ต้งหมิงเห็นโอกาสไม่อาจคลาด รีบร้องเรียกทุกคน “ทุกคนลุยเข้าไปพร้อมกัน!”
พอได้ยิน ทุกคนต่างก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ทะยานร่างเข้าโจมตีฮาฟั่นทันที
ฮาฟั่นแค้นเคืองจนกัดฟันกรอด คิดพ่นเปลวเพลิง แต่ถูกเหยากวงพันธนาการ ชักมือไม่ออกเลยแม้แต่น้อย พละกำลังและสภาวการณ์ของเหยากวงในบัดนี้ช่างน่าหวาดหวั่นขวัญผวายิ่งนัก ฮาฟั่นไม่กล้ารับหมัดของนางอย่างจะแจ้ง เกรงว่าจะอัดเขาจนหักสะบั้นเป็นชิ้น ความคิดล่าถอยบังเกิดขึ้นด้วยความจนใจ ลอบตัดสินใจว่าหากไม่มีโอกาสพลิกผัน ตนคงได้แต่ถอยร่นหนีไปก่อน
เสียงดังเปรี้ยงพลันก้องสนั่นกลางอากาศ สายฟ้าขนาดใหญ่เท่าลำแขนเด็กน้อยฟาดกระหน่ำลงมา ถูกกระหม่อมของเหยากวงเข้าอย่างจัง
ร่างของเหยากวงชะงักงัน สีแดงภายในดวงตาค่อยๆ จางลง สติเริ่มกลับมาบ้าง
ฮาฟั่นนึกยินดี ทางหนึ่งหลบเลี่ยงการล้อมโจมตีของคนอื่นๆ อีกทางก็ฉวยโอกาสลงมือ หนึ่งหมัดชกใส่ทรวงอกเหยากวงจนนางถอยกรูดไปหลายก้าว จากนั้นเขาก็หัวเราะบ้าคลั่ง กางสองแขนออก หมุนตัวติ้วอยู่กับที่ราวกับลูกข่าง พร้อมกันนั้นเปลวเพลิงขาวโพลนก็พุ่งปราดออกมาประดุจวงแหวนเพลิง บีบให้ทุกคนถอยร่นหลบหนี
“ให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองเปลวเพลิงขาวโพลนที่ทรงพลังกว่าเปลวเพลิงสีแดงถึงสิบเท่า ฮ่าๆๆ” ฮาฟั่นหัวเราะอย่างวิกลจริตไม่ยอมหยุด
เทียนจีจื่อกู่ร้องเตือนทุกคนเสียงดังลั่น “รีบถอย! เพลิงนี้ไม่อาจต้านรับ!”
ทุกคนถอยกรูดเร็วรี่ แต่เทียนจีจื่อยังคงคิดฝืนจู่โจม ผู้ที่มีความคิดเดียวกันก็คือต้งหมิง
ส่วนคนอื่นๆ ต่างล่าถอยในสภาพน่าอนาถ แขนเสื้อหลิ่วสุยเฟิงติดไฟ รีบฉีกกระชากแขนเสื้อออก
ฮาฟั่นหัวเราะสะใจคล้ายปีศาจมารร้ายตนหนึ่ง กราดพ่นเปลวเพลิงใส่สี่ทิศรอบด้านไม่หยุด เปลวเพลิงสายหนึ่งถูกเสาศิลาขนาดยักษ์โดยไม่รู้ตัว
เปลวเพลิงขาวโพลนนี้แปลกพิกลนัก ดั่งแผลเน่าพุพองติดกระดูก แม้เผาไหม้บนศิลายังคงลุกโชนโชติช่วง ไม่มีทีท่าว่าจะดับมอด
เปลวเพลิงขาวโพลนลุกลามอย่างรวดเร็ว เสาศิลาถูกเปลวอัคคีห่อหุ้ม คล้ายคบเพลิงขนาดยักษ์
ตอนนี้เองเหยากวงคืนสติกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่นางยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นในชั่วขณะ ทันใดนั้นอสนีบาตลงมาอีกสายจากฟากฟ้า ไคหยางทะยานร่างขึ้นฉับพลัน โอบกอดเหยากวง ทั้งสองกลิ้งตัวบนพื้นหลายรอบ หลบเลี่ยงมาถึงอีกฟาก
เปลวเพลิงขาวโพลนเผาไหม้เสาศิลาอย่างร้อนแรงโชติช่วง เด่นชัดว่าแปลกพิสดารยิ่ง
ฮาฟั่นยืนอยู่ใต้ร่มโลหะ หัวเราะเสียสติน่าเกรงขามไปรอบด้าน “ข้ามีเปลวเพลิงร้อนแรงและสายฟ้าคอยช่วยเหลือ ต่อให้พวกเจ้าเป็นผู้กล้าเก่งกาจ ก็ไม่มีผู้ใดทำอันใดข้าได้! ฮ่าๆๆ”
เขาแหงนหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แม้ทุกคนเคียดแค้นสุดแสน แต่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ได้แต่หลบซ่อนในแอ่งหลุม จนปัญญาแก้ไข
เพราะเปลวเพลิงขาวโพลนเผาผลาญ เสาศิลาขนาดยักษ์พลันส่งเสียงปริแตกลั่นเปรี๊ยะ จากนั้นแผ่นหินเป็นชิ้นก็กะเทาะหลุดล่อน เผยให้เห็นแสงทองอร่ามส่วนหนึ่ง ส่องสะท้อนดวงตาของทุกคน
ทุกคนต่างตะลึงงันกับความเปลี่ยนแปลงของเสาศิลานี้ ฮาฟั่นก็หุบปากอย่างตกตะลึง หมุนตัวหันไปมองเสาศิลา
ภายใต้สายตาของทุกคน แผ่นศิลาหลุดล่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเปลวเพลิงลามเลีย สุดท้ายเผยให้เห็นป้ายทองแดงขนาดมหึมา
ความสูงของป้ายทองแดงแม้ไม่อาจเทียบศิลาขนาดยักษ์แต่เดิม แต่ยังสูงกว่ายอดเหล็กแหลมบนหลังคารถล่อฟ้ามากนัก ทันทีที่เผยให้เห็นก็ดึงดูดสายฟ้าทันที ชั่วพริบตาทั้งแผ่นป้ายทองแดงปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงขาวโพลนและอสนีบาตแดงเหลืองจ้า สภาพสีสันของมันราวกับภาพฝันมายา ทำให้ดวงตาของผู้คนพร่ามัว
ตี้หลิงจื่อแผดเสียงอย่างตื่นตะลึง “ ‘ภาพผลักหลัง’ ปรากฏต่อโลกหล้าแล้ว!”
เทียนจีจื่อยืนนิ่งงันมองป้ายทองแดง เอ่ยพึมพำ “ที่แท้ ‘ภาพผลักหลัง’ ซุกซ่อนอยู่ที่นี่!”
ฮาฟั่นตื่นเต้นยินดีแทบคลั่ง เขายืนตรงหน้าป้ายทองแดง มองเห็นอักษรโบราณที่ปรากฏบนป้ายทองแดง “เงาขาดหนึ่งนิ้ว คลาดเคลื่อนพันลี้ พิกัดขั้วเหนือ สูงต่ำแตกต่าง...”
ต้งหมิงตวาดอย่างเร่งร้อนขึ้นทันที “ป้ายทองแดงดึงดูดสายฟ้า รีบชิง ‘ภาพผลักหลัง’ ”
ทุกคนตระหนักได้ ต่างกระโดดพรวดขึ้นดั่งพยัคฆ์ กระโจนใส่ฮาฟั่น
ฮาฟั่นไร้ซึ่งสายฟ้าคอยช่วยเหลือ ได้แต่เพียงพึ่งพาวรยุทธ์และอาวุธเพลิงต่อสู้กับทุกคนที่จู่โจมเข้ามาจากทุกสารทิศ มือไม้เป็นพัลวันในชั่วขณะ
ยิ่งกว่านั้นสมาธิของเขาอยู่ที่ตัวอักษรบนป้ายทองแดง เหลือกำลังวังชาเพียงห้าส่วนต่อกรกับศัตรู อีกไม่นานคงตกเป็นรอง
ตอนนี้เองสายฟ้าพลันฟาดเปรี้ยงลงกะทันหัน ต้งหมิงซึ่งกำลังโจมตีฮาฟั่นถูกผ่าเข้าอย่างจัง ร่วงตกจากอากาศ หลิ่วสุยเฟิงตกตะลึง ไม่ทันใส่ใจโจมตีฮาฟั่น พุ่งแฉลบมารวบตัวต้งหมิงหลบหลีกออกไป
ทุกคนต่างหยุดมืออย่างตกตะลึง เหลียวซ้ายแลขวา
เทียนจีจื่อมองสายฟ้าอย่างประหลาดใจ “ยังมีฟ้าผ่าทำร้ายคนได้อีกหรือ”
“ฮ่าๆๆ”
เพิ่งสิ้นเสียงเทียนจีจื่อ เสียงหัวเราะประหลาดลี้ลับก็สะท้อนก้องกลางหุบเขา
“ผู้ใด!”
ทุกคนตื่นตระหนก ต่างอยู่ในท่าเตรียมพร้อม มองสี่ทิศรอบด้านอย่างตื่นตัวระแวดระวัง ไม่สนใจโจมตีฮาฟั่นอีกต่อไป
ส่วนฮาฟั่นกลับฉวยโอกาสหมุนตัว กวาดตามองตัวอักษรบนป้ายทองแดงอย่างรวดเร็ว จดจำไว้ในใจ
เสียงหัวเราะแปลกพิกลก้องสะท้อนในหุบเขา ทันใดนั้นบุคคลผู้หนึ่งสวมหน้ากากพิสดารลี้ลับ ในมือถือไม้เท้ารูปร่างประหลาดแปลกตา เหินลอยจากกลางอากาศเข้ามาตกใต้ร่มโลหะ
คนผู้นี้สวมชุดกระชับร่าง ใบหน้าสวมหน้ากาก ไม้เท้าในมือคล้ายไม้คล้ายโลหะ สีดำเมี่ยมไม่อาจแยกแยะว่าทำจากวัสดุใด ยอดไม้เท้าเลี่ยมดวงแก้วขนาดใหญ่เท่ากำปั้นเจียระไนตัดเหลี่ยมชัดเจน เหนือดวงแก้วเป็นรังสีเรื่อเรือง บางครั้งเป็นสีชมพู บางครั้งเป็นสีม่วงคราม ประดุจมีชีวิตทั้งคล้ายสายธารหลั่งไหล แปรผันไม่หยุดในหนึ่งเค่อ
เมื่อเห็นผู้มา ฮาฟั่นทั้งประหลาดใจระคนยินดี “ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”
“ ‘ภาพผลักหลัง’ ปรากฏต่อโลกหล้า ข้าไหนเลยจะไม่มา” บุคคลลึกลับเอ่ยเสียงเรียบ หลังยืนมั่นแล้วก็กวาดตามองทุกคน ความเยียบเย็นฉายชัดในดวงตา
ต้งหมิงถูกหลิ่วสุยเฟิงประคองไว้ ค่อยๆ ยืนมั่น กวาดตามองโดยรอบหนึ่งเที่ยว พบว่าพวกเขายังคงยืนอยู่ แต่ไม่มีสายฟ้าผ่าใส่ร่างของพวกเขาแล้ว สายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะยังคงตกลงที่ป้ายทองแดง ในชั่วขณะเหตุการณ์สงบนิ่ง
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน!” ต้งหมิงตวาดถามเสียงทุ้ม
บุคคลลึกลับไม่ตอบ เพียงเงยหน้ามองอักษรบนป้ายทองแดง
เปลวไฟลามเลียบนแผ่นป้าย อักษรบางตัวไม่สมบูรณ์ บุคคลลึกลับโบกมือวูบ ปัดเปลวเพลิงออกไป
ตอนนี้ต้งหมิงกัดฟันตวาดลั่น “ลงมือพร้อมกัน! จัดการพวกมัน!”
บุคคลลึกลับแค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง ยกแขนขวาขึ้น ดวงแก้วบนยอดไม้เท้าพลันยิงสายฟ้าคล้ายอสรพิษพุ่งวาบใส่ต้งหมิง
ต้งหมิงตระหนกตกใจ รีบเบี่ยงหลบไปด้านข้าง สายฟ้าผ่าใส่พื้นดิน
“เจ้าถึงกับยิงสายฟ้าผ่าได้?” เทียนจีจื่อตระหนกยิ่ง
บุคคลลึกลับครานี้หันมามองเทียนจีจื่อแวบหนึ่ง แววตาวูบไหวก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเฉยเมย แล้วหันไปมองป้ายทองแดง
เปาเจิ่งยังคงคุกเข่าอยู่ข้างไท่สุ้ย เห็นสภาพการณ์นี้ก็ลุกพรวดขึ้นอย่างตกตะลึง ชี้ไปทางบุคคลลึกลับ
“เป็นเจ้า! เจ้ามีพลังอสนีบาต! คนสังหารนักพรตชงเสวียนแห่งอารามคงซางก็คือเจ้า!”
บุคคลลึกลับค่อยๆ หมุนตัวกลับมา มองไปทางเปาเจิ่ง พยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน “มิผิด! ผู้สังหารชงเสวียนก็คือข้า! หึๆ หรือกล่าวได้ว่าเป็นไม้เท้าเทพอสนีของข้า!”
เขาค่อยๆ ชูไม้เท้าในมือขวาขึ้น เอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้ามีไม้เท้านี้ก็คือเทพอสนี พวกเจ้าทำอันใดข้ามิได้ก็แยกย้ายไปเสียเถอะ”
พูดจบเขาก็หันไปมองป้ายทองแดง
เปลวเพลิงลุกโชนพลิกม้วนเป็นเกลียว สายฟ้าแลบแปลบปลาบกระหวัดพันเกี่ยวเป็นระยะ ตัวอักษรโบราณปรากฏวาบให้เห็นเป็นครั้งคราว
บุคคลลึกลับพลันเบิกตาโพลง เส้นเลือดที่ปูดโปนบนฝ่ามือซึ่งกำไม้เท้าอยู่เต้นตุบๆ น้ำเสียงเยียบเย็นแต่ไรมาพลันเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล “นี่มิใช่ ‘ภาพผลักหลัง!’ ”
ทุกคนต่างอึ้งงัน ฮาฟั่นที่เตรียมป้องกันทุกคนโจมตีก็รีบหมุนตัวกลับไปเพ่งมอง
บุคคลลึกลับจ้องป้ายทองแดงอย่างโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ตะโกนลั่น “นี่มิใช่ ‘ภาพผลักหลัง!’ นี่เป็นคำปริศนาบอกใบ้ที่ซ่อนของ ‘ภาพผลักหลัง’ หยวนเทียนกัง หลี่ฉุนเฟิง สองเฒ่าเจ้าเล่ห์ มักแสร้งทำลึกลับซับซ้อนตบตาคน! ข้าพยายามทุกวิถีทาง พวกเขาถึงกับทิ้งเพียงคำปริศนาหนึ่งบทให้ข้า!”
ทุกคนต่างตะลึงงัน ชั่วขณะต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่ทราบว่าจะกล่าวอย่างไร
ขณะที่ทุกคนชะงักงันนั่นเอง ไท่สุ้ยซึ่งอยู่ในแอ่งหลุมฟื้นตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ
เขาโงนเงนพลิกตัวขึ้นนั่ง ทว่าสีหน้ายังคงมึนงง
เหยากวงที่กำลังเฝ้าเขาอย่างเป็นห่วงเป็นคนแรกที่เห็น ตื่นเต้นยินดีไม่คลาย “เจ้าฟื้นแล้วหรือ ทำข้าตกใจแทบตายแล้ว”
เหยากวงตบทรวงอกอย่างโล่งใจ ตีสีหน้าหวาดหวั่นขึ้นมาในภายหลัง พลันนึกบางอย่างได้จึงดีดนิ้วใส่ศีรษะของไท่สุ้ยอย่างเคืองโกรธ “เจ้าไม่ทำให้ข้าตกใจสักวันจะไม่สบายใจ ใช่หรือไม่”
ไท่สุ้ยมองเหยากวง แววตายังคงเลื่อนลอย
ไคหยางที่อยู่ด้านข้างมองไท่สุ้ยอย่างดีอกดีใจ เหยากวงจับจ้องไท่สุ้ย เห็นท่าทางเขาเป็นเช่นนั้นพลันนึกเอะใจ นางยื่นมือไปโบกๆ ตรงหน้าไท่สุ้ยพลางสอบถาม “นี่ เจ้าคงมิใช่โง่เขลาเลอะเลือนขึ้นมาอีกกระมัง”
ไท่สุ้ยกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็คืนสติกลับมาเต็มที่ ยกมือขึ้นปัดมือของเหยากวง ค้อนนางวงหนึ่ง “เจ้าชอบให้ข้ากลายเป็นโง่เขลาเลอะเลือน ใช่หรือไม่” พูดพลางหมุนตัวไปมองกลางหุบเขา เห็นทุกคนต่างล้อมรถล่อฟ้า หน้ารถล่อฟ้านอกจากฮาฟั่นแล้ว ยังมีคนสวมหน้ากากเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน
“เอ? มาเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้ว?”
ไคหยางหันไปมอง ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น ใบหน้าผุดรอยยิ้มลี้ลับ
“มิผิด! ผู้บงการเบื้องหลัง ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้ว!”
อีกด้านหนึ่งหลิ่วสุยเฟิงเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว จ้องบุคคลลึกลับแล้วเอ่ย “พวกเราเจอเจ้าจนได้!”
บุคคลลึกลับหันไปมองหลิ่วสุยเฟิง ในดวงตาผุดแววฉงนสงสัย ทุกคนก็มองไปทางหลิ่วสุยเฟิง ออกจะไม่เข้าใจ
เปาเจิ่งพลันยิ้มเล็กน้อย มองไปทางบุคคลลึกลับแล้วกล่าว “เจ้าคิดว่ากำชัยชนะอยู่ในเงื้อมมือ กลับคิดไม่ถึงว่าพวกเรากางแหรอเจ้าเข้ามาติดกับแต่เนิ่นๆ แล้วกระมัง”
“เจ้าว่าอันใดนะ” บุคคลลึกลับฉงนงงงัน
ไท่สุ้ยลุกขึ้นยืน สะบัดศีรษะก่อนถามเหยากวงที่อยู่ด้านข้างอย่างนึกสงสัย “นี่มันเรื่องอันใดกัน”
เหยากวงเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ค้อนเขาวงหนึ่งแล้วตอบ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
ทั้งสองคนต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น จึงมองไปกลางหุบเขา ได้ยินหลิ่วสุยเฟิงกล่าว
“นับแต่ข้าเข้าร่วมหน่วยดาวพิฆาต แม้ประสบเรื่องแปลกพิสดารต่างๆ นานามามากมาย แต่ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีสังหารมนุษย์อันใดเทือกนี้”
เปาเจิ่งเอ่ยสืบต่อ “นักพรตชงเสวียนถูกฟ้าผ่าจนเสียชีวิต คนร้ายที่เจ้าอาวาสวัดม้าขาวแห่งลั่วหยางประสบพบเจอเชี่ยวชาญการใช้เพลิง!”
ไคหยางเดินออกมาจากด้านหลัง มองบุคคลลึกลับแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “โจรลึกลับที่ลักพาตัวคนที่กู่ชุยไถและโจรสังหารผู้อาวุโสตี้จั้งล้วนใช้เปลวเพลิง!”
หลิ่วสุยเฟิงเอ่ยเสริม “ดังนั้นเมื่อได้รับคำเตือนจากตุลาการเปา พวกเราวินิจฉัยว่าคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังสมควรมีสองคน คนหนึ่งเชี่ยวชาญการใช้เปลวเพลิง อีกคนชำนาญการใช้สายฟ้า”
เปาเจิ่งกล่าว “ผู้ที่ใช้สายฟ้าดั่งมังกรวิเศษปรากฏกาย หลังจากสังหารคนที่อารามคงซางแล้วก็มิได้ปรากฏตัวอีก คนที่ปรากฏตัวบ่อยครั้งคือผู้ที่ใช้เปลวเพลิง”
ไคหยางกล่าว “ดังนั้นพวกเราสงสัยว่าคนที่ใช้เปลวเพลิงก็คือฮาฟั่นราชครูแห่งชี่ตัน เช่นนั้นคนใช้สายฟ้าจะเป็นผู้ใดเล่า”
หลิ่วสุยเฟิงยิ้มเล็กน้อย วางมาดคล้ายมีแผนการในใจอยู่แล้ว “ไม่ว่าเขาเป็นผู้ใด เบื้องหลังของคนใช้เปลวเพลิงย่อมมีอีกผู้หนึ่งอยู่ คนผู้นี้เป็นคนใช้สายฟ้า จุดนี้ไม่ต้องสงสัย”
“ดังนั้นพวกเราจึงเตรียมการบางอย่างมาเล็กน้อย” ไคหยางกล่าวจบก็เหลือบมองหลิ่วสุยเฟิง แล้วตวาดลั่น “ลงมือ!”
ฟิ้ว!
หลิ่วสุยเฟิงงอนิ้วดีดเศษหินชิ้นเล็กไปกระทบจุดกลมกึ่งกลางเพลารถ เห็นรถล่อฟ้าพลันบังเกิดเสียงดังแกรกแยกแตกเป็นสี่ส่วนในชั่วพริบตา แต่ละส่วนมีล้อค้ำอยู่ด้านล่าง แต่ละล้อต่างกลิ้งหมุนแยกไปสี่ทิศถึงบนที่สูง ดอกสว่านพลันโผล่จากใต้ช่วงล่างรถล่อฟ้า เจาะสว่านใส่พื้นก่อนตั้งมั่น ส่วนบนสุดปรากฏสายอากาศเป็นข้อๆ ทำจากโลหะยืดสูงขึ้นกลายเป็นเสาล่อฟ้าสี่ต้น
บัดนี้สายฟ้าฟาดจากกลางฟ้าถูกเสาล่อฟ้าสี่ต้นนั้นดึงดูด ทุกคนหันไปมองเสาล่อฟ้าทั้งสี่ทิศ
ต้งหมิงเห็นดังนั้นก็กล่าวอย่างยินดียิ่ง “ฮ่าๆๆ พวกเจ้าถึงกับมีวิธีการเช่นนี้!” พูดจบก็ถลึงตาใส่หลิ่วสุยเฟิง “กลับปล่อยให้ข้างมโข่ง”
หลิ่วสุยเฟิงคำนับพลางยิ้มปะเหลาะไปทางต้งหมิง “ใต้เท้าโปรดอภัย พวกเราเองก็เพิ่งคิดแผนสำรองนี้ได้ ตอนตุลาการเปาเล่าถึงข้อสงสัยนี้ หลังจากพวกเราสร้างรถล่อฟ้าภายนอกหุบเขาแล้ว ไม่ทันได้รายงานใต้เท้า”
เหยากวงกับไท่สุ้ยเบิกตาโพลงมองไปทางหลิ่วสุยเฟิง ร้องอุทธรณ์เป็นเสียงเดียวกัน “ข้าเองก็อยู่พร้อมท่าน เหตุใดข้าไม่ล่วงรู้”
หลิ่วสุยเฟิงมองพวกเขาแล้วลูบปลายจมูก “พวกเจ้าสองคนปากโป้ง ในท้องเก็บงำความลับไว้ไม่ได้ ยังคงไม่รู้เป็นการดี!”
เทียนจีจื่อคำรามลั่นอย่างสะเทือนอารมณ์ “จับกุมมันสองคนไว้ ข้าจะแก้แค้นให้ศิษย์พี่!”
ทุกคนกรูล้อมขึ้นหน้าด้วยท่าทีดุดัน ไม้เท้าในมือบุคคลลึกลับพลันชูขึ้น เสียงดังเปรี้ยงคราหนึ่ง อสนีบาตฟาดใส่เทียนจีจื่อ
เทียนจีจื่อตกตะลึง รีบเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง
บุคคลลึกลับชูไม้เท้าอย่างลำพองผยองตน “ฮ่าๆๆ ต่อให้พวกเจ้ามีแผนสำรอง ก็เพียงแค่ป้องกันฟ้าผ่าจากท้องฟ้าได้เท่านั้น ป้องกันสายฟ้าผ่าของข้าได้หรือ”
บุคคลลึกลับกวาดตามองโดยรอบอย่างหยิ่งทะนงแล้วเอ่ย “สิบปีก่อนข้าพบหินอุกาบาตเข้าโดยบังเอิญ คาดไม่ถึงว่าหินอุกาบาตนี้ถึงกับสั่งสมพลังฟ้าผ่าไว้”
สายฟ้าฟาดกระหน่ำจากท้องฟ้าไม่หยุด จากนั้นก็ถูกสายล่อฟ้าในบริเวณโดยรอบดึงดูดไป เกิดปรากฏการณ์ประหลาดน่าอัศจรรย์
บุคคลลึกลับมองไม้เท้า ลูบสัมผัสเพียงแผ่วเบาพลางเอ่ยพึมพำ “ข้าใช้เวลาหลายปีศึกษาวิเคราะห์และเจียระไนมัน ในที่สุดก็กระจ่างชัดแจ้งว่าสั่งสมพลังฟ้าผ่าและควบคุมใช้การอย่างไร”
เขาชูไม้เท้าขึ้นสูง แหงนหน้าหัวเราะบ้าคลั่ง “ฮ่าๆๆ นี่คือพลังฟ้าผ่า เป็นพลังวิเศษของเทพอสนีในตำนาน ต่อหน้าพลังชนิดนี้ลำพังร่างกายเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างพวกเจ้า ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อกรข้า มีไม้เท้านี้ในมือ ข้าก็คือเทพเจ้า!”
บุคคลลึกลับชูไม้เท้าขึ้นสูง ดวงแก้วบนปลายยอดส่องแสงขาวกระจ่างจ้า เสียงดังเปรี้ยงหนึ่ง สายฟ้าขนาดมหึมาก็สาดยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า เมฆดำครึ้มบนนภาหมุนวนเป็นเกลียว พลังไฟฟ้าจากฟ้าผ่าเริ่มก่อตัว ป้อนกลับเข้าสู่ไม้เท้าวิเศษของเขา สั่งสมพลังไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
ทุกคนต่างตื่นตะลึงมิคลาย แต่ไคหยาง หลิ่วสุยเฟิง และเปาเจิ่งกลับไม่สะทกสะท้าน
ไคหยางยิ้มหยัน มองไปทางบุคคลลึกลับแล้วเอ่ย “วิธีการของข้ากลับมิใช่เพียงเท่านี้!” ว่าแล้วนางก็ปรายตามองหลิ่วสุยเฟิง “เหวินฉวี่”
“ได้!” หลิ่วสุยเฟิงยิ้มรับ แบมือขวาออก ในมือยังมีลูกหินอีกสี่ชิ้น เขาดีดนิ้วมือซ้ายต่อเนื่องใส่เสาล่อฟ้าที่ปักหลักอยู่สี่มุมของหุบเขานรก
แกรก! แกรก! แกรก! แกรก!
เสียงเบาดังแว่วขึ้นสี่ครั้ง กลไกของเสาล่อฟ้าถูกกระตุ้นให้ทำงาน เส้นโลหะหลายสายพุ่งยิงออกจากตัวรถล้อเดียวซึ่งเป็นฐานเสาล่อฟ้า เกี่ยวพันกับเส้นโลหะที่พุ่งยิงออกจากตัวรถฝั่งตรงกันข้าม ถักทอเป็นตาข่ายโลหะอย่างรวดเร็ว
บุคคลลึกลับตระหนกยิ่ง ลองสาดกระแสฟ้าผ่าสายหนึ่งใส่ไคหยาง สายฟ้าเพิ่งสาดยิงออกไปกลับหักงอขึ้นด้านบน ถูกตาข่ายโลหะดึงดูดไปสิ้นแล้ว
ไท่สุ้ยชกกำปั้นใส่ฝ่ามืออย่างตื่นเต้นยินดี สาวเท้ายาวขึ้นหน้า “ทุกท่าน ยังรออันใดเล่า ตีสุนัขตกน้ำให้สาแก่ใจเถอะ!”
ทุกคนพอได้ยินก็ลุกฮือเข้าใส่
ทุกคนในตอนนี้ เว้นไคหยางและเปาเจิ่ง ต่างมีกลวิธีของตนเอง หลังประมือไปครู่หนึ่ง บุคคลลึกลับและฮาฟั่นก็ต้านทานไม่อยู่ ตกเป็นรองอย่างรวดเร็ว
ทุกคนเพิ่งร่วมมือร่วมใจเป็นครั้งแรก จึงขาดความรู้ใจกันไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นที่น่าตกใจก็คือ พินิจจากวรยุทธ์ของบุคคลลึกลับคล้ายว่าสูงส่งกว่าเทียนจีจื่ออยู่บ้าง ทันทีที่ไม่ระวัง เหยากวงก็ถูกซัดเข้าหนึ่งฝ่ามือ กระอักโลหิตจนต้องล่าถอย
ไท่สุ้ยเห็นดังนั้นให้ตระหนกตกใจนัก ไม่แยแสความปลอดภัยของตน งอตัวถาโถมเข้าใส่
บุคคลลึกลับยิ้มเย็นชา ไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย หนึ่งฝ่ามือซัดออกไปรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ไท่สุ้ยไม่ทันหลบเลี่ยงโดยสิ้นเชิง ถูกซัดเข้าอย่างจัง ได้รับบาดเจ็บจนกระอักโลหิต
แต่ไม่อาจไม่กล่าวถึง ไท่สุ้ยเปี่ยมเรี่ยวแรงพละกำลังไม่กลัวตายมาแต่กำเนิด แม้กระอักโลหิตไม่หยุด แต่เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมถอยร่น กระโจมเข้าใส่สุดกำลัง กอดรัดพันเกี่ยวบุคคลลึกลับไว้มั่น
บุคคลลึกลับโกรธถึงขีดสุด ทางหนึ่งหลบหลีกการโจมตีของคนอื่นๆ อีกทางสำแดงวิชาตัวเบา เหินทะยานโดยมีไท่สุ้ยเกาะติดไปทั่วสนามประลอง ขณะเดียวกันก็ยกฝ่ามือฟาดแผ่นหลังไท่สุ้ยไม่ยั้ง
“แอ้ก!” ไท่สุ้ยกระอักโลหิตไม่หยุด ดวงตาพร่ามัวสลัวราง กลับกอดเขาไว้มั่นไม่คลายมือ
หลิ่วสุยเฟิงและเหยากวงพอเห็น ก็คิดปรี่เข้าไปช่วยเหลือ
บุคคลลึกลับตะโกนบอกฮาฟั่น “ทำลายป้ายทองแดง เร็ว!”
พอได้ยิน ฮาฟั่นก็รีบปลีกตัวจากการจู่โจมของเทียนจีจื่อและต้งหมิง ยกแขนพลางหัวเราะคลุ้มคลั่งไปทางป้ายทองแดง พ่นเปลวเพลิงสีดำแปลกประหลาดออกมาสายหนึ่ง “ดูเพลิงนิลกาฬเผาผลาญโลกาของข้า!” ฮาฟั่นหัวเราะอย่างเสียสติ
เพลิงนิลกาฬนี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงกว่าเพลิงขาวก่อนหน้า ประจักษ์แก่สายตาว่าเพิ่งสัมผัสถูกป้ายทองแดง แผ่นป้ายก็เริ่มหลอมละลาย
ต้งหมิงตระหนกยิ่ง แต่บัดนี้อับจนหนทาง ได้แต่โจมตีพร้อมเทียนจีจื่ออย่างรุนแรงขึ้น
ตอนนี้เองบุคคลลึกลับถูกหลิ่วสุยเฟิงและเหยากวงก่อกวนจนต้องปลีกตัว เคืองแค้นใหญ่โตในใจ ชูไม้เท้าในมือ จ่อดวงแก้วบนปลายยอดใส่ร่างไท่สุ้ยโดยตรง
เปรี้ยง!
กระแสไฟเอ่อล้นท้นท่วมร่างไท่สุ้ย เขาชักกระตุกไปทั้งตัว บนผมเผ้าอาภรณ์เริ่มมีควันดำเข้มลอยวนเป็นสาย จากนั้นกลิ่นเหม็นไหม้เกรียมก็อวลตลบออกมา
แต่บุคคลลึกลับดูเหมือนจะลืมเลือนไปว่าร่างกายมนุษย์เป็นสื่อนำไฟฟ้า ซึ่งก็หมายความว่าขณะที่เขาใช้พลังไฟฟ้าจากฟ้าผ่าทำร้ายไท่สุ้ย ตนก็ถูกฟ้าผ่าไปด้วย
ชั่วขณะกระแสไฟโคจรไหลเวียนบนร่างทั้งคู่ไม่ขาดสาย
หากเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่น ไม่แน่ว่าครานี้ทั้งคู่คงตกตายไปพร้อมกัน คราวนี้กลับต่างกัน อย่างน้อยบัดนี้แตกต่างกันลิบลับ เพราะเขาลืมเลือนว่าเหนือศีรษะยังมีตาข่ายโลหะดึงดูดกระแสไฟ
ไม่อาจไม่กล่าวก็เพราะว่าตาข่ายโลหะนี้ บุคคลลึกลับถึงได้รอดชีวิต แทบจะในชั่วพริบตา กระแสไฟบนร่างของทั้งคู่กระชากวูบขึ้นฉับพลัน จากนั้นก็พุ่งเป็นสายตรงขึ้นที่สูง กลืนหายเข้าสู่ตาข่ายโลหะ
บุคคลลึกลับไม่ทันได้นึกเสียใจ ก็ฉวยโอกาสขณะไท่สุ้ยชักกระตุกจนคลายสองแขนออก ยกขาขึ้นเตะไท่สุ้ยลอยกระเด็นไปทันที
หนึ่งขาพละกำลังมหาศาลหนักหน่วง เตะไท่สุ้ยเหินไกลไปหลายจั้ง
“ไท่สุ้ย!” เหยากวงกรีดร้องลั่น เห็นไท่สุ้ยหล่นตุบลงบนพื้นอย่างรุนแรง อาการบาดเจ็บสาหัส สองตานางพลันซ่านแดงไปด้วยโลหิต เข้าสู่สภาวะระห่ำอีกครั้ง
หลิ่วสุยเฟิงเมื่อเห็นเข้าก็รีบหลบให้ห่าง ไม่กล้าเข้าใกล้
ทว่ามีเหยากวงที่สำแดงพลังระห่ำเข้าร่วมด้วย บุคคลลึกลับและฮาฟั่นก็ตกเป็นรองทันที
หลังการต่อสู้อย่างดุเดือดเลือดพล่านคำรบหนึ่งแล้ว ฮาฟั่นและบุคคลลึกลับเริ่มทุลักทุเล ต้านทานไม่อยู่
บัดนี้ตี้หลิงจื่อคำรามเสียงดังพลางกระโจนเข้าใส่ “ชดใช้ชีวิตอาจารย์ข้ามา!”
เขายกมือขึ้นจู่โจมใส่ฮาฟั่น ขวางหน้าเหยากวงพอดี
เหยากวงหลังสำแดงพลังระห่ำแล้วสติสัมปชัญญะไม่กระจ่าง ไม่แบ่งแยกศัตรูหรือมิตร หนึ่งกำปั้นอัดกระแทกตี้หลิงจื่อ
เทียนจีจื่อซึ่งกำลังจะโจมตีบุคคลลึกลับเห็นดังนั้นแล้วให้ตระหนกยิ่ง พลันร้องลั่น “ศิษย์หลานระวัง!”
ว่าแล้วก็โหมทะยานเข้าไปผลักเหยากวงออก
ส่วนเหยากวงไม่แยกแยะศัตรูหรือฝ่ายเดียวกัน เห็นคนขัดขวางตนเองก็ปะทะกับเทียนจีจื่อ
เทียนจีจื่อไม่อาจทำร้ายเหยากวง วรยุทธ์ของเหยากวงซึ่งอยู่ในสภาวะระห่ำก็ร้ายกาจเกินไป ไม่เพียงเท่านี้ ร่างกายของนางยังแข็งแกร่งขึ้น เดิมทีเทียนจีจื่อคิดสกัดจุดลมปราณของนาง แต่ทดลองหลายครั้ง ไม่เพียงไม่อาจสกัดจุด แต่กลับถูกนางอัดตอบโต้หลายหมัด กระอักโลหิตล้มลงไปกองกับพื้นทันที
ต้งหมิงเห็นดังนั้น จึงรีบแหวกอากาศฝ่าเข้ามา นิ้วชี้สกัดจุดไป่ฮุ่ยบนกระหม่อมของเหยากวงอย่างแรง
ไป่ฮุ่ย... ไป่หมายถึงร้อยหรือมากมาย ฮุ่ยหมายถึงศูนย์รวมหรือจุดรวม
นี่คือจุดปราณสำคัญบนร่างกายมนุษย์ ปราณของจุดซานหยางอู่ฮุ่ย288 คนปกติทั่วไปเมื่อถูกสกัดจุดนี้ อย่างเบาก็สลบล้มลงไปกองกับพื้น อย่างหนักก็สูญสิ้นสติกลายเป็นคนวิกลจริต
ทว่าพลังป้องกันของเหยากวงหลังบ้าระห่ำแล้วเพิ่มสูงมาก ต่อให้ถูกสกัดจุดไป่ฮุ่ยก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด แม้ไม่ได้บาดเจ็บ แต่ก็ทำให้นางชะงักงัน เลือดลมที่พลุ่งพล่านพลันลดน้อยถอยลง ถึงกับค่อยๆ ได้สติ
กล่าวได้ว่านี่เป็นวิธีการที่ผ่านการศึกษาวิเคราะห์มาเนิ่นนานของต้งหมิงและอิ่นกวง จุดประสงค์นั้นไม่ต้องเอ่ยถึง ก็เพื่อป้องกันและหยุดยั้งเหยากวงยามเกิดสภาวะระห่ำโดยไม่อาจควบคุมในวันใดวันหนึ่ง
เหยากวงค่อยๆ ได้สติ อีกฟากนั้นบุคคลลึกลับและฮาฟั่นก็ฉวยโอกาสขณะเทียนจีจื่อและต้งหมิงสองยอดฝีมือถูกเหยากวงก่อกวน จับตัวตี้หลิงจื่อไว้ ซัดหนึ่งฝ่ามือใส่ร่างตี้หลิงจื่อให้ลอยไปทางหลิ่วสุยเฟิง
ด้วยความจนใจ หลิ่วสุยเฟิงถูกบีบให้หยุดมือ รับตัวตี้หลิงจื่อที่ได้รับบาดเจ็บและกระอักโลหิต เหินลอยถอยกลับมา
ส่วนบุคคลลึกลับและฮาฟั่นเห็นท่าไม่ดี เหลือบมองไปเห็นป้ายทองแดงถูกเผาไปกว่าครึ่ง จึงสบตากัน ฉวยโอกาสทะยานร่างเหาะเหินเร็วรี่หลบหนีไปภายนอก
เมื่อทั้งสองคนหลบหนี ทุกคนต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เทียนจีจื่อและตี้หลิงจื่อนั่งขัดสมาธิบนพื้น เริ่มเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนเหยากวง เปาเจิ่ง และไคหยางเฝ้าอยู่ข้างกายไท่สุ้ย แล้วมองไปทางตำแหน่งของป้ายทองแดง
ต้งหมิงและหลิ่วสุยเฟิงเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว ก่อนหยุดยืนหน้าป้ายทองแดง มองซากเกรียมไหม้จากการเผาทำลายของเพลิงนิลกาฬ ป้ายทองแดงบัดนี้คล้ายแท่งเทียนหลอมละลายไปกว่าครึ่ง น้ำทองแดงไหลนองบนพื้น
เปลวเพลิงนิลกาฬบดบังส่วนที่ยังไม่ถูกหลอมไหม้จนมองตัวอักษรไม่ชัดเจน
หลิ่วสุยเฟิงมองป้ายทองแดงที่กำลังลุกติดไฟ ขมวดคิ้วเอ่ย “คราวนี้แย่แล้ว บนป้ายนั่นเขียนว่าอย่างไร มีเพียงพวกเขาล่วงรู้!”
สีหน้าต้งหมิงแปลกไปจากเดิม ร้องสั่ง “พวกเขายังหนีไปได้ไม่ไกล รีบตาม!” พูดจบเขาก็ชิงทะยานร่างออกไปภายนอก ไล่กวดตามไปก่อน
หลิ่วสุยเฟิงไม่ทันคิดมากก็กระโจนตามไปด้วย
เหยากวงกัดริมฝีปาก มองตามทิศทางที่ทั้งสองจากไป คิดไล่ตามแต่ก็เป็นกังวลไท่สุ้ย ชั่วขณะลังเลไม่อาจตัดสินใจ
ไคหยางเห็นดังนั้น จึงยื่นแขนมากดไหล่เหยากวง
เหยากวงหันมามอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงฝาดเฝื่อน “พี่ไคหยาง”
ไคหยางยิ้มเล็กน้อย “เจ้าไปเถอะ ไท่สุ้ยมอบให้ข้ากับตุลาการเปา”
เหยากวงลังเลครู่หนึ่ง ไคหยางไม่มีทางเลี่ยง ประชิดขึ้นหน้าไปกระซิบข้างหูนาง “เจ้ายังกลัวเขาตายอีกหรือ อย่าลืมสิ เขาคือไท่สุ้ย!”
“อา!” เหยากวงนึกขึ้นได้ถึงความสามารถพิเศษไม่อาสัญของไท่สุ้ย สองตาก็สาดประกายวาบฉับพลัน พยักหน้าหนักแน่นยามกล่าว “ดี ข้าไปแล้ว”
พูดจบก็ไม่รอให้ไคหยางตอบคำ นางกระโดดเหินทะยานไล่กวดไปยังทิศทางที่ทุกคนจากไป
บัดนี้เทียนจีจื่อพลันลืมตาขึ้น กำชับเสวียนเสวียนจื่อที่กำลังคิดไล่ตามออกไป “เสวียนเสวียน เจ้าอย่าไป มอบให้หน่วยดาวพิฆาตเถอะ”
เสวียนเสวียนจื่อลังเลครู่หนึ่ง ชะงักฝีเท้ายืนนิ่ง ก่อนเดินมาช่วยคุ้มกันข้างกายเทียนจีจื่อ
ความคิดเห็น |
---|