7

คำที่ 7


คำที่ 7

“เอางั้นเหรอพี่”

ธันน์พับหน้าจอคอมพิวเตอร์ลงทันทีที่มานเมตต์เอ่ยสิ่งที่ต้องการออกมาจากปาก วันนี้เขามีนัดกับอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อคุยเรื่องโครงร่างโพรเจกต์ที่จะทำหลังเปิดปีใหม่ ได้เรื่องตามที่ต้องการเรียบร้อยก็โหลดไฟล์เลกเชอร์ที่หนุ่มๆ ทั้งหลายหามาให้ไลลาลิณเพื่อหวังสานสัมพันธ์มานั่งอ่านเล่น แล้วเพื่อนรักเอามาแบ่งเขาอ่าน เพราะก่อนที่จะได้หยุดตามเทศกาลนั้น ทั้งเดือนและดาวมหาวิทยาลัยคนนั้น ก็ต้องสอบวิชาสุดท้ายเสียก่อน โดยปกติธันน์ก็มักจะอ่านรวดรอบเดียวก่อนสอบ ซึ่งก็ผ่านมาได้แม้เกรดจะไม่เป็นว่าที่บัณฑิตเหรียญทองแต่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีสมาธิเสียแล้ว

“ต้องแบบนั้นแหละธันน์ ถ้าเป็นไปได้นะ พี่จะอยู่กรุงเทพฯ แค่สองคืน”

“งั้นผมถามมันก่อนละกันนะ ไม่แน่ใจว่าวันนี้มันอยู่บ้านไหน”

จริงๆ ธันน์รู้ตารางชีวิตของเพื่อนคนนั้นเป็นอย่างดีเชียวละ และแน่นอนว่าเคหสถานที่หญิงสาวผู้นั้นจะนอนในคืนนี้ก็คือบ้านของหม่อมราชวงศ์ศศินิภาที่มานเมตต์เตรียมของเยี่ยมมากราบ เมื่อวางสายรุ่นพี่ได้ชายหนุ่มคนที่ได้เป็นเดือนตอนเรียนปีหนึ่งก็รวบของใส่กระเป๋าสะพายแบบผู้ชาย เดินดุ่มๆ ไปยืนรอไลลาลิณหน้าห้องที่หญิงสาวมาฟังเลกเชอร์ กดโทรศัพท์รอไปเรื่อยเปื่อย แม้จะรู้ว่ามีนักศึกษาทยอยเดินออกมาเพราะได้ยินเสียงซุบซิบพูดถึงความหล่อของเขาไม่พอ บางคนยังเอ่ยว่าธันน์มายืนรอแฟน ซึ่งก็ตามสบายเถอะฟังมาสามปีแล้ว ไม่ช้าเสียงหวานคุ้นหูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเลยเงยหน้าขึ้นพร้อมๆ กับเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงยีนสีซีด เห็นไลลาลิณที่วันนี้สวมชุดนักศึกษาถูกระเบียบดูแปลกตากว่าทุกวัน

“มารอหน้าห้องเชียว มีไร”

ด้วยความเคยชิน ชายหนุ่มยื่นมือไปรับถุงผ้าที่มีทั้งคอมพ์ทั้งหนังสือจากไลลาลิณมาถือให้ ไม่ตอบคำถามเพื่อน แต่ถามสิ่งที่อยากรู้

“วันนี้นอนบ้านใครอะ”

ขายาวภายใต้กางเกงยีนขาดๆ เดินนำลงไปจากตึก รู้ดีว่าเพื่อนสนิทไม่ต้องร่ำลาใครทั้งสิ้น เพราะทั้งมหาวิทยาลัย และอาจจะทั้งชีวิตก็มีเขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียว นี่ถ้าวิชานี้ไม่กำหนดว่าต้องเช็กชื่อก็ไม่มีทางที่ไลลาลิณจะโผล่มา และถ้าอาจารย์ประจำวิชาไม่บังคับให้ใส่เครื่องแบบก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เห็นดาวมหา’ลัยปีที่สี่ในชุดแบบนี้

“บ้านคุณย่าไง ธันน์จะทำไม” คนหน้าใสไร้เครื่องสำอางที่วันนี้มัดผมเป็นหางม้าสูง มีลูกผมระใบหน้าแหงนตอบชายหนุ่มรูปงาม

“จะเข้าไปกราบอะสิ รู้สึกผิดนิดนึงว่ะที่ไปเขาใหญ่แล้วไม่ได้ขอก่อน”

เพราะทุกครั้งที่ไลลาลิณไปไหนมาไหนกับเขา ธันน์จะบังคับให้หล่อนส่งข้อความบอกที่บ้านก่อน ต่อให้ไม่มีใครรับทราบตอบกลับ แต่ก็ถือว่าแจ้งให้รับรู้ แต่ในวันนั้นสติเขาก็ไม่ครบร้อยจึงได้พากันไปถึงที่โน่น แอบคิดว่าความน่าเชื่อถือของเขาที่หม่อมราชวงศ์ศศินิภามอบให้จะลดน้อยลงหรือไม่

“ไปสิๆ กินข้าวเย็นบ้านไลลานะ ดีเลย เดี๋ยวไลลาไลน์บอกคุณย่าก่อนว่าธันน์จะเข้าไป วันนี้วันเสาร์ คุณย่าอยู่บ้าน”

ตอนหล่อนเด็กๆ คุณย่าก็ทำงานทุกวันนั่นละ แต่เมื่อไลลาลิณเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย หม่อมราชวงศ์ศศินิภาก็ลดชั่วโมงการทำงานลง หากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย หรืองานสังคมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เสาร์-อาทิตย์ก็มักจะหย่อนใจอยู่ในอาณาเขตของนภดลนภาลัย ซึ่งไลลาลิณก็มักจะวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แต่ในปีสุดท้ายดันมีวิชาที่อาจารย์กำหนดตารางสอนในวันเสาร์บ่าย ทำให้ต้องออกจากบ้านมาเรียนหนังสือแบบนี้

“งั้นแวะซื้อของที่ดิเออเบิร์นก่อน” ชายหนุ่มบอก จะให้เข้าไปมือเปล่าก็ไม่ใช่ในสถานการณ์ปกติ ควรหาของติดไม้ติดมือไปกราบผู้ใหญ่บ้าง ทั้งที่ปกติเขาก็เดินเข้าบ้านไลลาลิณตัวเปล่า

“ไม่เป็นไรหรอกธันน์”

“ไม่ได้ๆ วันนี้ต้องซื้อ” ธันน์ยังยืนกราน แม้จะไม่มีใครอบรมใกล้ชิด แต่สิ่งที่มารดาผู้ล่วงลับบ่มเพาะไว้ก็ยังติดตัวมา “อ่อ พี่หมากเขามากรุงเทพฯ พอดี เห็นว่าเอาของมากราบคุณย่า ให้เขาไปด้วยเลยได้ไหม” ชายหนุ่มพูดเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ในใจก็ลุ้นเหมือนกันว่าไลลาลิณจะตอบกลับมาเช่นไร

“แล้วจะบอกคุณย่าว่ายังไง คุณย่าไม่ได้ไปรู้จักกับเขาสักหน่อย อยู่ดีๆ ก็จะมาขอไปหาเนี่ย”

หญิงสาวพูดเรื่อยๆ แต่ใจเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าไม่นับเวลาที่โดนคุณครูพละที่โรงเรียนบังคับออกกำลังกาย ก้อนเนื้อที่อยู่ในอกซ้ายก็เหมือนจะไม่เคยออกแรงมากขนาดนี้มาก่อน หลายวันแล้วที่ไม่ได้ยินชื่อ ไม่ได้เห็นหน้าผู้ชายคนนั้น แต่แปลกที่หลายๆ นาทีในแต่ละวันไลลาลิณนึกถึงเขาขึ้นมาอยู่บ่อยๆ อย่างไม่มีสาเหตุ

“ก็คุณย่าบอกเองนิว่าให้พามารู้จัก อย่าลืมนะ พวกเราเผ่นแน่บจากเขามาเพราะอ้างว่าคุณย่าป่วย”

“ไม่รู้ อยากไปก็ไป” ไลลาลิณยักไหล่ ความโกรธความเสียใจที่เขาพูดจาไม่ดีด้วยคราวนั้นยังไม่จางหายไป จนตั้งใจว่าจะโทร. หาพี่สาวคนโตซึ่งอยู่ในรั้วของนภดลนภาลัยเช่นกันให้มาร่วมวงสนทนา ผู้ชายปากหมาแบบนั้นคงจะมีแต่เพียงรุ้งคนเดียวที่เอาอยู่ “เดี๋ยวไลลาถามพี่รุ้งดีกว่าว่าวันนี้มีนัดไรไหม”

ธันน์ได้ยินแบบนั้น ความกังวลกับการที่มานเมตต์มาขอเข้าพบหม่อมราชวงศ์ศศินิภาก็ทุเลาไป ไพล่ไปนึกถึงเพียงรุ้ง ผู้หญิงสวยจัดบุคลิกโดดเด่นที่กระแทกตาอย่างจังตั้งแต่ได้เห็นหน้าครั้งแรก เขาชอบ แต่ไม่ได้คิดจะจีบ ไม่ใช่เพราะว่าหญิงสาวแก่กว่า แต่น่าจะเป็นการชื่นชมเหมือนนิยมดารามากกว่า

“ดีๆ คิดถึงพี่รุ้งคนสวย เห็นหน้าแต่ในไอจี วันนี้น้องธันน์ขอนั่งข้างพี่รุ้งเลยนะ”

“ธันน์! นั่นพี่สาวไลลานะ”

ไลลาลิณได้ยินแบบนั้นก็หันไปตวาดแว้ดใส่เพื่อน แม้จะได้ยินมาจนชินว่าธันน์ชอบพี่สาวคนโตในแบบไหน แต่ก็อดหวงเพียงรุ้งไม่ได้ เพราะธันน์เข้าข่ายเจ้าชู้เต็มขั้น นี่ขนาดเป็นเพื่อนรักกันยังอดเป็นห่วงผู้หญิงที่หลงคารมเขาไม่ได้

“ก็รู้ไง แล้วเนี่ยก็ธันน์เพื่อนรักไลลาที่รักไลลาเหมือนน้องสาว เราจะได้เป็นพี่น้องกันจริงๆ ไงจ๊ะ น้องรัก”

“อี๋ ไม่รู้จะสงสารพี่รุ้งหรือสงสารธันน์เลย ไปๆ” มือบางดันไหล่เขาเพื่อให้รีบเดินไปข้างหน้า หลังจากที่คุณหญิงศศินิภาตอบไลน์หล่อนกลับมาว่ายินดีอย่างยิ่งที่จะมีแขกมาร่วมมื้อเย็นที่บ้านวันนี้ “คุณย่าบอกว่าไม่ได้ไปไหน ให้รีบเข้าไป ขับตามกันไปไหม เอารถมาเปล่า”

“เปล่า เดี๋ยวค่อยให้ลุงขับไปรับก็ได้ ไปรถไลลาเลยละกัน ยังไม่มีบุญได้นั่งรถใหม่คุณหนูไลลาสักที”

“ไม่ให้นั่ง”

คราวนี้ธันน์ขมวดคิ้ว ทีรถเขาคันละเป็นสิบล้านยังไม่หวง ให้อีกคนขับได้เหมือนเป็นทรัพย์สินของตนเอง ทว่าไลลาลิณจะไม่ให้เขาแตะต้องพาหนะคันใหม่ แต่แล้วก็ต้องยิ้มแบบที่สาวๆ คนไหนเห็นก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ เมื่อเพื่อนรักอธิบายความเพิ่มเติมให้เข้าใจ

“ไอ้ตูด ทำไมใจร้าย”

“เพราะไลลาจะให้ธันน์ขับให้ ไป รีบไปเหอะ ไลลาเบื่อรถติด”


หม่อมราชวงศ์ศศินิภาพยกมือรับไหว้เพื่อนสนิทของหลานสาว รวมทั้งเป็นหลานชายของเพื่อนสามี พร้อมเอ่ยทักด้วยความเอ็นดู ก่อนจะอ้าแขนออกเพื่อรับชายหนุ่มเข้ามาในอ้อมกอด กับธันน์ท่านก็รักเหมือนเป็นหลานอีกคนหนึ่ง ออกจะซาบซึ้งด้วยซ้ำที่ชายหนุ่มคนนี้คอยช่วยดูแลหลานรักให้

“มาๆ ธันน์ วันก่อนก็หนีไปก่อน ย่ายังคุยด้วยไม่หนำใจเลย”

นอกจากอัธยาศัยของธันน์ที่หม่อมราชวงศ์ศศินิภาถูกใจ การพูดคุยกับชายหนุ่มคนนี้ก็ทำให้ท่านได้รับรู้เรื่องราวของไลลาลิณมากขึ้น

“ฮะ คุณย่า วันนั้นไม่ไหวจริงๆ ฮะ อิจฉานีโม ทำตาวาว วิ่งเข้าไปกอดซะผมหมดความหมายเลย นี่ขนมเปียกปูนสดร้านหวานละมุนที่คุณย่าชอบครับ”

ธันน์บอกแล้วก็มอบของโปรดของคุณหญิงศศิ ซึ่งเป็นขนมไทยร้านขึ้นชื่อที่มีสาขาอยู่ในห้างหรูหรากลางกรุง

“หืม อะไรอะนีโม” คนแก่ทำหน้างงกับสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ย

จนธันน์ต้องขำน้อยๆ ไขข้อข้องใจให้คุณย่าของเพื่อนที่ดูท่าจะไม่เข้าใจชื่อเล่นที่ไลลาลิณใช้เรียกสมบัติมีราคาชิ้นล่าสุด

“รถใหม่ไลลาไงครับ เขาตั้งชื่อว่านีโมครับ”

นี่ไง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไม่มีทางที่ท่านจะทราบจากการบอกเล่าของไลลาลิณ แม้จะอยู่ใกล้ แต่เอาเข้าจริงแล้วเหมือนไกลกันเหลือเกิน

“อ่า ยังงี้นี่เอง มาๆ มานั่งนี่มา ย่าให้ในครัวทำของชอบเราไว้เต็มเลยนะ มีของโปรดไลลาด้วยนะลูก”

“โห ธันน์ขอกลับคอนโดด้วยได้ไหมฮะ” พูดทั้งๆ ที่รู้ว่าอย่างไรก็จะได้ห่อกลับบ้านอยู่แล้ว ก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผู้สูงวัย ในขณะที่ไลลาลิณหย่อนก้นลงถัดจากเพื่อน ฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่แบบผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะกำลังไลน์บอกพี่สาวคนสวยว่าให้รีบกลับมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นที่ตึกของคุณย่า ซึ่งอีกคนก็ยังไม่ตกปากรับคำ บอกแต่ว่าจะพยายามมาให้ได้

“ได้สิ ย่าให้เขาเตรียมไว้ให้เราแล้วแหละ” หม่อมราชวงศ์ผู้กุมอำนาจในการบริหารสกายเน็ตเวิร์คไว้พูดพลางหันหาหลานสาวที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา ทอดเสียงลงให้อ่อนโยนยิ่งขึ้น “ไลลาจะไปอาบน้ำไรก่อนไหม ยังพอมีเวลา”

“ไม่อะค่ะ หนูโอเค คุณย่า พี่รุ้งบอกว่าถ้าทันจะแวะมาคุยด้วย แต่นางไม่กินนะคะ ไม่ต้องตั้งโต๊ะเผื่อ”

ได้ยินแบบนั้นท่านก็พยักหน้ารับ กับเพียงรุ้งยังพบเจอกันบ่อยครั้ง ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร พบเจอกันบ่อยๆ บางทีก็ในบริเวณบ้าน บางทีหลานสาวก็เดินมาหา มากินข้าวด้วย พลางนึกได้ว่าไลลาลิณไลน์บอกไว้ว่านอกจากธันน์จะมีอีกคนที่มาร่วมรับประทานอาหาร คนเป็นใหญ่ในนภดลนภาลัยจึงตื่นเต้น รีบสั่งในครัวให้เตรียมอาหาร น้อยมากที่หลานสาวคนเล็กจะพาใครมาพบมาเจอ ถ้ามีแสดงว่าต้องเป็นคนที่สำคัญมาก พานให้ผู้เป็นย่าอย่างท่านพลอยอยากทราบไปด้วยว่าแขกอีกคนคือใคร

“แล้วแขกอีกคนที่ไลลาบอกย่าคือใครเหรอลูก” คนมากประสบการณ์ทอดสายตามองหลานสาว ถ้าตาไม่ฝ้าฟางจนเกินไปก็คงมองไม่ผิดว่าเมื่อครู่หน้าของไลลาลิณเรื่อไปด้วยสีแดง

“รุ่นพี่ธันน์น่ะค่ะ ที่หนูไปพักโรงแรมเขามา เขานึกว่าคุณย่าไม่สบาย เลยจะมาเยี่ยม”

คุณหญิงศศินิภาพยักหน้ารับ แล้วหันไปถามธันน์ แม้จะเลี้ยงดูปู่เสื่อชายหนุ่มวัยยี่สิบหกเป็นอย่างดี แต่ก็ถือว่าเป็นไปด้วยความกันเอง แต่นี่จะมีคนนอกมา ถ้าเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่างมากพิธี ท่านก็ต้องต้อนรับให้ดี

“อ๋อ ดีๆ ย่าจะได้เลี้ยงขอบคุณที่ดูแลเราสองคน อยู่ไหนแล้วล่ะ”

“จะถึงแล้วละฮะ ไล่ๆ กันมา อ้าวนั่นไง พี่หมากทางนี้”

ธันน์โบกมือให้มานเมตต์ที่กำลังเดินตามหลังแม่บ้านเลี้ยวเข้ามาในห้องรับแขก สองมือมีสัมภาระมากมาย เดาได้ง่ายๆ ว่าคงเป็นของที่นำมามอบให้ผู้ใหญ่ โดยที่สายตาของหม่อมราชวงศ์ศศินิภาจับจ้องอยู่ที่บุรุษหน้าตาดี บุคลิกดี ลักษณะดี มารยาทดี ยกมือรับไหว้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนโดยที่ธันน์บรรยายประกอบฉากเบาๆ เล่าถึงที่มาที่ไป ในขณะที่ท่านก็เชื้อเชิญให้มานเมตต์นั่งลง

“สวัสดีครับคุณหญิง”

“ตามสบายๆ นั่งสิ”

“ครับ ผมขออนุญาตเอาของมาเยี่ยมครับ ทราบจากธันน์ตอนจะกลับจากวิมานว่าคุณหญิงไม่สบาย”

หนุ่มหล่อเลื่อนกระเช้าผลไม้ที่ไม่ได้สั่งให้เลขาฯ ทางกรุงเทพฯ เตรียม แต่ไปเลือกซื้อด้วยตัวเองตั้งแต่เสร็จประชุมที่แฮปปี้ ฮาวเวอร์

ผู้ใหญ่ของบ้านรับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ปากยังออกตัวอย่างมีมารยาท “มามือเปล่าก็ได้คุณ ไม่ค่อยมีใครอยู่บ้านกินอะไรกันหรอก”

ในประโยคเป็นกันเองนั้นมานเมตต์สัมผัสได้ว่าคุณหญิงแห่งราชสกุลนภดลเหงาไม่น้อย ก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะหายไป เพราะเมื่อท่านหันมาสนทนากับเขา สีหน้าและแววตาก็เป็นปกติเช่นเคย

“แล้วนั่นล่ะของย่าหรือเปล่า ย่าไม่ใช่สาวๆ แล้วนะ เอาไวน์มาให้ทีสามสี่ขวดไม่ไหว กินได้ไม่เกินแก้วสองแก้วเท่านั้นแหละ”

เพราะเห็นว่าชายหนุ่มมีไวน์ติดมือมาด้วยในถุงใสอีกสองถุง บรรจุถุงละสองขวด แต่ดวงตาคนแก่ยังเห็นไม่ชัดว่ามียี่ห้ออะไรบ้าง

“ครับ ทั้งของคุณหญิง แล้วก็เอามาฝากไลลา ขวดนึงเป็นไวน์ที่ไร่ผมผลิตเองครับ ส่วนอีกขวด ยี่ห้อนี้คุณหญิงคงดื่มบ่อยๆ แล้ว”

ตอนพูดท้ายประโยคมานเมตต์หันไปมองคนที่ไม่เงยหน้าจากมือถือขึ้นมามองกันแม้แต่น้อย วูบโหวงในใจนิดๆ ว่าไม่อยากเห็นหน้ากันเหมือนที่เขานึกถึงเลยหรือไง ในขณะที่คุณหญิงศศินิภาก็เอื้อมมือไปรับหนึ่งในสองถุงมา ก่อนจะหันไปพูดกับหลานสาวที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ สังหรณ์แปลกๆ เพราะถึงแม้ว่าจะทราบดีว่าไลลาลิณไม่เป็นกันเองกับใคร แต่ก็มีมารยาทพอที่จะยกมือไหว้คนแปลกหน้า ยิ้มและพูดคุยด้วยตามสมควร ไม่ใช่ทำท่าแบบนี้ นายหญิงแห่งสกายเน็ตเวิร์คจึงต้องเรียกอีกคนให้ให้ความสนใจแก่แขก

“ไลลา คุณมานเมตต์เขาเอาของมาฝากเราน่ะ ขอบคุณพี่เขาสิ”

เมื่อโดนคุณย่าเรียกแบบนั้น ไลลาลิณเลยจำต้องเงยหน้าจากมือถือ ที่ไม่เงยหน้าขึ้นมองเพราะไม่รู้ว่าต้องตีบทโกรธหรือไม่ ทั้งยังกลัวว่าจะเผลอแสดงออกว่าตื่นเต้นที่ได้พบหน้าเขา ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นไปทำไม ไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกันเสียหน่อย เลยต้องเงย

หน้ายกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะรับถุงของฝากมาจากมานเมตต์ แล้วหันไปตอบคุณย่าเสียงแจ๋วๆ เนื้อความที่พูดควรจะทำให้หนุ่มหล่อผู้เป็นแขกโมโห แต่เขากลับยิ้มบางๆ เพราะท่าทางแก่นเซี้ยวน่าเอ็นดูจนน่าหยิกแก้มเป็นการลงโทษ

“พี่อะไรล่ะคะ เขาเด็กกว่าคุณพ่อไม่กี่ปีเองมั้งคุณย่า”

ไลลาลิณบุ้ยใบ้ให้หม่อมราชวงศ์ศศินิภามองคนที่นั่งใกล้ท่าน ซึ่งคุณย่าก็ทำตาม แม้จะเห็นละว่าน่าจะมีวัยต่างกับธันน์และหลานสาวไม่น้อย แต่ก็คงไม่ได้ถึงขั้นเป็นรุ่นน้องของสุริยันที่มีเลขหกนำหน้า

“เกินไปไลลานิ เท่าไหร่ละคุณมานเมตต์”

“เรียกผมหมากเถอะครับ ผมสามสิบแปดเต็ม ย่างสามสิบเก้าแล้วครับ”

ได้ยินแบบนั้นหม่อมราชวงศ์ศศินิภาก็ทำสีหน้าประหลาดใจ จะว่าดูสมวัยไหม รังสีบางอย่างที่มานเมตต์ฉายออกมาจากตัวก็ดูไม่ธรรมดา แต่หน้าหล่อๆ นั้นก็ทำให้เชื่อได้ยากว่าจะสี่สิบเข้าไปแล้ว และนี่ถ้ามองไม่ผิด แววตาที่มานเมตต์มีต่อหลานสาวก็ไม่ใช่ฉันมิตร คุณหญิงศศินิภาปรายตามองไปที่ไลลาลิณอีกที รายนี้ก็เพิ่งพ้นยี่สิบมาได้แค่เกือบปีเอง

“ก็ไม่น้อยนะ ไปเป็นเพื่อนกับเจ้าธันน์ได้ยังไงล่ะ”

จำได้ว่าตอนที่ไลลาลิณสนิทกับคนแก่กว่าหกปี หล่อนก็แปลกใจแล้ว ซึ่งคำถามครั้งนี้ธันน์เป็นคนตอบให้เอง

“ธันน์ใช้บริษัทพี่หมากเป็นซัปพลายเออร์ฮะคุณย่า เลยได้รู้จักกัน แล้วก็ถูกคอกันดี”

เมื่อได้รับคำตอบ แม้จะไม่มีข้อมูลมากแบบที่ต้องการ แต่คนที่อยู่ในเกมธุรกิจมาทั้งชีวิตก็ยอมผ่อนเบา เพราะมั่นใจว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวที่ได้พบได้สนทนากับมานเมตต์ อีกอย่างสายป่านที่ท่านมีก็ยาวไกล แค่เอ่ยชื่อชายหนุ่มก็น่าจะได้ข้อมูลตั้งแต่วินาทีตกฟากมาแล้ว

“ยังไงก็ขอบคุณนะที่ดูแลไลลาตอนไปพัก ไม่ได้สร้างเรื่องอะไรใช่ไหม”

ธันน์น่ะคงไม่ แต่ไลลาลิณเนี่ยไม่แน่เลยว่าจะไปป่วนคนอื่นให้เขาปวดหัวหรือเปล่า

“คุณย่า หนูจะไปทำอะไรเขาได้คะ”

ด้านไลลาลิณตอบผู้เป็นย่า แต่ตาตวัดค้อนมานเมตต์ หล่อนอาจจะทำให้ปวดหัว แต่เขานั่นละที่ทำให้คนอื่นปวดใจ

ในขณะที่คนโตกว่าก็จ้องตากลับมาแบบไม่เกรงกลัวอะไร จนไลลาลิณเริ่มหวั่นใจว่าเขาจะฟ้องหรือไม่ว่าหล่อนพูดจาไม่ดี แต่ก็เอาสิ กล้าพูด หล่อนก็จะบอกเหมือนกันว่าเขาตอกกลับมาว่าอะไร สันหลังเริ่มเสียววาบตอนเห็นชายหนุ่มอ้าปาก แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาเป็นอีกเรื่อง

“ไม่เลยครับ เรียบร้อย”

ไลลาลิณมองธันน์ตอนที่มานเมตต์พูดประโยคแรก จนเกือบจะผ่อนลมหายใจออกมาจากปอดด้วยความโล่งอกแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำก็กลับตัวแข็งทื่อขึ้นไปอีก เพราะตอนพูดท้ายประโยคคนแก่อายุเกือบสี่สิบหันมองหน้าหล่อนแบบเต็มๆตา

“ไลลาทำตัวน่ารักมาก”

กิริยาของทั้งคู่อยู่ภายใต้สายตาของคุณย่าด้วยกัน จนธันน์ต้องขยับตัวด้วยความไม่สบายใจ เนื่องจากตอนท้ายหม่อมราชวงศ์ศศินิภาหันมาสบตาเขา สื่อความหมายว่าเดี๋ยวต้องมีเรื่องพูดกันอีกยาว

“ฝากดูเจ้าสองคนนี่ด้วย ธันนี่ก็มั่นใจในตัวเอง ส่วนนั่นน่ะก็เอาแต่ใจ ย่าเลยได้แต่ตามใจ ถ้าทำอะไรไม่ดีไม่ถูกใจ...” มาถึงคำนี้คุณย่าก็เห็นว่ามุมปากของมานเมตต์ยกขึ้นอีกที แม้ว่าแววตาจะไม่ได้เปล่งประกายเจ้าชู้ แต่คนแก่ที่ผ่านประสบการณ์ทุกอย่างบนโลกมาเกือบหมดมั่นใจว่าท่านมองไม่พลาด อาการแบบนี้คงถูกใจหลานสาวท่านไปในระดับหนึ่ง “...คุณหมากก็เตือนๆ หน่อย”

“ครับ ผมจะดูแลให้”

“เดี๋ยวอยู่กินข้าวกับย่านะ อีกสักครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาตั้งโต๊ะแล้ว” คนสูงวัยบอกกับแขกในวันนี้ ก่อนจะปรายตาไปบอกหลานสาวที่ท่านกำลังจะมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลแขกแทน “ไลลาพาพี่เขาไปนั่งเล่นที่บาร์สิ หนุ่มๆ ดื่มอะไรกันตามสบายนะ ย่ามีประชุมงานประมาณสิบห้านาที เดี๋ยวออกมาคุยด้วยต่อ”

ร่างอวบตามวัยยืนขึ้นโดยมีพยาบาลที่ดูแลใกล้ชิดพยุง แม้ไม่ได้ป่วย ไร้โรคประจำตัวใดๆ แต่ก็ไม่ใช่สาวๆ ดังนั้นทุกคนในครอบครัวจึงเห็นควรว่าต้องมีคนที่มีวิชาชีพเฉพาะมาดูแลเรื่องกินเรื่องอยู่ แล้วยื่นถุงไวน์ที่ท่านได้รับเป็นของฝากให้แม่บ้านพลางบอกให้เปิดไวน์ขวดที่มานเมตต์ผลิตเองขึ้นโต๊ะมื้อเย็น จากนั้นก็เข้าห้องทำงานไปหาข้อมูลในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับงาน ไม่ต้องเดาเลยว่าเรื่องที่หม่อมราชวงศ์ศศินิภาต้องการรู้คือเรื่องอะไร


ด้านไลลาที่พาสองบุรุษย้ายมาอยู่ที่บาร์ตามคำสั่งของคุณย่าก็ไม่ได้จะมีทีท่าว่าอยากต้อนรับแขกแต่อย่างใด บอกปัดให้เพื่อนรักหาอะไรดื่มด้วยตัวเอง ส่วนตัวหล่อนเดินไปกดเปิดทีวีดู ไม่สนใจว่ามานเมตต์จะเป็นอย่างไร เพราะมั่นใจอยู่แล้วว่าเพื่อนรักต้องดูแลอีกคนเป็นอย่างดี

“ธันน์ดูแลตัวเองนะ” แม้จะเดินหนีไปนั่งคนเดียว แต่หล่อนยังแอบเหล่ไปทางคนคนนั้น ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีท่าทางผิดปกติ หรือหันมามองหล่อนแต่อย่างใด ก็ยิ่งหงุดหงิด โดยไม่รู้เลยว่าที่มานเมตต์ยังทำเฉยเพราะกำลังพูดกับธันน์อยู่

“ครับคุณหนู พี่หมากเอาไร ไวน์ขาวมะ”

คนที่มาบ้านคนอื่นเหมือนเป็นบ้านตัวเองถามมานเมตต์ระหว่างเปิดตู้เก็บไวน์ดู และพบว่ามีไวน์ขาวที่เปิดรับแขกไปแล้วเหลืออยู่ น่าจะพอเสิร์ฟได้สักคนละดื่ม

“อะไรก็ได้ รบกวนด้วย”

คนแก่สุดพูดกับรุ่นน้อง ก่อนจะเดินก้าวเร็วๆ แต่มั่นคงไปหาไลลาลิณ ทิ้งตัวลงนั่งจนคนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก หันมาจ้องหน้าเขาด้วยท่าทางตื่นตระหนกทันที ชายหนุ่มยิ้มเพราะท่าทางน่ารักนั่น เสียงที่ติดจะดุกับคนอื่นตลอดเวลาก็ทอดอ่อนลงแบบที่มานเมตต์ก็ยังไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำเสียงแบบนั้นได้

“ไลลา”

ตาหวานจ้องเขาด้วยท่าทีหวาดระแวง ก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามานเมตต์ต้องการอะไร ก่อนจะตกใจเพราะถุงไวน์ที่หล่อนรับจากเขาแล้วก็พานทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่นถูกนำมาวางตรงหน้าอีกครั้ง

“ผมเอามาให้ ไม่อยากได้เหรอ”

“เนื่องในโอกาสอะไรคะ”

“ก็...” คราวนี้บุรุษหน้าหล่อรูปร่างสูงใหญ่กลืนน้ำลาย เรียบเรียงเรื่องในหัวมาตั้งหลายรอบ คำนวณมาว่าน่าจะใช้เวลาเอ่ยตั้งแต่ต้นจนจบไม่ถึงนาที แต่พอถึงเวลาแสดงจริงกลับพูดไม่ออก แต่จะด้วยทั้งความเป็นสุภาพบุรุษหรือเพราะความรู้สึกผิด มานเมตต์ก็ไม่รอช้า “ตั้งใจจะให้แหละ แต่ไม่ทันได้ลากัน แล้วก็อยากจะขอโทษ”

แม้จะรู้ดีว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร แต่ไลลาลิณก็ทำเป็นเย็นชาไม่ใส่ใจ

“เรื่อง?”

“ก็ที่ผมพูดวันนั้น เรื่องที่บ้านคุณน่ะ”

“อ๋อ อือ”

คนได้รับคำขอโทษสมใจก็พยักพเยิดแบบขอไปที ทว่าใจนั้นพองโตไปหมด เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ที่มีคนเอ่ยคำนี้กับไลลาลิณแล้วหล่อนรู้สึกว่ามันออกมาจากหัวใจ

ในขณะที่มานเมตต์กลับรู้สึกว่าหล่อนพูดไม่เข้าหู มีอย่างที่ไหน เขายอมลงให้แล้ว ทั้งลงมาหาจากสระบุรี ทั้งยอมมาหาถึงบ้าน มาขอโทษก่อนแบบนี้ จะพูดจาดีๆ หน่อยก็ไม่ได้ วิญญาณ ‘นาย’ ผู้เอาจริงเอาจังเลยเข้าสิง

“อือคืออะไร”

คนหล่อขมวดคิ้วมุ่น กอดอกมองคนที่ทำเป็นสนใจภาพความเคลื่อนไหวในทีวี ขณะที่เสียงหวานดังขึ้นตอบ ปกติหล่อนก็ไม่เสียมารยาทกับใครเวลาพูดแล้วไม่มองตา แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าต้องทำหน้าอย่างไร ไม่เคยได้สนทนากับคนอายุใกล้สี่สิบแบบเป็นจริงเป็นจังเสียที

“อือว่ารับทราบไง”

แม้จะโมโหท่าทีไม่อ่อนหวานของไลลา แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าอีกคนจะให้อภัยกันหรือเปล่า “แล้วยกโทษให้ไหม”

“ไม่รู้ ไลลาไม่ได้คิด”

“แล้วคิดจะขอโทษผมบ้างไหมที่ตัวเองก็พูดจาไม่น่ารัก”

คราวนี้ไลลาลิณมองหน้ามานเมตต์ทันที เกือบจะอ้าปากเถียงอีกครั้งแล้ว ทว่ากระแสบางอย่างที่ส่งมาจากสายตาเขาทำให้หล่อนได้แต่อ้าปากค้าง พูดเอาแต่ใจไม่ออกขึ้นมา ยิ่งเขาจ้องยิ่งรู้สึกกดดันจนเหมือนจะหายใจไม่ออก ยอมพูดอ้อมแอ้มเสียงเบาผิดกับตอนที่แหวเขาหน้าวิลลาเมื่อหลายวันก่อน

“ขอโทษก็ได้”

“ว่าไงนะ พูดให้มันดังๆ ผมไม่ได้ยิน”

“หึ เห็นแก่ที่ว่าแก่” ไลลาลิณพูดเสียงไม่เบาคราวนี้ เพราะรู้ว่ามานเมตต์เล่นแง่เอาเข้าให้ “ไลลาขอโทษอีกทีก็ได้”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น