3

3

แรงดึงดูดที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่

               บางครั้งกุลกัลยาก็อยากจะรู้ ว่าภาพจำของเธอในวัยเด็กในสายตาของฐากรเป็นคนเช่นไรกันแน่

               ภาพของฐากรในวัยเรียนที่เธอจำได้คือเป็นเด็กเรียนดี กีฬาเด่น กิจกรรมไม่เคยขาด ตอนมัธยมศึกษาปีที่ห้าถึงขนาดเป็นประธานนักเรียน เป็นเด็กหนุ่มในฝันที่น่าคบหา และเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่พ่อแม่จะชี้ให้ดูเพื่อเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

               นอกจากเรื่องเรียนแล้ว กุลกัลยาเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับเขา 

               เธอไม่ชอบเล่นกีฬา แค่ที่ต้องฝืนทนในคาบพละก็แย่แล้ว ระหว่างพักเลยเลือกที่จะอ่านหนังสือ ไม่ก็หาที่แอบงีบ

               เธอไม่ชอบทำกิจกรรม เวลามีกิจกรรมที่โรงเรียนทีไร ถ้าไม่แกล้งป่วยนอนอยู่บ้านก็หลบอยู่ในห้องเรียนบ้าง หลังโรงเรียนบ้าง

               มีอยู่ครั้งหนึ่งในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่เด็กๆ ต้องขึ้นไปทำการแสดงบนเวทีให้เพื่อนๆ และครูอาจารย์ทั้งโรงเรียนดู ซึ่งแน่นอนว่ากุลกัลยาไม่พลาดที่จะโดดกิจกรรม เธอกับรุจิราซึ่งเป็นเพื่อนสนิทหนีไปนั่งเล่นอยู่หลังโรงเรียน อากาศในช่วงฤดูหนาวเย็นสบายน่านอน กุลกัลยาเกือบโงกหลับคาไอพอดถ้าเพื่อนไม่ได้เรียกไว้ 

               “หยาๆ ฉันปวดขี้อะ”

               “แล้วบอกฉันทำไม” เธอดึงหูฟังออก เงยหน้าขึ้นมองหน้าคนที่นั่งข้างๆ ด้วยสายตางุนงงแกมขบขัน “แกจะให้ไปเป็นเพื่อนเหรอ”

               “ใครจะให้แกไปเฝ้าฉันตอนขี้กัน ฝากถือบุหรี่หน่อย” รุจิรายัดบุหรี่ที่เพิ่งจุดใส่นิ้วอีกฝ่าย

               “ดับซะสิ จะให้ฉันถือเพื่อ?” กุลกัลยาขมวดคิ้วมองบุหรี่ในมือแล้วเหลือบมองเพื่อนด้วยแววตานิ่งสนิท

               “มันเหลือมวนสุดท้ายอะ แกถือไว้ให้หน่อย” เพื่อนสนิททำท่าลนลาน

               กุลกัลยายังไม่มีโอกาสได้พูดว่ากว่าอีกฝ่ายจะกลับมาบุหรี่ก็น่าจะหมดมวนเหมือนกัน ร่างเพรียวของเพื่อนก็เผ่นแน่บหายไปก่อน จึงได้แต่ถอนหายใจใส่มวนบุหรี่ที่ยังปล่อยควันอ้อยอิ่งในสายลมหนาว 

               สายตาเหลือบเห็นกระรอกสองตัวอยู่บนต้นไม้ เลยนั่งชันเข่าเหม่อมองเจ้าตัวขนฟูด้วยท่าทางใจลอยนิดๆ

               เสียงเหยียบใบไม้แห้งดังแกรกทำให้กุลกัลยาตื่นจากภวังค์หันไปมอง ลมหายใจขาดห้วงเมื่อสบตากับร่างสูงเพรียวติดจะผอมที่มองมานิ่งๆ ก่อนเด็กหนุ่มจะเลื่อนสายตาไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของคนที่นั่งอยู่บนพื้น

               กุลกัลยามองตามสายตาของอีกฝ่ายแล้วก็สะดุ้งนิดๆ รีบปฏิเสธทั้งๆ ที่อีกคนยังไม่ได้เอ่ยวาจา

               “อ่า อันนี้ไม่ใช่ของฉันนะ มีคนฝากไว้” รูปการณ์แบบนี้เชื่อก็แปลกละ

               คิ้วเรียวของฐากรขมวดเข้าหากัน แววตาบ่งบอกว่าไม่เชื่อถือเลยสักนิด

               “ฉันไม่สูบบุหรี่ อันนี้ไม่ใช่ของฉันจริงๆ” 

               ฐากรมองเด็กสาวผมสั้นแค่ปลายคางในชุดนักเรียน เจ้าของดวงตากลมโตโดดเด่นบนใบหน้าขาวจัดครู่หนึ่งก่อนจะละสายตา

               “ไม่เอาไปฟ้องครูหรอก แต่เดี๋ยวจะมีคนมาเอาป้ายไปทำงานกีฬาสี หลบไปทางอื่นน่าจะดีกว่า”

               กุลกัลยาขบฟันดังกึกเมื่ออีกฝ่ายบอกปัดเป็นเชิงว่าไม่เชื่อจริงๆ จึงได้แต่ส่งยิ้มแข็งๆ ให้แล้วปล่อยให้เข้าใจผิดๆ แบบนั้นต่อไป

“อ้อ ขอบใจนะ”

ผ่านมาสิบเอ็ดปี ไม่คิดว่าเขาจะยังจำได้ แถมยังเข้าใจผิดๆ ว่าบุหรี่มวนนั้นเป็นของเธอเข้าจริงๆ

“แต่ตอนมัธยมเธอสูบไม่ใช่เหรอ” สีหน้าคนถามสับสนสุดๆ 

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ของฉัน” กุลกัลยากลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่

“แล้วของใคร...” ฐากรถามเหมือนละเมอ

“ของจี”

“จีไหน?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแล้วคลายออก “อ๋อ รุจิรา เพื่อนเธออะนะ แล้วทำไมบุหรี่ไปอยู่กับเธอได้” 

“แอกซิเดนต์น่ะ” หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากเมื่อกลั้นรอยยิ้มไม่อยู่ “บอกแล้วก็ไม่เชื่อนี่นา”

“นั่นสิ แย่จริง...” ดวงตาคมหลุบมองบุหรี่ในมือ

กุลกัลยาเผลอหลุดเสียงหัวเราะเมื่อมือที่ถือซองบุหรี่กับไฟแช็กข้างนั้นร่วงผล็อยลงข้างตัว เธอเอื้อมมือไปตบไหล่คนที่ยืนพิงเสาอยู่ท้ายเรืออย่างอารมณ์ดี แล้วคว้าไฟฉายจากถังน้ำเดินจากไป

“ตามสบายเถอะ ไปนะ” 

สิ่งหนึ่งที่ฐากรรู้สึกเสียดายมาโดยตลอดระหว่างสิบเอ็ดปีที่ผ่านมา คือช่วงเวลาหลายปีที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน หรือแม้แต่ระยะเวลาสองปีที่อยู่ห้องเดียวกัน กลับมีความทรงจำที่มีภาพของเธออยู่เพียงน้อยนิด บางเรื่องราวก็คล้ายจะถูกลืมเลือนไปแล้ว มีเพียงภาพจำบางอย่างที่ยังฝังจำอยู่ในใจ 

หลายๆ ครั้งที่ช่วงเวลานั้นตามหลอกหลอน ฐากรได้แต่ดึงภาพของเธอออกมาเพื่อใช้ปลอบประโลมจิตใจ ความสดใสเพียงหนึ่งเดียวของช่วงชีวิตในตอนนั้นทำให้เขากระหายความรู้สึกที่ได้สัมผัสความทรงจำที่มีเธออยู่

ครั้งแรกที่สูบบุหรี่ก็เป็นเพราะนึกถึงบ่ายวันนั้นที่เจอร่างเล็กกับบุหรี่ที่คีบไว้บนปลายนิ้วบอบบาง 

อยากจะรู้ว่าตอนนั้นเธอคิดอะไร รู้สึกอย่างไร และก็แค่อยากจะสัมผัสบรรยากาศที่เหมือนว่ามีเธออยู่

แต่มาวันนี้กลับกลายเป็นว่าความทรงจำในวันนั้นไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เสียอย่างนั้น

ฐากรหัวเราะให้กับความโง่งมของตัวเอง

“เฮ้ยแท็บ ขอมวนดิ” ใครบางคนเดินเข้ามาบริเวณท้ายเรือที่เขายืนอยู่

ชายหนุ่มเงยหน้ามองอีกฝ่ายยิ้มๆ 

“เอาไปทั้งซองเลยก็ได้พี่”   

วันที่สามของการดำน้ำ ญาณิศาไม่ค่อยเมาเรือมากอย่างวันแรกๆ แล้ว แถมเมื่อคืนยังมีแรงเล่นไพ่กับเพื่อนนักดำน้ำคนอื่นๆ จนดึกดื่น เช้านี้เลยดูไม่ค่อยสดใสนัก

“ฮือ ง่วง” ญาณิศาหาวไปแทะขนมปังราดนมข้นหวานไปพลาง

               “ไดฟ์แรกคือหินแดงนะ” กุลกัลยาจับไหล่เพื่อนเขย่าทั้งตัวจนหัวโยก “ร่าเริงเร็ว!”

               “สมัยเรียนหลับได้ทุกคาบ ทำไมมาดำน้ำเอเนอร์จีแกล้นเหลือจังวะ” ญาณิศาบ่น

               “ไปเรียนกับไปเที่ยวกับมันจะเหมือนกันได้ไงล่ะ” กุลกัลยาปรายตามองด้วยสายตาที่บอกว่า ‘ไม่น่าถาม’

               ฟังบรีฟตอนเช้าพักเดียวก็ลงน้ำ ไดฟ์ไซต์ของวันนี้วนเวียนอยู่ที่หินม่วงและหินแดงซึ่งอยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จุดเด่นคือปะการังอ่อนสีสันสวยงามตามชื่อของจุดดำน้ำ เนื่องจากเป็นจุดดำน้ำที่ถือว่ากระแสน้ำไม่ได้รุนแรงมากนัก ทำให้กุลกัลยาชื่นชมความงามของท้องทะเลได้เต็มที่

               จนกระทั่งไดฟ์ที่สามของวัน...

               เป็นความผิดพลาดของเธอเองที่ประมาท จึงไม่ได้เช็กว่ามีลมรั่วจากรอยต่อของถังอากาศกับเรกูเลเตอร์ ตอนอยู่บนเรือเธอไม่ได้ยินเสียง อีกทั้งมาตรวัดความดันอากาศก็ไม่ได้ตกลงมากจนเอะใจ แต่พอลงมาในน้ำกลับเห็นได้ชัดจนเห็นไดฟ์ลีดอย่างพี่อาร์ททำสัญญาณมือส่งให้ฐากรคอยประกบกุลกัลยา

               หญิงสาวแพนิกขึ้นมาเล็กน้อย คอยก้มดูมาตรวัดอากาศอยู่บ่อยๆ จนใครบางคนสังเกตเห็นความกังวลของเธอได้ 

               จึกๆ

               ชายหนุ่มดึงแขนกุลกัลยาจนทั้งเธอและญาณิศาที่เป็นบัดดี้กันหันไปมอง แล้วชี้ให้ดูอะไรบางอย่างที่กลางน้ำจนกุลกัลยางงงันไปวูบหนึ่ง กว่าจะเข้าใจว่าที่แท้เขาชี้ฝูงปลาสาก

               จริงๆ หญิงสาวเห็นปลาสากฝูงนั้นแล้ว แต่กังวลจนไม่ได้สนใจ พอเขาชี้อย่างจริงจังเหมือนกลัวไม่เห็นก็อดขำจนผ่อนคลายลงนิดๆ เลยหันไปมองอีกรอบแล้วทำสัญญาณมือส่งให้ เพราะกลัวคนชี้จะเสียน้ำใจ

               เขาดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ใต้น้ำ นิ้วเรียวทำสัญญาณมือถามว่าเธอยังโอเคหรือเปล่า 

               กุลกัลยาจดนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเป็นสัญญาณว่ายังโอเคดีกลับไปด้วยความรู้สึกที่สบายใจขึ้นเล็กน้อย ถึงจะรู้ว่ามีพี่อาร์ทคอยดูอยู่ด้วยอีกคน แต่การมีฐากรอยู่ใกล้ๆ ทำให้เธอผ่อนคลายและมีสติขึ้นโข

               เรื่องที่คาดไว้เกิดขึ้นจริงจนได้ อากาศในถังของกุลกัลยาใกล้หมดในช่วงท้ายไดฟ์ พอเธอหันไปหันมา คนที่จ้องอยู่ก่อนแล้วก็พุ่งเข้าชาร์จแล้วดึงสายอ็อกโทพุสจากเรกูเลเตอร์ของตนเองยื่นให้ทันที ฐากรคอยดูแลจนเธอเปลี่ยนจากเรกูเลเตอร์ของตัวเองไปใช้อากาศร่วมกับเรกูเลเตอร์ของเขาอย่างใส่ใจ

               กุลกัลยาลอยตัวอยู่กลางน้ำโดยมีคนตัวโตหิ้วคอถังอากาศของเธอไว้เพื่อกันกระแสน้ำพัดแยกทั้งคู่ออกจากกันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์สุดๆ

               ทีนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องจะลอยตอนทำเซฟตีสตอปแล้ว

               อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ตอนเรียนก็มีบทเรียนเรื่องวิธีการแบ่งใช้อากาศกับเพื่อนในกลุ่ม แต่พอหันไปเห็นแววตาของญาณิศาทีไรก็เผลอกัดฟันทุกที 

               ขนาดอยู่ใต้น้ำเย็นเฉียบยังหน้าร้อน

               รู้งี้พุ่งไปขออากาศจากพี่อาร์ทยังดีกว่า...

               กว่าจะรอดพ้นจากสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนได้ก็เล่นเอากุลกัลยาแทบหมดแรง การแชร์อากาศถังเดียวกับฐากรทำให้เธอประสาทเสียได้ยิ่งกว่าตอนที่อากาศในถังค่อยๆ หมดลง ขณะที่อยู่ลึกลงไปจากผิวน้ำเกือบยี่สิบเมตรใต้ทะเลเสียอีก

               หลังจากขึ้นเรือได้หญิงสาวก็ยกมือลูบหน้า ถอนหายใจยาวแทบหมดปอดเป็นการไว้อาลัยกับหัวใจตัวเอง

               กุลกัลยา...เธอเอาอีกแล้วนะ

               บางครั้งคนเราก็ตกหลุมรักใครสักคนโดยไม่รู้ตัว จนกว่าจะเจอสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้บรรลุได้ว่า คงชอบอีกฝ่ายก่อนหน้านั้นมาตั้งนานแล้ว

               กุลกัลยาเคยเจอสถานการณ์แบบนั้นครั้งแรกตอนอายุสิบหกในครั้งที่รู้ว่า กำไลข้อมือที่เธอช่วยเพื่อนร่วมชั้นเลือกเป็นของขวัญสำหรับใครคนหนึ่งที่ทำให้เธออกหักได้ก่อนที่จะรู้ตัวว่าชอบเขาเสียอีก

               ส่วนครั้งล่าสุดคือสิบสองปีต่อมา หรือถ้าพูดให้ถูกคือเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อน

               ความน่าโมโหคือทั้งชีวิตกุลกัลยาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้แค่สองครั้ง...

               และถ้ายังน่าโมโหไม่พอ...สาเหตุของสองครั้งนั้นดันเป็นคนคนเดียวกัน...

               “หึ หึ หึ”

               “อยากตายเหรอ” กุลกัลยาหันไปส่งเสียงเย็นให้คนที่หัวเราะในลำคอระหว่างรอเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำที่มีอยู่แค่เจ็ดห้อง

               กลายเป็นว่าประโยคนั้นทำให้ญาณิศาระเบิดเสียงหัวเราะราวกับคนไม่รักชีวิต หัวเราะจนเพื่อนร่วมทริปที่ยืนต่อคิวห้องอาบน้ำอยู่ใกล้ๆ กันมองมาด้วยสายตาประหลาดใจ ญาณิศาจึงหันไปยิ้มแล้วส่ายหัวให้เป็นเชิงว่าไม่มีอะไร จากนั้นกลับมากระซิบเบาๆ กับเพื่อนสนิท

               “ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการแชร์อากาศจะดูหวานแหววได้ขนาดนี้”

               กุลกัลยาหรี่ตามองเพื่อนเหมือนกำลังคิดวิธีฆาตกรรมอย่างไรไม่ให้โดนตำรวจจับได้

               พอร่างสูงของฐากรผ่านเข้ามาใกล้ คนข้างตัวเธอก็กระตุกเวทสูทแนบเนื้อของเธอยิกๆ กุลกัลยามองใบหน้าสดใสชุ่มน้ำของคนตัวสูงแวบหนึ่ง แล้วหันหน้าหนีไปอีกทางราวกับไม่ได้สังเกตเห็นเขาแต่แรก จนคนที่เตรียมจะส่งยิ้มให้กะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง หยิบของที่วางไว้บนชั้นแล้วผละไปล้างตัวท้ายเรือ

               “หูย ทำไมต้องใจร้ายด้วย เห็นเขาทำหน้าเป็นหมาหงอยแล้วใจมัมหมีเจ็บปวด” ชิปเปอร์อันดับหนึ่งตัดพ้อต่อว่าแทนเจ้าตัว

               กุลกัลยาหมดคำจะพูด

               เพราะหลังจากสองไดฟ์สุดท้ายของวันพรุ่งนี้ เรือลำนี้ก็จะตรงกลับเข้าภูเก็ตในช่วงบ่ายทันที วันนี้พี่บีมเจ้าของโรงเรียนจึงเรียกรวมทุกคนขึ้นไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกบนดาดฟ้าของเรือกันในช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์จะตก

               ฐากรเหลือบมองใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ดูโดดเด่นในกลุ่มคนของหญิงสาวที่กำลังยิ้มให้กล้องด้วยความรู้สึกซับซ้อน เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ทำท่าห่างเหินอย่างไม่มีสาเหตุ ตั้งแต่ไดฟ์สุดท้ายเป็นต้นมาก็ดูเหมือนว่าเขาจะถูกเมินอย่างจงใจจนเกินกว่าจะเป็นเรื่องที่คิดไปเอง

               หลังจากถ่ายรูปรวม เหล่านักดำน้ำก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ฐากรเจอร่างเล็กนั่งชันเข่าอยู่บนที่นั่งหน้าห้องกัปตัน เขาชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนที่นั่งแถวเดียวกันอย่างเงียบๆ 

คนที่นั่งฟังเพลงผ่านหูฟังอยู่เมื่อรู้สึกว่ามีคนมานั่งข้างๆ ก็หันไปมอง แล้วหันกลับมาโดยไม่ได้พูดอะไร

“ฟังด้วยสิ” ฐากรเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางเสียงคลื่นที่ปะทะกับเรือ 

มือเรียวเล็กดึงหูฟังยื่นให้ข้างหนึ่ง

               ชายหนุ่มชะงักไปนิด ดวงตาคมฉายรอยประหลาดวาบผ่านเพราะคิดว่าเธอจะดึงสายหูฟังออกแล้วปล่อยให้เสียงเพลงออกทางลำโพง แต่ดันดึงหูฟังอีกข้างยื่นมาให้เขาเสียนี่

               ฐากรพยายามทำหน้านิ่งสุดชีวิตระหว่างที่ยื่นมือไปรับหูฟังมาเสียบหูข้างที่ใกล้กับหญิงสาว

               เสียงเพลง 10,000 Hours ของแดน เชย์และจัสติน บีเบอร์ที่ได้ยินกันแค่สองคนทำให้รู้สึกเหมือนว่าท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย  โลกทั้งใบมีเพียงแค่เขากับเธอ 

               เสียงผู้คนพูดคุย เสียงคลื่นที่กระทบข้างเรือ เสียงลมหวีดหวิวล้วนไร้ความหมาย

               เดินทางมาเกือบค่อนโลก ในที่สุดฐากรก็ค้นพบเป้าหมายของชีวิต...

               ลมเย็นๆ กระทบผิวกายทำให้รู้สึกสบายตัว กุลกัลยาทอดสายตามองท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสี จากสีฟ้าสดใสเริ่มแต่งแต้มด้วยสีม่วง แดง เหลือง และชมพู พระอาทิตย์ฤดูหนาวราวกับแอปเปิลผลกลมๆ กำลังจะลาลับหายไปจากขอบทะเลอันกว้างไกล

               เป็นช่วงเวลาที่ทั้งเงียบสงบและเป็นธรรมชาติจนน่ากลัว...

               เพลงดำเนินมาถึงท่อนสุดท้าย รำพันถึงคำรักอันหวานซึ้ง ทว่าเป็นความหวานที่ทำให้กุลกัลยารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออก  

               ผ่านมายี่สิบแปดฝน ไม่เคยมีใครที่ทำให้หัวใจของกุลกัลยาเข้าใกล้กับคำว่าความรักมาก่อน 

               ความชื่นชอบแบบพัปปีเลิฟในช่วงวัยที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านนั้นไม่นับ กระนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอกลับเป็นคนกลัวความเจ็บปวดจนหัวหด ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดทางร่างกายอย่างการโดนเข็มฉีดยาจิ้ม หรือความเจ็บปวดทางใจก็ล้วนเป็นเรื่องไม่น่าพิสมัย

               กุลกัลยาคิดว่าตัวเองจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบไปจนถึงวัยที่ผมทั้งหัวเปลี่ยนเป็นสีขาวได้อย่างมีความสุขเพียงลำพัง ไม่ต้องแผ้วพานกับความเจ็บปวดใดๆ จากความรักได้ด้วยซ้ำ

               ดังนั้นในตอนที่รู้สึกตัวว่ากำลังจะตกลงไปในหลุมลึก สิ่งแรกที่เธอคิดจะทำคือยั้งตัวเองไว้สุดชีวิต...

               จุดดำน้ำวันสุดท้ายของทริปอยู่ไม่ไกลจากเกาะภูเก็ตมากนัก หนึ่งคือกองหินมุสังข์ที่ครั้งหนึ่งเคยเลื่องชื่อในการเป็นจุดที่พบเจอฉลามเสือดาวได้บ่อยครั้งกับเกาะดอกไม้ที่มีแนวปะการังสวยงาม 

               หลังจากสองไดฟ์สุดท้ายเรือก็แล่นเข้าสู่ท่าเรือในจังหวัดภูเก็ต แต่เนื่องจากนักดำน้ำจะต้องพักน้ำยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนถึงจะขึ้นเครื่องบินได้ ทำให้ต้องหาที่พักในตัวเมืองกันก่อนหนึ่งคืน กุลกัลยากับญาณิศาที่พักโรงแรมเดียวกับเหล่าสตาฟฟ์ของโรงเรียนจึงรอรถตู้นั่งไปโรงแรมด้วยกัน

               “เป็นไรหยา ทำหน้าเหมือนจิตหลุดออกจากร่าง” ญาณิศาจับไหล่เพื่อนที่ยืนพิงราวกั้นริมท่าเรือด้วยกันระหว่างรอรถตู้มารับ

               “เมาบกอยู่” กุลกัลยากุมหัว พอเปลี่ยนท่าก็รู้สึกเหมือนพื้นใต้ฝ่าเท้าโคลงเล็กน้อยทั้งๆ ที่อยู่บนบก

               อยู่บนเรือที่โคลงเคลงมาเกือบห้าวัน พอกลับขึ้นมาบนบกกลับรู้สึกว่าพื้นอยู่ไม่นิ่งเสียอย่างนั้น

               หญิงสาวเอียงหน้าหันไปมองเรือที่เพิ่งจากมา เผลอกวาดสายตามองหาร่างสูงที่เมื่อครู่ยืนพิงราวกั้นอยู่ไม่ไกลขณะพึมพำให้คนที่ยืนใกล้กันได้ยิน

               “อยากกลับไปขึ้นเรือ ไม่อยากกลับไปทำงาน”

               “เออ เหมือนกัน” ญาณิศาเบ้ปาก “นึกถึงหน้าหัวหน้าก็ไม่อยากขึ้นเครื่องบินแล้ว”

               ดวงตากลมโตหยุดนิ่งที่ร่างสูงกำยำซึ่งกำลังพูดคุยกับเจ้าของโรงเรียนดำน้ำอย่างออกรส ทิ้งสายตาไว้กับรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าคมคายครู่หนึ่งก่อนจะเบนหนี

               “เฮ้อ ลางานทั้งปีได้มั้ยนะ” ญาณิศาร้องออกมาอย่างอัดอั้น

               “ลาออกเถอะถ้างั้น” กุลกัลยาหันไปตอบเพื่อน

               โรงแรมที่เข้าพักเป็นโรงแรมขนาดเล็กราคาไม่แพงที่อยู่ใกล้ย่านเมืองเก่า สามารถเดินออกไปหาอะไรกินได้ง่ายๆ แม้ไม่มีรถส่วนตัว กุลกัลยากับญาณิศาจึงรวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมทริปที่สนิทกันเดินออกไปหาอะไรกินยามค่ำคืน

               ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่เข้าใจคือ ร้านอาหารในภูเก็ตมีเยอะแยะ แต่จำต้องบังเอิญมากินร้านเดียวกับกลุ่มสตาฟฟ์ที่มีฐากรรวมอยู่ในนั้น

               ญาณิศาสะกิดเธอยิกๆ จนกุลกัลยาอยากยกมือขึ้นกุมขมับ 

               “เฮ้ยๆ มาๆ โต๊ะข้างๆ นี่ว่าง นั่งเลย” พี่สตาฟฟ์คนหนึ่งเห็นกลุ่มเธอเดินเข้ามาก็เรียกให้มานั่งราวกับเป็นหุ้นส่วนร้าน

               ความบังเอิญที่น่าโมโหอีกอย่างคือ ทุกคนเหลือเก้าอี้ที่นั่งหันหลังชนกับฐากรไว้ให้เธอพอดี

               ชายหนุ่มหันมาสบตากับกุลกัลยาแวบหนึ่งตอนที่เธอกำลังทรุดตัวลงนั่ง

               หลังจากสั่งอาหารกันเรียบร้อย ระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟ บทสนทนาจากโต๊ะที่อยู่ข้างกันก็ดึงความสนใจจากฐากรไปได้ไม่น้อย

               “พรุ่งนี้น้องหยากลับไฟลต์กี่โมงอะ” 

เพื่อนร่วมทริปดำน้ำส่วนใหญ่อายุมากกว่ากุลกัลยากับญาณิศาเกือบทั้งหมด ทำให้ทั้งคู่เป็นน้องเล็กโดยปริยาย

               “หยากลับบ่ายสองค่ะ แต่แยมกลับก่อนไฟลต์เที่ยง” กุลกัลยาตอบ

               “อ้าว ไม่ได้กลับพร้อมกันเหรอ”

               “แยมมันลงดอนเมือง” หญิงสาวบุ้ยปากไปทางเพื่อน “หยาให้พี่มารับที่สุวรรณภูมิ จากบ้านหยามาสะดวกกว่า”

               “อย่างนี้หยาก็แกร่วรออยู่คนเดียวถึงบ่ายเลยสิ” 

               ฐากรเอียงหูฟังบทสนทนาของโต๊ะข้างๆ จนเกือบไม่ได้ยินคำถามของรุ่นพี่ว่าเขาจะกลับแคนาดาเมื่อไหร่ เผลอยิ้มนิดๆ เมื่อได้ความว่าไฟลต์ที่เธอบินกลับเป็นไฟลต์เดียวกับที่เขาจองไว้ ในใจเริ่มวางแผนแล้วว่าหลังจากเสร็จธุระที่นัดเจอเพื่อนในช่วงเช้า จะหาข้ออ้างอย่างไรในการชวนให้เธอใช้เวลาระหว่างรอไฟลต์บินด้วยกันกับเขา

               ชวนไปกินข้าวด้วยกันดีกว่า กุลกัลยาเหมือนจะเป็นคนขี้สงสาร ถ้าเขาบ่นว่าหิวน่าจะเป็นเหตุผลให้อีกฝ่ายใจอ่อน

               เหมือนจะไร้ยางอายนิดๆ ที่ใช้ข้ออ้างแบบนี้กับคนจิตใจดีอย่างกุลกัลยา แต่...

               ฐากรเหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังก้มมองโทรศัพท์มือถือ

               แรงดึงดูดมหาศาลจนเกินจะต้านทานทำให้เขายอมเป็นคนนิสัยเสียที่ได้อยู่เคียงข้างกุลกัลยา

               หลังมื้ออาหาร กลุ่มของกุลกัลยาตามกลุ่มสตาฟฟ์ดำน้ำไปกินไอศกรีมร้านดังที่อยู่ไม่ไกลนัก ก่อนกลับโรงแรมพวกของกุลกัลยายังเดินเลยไปตลาดกลางคืนเล็กๆ ถัดจากซอยที่ตั้งร้านไอศกรีมราวกับพลังงานล้นเหลือ โดยมีฐากรกับสตาฟฟ์อีกคนที่ยังไม่อยากกลับโรงแรมตามมาด้วย

               ตลาดกลางคืนเน้นขายของที่ระลึกกับของแฮนด์เมดที่ดึงดูดชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ บางอย่างกุลกัลยาเห็นราคาแล้วก็รู้สึกขนลุก เลยได้แต่มองแล้วก็เดินผ่านไป

               ตอนที่เดินกลับร้านรวงข้างทางก็ปิดเกือบหมดแล้ว แต่ไฟถนนยังคงสว่าง เห็นภาพตึกสไตล์ชิโน-โปรตุกีสสองข้างทางได้อย่างชัดเจน กุลกัลยาหันซ้ายหันขวามองตึกจนลืมดูทาง แล้วก็ลืมไปว่าทริปนี้ตัวเองดวงตกขนาดไหน นอกจากที่ได้เจอกับเพื่อนเก่าแก่อย่างฐากรแล้ว นอกนั้นก็มีแต่เรื่อง

               ฟุตบาทเมืองไทยไม่ได้เดินกันได้ง่ายๆ หากเดินไม่ดูพื้นอาจสะดุดล้มหน้าคว่ำได้อย่างกุลกัลยาที่ลงไปวัดพื้น ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมทริปดำน้ำ

               สองมือของฐากรที่ยื่นออกไปตามสัญชาตญาณค้างอยู่กลางอากาศ เขาเดินอยู่ด้านหลังกุลกัลยา เห็นเธอสะดุดล้มต่อหน้าต่อตาแต่ก็ช่วยไม่ทัน 

               “หยา!” ญาณิศาเกือบกรี๊ดตอนที่เพื่อนที่เดินอยู่ข้างกันอยู่ๆ ก็ลงไปกองกับพื้น รีบไปพยุงเพื่อนให้ยันตัวขึ้น

               “อาถรรพ์อะไรหรือเปล่า ตั้งแต่มานี่ฉันเจ็บตัวกี่รอบแล้ว” กุลกัลยาบ่น เหลียวหารองเท้าแตะที่กระเด็นไปคนละทิศ

               “ฉันขำได้ปะวะ” ญาณิศาขออนุญาตแต่คนล้มกลับชิงหัวเราะกลบความเขินเสียก่อน คนทั้งกลุ่มที่ทั้งตกใจทั้งอยากจะขำเลยเริ่มหัวเราะไปด้วย

               “รองเท้าขาดแน่ะ” คนตัวสูงเก็บรองเท้าข้างที่สะดุดขอบฝาท่อระบายน้ำกลับมาให้

               “ทำไงดี” ญาณิศาที่ยังหยุดหัวเราะไม่ได้หันซ้ายหันขวา “ร้านค้าปิดหมดเลย ระหว่างทางก็ไม่มีร้านสะดวกซื้อ”

               “ก็เขย่งไป” กุลกัลยาเกาะไหล่เพื่อน

               “น่าจะถึงโรงแรมตอนเช้าพอดี” ฐากรว่า “ขี่หลังฉันไปดีกว่า”

               “ไม่เอา” หญิงสาวปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด

               “งั้นรอตรงนี้ จะไปซื้อรองเท้าที่ตลาดเมื่อกี้ให้”

               “มันไกล เกรงใจอะ” กุลกัลยาอุบอิบ

               “งั้นเอารองเท้าฉันไป” 

               “ยิ่งแย่ใหญ่ นายจะเดินยังไงล่ะ”

               “งั้นก็ขี่หลัง” 

               “...”

ทำเหมือนเป็นข้อสอบสามตัวเลือกไปได้ 

ฐากรเอียงคอจ้องหน้าคนที่ยืนเกาะไหล่เพื่อนนิ่งๆ ด้วยสายตาพิจารณาครู่หนึ่งแล้วหันไปบอกคนที่เหลือ

“กลับโรงแรมไปกันก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมไปซื้อรองเท้าให้หยาแป๊บนึง”

“เอางั้นเหรอ” คนที่เหลือลังเล

“ไปเถอะครับ ไม่เป็นไร”

พอคนที่เหลือเดินหายไปจนลับตา ฐากรก็หันมาถามคนที่ยังมองเขาตาแป๋ว

“ที่ห้องมีรองเท้าสำรองหรือเปล่า”

“มี...”

“จริงๆ ที่ตลาดเมื่อกี้เหมือนจะไม่มีร้านรองเท้า ร้านแถวนี้ก็ปิดไปหมดแล้ว ตอนนี้ไม่มีคนอื่นนอกจากพวกเรา ขี่หลังฉันกลับไปได้มั้ย”

กุลกัลยาอึ้งนิดๆ เมื่อรู้ว่า ที่เขาบอกให้คนอื่นกลับไปก่อนเพราะรู้ว่าเธอไม่กล้าขี่หลังเขาท่ามกลางสายตาของคนพวกนั้น

ญาณิศาได้ยินแล้วก็รู้สึกเหมือนเห็นคู่ชิปมีโมเมนต์ คิดในใจว่าโชคดีที่ตรงนี้มืด ถ้ากุลกัลยาหันมาเห็นเธอยิ้มกรุ้มกริ่มคงหยิกเธอจนช้ำแน่ๆ

“ฉันตัวหนักนะ” กุลกัลยาลังเล นึกอยากจะเดินเท้าเปล่ากลับโรงแรมให้รู้แล้วรู้รอด แต่เห็นความใส่ใจของคนที่ช่วยบอกให้คนอื่นกลับไปก่อนแล้วก็ปฏิเสธไม่ลง

“มาเถอะ” เขาหัวเราะ แล้วเดินมาหันหลังย่อตัวรอรับอยู่ด้านหน้า

ฐากรรอนานจนคิดว่ากุลกัลยาน่าจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายน้ำหนักก็กดลงมาบนหลังพร้อมกับอ้อมแขนที่โอบไหล่กว้าง ตามด้วยกลิ่นส้มหอมสดชื่นจากเรือนร่างบอบบางของคนที่โน้มตัวลงมา

“ขอโทษนะ” เขาพึมพำ มือแข็งแรงกระชับต้นขาเรียวเล็กก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง

ญาณิศาหิ้วรองเท้าของกุลกัลยาเดินตามหลังคนทั้งคู่ เอามืออุดปากตัวเองไม่ให้หลุดเสียงกรี๊ด

“หนักมั้ย” 

เจ้าของเสียงใสเอ่ยถามอยู่ข้างหู ลมหายใจปะทะข้างแก้มจนลมหายใจของชายหนุ่มสะดุด

“เบาหวิว”

“โกหก” 

ฐากรรู้สึกเหมือนโดนอุ้งเท้านุ่มๆ ข่วนเบาๆ ที่หัวใจ เขากระชับร่างเล็กบนหลังที่ทั้งหอมทั้งนุ่มเมื่อเดินมาสักพัก

“ให้เดินรอบวงเวียนข้างหน้านี่สักสิบรอบยังได้”

กุลกัลยากลัวใจคนอุ้มจนไม่กล้าท้า

“พรุ่งนี้หลังจากแยมไปสนามบินแล้วจะทำอะไร” เขาชวนคุย

“ตระเวนหาของกิน” คนมีแพลนในหัวตอบอย่างมั่นใจ

“ไปด้วยกันนะ” 

หัวใจของคนที่อยู่บนหลังกระตุก ชั่ววูบหนึ่งกุลกัลยานึกถึงความรู้สึกหม่นหมองในตอนที่เจอกับความผิดหวัง และมันอาจจะเกิดขึ้นอีก ถ้าเธอเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาสร้างความประทับใจอีกครั้ง

...แต่เป็นแค่เพื่อนกันนี่นา เป็นเพื่อนกันทำไมจะไปกินข้าวด้วยกันไม่ได้ล่ะ 

แม้สมองจะบอกว่าเธอประเมินตัวเองสูงเกินไป ถึงกระนั้นเสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นในใจก็ทำให้เธอตอบรับออกไปเบาๆ 

อีกอย่าง กลับไปก็ใช่ว่าจะได้เจอกันอีก ถ้าไม่เจอหน้ากัน ความรู้สึกเพียงชั่ววูบที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่ถึงอาทิตย์ก็จะจางหายไปเองอย่างแน่นอน

               

               ไฟลต์บินของญาณิศาเป็นตอนเที่ยง แต่เพราะต้องไปเตรียมตัวเช็กอิน อีกทั้งยังต้องเผื่อเวลารถติด อีกฝ่ายเลยต้องออกจากโรงแรมตั้งแต่เก้าโมง หลังจากเดินไปกินอาหารมื้อเช้าที่เป็นติ่มซำร้านดังของเมืองภูเก็ตกับกุลกัลยา จึงต้องรีบกลับไปเก็บของที่โรงแรมเพื่อไปสนามบิน

               “ไปนะ เจอกันที่ทำงาน เดตให้สนุกล่ะ”

               กุลกัลยาถลึงตาใส่

               “ไปเลยไป”

               พอญาณิศาไม่อยู่แล้วก็เหงานิดๆ เมื่อวานหลังจากฐากรมาส่งพวกเธอที่ห้องพักก็นัดแนะเวลาว่าเจอกันตอนสิบโมง เพราะเขาต้องไปทำธุระก่อน 

               หญิงสาวไม่คิดจะนั่งแกร่วรอเขาที่โรงแรมอีกตั้งหนึ่งชั่วโมง จึงเซิร์ชหาร้านกาแฟแนะนำในย่านเมืองเก่าที่พอจะเดินไปถึงได้และใช้เวลาไม่นาน 

               แต่ในตอนที่ยืนอยู่หน้าร้านและมองผ่านกระจกเข้าไปด้านใน ภาพคนสองคนที่นั่งอยู่ภายในร้านก็ทำให้ทั้งร่างชาวาบไปทั้งตัว หัวใจบีบรัดจนเจ็บแปลบ ปลายจมูกและขอบตาร้อนผ่าว มือสั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

               วินาทีนั้นเหมือนวันเวลาได้พาเธอกลับไปยังอาคารเรียนของชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย แสงอาทิตย์สีเหลืองทองสาดส่องเข้ามาในห้องช่วงเลิกเรียนเมื่อสิบกว่าปีก่อน 

               ตอนที่รู้ว่าแฟนหนุ่มที่เพื่อนให้ช่วยเลือกของให้คือเขาคนนั้นที่เธอแอบชอบ

               ใบหน้ายิ้มๆ กึ่งเขินอายของคนทั้งคู่ตอนโดนเพื่อนร่วมชั้นเปิดโปงว่ากำลังคบหากันอยู่ซ้อนทับกับชายหนุ่มและหญิงสาวที่นั่งคุยกันอยู่ในร้านด้วยท่าทีสนิทสนม

               หลายปีผ่านไป คนที่อยู่ข้างกายเขาก็ยังเป็นคนเดิม และก็ยังเป็นตัวเธอคนเดิมอีกเช่นกันที่คิดฝันไปเอง...

               ในขณะที่หันหลังกลับพร้อมขนตาที่เปียกชื้น กุลกัลยาก็พบว่าเธอประเมินตัวเองไว้สูงเกินไปจริงๆ

               ที่คิดว่าจะยั้งหัวใจไว้อย่างสุดแรงเกิด แท้จริงเธอกลับตกลงไปในนั้นทั้งตัวแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น