สิบ
หยูเหวินหยาย่างกรายไปที่เนินเขาแห่งต้นไม้โบราณอีกครั้ง นางยิ้มละมุนให้ต้นไม้ที่คิดถึง ด้วยไม่ได้มานานแรมเดือน ก่อนจะทรุดกายลงพนมมือ หลับตาพริ้มแล้วตั้งจิตเอื้อนเอ่ย บอกเรื่องการค้าใหม่ที่กำลังจะเริ่มทำโดยที่สามีไม่รู้ไม่เห็น ขอให้ประสบความสำเร็จรุ่งเรืองมั่งคั่ง เพื่อที่นางจะได้ยืนหยัดโดยไม่ต้องงอมืองอเท้าอย่างสตรีไร้ค่าให้ใครเหยียดหยามอีก
ระหว่างที่ตั้งจิต เสียงบางอย่างจากพื้นดินก็พลันดังขึ้น หญิงสาวก้มมองพื้นที่เสมือนมีตัวอะไรสักอย่างพยายามขุดคุ้ยขึ้นมาสู่เบื้องบน นางจ้องอย่างตั้งใจ ‘เป็นตัวตุ่นหรือ... จะเป็นไปได้อย่างไร’
นัยน์ตาหวานเบิกโต นางพลันตื่นเต้นอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่ผุดขึ้นจากพื้นดินคือสัตว์ตัวเล็กที่มีขนสีฟ้าใต้ท้องแซมเหลือง สีเช่นนี้ช่างคุ้นตา เมื่อสำรวจให้ดีก็พบว่ามันคือนกน้อยที่นางเคยนำร่างมาฝังไว้ใต้ต้นไม้โบราณนี้
สิ่งที่หยูเหวินหยาได้เห็นช่างน่าสะพรึง มันเคยสิ้นลมด้วยน้ำมือของสองฮูหยิน และนางก็เป็นผู้กลบดินฝังด้วยตัวเอง ทว่านั่นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว นกน้อยตัวนี้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ดวงตาหยูเหวินหยาสะท้อนภาพนกตัวน้อยที่กำลังกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
นางจำได้ว่านกตัวนี้พิการไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงเป็นปกติเช่นนี้ จะว่ามิใช่ตัวเดียวกันก็ไม่น่าเป็นไปได้ ด้วยลักษณะขนที่มีสีสลับฟ้าเหลืองนั้น นางจำได้อย่างแม่นยำว่าคือตัวเดียวกันเป็นแน่แท้
วิหคน้อยบินวนไปมารอบร่างในชุดหนาที่ดูตื่นตระหนก มันบินถลาโฉบซ้ายทีขวาที ทำเอาดวงตากลมใสของหยูเหวินหยาต้องกลอกมองตาม ร่างฟ้าใต้ท้องแซมเหลืองค่อยๆ เกาะลงที่กิ่งไม้ใหญ่ เวลานี้มันหยุดนิ่ง ตาดำใสจ้องมองกลับมายังสตรีผู้เป็นนายที่คืนชีวิตใหม่ให้มันอีกครั้ง
“จะ...เจ้าตายไปแล้วนี่!” หยูเหวินหยาเอ่ยตะกุกตะกัก นกตัวนี้ไม่มีทางที่จะยังมีชีวิตได้
“ใช่! ข้าตายไปแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าที่คืนชีวิตให้ข้า” เสียงวิหคน้อยตอบชัดถ้อยชัดคำ
หยูเหวินหยาถึงกับใจสั่นอย่างหนักหน่วง ‘นี่ข้าหูฟาดหรือข้าเพี้ยนไปแล้ว ถึงได้ยินเสียงนกพูดเช่นนี้’ นางรำพันในใจพลางขยับเท้าก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าพูดได้จริงๆ แต่มีเพียงเจ้าที่เข้าใจ” นกน้อยฉอเลาะ ยิ่งทำให้หญิงผู้มีบุญคุณทวีความเคลือบแคลง
“หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าในตอนนี้คงจำข้าไม่ได้สินะอี้หลิน” นกตัวเล็กย้อนความจำ
“อี้หลิน?” หยูเหวินหยาทวนคำเรียก ใจของนางกระตุกเต้นยามได้ยินชื่อนี้ ราวกับเป็นชื่อนางจริงๆ สมองพลันตรึกตรอง อี้หลินคือชื่อที่นางได้ยินชายในฝันเรียกอยู่บ่อยครั้ง แล้วนกตัวนี้กลับบอกว่านางคืออี้หลิน เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่
วิหคน้อยเห็นท่าทีสตรีตรงหน้าตื่นตกใจอย่างมาก จึงเริ่มเล่าเรื่องราวเมื่อเจ็ดหมื่นกว่าปีที่แล้ว
“เจ้ามีนามว่าอี้หลิน เป็นนางฟ้าดูแลสวนหมื่นบุปผาของสวรรค์ ข้าชื่ออิงอู่ เป็นนกในสวนของเจ้า ได้รับกลิ่นอายเซียนจากการบำเพ็ญของเจ้าจนกลายเป็นสัตว์เทพ”
“ข้าเห็นเจ้าเป็นนกพิการ แล้วจะเป็นสัตว์เทพได้อย่างไร” หญิงสาวเคลือบแคลง นัยน์ตายังคงพรั่นพรึงต่อชีวิตตรงหน้าที่ฟื้นขึ้นมาราวกับมีปาฏิหาริย์
“ข้าถูกสาปจากจ้าวสวรรค์ ผู้อยู่เหนือบรรดาเซียน เพราะข้าคอยส่งจดหมายรักให้เจ้ากับท่านยมทูต จึงต้องอาญาให้เกิดเป็นนกพิการและตายหมื่นครั้ง ตอนที่ข้าไม่อาจโผบินด้วยปีกที่มีคือชาติสุดท้ายของข้า ดีที่เจ้านำร่างข้ามาฝังใต้พฤกษาสวรรค์ที่เจ้ากับท่านยมทูตปลูกด้วยสายใยแห่งรัก ข้าเลยได้รับไอทิพย์ที่สะสมในต้นไม้นี้ แล้วฟื้นกลับมาเป็นสัตว์เทพได้อีกครั้ง ขอบใจเจ้าจริงๆ อี้หลิน”
อิงอู่พรั่งพรูความในใจ เรื่องราวเช่นนี้ยากเกินกว่าจะเชื่อได้ง่ายๆ หยูเหวินหยาพลันส่ายหน้าด้วยยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
“ข้ารู้ว่ามันเกินจะเชื่อ อี้หลิน เจ้าคืออี้หลินจริงๆ นะ มองพฤกษาสวรรค์ต้นนี้สิ มันยืนยงมาเจ็ดหมื่นกว่าปีด้วยสายใยแห่งรักของเจ้ากับท่านยมทูต เจ้ากับท่านยมก็ไม่ต่างจากข้า ถูกสาปให้เวียนว่ายตายเกิดตามวัฏสงสารถึงพันภพพันชาติ และในทุกชีวิตใหม่เจ้ากับท่านยมทูตต้องรักกันทุกชาติ หากไม่เป็นเช่นนั้น ดวงจิตของเจ้าทั้งสองจะมลายสิ้นสูญไปชั่วกัลปาวสาน ความรักตลอดเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชาติหล่อเลี้ยงพฤกษาสวรรค์ต้นนี้ให้เติบใหญ่ ทว่าเจ้าดูเถิด เวลานี้มันกำลังจะแห้งตาย ชาติสุดท้ายของเจ้าทั้งสองหนักหนาจนมิอาจเชื่อมใจถักทอความรักให้หล่อเลี้ยงลำต้นนี้ได้”
วิหคน้อยเอื้อนเอ่ยคำพร้อมหยาดน้ำตา หยูเหวินหยาใจสั่นสะท้านกับเรื่องราวที่ได้รับรู้ทั้งหมด นางหวนนึกถึงนิมิตหนึ่งที่นางกับชายในฝันกำลังร่วมกันปลูกต้นไม้ ศีรษะที่พันผ้าแหงนมองใบไม้ที่เหี่ยวเฉา จากครั้งแรกที่พานพบมันเขียวชอุ่มแสนร่มรื่น แต่ยามนี้ถูกแซมด้วยสีน้ำตาลของใบไม้ที่เหี่ยวเฉาไปกว่าครึ่ง
‘หากเป็นเช่นที่ว่า ต้นไม้ที่เห็นว่าปลูกในนิมิตคงเป็นต้นพฤกษาสวรรค์นี่สินะ’ ร่างในชุดหนาหวนคะนึงคิด เมื่อตั้งสติได้ก็ถามเจ้าตัวเล็กตรงหน้าอย่างเคลือบแคลงสงสัย
“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้โกหกข้า และจะเชื่อได้เช่นไรว่าทุกคำของเจ้าคือความจริง”
นกตัวเล็กกระพือปีกสามครั้งก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส
“ข้ารู้ว่าวิญญาณเจ้าในชาตินี้มาจากที่ไกลโพ้น เมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ เจ้านิมิตบ่อยครั้ง คราแรกๆ ที่มีนิมิต เริ่มจากใต้ต้นนี้ เพราะว่าพฤกษาสวรรค์ดูดซับสายใยรักทุกชาติภพของเจ้ากับท่านยมทูตเอาไว้ จึงไม่แปลกที่มันจะถ่ายทอดเรื่องเก่าให้เจ้ารับรู้ ถึงมันพูดไม่ได้เช่นข้า แต่มันก็มีชีวิต มันรู้ตัวว่ากำลังจะตาย จึงถ่ายไอทิพย์คืนให้เจ้า เวลานี้เรื่องราวต่างๆ ในอดีตกาลเริ่มหลั่งไหลให้เจ้าได้หยั่งรู้โดยไม่ต้องหลับฝันมิใช่หรืออี้หลิน”
หยูเหวินหยาสั่นไปทั้งร่าง เรื่องที่พรั่งพรูเข้าสู่สมองของนางในคราเดียว เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวก็พบว่าสอดคล้องกับทุกถ้อยคำที่วิหคน้อยเอ่ย
“หากทุกอย่างเป็นเรื่องจริง แล้วยมทูตที่เจ้าว่าคือใครกัน”
“เจ้าไม่รู้จริงหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ ใบหน้าพวกเจ้าไม่เคยเปลี่ยน แม้จะเกิดมาพันชาติ” สิ้นคำอิงอู่ ภาพใบหน้าสามีก็ลอยเข้ามาในความทรงจำของหญิงสาว เสียงละมุนที่เรียกชื่อนาง... ‘อี้หลิน ข้ารักเจ้าอี้หลิน’ สะท้อนก้องในโสตประสาทของหยูเหวินหยา
น้ำตานางหลั่งนองหน้า ที่แท้ความฝันตลอดมาก็เป็นเรื่องของนางเองหรือ วิบากกรรมแห่งรักทั้งพันภพพันชาติที่เคยสงสัยว่าใครกันช่างน่าสงสารเช่นนี้ แท้จริงคือเรื่องของนางทั้งสิ้น ทว่าทำไมชายในฝันถึงเป็นสามีหน้าน้ำแข็งไปได้ แล้วชาติสุดท้ายเขากับนางจะลงเอยกันได้จริงหรือ ขนาดตลอดมานางพยายามลบความเย็นชาและอาการเมินเฉยของเขา แต่ก็ยังไม่ได้ผล
‘แล้วข้าจะชิงหัวใจเขาในชาติสุดท้ายได้เช่นไร หรือข้าต้องยอมให้วิญญาณดับสลายไปชั่วกัลปาวสาน...’ หยูเหวินหยารู้สึกพรั่นพรึงก่อนตัดสินใจกลับจวน ทิ้งเรื่องเหลือเชื่อไว้เบื้องหลัง เสียงวิหคตัวน้อยจึงเอื้อนเอ่ยทิ้งท้ายก่อนร่างนางจะลับหายไป
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ หากเจ้าพร้อมจะรับรู้เรื่องราวของพวกเจ้าทั้งหมด หรือต้องการให้ข้าช่วย จงกลับมาที่นี่นะอี้หลิน” เสียงของอิงอู่ดังกังวานด้วยความอาดูร
หยูเหวินหยานั่งเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ที่ศาลากลางน้ำภายในจวนเหิง สมองคิดวนซ้ำถึงเรื่องราวที่ประสบพร้อมทบทวนถ้อยคำของนกน้อยไปด้วย ตอนที่มายังจวนแห่งนี้ก็แค่อดทนรอเวลาตั้งตัว ด้วยตนมาจากต่างที่ต่างภพ มิหนำซ้ำผู้ติดตามที่เหลือน้อยนิดก็ยังเป็นคนจากแดนใต้ ไม่ชำนาญที่ทางในแถบเหนือ
ยามนี้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มคุ้นเคยกับอารยธรรมโบราณ คุ้นชินกับที่ทางแปลกตา และกำลังจะเริ่มกิจการของตนเอง แต่ต้องมาทุกข์ใจกับบาปกรรมเรื่องความรัก ทำเช่นไรนางกับสามีก็ไปด้วยกันไม่รอด อย่าว่าแต่เรื่องความรักเลย แค่รอยยิ้มเขายังไม่เคยมอบให้นางตรงๆ
‘หรือจะเผยตัวว่าไม่ได้อัปลักษณ์ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่ความรัก... แต่เป็นความหลง’ นางไตร่ตรองและอยากปล่อยวาง แต่ถ้าทำเช่นนั้นวิญญาณของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งคิดก็ยิ่งจนด้วยเกล้า
ท่ามกลางห้วงคิดของหยูเหวินหยา หว่านเอ๋อร์ที่เดินผ่านมาเห็นอนุภรรยาที่แสนชังนั่งอยู่ลำพัง จึงเดินปรี่เข้าไปหมายจะหาเรื่องอย่างเต็มกำลัง ด้วยเจ็บใจจากคราก่อนที่ถูกสามีเมินในโรงน้ำชาเพราะอนุภรรยาผู้นี้
“ความอัปลักษณ์และตุ่มหนองที่เหม็นเน่าของเจ้าทำให้จวนแม่ทัพถูกผู้คนติฉินนินทา ว่ากันไปสารพัดว่าท่านพี่ตาบอดหูหนวกที่เอาเจ้ามาเป็นเมีย” ฮูหยินรองมองเหยียดภรรยาที่ต่ำกว่าตน ในจังหวะนั้นร่างสามีก็ปรากฏขึ้นในการมองเห็นของหว่านเอ๋อร์
ริมฝีปากสีแดงเลือดนกยกเหยียดอย่างมีนัยจนหยูเหวินหยาแสนเคลือบแคลง แต่ยังไม่ทันได้ทำสิ่งใด หว่านเอ๋อร์ก็หันไปสบตากับสาวใช้คนสนิทที่ทั้งแสบและร้ายไม่แพ้กัน แล้วร่างของฮูหยินรองก็เซถลาร่วงหล่นลงในสระน้ำโดยตั้งใจ
ตู้ม!
เสียงสาวใช้ตัวร้ายตะโกนร้องก้องว่าฮูหยินรองตกน้ำ เหิงเจี้ยงที่อยู่ไม่ไกลรีบปรี่เข้าไปช่วยภรรยาสาว ร่างเล็กถูกพาขึ้นมาวางบนพื้น นางสั่นเทาพลางผวากอดสามีแน่น
“ฮือๆ เจ้าโกรธแค้นข้าเรื่องแกะผ้าพันหน้าที่โรงน้ำชาวันก่อนหรือ ข้าก็ขอโทษแล้วนี่ ทำไมต้องทำรุนแรงด้วย” หว่านเอ๋อร์เอ่ยกับอนุภรรยาที่ยืนตะลึงด้วยเสียงสั่นเครือ
หยูเหวินหยาคิดว่าตนเป็นนักแสดงที่เก่งแล้ว ทว่ามาเจอมารยาของฮูหยินรองตรงหน้า นางถึงกับทึ่ง
เหิงเจี้ยงหันไปสบตากับหยูเหวินหยาในทันที แววตาเข้มสะท้อนความผิดหวังในตัวนาง “พวกเจ้าหยุดหาเรื่องปวดหัวให้ข้าเสียที” เขาเอ่ยเสียงเข้มก่อนพาหว่านเอ๋อร์กลับเรือน
“ข้าไม่ได้ทำ! ไม่ได้ผลักฮูหยินรอง ท่านพี่ ท่านอย่าเข้าใจข้าผิด” เสียงอนุภรรยาตะโกนตามหลัง ทว่าร่างใหญ่หาหยุดฟังไม่ นางเลยกัดฟันสะกดกลั้นความหงุดหงิด ก่อนตัดสินใจทิ้งเรื่องน่าระอานี้ไปเสีย
ใจกลางเมือง ผู้คนมากหน้าต่างแห่แหนมายืนหน้าร้านค้าเปิดใหม่ด้วยความสนใจ ผ้าสีจับจีบเว้าโค้งดุจเกลียวเมฆตกแต่งอยู่หน้าร้าน ชายผ้าทั้งสองด้านปล่อยพลิ้วอย่างงดงามชวนให้คนที่เดินผ่านไปมาหยุดมอง เสียงฆ้องดังกังวานพร้อมเสียงประทัดสนั่นก้องนำชาวบ้านจากทั่วสารทิศให้ก้าวมาหา
วันนี้คือวันที่ร้านหงส์ฟู่เปิดทำการเป็นวันแรก มีหน้าร้านเป็นสัดส่วนคือ ร้านขายของเกี่ยวกับความงาม ร้านขายของใช้ในครัวเรือน โรงหมอ และโรงเตี๊ยมขนาดกลาง แต่ละร้านมีผู้ดูแลประจำการแทนหยูเหวินหยาผู้เป็นเจ้าของ
ชายร่างสง่าผิวขาวคล้ายบัณฑิตเจ้าสำอางยืนควบคุมดูแลความเรียบร้อยของร้าน เขาคือหรงจุ้ย ท่านหมอที่หยูเหวินหยาจ้างเป็นพิเศษ เหล่าบัณฑิตตัวจริงเข้าแถวรอคิวยาวเหยียดไปถึงอีกแยกหนึ่งของมุมถนน เพื่อจองห้องพักพร้อมอาหารในราคาเพียงครึ่งหนึ่งตามที่ทางการติดประกาศไว้
หรงจุ้ยเข้ามาหานายหญิงของตนที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ภายในด้วยสายตาเลิ่กลั่ก วันนี้นางปรากฏตัวด้วยร่างอรชร ไร้อาภรณ์หนาตา เอวอกและสะโพกงอนงามได้สัดส่วน ใบหน้าที่เคยซ่อนเร้นเด่นสง่า จนหรงจุ้ยแอบลอบมองบ่อยครั้ง
“นายหญิงน้อย! จะทำเช่นไรดี เวลานี้ห้องที่จัดเตรียมให้พักเต็มหมดแล้ว เหล่าบัณฑิตที่ไม่มีห้องยืนเข้าแถวรออยู่นานเริ่มโวยวายแล้วขอรับ” เสียงชายหนุ่มกล่าว
ร่างบางพลันฉุกคิดตาม นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าแผนการค้าขายของนางจะได้ผลดีเยี่ยมเช่นนี้
“รบกวนเจ้าช่วยไปแจ้งโรงเตี๊ยมในละแวกนี้ให้ข้าที บอกว่าร้านหงส์ฟู่จะส่งแขกไปเข้าพัก และให้เก็บค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งกับคนเหล่านั้น และอีกครึ่งให้มาเก็บที่ร้านหงส์ฟู่แทน” หยูเหวินหยาชี้แจ้งให้หรงจุ้ยเป็นธุระจัดการให้
“ขอรับ! แต่... ถ้าบัณฑิตเหล่านั้นฟุ่มเฟือยล่ะขอรับ” ท่านหมอย้อนถาม
“เช่นนั้นเสนอเงื่อนไขไปด้วย ว่าอาหารที่จัดเตรียมต้องอยู่ในดุลพินิจของร้านเรา หากไม่เป็นเช่นนั้นเราจะไม่จ่ายส่วนต่างให้ ถ้าร้านนั้นไม่ตกลง ให้ทำทีว่าเจ้าเสียใจและขอถอนตัวเพื่อนำข้อเสนอเรื่องพาคนเข้าพักไปให้ร้านอื่นแทน
“ย้ำด้วยว่าร้านเรามีคนรอเข้าพักจำนวนมาก เพราะข้าเชื่อว่าร้านอื่นๆ ต้องได้รับผลกระทบเรื่องจ่ายเพียงครึ่งราคาแน่ คงจะมีคนไปพักน้อยหรืออาจไม่มี ผู้คนถึงแห่แหนมาร้านเรามากขนาดนี้ อย่างไรพวกเขาก็ต้องยอม” ใบหน้าหวานแสดงความจริงจัง ผิดจากทุกครั้งจนหรงจุ้ยสังเกตได้
คำสั่งถูกถ่ายทอดผ่านผู้ช่วยให้นำความไปแจ้งร้านอื่น เป็นอย่างที่คาด เถ้าแก่ร้านต่างๆ ทำทีท่าว่าจะเรียกราคาเพิ่มให้โรงเตี๊ยมตน แต่เมื่อหรงจุ้ยใช้อุบายยอมถอยหนึ่งก้าวของหยูเหวินหยา เถ้าแก่เหล่านั้นก็รีบตอบรับคำทันที
ด้านเจ้าของร่างเล็กที่ปรากฏตัวสู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก เจ้าของสายตาทุกคู่ที่ยืนรายล้อมได้ยลความงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ผิวขาวไร้ตำหนิถูกห่อหุ้มด้วยชุดสีชมพูอมส้มนวลปักดอกไม้ด้วยด้ายหลากสีสันจับตา ทุกคนมิอาจละสายตาได้ รวมถึงชายร่างสูงอีกคนที่ลอบมองจากมุมไกล
ริมฝีปากหยักได้รูปยักยิ้มทันทีที่เห็นสตรีเจ้าของร้านหงส์ฟู่ที่ตนอยากมาดูสักครั้ง เพราะคราก่อนที่มีคนนิรนามยื่นข้อเสนอแก่บิดาตน ว่าขอบริจาคชุดเครื่องเขียนในการสอบจอหงวน มิหนำซ้ำยังออกทุนครึ่งหนึ่งในการจัดเตรียมที่พักและอาหาร วันนี้หลี่ซื่อเลยอยากมาพบปะคนผู้นั้นสักครั้ง หมายกล่าวขอบคุณแทนบิดา แต่เมื่อมาพบกลับกลายว่าเป็นสตรี อีกทั้งยังงดงามหมดจด กล่าวได้ว่าสะคราญโฉมที่สุดในแผ่นดิน
“ทุกท่านช่วยสงบก่อน ใจเย็นกันสักนิด เมื่อครู่ใหญ่ข้าได้สั่งให้คนของข้าไปติดต่อโรงเตี๊ยมย่านนี้ไว้หมดแล้ว และทยอยได้รับข่าวว่าทุกที่ล้วนตกลงให้หงส์ฟู่พาพวกท่านเข้าไปพัก ข้าจะเขียนและประทับตราให้ทุกท่านแยกไปพักตามที่ต่างๆ ดังนั้นโปรดใจเย็น รอสักประเดี๋ยว” เสียงใสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มในคราบนางเอกที่เคยยิ้มบ่อยๆ ในภพก่อน ทำให้ทุกคนยิ้มตามและเข้าแถวรออย่างสงบ
เมื่อแถวร่นก็ทำให้สายตาชายหนุ่มที่ได้เข้าใกล้สตรีเจ้าของร้านหยาดเยิ้มเคลิ้มฝัน จนมิอาจละสายตาได้ คำพูดถูกหยอดใส่หยูเหวินหยาหมายเกี้ยวพาคว้าใจโฉมสะคราญตรงหน้า ทันใดนั้นชายหนุ่มองอาจผู้มีใบหน้าหล่อเหลาก็พลันปรากฏตัว นัยน์ตาหวานเบิกโตทันทีเมื่อพบว่าชายตรงหน้าที่เพิ่งเข้ามายืนประจันหน้านางคือองค์ชายสี่
‘ซวยแล้ว!’ ร่างบางเอี้ยวตัวรีบหันหนีด้วยความตกใจ ก่อนตั้งสติคิดได้ว่าเขาคงจำนางไม่ได้ หยูเหวินหยาจึงตัดสินใจหันกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับย่อตัวทักทายชายตรงหน้า พลันใช้ความคิด ‘ดูจากการแต่งกายที่สวมชุดเหมือนบัณฑิตทั่วไป องค์ชายสี่คงจะลอบออกจากวังมาเดินตลาดในฐานะคนธรรมดาแน่’
“คุณชาย! หากจะเช่าห้องพัก ขอเชิญท่านเข้าแถวก่อน” เสียงเล็กบอกหลี่ซื่อประหนึ่งว่าไม่รู้จักเขา
“ข้าไม่ได้จะเช่าห้อง เพียงแค่เดินผ่านมาแล้วเห็นแม่นางทำการค้าไม่หวังผลกำไรเช่นนี้ ข้าจึงอดชื่นชมไม่ได้ และขอเป็นตัวแทนของคนทั้งหมดขอบคุณแม่นางที่มีใจโอบอ้อมอารีเช่นนี้”
หยูเหวินหยายิ้มรับ คิดแล้วว่าองค์ชายสี่คงจำนางไม่ได้ เพราะปกติจะปิดหน้ามิดชิดเว้นเพียงดวงตากับปาก แล้วก็เป็นจริงตามนั้น นางสังเกตนัยน์ตาองค์ชายสี่ที่ทอดมองนางก็พลันนึกหวั่น ประกายตาของเขาใสราวกับชายที่ต้องใจสตรี
“ข้าหมายใจอยากได้ของสักชิ้น อีกไม่นานจะครบรอบวันเกิดท่านย่าของข้า ข้าอยากได้ของขวัญสักชิ้น แม่นางพอจะหาของขวัญชิ้นนั้นให้ได้หรือไม่”
“คุณชายต้องการแบบใด” ร่างบางย้อนถาม
“ข้าอยากได้แบบที่แสดงถึงความกตัญญู ราคาไม่เกี่ยง ข้าสนิทกับท่านย่านัก แต่คงไม่มีสิ่งของนั้นแน่ เอาเป็นว่าแม่นางช่วยดูตามเหมาะสมแล้วกัน”
หลี่ซื่อยิ้มละมุน รอยยิ้มเขาน่าลุ่มหลงประหนึ่งจะกระชากใจสตรีเช่นเคย แต่ครั้งนี้แฝงความหวานจนหยูเหวินหยาต้องหลุบตา อย่างไรนางก็เป็นคนสกุลเหิง ถึงลอบออกมาและเตรียมจะแยกตัวคืนอิสระให้ตนเอง ทว่าตอนนี้ยังมีพันธะที่ยังไม่สะบั้นจึงไม่อาจปล่อยใจได้
เมื่อกลับจวนเหิง เซียงเซียงที่อยู่เฝ้าดูลู่ทางในจวนก็รีบแจ้งเรื่องข้าวของที่คุณหนูให้จัดเก็บใส่หีบ ว่าตอนนี้พร้อมเตรียมเดินทางแล้ว
หยูเหวินหยานั่งที่โต๊ะในห้องส่วนตัว มือบางเปิดกล่องไม้ หยิบกระดาษที่อยู่ด้านในซึ่งชี้แจงรายละเอียดเรื่องการขอแยกตัวออกจากสกุลเหิง และตัดทิ้งสิ้นพันธะผูกพันระหว่างเหิงเจี้ยงกับนาง แม้จะไม่ได้เข้าพิธีอย่างถูกต้อง ทว่าก็ควรเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรแสดงเจตนาและลงชื่อให้เรียบร้อย ดีกว่าหายตัวไปเฉยๆ ให้คนจวนเหิงต่อว่าสกุลหยูได้
‘เหวินหยา ข้าใช้ร่างเจ้าเพื่อกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ข้าแสดงความกตัญญูต่อบิดากับมารดาของเจ้าด้วยการเข้าจวนเหิง ทำหน้าที่อนุแทนเจ้าแล้ว ข้าขอให้เจ้าไปสู่ภพแห่งความสุขสงบเถอะนะ ต่อไปข้าขอใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อตัวข้าเองบ้าง ข้าจะเป็นหยูเหวินหยาต่อไป แต่ไม่ขอเดินตามทางที่บิดามารดาเจ้าจูงอีก เจ้าอย่าถือสาข้าเลยนะ’ วิญญาณในร่างนี้รำพันถึงวิญญาณดวงเก่า นัยน์ตานางทอดมองเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย ก่อนที่เซียงเซียงจะถามขึ้นจนนางหลุดจากภวังค์
“คุณหนู! ตกลงตัดสินใจแน่วแน่แล้วหรือเจ้าคะ และจะไปเมื่อใดเจ้าคะ” เสียงเล็กถามอย่างใคร่รู้
“อีกสองวันข้าจะเดินทาง” หยูเหวินหยาตอบพลางนึกถึงคำของอิงอู่ เรื่องอดีตกาลอันนานนมถึงพันภพพันชาติที่ต้องสะสางให้จบในชาติภพนี้ นางตรองแล้วว่าระหว่างนางกับเหิงเจี้ยงคงจะให้รักดูดดื่มเฉกเช่นนิมิตที่นางเคยประจักษ์ไม่ได้แน่ หากวิญญาณนางต้องดับสลายจริง ขอใช้เวลาที่เหลือของชีวิตใหม่นี้ทำตามใจตนและหาความสุขให้ตัวเองดีกว่า
จวนเหิงวุ่นวายกับการเสด็จมาขององค์ชายสี่อีกครั้ง หลี่ซื่อนัดหมายกับเหิงเจี้ยงเป็นการส่วนตัวตามประสาสหายรัก ทั้งสองหารือกันถึงเรื่องงานเมืองและเรื่องทั่วไป ความเคร่งเครียดก่อตัวสลับกับเสียงหัวเราะ กระทั่งหลี่ซื่อเอ่ยถึงอนุภรรยาของอีกฝ่าย
นัยน์ตาที่สุกสกาวของสหายรักก็เปลี่ยนไปโดยพลัน องค์ชายสี่เอ่ยขอไปพบนางถึงเรือนซุ่นซู ด้วยวันนี้ได้นำบางสิ่งติดตัวมาหมายมอบให้นางที่เป็นสหายใหม่ เหิงเจี้ยงพาหลี่ซื่อเดินพ้นประตูที่แสดงอาณาเขตของเรือนซุ่นซู
เสียงหัวเราะของหญิงสาวเต็มไปด้วยความสดใส จนผู้มาใหม่ทั้งสองรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
ตลอดเวลาที่อยู่ในจวน เหิงเจี้ยงมาเหยียบเรือนซุ่นซูแห่งนี้นับครั้งได้ และครั้งนั้นก็เป็นยามอาทิตย์ลับดับแสง ท้องฟ้ามืดมัวจนเขาไม่ทันสังเกตบรรยากาศภายในเรือนนี้ ที่แต่ก่อนเป็นเรือนร้างไร้พฤกษาและบุปผานานาพรรณ ทว่ามาตอนนี้ทั่วทั้งเรือนน่ารื่มรมย์กว่าเรือนใหญ่ของเขาเสียอีก
ชายผู้มาใหม่ทั้งสองทอดสายตามองภาพเบื้องหน้า พบร่างหยูเหวินหยาในชุดสีชมพูดูหวานสะพรั่ง ถึงแม้จะปิดมิดทั้งกาย แต่ตอนนี้นางดูแช่มชื่นกว่าช่วงที่ผ่านมานัก เซียงเซียงลอบเห็นว่ามีผู้รุกล้ำก็พลันกระซิบเสียงเบา ส่งสัญญาณให้คุณหนูที่รักที่กำลังอภิรมย์กับการทำโคมกระดาษอย่างขะมักเขม้น
พวกนางเตรียมตัวออกจากจวนในวันถัดไป เวลาที่เหลือจึงหมายจะเก็บความทรงจำดีๆ ในเรือนซุ่นซูแห่งนี้ และคืนนี้มีเทศกาลเทียนเติง โดยชาวบ้านจะนำโคมกระดาษที่ทำเองมาลอยพร้อมกับอธิษฐานขอความสุขจากสวรรค์ พวกนางจึงหมายมั่นอยากทำโคมลอยเองบ้าง
หยูเหวินหยาได้ยินเสียงแผ่วของสาวใช้คนสนิทบอกถึงการมาเยือนขององค์ชายสี่กับสามี จึงรีบวางมือจากสิ่งของตรงหน้า ยืนตรงพลางประสานมือก่อนย่อตัวลงเล็กน้อยอย่างงดงาม
คำทักทายแรกขององค์ชายสี่คือเสียงหัวเราะและรอยยิ้มฉันมิตร เขาอดขันที่นางรีบจนเศษกระดาษที่เปื้อนกาวติดกับชุดสีชมพูหวานไม่ได้ เขาไม่ถือตัวพลางขยับเข้าไปใกล้ด้วยใจบริสุทธิ์ ฝ่ามือใหญ่เลื่อนต่ำเพื่อหยิบเศษกระดาษออกจากชุดของสหายหญิง
นัยน์ตาคมของเหิงเจี้ยงปราดมองท่าทีขององค์ชาย ใจเขาพลันกระตุกเต้น ทั้งที่รู้ว่าหลี่ซื่อไม่มีเจตนาแอบแฝง ทว่าก็อดขุ่นมัวไม่ได้ ด้านหยูเหวินหยาวางตัวตามมารยาท ยิ่งนางเห็นสามีตาเขียวก็ยิ่งหวั่นวิตก เกรงว่าสามีจะหาเรื่องต่อว่านางอีก อย่างไรวันพรุ่งก็จะจากกันแล้ว นางจึงไม่อยากเพิ่มเรื่องหมางใจสร้างความทรงจำที่ย่ำแย่ให้มากขึ้น
หลี่ซื่อให้กงกงคนสนิทส่งมอบกรงนกที่ด้านในมีวิหคตัวผู้ขนสีฟ้าให้แก่หยูเหวินหยา ด้วยครั้งแรกที่ทั้งสองพบกันนั้น เคยวิพากษ์เรื่องนกที่พิการบินไม่ได้ตัวหนึ่ง ซึ่งหลี่ซื่อยังจำได้ และไม่รู้ว่านกตัวนั้นในยามนี้ไม่ได้อยู่ในจวนนี้อีกต่อไปแล้ว
“เมื่อวันก่อนข้าไปเดินตลาดและบังเอิญได้พบนกตัวนี้ มันโบยบินไม่ได้เช่นเดียวกับนกของเจ้า ข้าเลยนำมันกลับมา หมายให้นกสองตัวที่อาภัพด้วยชะตาต้องกันได้พานพบและอยู่ครองคู่กัน อย่างน้อยคงช่วยคลายความหมองเศร้าของมันทั้งสองได้บ้าง”
วาจาขององค์ชายสี่ทำให้หยูเหวินหยายิ่งเคารพนับถือ ‘แค่สัตว์ตัวเล็กเขายังใส่ใจถึงเพียงนี้ ภายภาคหน้าหากองค์ชายได้ขึ้นครองราชย์ปกครองทั่วหล้าต่อจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แผ่นดินนี้คงไม่มีราษฎรที่ต้องทนทุกข์อีกแล้วกระมัง’ นางลอบคิดในใจ
นกน้อยถูกส่งมอบพร้อมกรงใหญ่สวยหรูและกว้างขวาง ตรงกลางกรงมีบ้านหลังน้อยบนต้นไม้อีก เพราะผู้เป็นองค์ชายมีรับสั่งให้ข้าราชบริพารในวังทำขึ้นมาเป็นการด่วน หมายนำมามอบให้ทันในวันนี้
“ขอประทานอภัยเพคะ ถึงองค์ชายนำมันมาหมายให้มีเพื่อน แต่นกตัวนั้นตายจากไปแล้วเพคะ” หยูเหวินหยาบอกความ
“จริงรึ! เฮ้อ... ช่างน่าสงสารนัก” ใบหน้าหล่อเหลาหมองเศร้าลงทันตา
“ขอให้องค์ชายคิดในแง่ดีเพคะ มันสิ้นลมน่าสงสารก็จริง แต่ความพิกลพิการก็สร้างความทนทุกข์ให้มันมานานเช่นกันเพคะ ถือว่าได้ชดใช้เวรกรรมแล้ว ถึงเวลาที่จะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมที่ทนทุกข์ โผทะยานอย่างอิสระ แม้จะเหลือเพียงวิญญาณก็คงดีกว่าอยู่อย่างอัปลักษณ์และถูกจองจำจนหมดอิสรภาพเพคะ”
วาจาของหยูเหวินหยาส่งผลให้ชายทั้งสองตรองตาม พวกเขารู้สึกเหมือนนางพูดตัดพ้อในชะตาชีวิตของตนเองเสียมากกว่า
“แต่หม่อมฉันยินดีที่จะรับนกตัวนี้มาเลี้ยงดูเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาต่อนกทั้งสองตัวนะเพคะ” เสียงใสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง
ท่ามกลางการสนทนาของทั้งคู่ นัยน์ตาสีนิลดำขลับของสามียังคงจับจ้อง เขาหงุดหงิดจนอยากเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง ความงุ่นง่านพานบังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ‘นี่ข้าหึงนางหรือ’ ชายหนุ่มย้อนถามตัวเอง ‘ไม่! ข้าแค่คิดตามหน้าที่ของสามีที่มีต่อภรรยาเท่านั้น หาได้คิดหึงหวงเป็นอื่นใดกับนางไม่’ เหิงเจี้ยงปฏิเสธความรู้สึกตนเองที่แสนว้าวุ่น
ระหว่างการสนทนาหลี่ซื่อทอดสายตามองบนโต๊ะหิน เห็นว่ามีกระดาษและก้านไม้เลยเอ่ยถาม จึงได้รู้ว่าพวกนางกำลังทำโคมลอย เขารีบออกตัวขออาสา เกิดมายังไม่เคยลองทำโคมเองสักครา ด้วยมีบริวารช่วยจัดหาให้ตลอด มาเห็นหยูเหวินหยาทำเช่นนี้เขาจึงนึกสนุกตาม
องค์ชายคิดว่าเหิงเจี้ยงสหายรักติดตามมาด้วย เลยสามารถอยู่ในเรือนซุ่นซูได้นานขึ้น เพราะคิดว่าคบหญิงสาวเป็นสหายอย่างเปิดเผยต่อหน้าสามี คงไม่เกิดคำครหานินทา ทว่าหารู้ไม่ว่าทุกวินาทีที่เขาอยู่ในเรือนซุ่นซูนานขึ้น และทุกรอยยิ้มที่ศรีภรรยาส่งให้สหายผู้นี้ ผู้เป็นสามีก็ยิ่งร้อนรุ่มดุจมีไฟสุ่มในใจ
‘จำเป็นด้วยหรือที่สหายข้าที่เป็นถึงองค์ชายต้องลดตัวมานั่งทำโคมกับภรรยาข้าเช่นนี้ และจำเป็นด้วยหรือที่เจ้า... ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นอนุของข้า ต้องยิ้มหัวกับชายอื่น ทำตาใสเหมือนข้าเป็นเพียงตุ๊กตาประดับร่วมโต๊ะเช่นนี้’ ยิ่งคิดไฟในใจก็ยิ่งร้อนระอุ ทว่าไม่สามารถระเบิดความรู้สึกออกมาได้
“คืนนี้เจ้าก็พาภรรยาเจ้าไปด้วยสิ เหิงเจี้ยง คงสนุกนักถ้าไปหลายคน” เสียงหลี่ซื่อเอ่ยกับเหิงเจี้ยง เขาทั้งสองนัดหมายไว้ว่าจะไปเดินเล่นในงานเทศกาลเทียนเติง เพื่อหวนนึกถึงมิตรภาพในวันวาน ทว่าองค์ชายสี่กลับบอกให้ชวนหยูเหวินหยาไปด้วย ชายหนุ่มหน้าน้ำแข็งพลันขมวดคิ้วแสดงความไม่พึงใจ
“แม้งานนี้คนจะมาก แต่ไปเดินกลางคืน พวกเขาคงไม่สังเกตรูปลักษณ์ของเจ้าหรอก” องค์ชายสี่แสนดียังออกความคิด ทว่าเงาดำกลับครอบใจอีกคนจนมืดหมอง เมื่อไม่อาจเอาความหงุดหงิดมาลงกับองค์ชายสี่ได้ จึงไปลงกับภรรยาตนแทน
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ออกไปเดินทั้งที่รูปโฉมอัปลักษณ์เช่นนี้ จะกลางวันหรือกลางคืนคนก็พบเห็นอยู่ดี” เสียงใหญ่เข้มคล้ายมีเรื่องเคืองขุ่นเอ่ยขึ้น มองหยูเหวินหยาตาขวาง
นางที่ชำเลืองมองสามีพลันสงสัย ‘ข้าทำอะไรผิดอีกหรือไร สามีถึงทำตาเขียวใส่เช่นนี้’ นางคิดโมโหชั่ววูบ แต่เมื่อตรองว่าอีกวันก็จะหลุดพ้น ร่างในชุดหนาเลยยืนนิ่ง ปล่อยให้สามีตอกย้ำคำว่า ‘อัปลักษณ์’ ต่อไป เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ‘เพราะสามีคอยดูแคลนข้าเช่นนี้อย่างไร ข้าถึงไม่อยากเผยตัวลอกเปลือกนอก ปล่อยสามีข้าโง่งมเช่นนี้น่ะดีแล้ว’ หยูเหวินหยารำพันกับตนเองอย่างตัดพ้อ
หลี่ซื่อได้ฟังคำสหายก็พลันส่ายหน้า พลางคิดว่าเมื่อไรความเย็นชาของสหายรักจะเบาบางลง เมื่อไรจะเปิดความรู้สึกให้หญิงอื่นเข้าไปอุ่นใจ ยึดติดแต่สตรีในอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์ ที่กลับลิ้นลวงหลอกจะมอบคำรักและหมายมั่นจะแต่ง ทว่าหนีไปแต่งให้บุตรขุนนางตำแหน่งใหญ่กว่าแทน
องค์ชายสี่หวนคิดถึงอดีตของสหายรัก วันนั้นชุดเจ้าบ่าวสีแดงพร้อมเกี้ยวที่มีเหิงเจี้ยงแห่นำขบวน หมายจะไปรับเจ้าสาวที่รักกลับร้างผู้ขึ้นนั่ง ด้วยร่างอรชรในชุดสีแดงคลุมผ้ามงคลเลือกขึ้นเกี้ยวอีกหลังที่โอ่อ่ากว่า ทั้งยังนำขบวนมาด้วยบุตรมหาเสนาบดีที่มากล้นด้วยอำนาจ ใต้หล้าต้องยอมนอบน้อม เกี้ยวนั้นคงนั่งสบายกว่าเกี้ยวธรรมดาจากบุตรคนโตของแม่ทัพใหญ่เป็นแน่
หลี่ซื่อผู้รู้ทุกอย่างเพราะเป็นสหายรักมาแต่เยาว์วัยสลัดความคิดนั้นออกไป อยากช่วยหญิงตรงหน้าที่เป็นเพียงอนุภรรยาให้มีความสุขกับสหายคนนี้ยิ่ง ทว่าคงยากเย็นเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เมื่อใจที่ถูกแช่แข็งไม่ยอมเปิดรับไออุ่นจากใจของสตรีใดเลยนับตั้งแต่วันนั้น
พิธีแต่งงานในความคิดของเหิงเจี้ยงจึงหมดความศักดิ์สิทธิ์นับแต่ครั้งอดีต การไปรับคุณหนูตระกูลหยูที่เป็นแค่อนุภรรยาและไม่ได้ชอบพอ อีกทั้งยังเป็นแค่เครื่องต่อรองอำนาจของสองตระกูล จึงยิ่งเป็นมุมมองที่น่าขันในความคิดของเขา
ความคิดเห็น |
---|