4

สี่


สี่

 

หน้าประตูจวนเหิง ทุกคนยืนต้อนรับองค์ชายสี่กันอย่างชื่นมื่น ขบวนเสด็จแห่เกี้ยวหลังใหญ่ตกแต่งด้วยผ้าพลิ้วสีทองรอบด้านแสดงอำนาจมั่งมีของเจ้าของเกี้ยว กายใหญ่เยื้องย่างออกมาสู่สายตาทุกคู่ทันทีที่กงกงคนสนิทเปิดม่านสีทอง

“ถวายบังคมองค์ชายสี่” เสียงคนสกุลเหิงแซ่ซ้องนอบน้อมต่อร่างองอาจสูงโปร่ง ใบหน้าขาวนวลดังมิเคยต้องแสง เส้นผมดำรวบขึ้นแล้วสวมด้วยกว้านทองเนื้อดี แสดงถึงยศถาบรรดาศักดิ์แก่ผู้ที่พบเห็น

เหิงเจี้ยงยิ้มรับองค์ชายสี่ซึ่งมีนามว่าหลี่ซื่อ ผู้ที่ใกล้เคียงตำแหน่งรัชทายาทที่สุดในเวลานี้ ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน เพราะหลี่ซื่อได้กราบบิดาเหิงเจี้ยง อดีตแม่ทัพใหญ่ให้เป็นอาจารย์ฝ่ายบู๊ ทั้งสองจึงมีโอกาสได้ร่ำเรียนด้วยกันเสมอ

เมื่อโตขึ้นองค์ชายสี่ก็ถูกตีกรอบให้มุ่งเรื่องราชกิจ ส่วนเหิงเจี้ยงมีหน้าที่สืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ พวกเขาจึงห่างหายกันบ้าง ทว่ายังคงรักใคร่สนิทสนมเฉกเช่นเดิมมิเปลี่ยน ดังนั้นการกลับมาจากชายแดนของเหิงเจี้ยงที่กินระยะเวลานานถึงห้าปี จึงเป็นข่าวดีต่อหลี่ซื่อยิ่ง เขาจึงอดใจมาเยี่ยมเยียนสหายรักไม่ได้

องค์ชายสี่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ขณะอยู่ในโถงรับแขกของจวนเหิง ทั้งเหิงเจี้ยงและสองศรีภรรยานั่งเรียงกันโดยมีบ่าวรับใช้ยืนหลบมุมอยู่ด้านหลังตามมารยาท นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองฮูหยินของสหายสนิท ในขณะที่พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเหิงเจี้ยงอย่างเป็นกันเอง

ทางชิวหูผู้แสนเฉียบแหลมสังเกตเห็นท่าทีองค์ชายสี่เหมือนกำลังมองหาใครบางคน จึงถือวิสาสะเข้าไปกระซิบข้างหูเจ้านายที่รักเพื่อบอกความ

“องค์ชายทรงมองหาใครหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสียงใหญ่ทักถามตามความที่รับมาจากกุนซือคนสนิท เขาก็สังเกตเห็นสายตาหลุกหลิกของสหายรักผู้มีฐานันดรศักดิ์เช่นกัน

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ารับอนุคนใหม่เข้าจวน แต่ข้ามิเห็นนางในที่นี้เลย”

ทันทีที่ผู้มีศักดิ์ใหญ่เอ่ยถาม ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์พลันใจกระตุก เกรงความที่นางห้ามปรามหยูเหวินหยาไว้จะรั่วไหล เหิงเจี้ยงพลางถอนหายใจก่อนเอ่ยตอบตามตรง

“นางเป็นเช่นนี้ละ มักเก็บตัวไม่ออกมาพบผู้ใด” เหิงเจี้ยงเอ่ยอย่างเย็นชา

ฮูหยินใหญ่ได้ทีจึงเสริมต่อ “ใช่เพคะ นางคงอายในรูปลักษณ์แสนน่าเกลียด และคงเจียมตนเรื่องคำสาปร้ายจนไม่กล้าเข้าใกล้องค์ชายเพคะ” เสียงใสเอ่ยเป็นตุเป็นตะ

“อ้อ! เช่นนั้นคงจริงสินะที่ผู้คนเล่าลือกัน ที่มีข่าวสะพัดว่าอัปลักษณ์ดั่งต้องสาป เอ่อ… ข้าขออภัยที่เอ่ยตรงๆ ข้ามิได้จงใจว่าร้ายอนุคนใหม่เจ้าหรอกนะเหิงเจี้ยง ความจริงนอกจากมาเยี่ยมเจ้า ข้าก็อยากมาทำความรู้จักอนุคนใหม่ของเจ้าสักครั้ง คงไม่ดีหากข้าที่สนิทกับเจ้าจะละเลยเรื่องนี้”

“กระหม่อมจะว่าอันใดได้ในเมื่อนางเป็นเช่นนั้นจริง ที่แต่งนางก็เพราะกระหม่อมได้ช่วยชีวิตท่านหยูบิดานาง และท่านหยูก็สำนึกในบุญคุณจึงส่งบุตรสาวมาตอบแทน แต่บุตรสาวสกุลหยูที่ยังไม่ได้ออกเรือนก็เหลือเพียงนางผู้เดียว กระหม่อมเอ่ยคำใดมิได้ จำใจต้องรับนางมา” เหิงเจี้ยงรำพึงรำพัน เล่าความอึดอัดให้องค์ชายสี่ที่เป็นสหายสนิทฟัง

ทั้งหมดยังคงยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเอ่ยเล่าจนตะวันคล้อย เพราะเวลาที่เหินห่างสร้างเรื่องราวมากมายที่อยากเล่าขานให้คนรู้ใจได้ฟัง ก่อนหลี่ซื่อจะกลับได้ขอเดินชมสวนของจวนเหิง ที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนนานหลายปีให้หวนคิดถึงความหลัง ทว่าในเวลาเดียวกันเหิงเจี้ยงที่ได้รับความจากทหารที่เฝ้าค่ายฝึกว่ามีกลุ่มทหารฝ่าฝืนวินัยก่อการทะเลาะวิวาท ในฐานะผู้บังคับบัญชา เขาจึงต้องปลีกตัวไปตัดสินเรื่องราว โดยให้สหายรักพักผ่อนหย่อนใจตามอัธยาศัย

สองฮูหยินเดินชิดประกบหลังองค์ชายสี่หมายทำหน้าที่แทนสามี พวกนางยิ้มหวาน เสียงขับขานแนะนำพื้นที่อย่างฉอเลาะ จนข้ารับใช้ขององค์ชายสี่ต่างก้มหน้าแอบอมยิ้ม ทว่าองค์ชายผู้สูงศักดิ์อยากรำลึกถึงความหลังมากกว่าฟังเสียงเจื้อยแจ้วของสองฮูหยินที่พร่ำแต่เรื่องในครอบครัว จนเขาต้องเอ่ยตัดบทขอเดินเพียงลำพัง

หลี่ซื่อเดินชมสวนกว้างที่ตกแต่งอย่างหรูหราไม่ต่างจากวังหลวง เบื้องหน้ามีสะพานหินโค้งพาดไปยังศาลากลางสระน้ำ และทอดยาวผ่านไปยังอีกฟากของจวนใหญ่ องค์ชายสี่ตั้งใจเดินตรงไปหมายรำลึกถึงความหลัง

การฝึกทวนอย่างมาดมั่นเพราะอยากเก่งกล้าแข่งกับเหิงเจี้ยงที่อาจหาญมากความสามารถตั้งแต่วัยเยาว์ คือภาพความประทับใจหนึ่งที่ตราตรึงใจมิรู้หาย แต่วันคืนช่างผ่านไปรวดเร็วนัก จนเขากับสหายรักโตถึงวัยที่ต้องแยกตัวไปสร้างครอบครัว

ขณะที่ร่างใหญ่ตกอยู่ในความคิดหวนถึงความหลัง จู่ๆ เสียงแว่วหวานก็ดังขับขานมาตามสายลม ช่างกังวานสะกดใจผู้ฟัง ทั้งไพเราะและตรึงใจจนยากจะสลัดความเคลิบเคลิ้ม

หลี่ซื่อหลับตาพริ้มฟังทำนองบรรเลงจากเครื่องดนตรีประหลาด เสียงเสนาะจับใจเช่นนี้แต่เขากลับไม่เคยฟังมาก่อน ร่างสูงใหญ่มิอาจสลัดความสงสัย จึงเดินตามหาที่มาของเสียง กงกงคนสนิทและผู้ติดตามเห็นเช่นนั้นจึงย่างเท้าก้าวประชิดติดตามนายไปในทันที

สองขายาวหยุดอยู่หน้าประตูไม้ที่แสดงอาณาเขตของใครบางคนในจวนเหิง นัยน์ตาสีน้ำตาลทอประกายมองป้ายไม้ที่ตวัดอักษรว่า ‘เรือนซุ่นซู’ บานประตูของเรือนเปิดกว้าง มิได้แสดงว่าเป็นเขตต้องห้ามอันใด ร่างใหญ่จึงเข้าไปในทันที

นัยน์ตาหลี่ซื่อทอดมองภายในที่ตกแต่งด้วยไม้ประดับและไม้ยืนต้นหลากหลาย แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องลงมายังพรรณไม้ที่ตัดแต่งงาม กายใหญ่เหลียวซ้ายแลขวา ชมบรรยากาศโดยรอบอย่างเพลินใจ กระทั่งพบมวลผีเสื้อบินชื่นชมบุปผาหลากสีสันที่ส่งกลิ่นยั่วเย้า รอยยิ้มบุรุษพลันฉีกกว้าง

ยามนี้หลี่ซื่อประหนึ่งย่างกรายเข้าไปในแดนสวรรค์ ใจเต้นระทึกด้วยภาพดุจห้วงฝันตรงหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลพราวระยับด้วยแสงทองอำไพที่สาดลงมาในบริเวณกว้าง

‘แม้กระทั่งผีเสื้อยังลุ่มหลง ข้าก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง แล้วจะไม่ให้ข้าหลงเพ้อฝันก็คงหาได้ไม่’ เขาคิดพร้อมสอดส่ายสายตามองหาต้นเสียงที่ดังราวกับสะกดจิต ช่างยั่วเย้าใจเขาจนไหวสั่น

ในที่สุดสายตาก็หยุดนิ่งเมื่อพานพบกับภาพหญิงสาวตรงหน้า ที่รายล้อมด้วยหมู่ผีเสื้อสีสันจับตาจำนวนมาก นางยกแขนสองข้าง ใช้มือจับสิ่งของประหลาดแตะเบาๆ บนริมฝีปากที่แง้มออกจากผ้าสีชมพูอ่อนที่พันโพกทั้งศีรษะ ดวงตานางที่โผล่พ้นจากการถูกปกปิดช่างคมหวาน ทั้งแพขนตาที่งอนยาวหนาและดกดำดูมีมนตร์ขลังจนไม่อาจละสายตาไปได้

“อุ๊ย! ท่านเป็นใครกัน” เสียงสาวใช้ดังขึ้น หยุดเสียงดนตรีของหยูเหวินหยา พานพาให้องค์ชายสี่หลุดจากภวังค์

“บังอาจ! พบองค์ชายแล้วยังไม่ถวายความเคารพ ยังกล้ามาเอ่ยวาจาห้วนๆ อีก” กงกงที่ยืนข้างกายผู้มีศักดิ์ดุเซียงเซียงกับหยูเหวินหยา จนทั้งสองต้องรีบยอบตัวทำความเคารพในทันที

“ลุกขึ้นเถิด ข้าต่างหากที่เสียมารยาทเข้ามาในเรือนของเจ้าโดยพลการ มาทำลายเวลาส่วนตัวที่เจ้ากำลังเล่น... เอ่อ... เล่น...” เสียงองค์ชายสี่หยุดลง เพราะเขาไม่รู้ว่าเครื่องดนตรีในมือหญิงสาวตรงหน้าคือสิ่งใด นางจึงเอ่ยปากบอก

“ซวินเพคะ เป็นเครื่องดนตรีเก่าแก่ ปกติจะทำจากดินเผา แต่ซวินสือหลิวซิงของหม่อมฉันทำจากหินดาวตกเพคะ” หยูเหวินหยาสำรวมคำ

“ซวิน อ๋อ! ข้าไม่เคยฟังเสียงมันมาก่อน แล้วซวินนี้ทำมาจากหินดาวตกเชียวหรือ” เสียงใหญ่ถามไถ่อย่างใคร่รู้ ในขณะที่สายตายังจับจ้องซวินในมือของหญิงสาว

“เพคะ บิดาของหม่อมฉันได้มาด้วยความบังเอิญ และเห็นว่าหม่อมฉันเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เลยมอบให้ไว้เป่าคลายเหงาเพคะ” หยูเหวินหยากล่าวเรื่องจริง ด้วยซวินนี้เป็นของเจ้าของร่างที่มักนำมาเป่าเพราะต้องอยู่ลำพังอย่างอ้างว้างโดดเดี่ยว นางจึงมีเพียงเสียงเพลง หนังสือ การวาดภาพ และงานบ้านงานเรือนเป็นเพื่อน ซึ่งวิญญาณดวงใหม่ในร่างเห็นมันผ่านความทรงจำที่ถูกทิ้งไว้

“เช่นเจ้าก็คืออนุคนใหม่ของเหิงเจี้ยงสินะ” องค์ชายสี่ย้อนถามด้วยน้ำเสียงตื่นใจ

“เพคะ หม่อมฉันมีนามว่าหยูเหวินหยาเพคะ” สองมือเธอประสาน ศีรษะโน้มลงเล็กน้อยอย่างงดงาม

“อ๋อ! นามช่างไพเราะ แต่น่าเสียดายนักที่ต้องเกิดมามีทุกข์ด้านรูปกายเช่นนี้” น้ำเสียงเขาแสดงความเสียดาย สายตาฉายแววสงสารนางอย่างชัดเจน

“ขอบพระทัยที่ทรงเข้าใจและไม่รังเกียจหม่อมฉันเพคะ แต่หม่อมฉันต้องขอให้พระองค์รีบเสด็จกลับเพคะ หม่อมฉันกลัวพระวรกายอันสูงส่งของพระองค์จะติดคำสาปร้ายจากหม่อมฉัน” เสียงใสเอื้อนเอ่ยดุจคนซื่อ ทำเอาองค์ชายสี่กลั้นความสำราญไม่ได้

“ฮ่าๆ คำสาปตามคำเล่าลือ ข้าว่าคงไม่มีหรอกกระมัง เพราะขนาดผีเสื้อ สัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าอ่อนโยนและรักสงบยังโบยบินมาเกาะตามตัวเจ้ามากมายเพียงนี้ หากมีคำสาปจริง พวกมันย่อมสัมผัสได้เร็วกว่ามนุษย์เป็นแน่” หลี่ซื่อเอ่ยแล้วขำ เพราะคิดเห็นแตกต่างจากคำเล่าอ้าง นัยน์ตาองค์ชายสี่มองรอบกายหญิงสาวตรงหน้าที่ยังคงมีผีเสื้อเกาะตามร่างนาง

หยูเหวินหยาได้ยินเช่นนั้น ใจก็พลันเต้นแรง ด้วยทึ่งในความคิดและการวางตัวที่เป็นกันเองจนนางเกือบลืมชนชั้นที่แตกต่าง ทว่านางก็ไม่ได้บอกอุบายที่ตระเตรียม ด้วยใจหมายจะยลโฉมองค์ชายตรงหน้า

“เหตุใดเจ้าจึงมิออกไปรอรับข้าเล่า อย่าบอกว่ากลัวเรื่องรูปลักษณ์และคำสาปอีกนะ” องค์ชายสี่ถามต่อ

“เพคะ หม่อมฉันคิดเช่นนั้นจริง เพราะทุกคนไม่ได้มีความคิดเปิดกว้างเช่นองค์ชายเพคะ หม่อมฉันถึงต้องปลีกตัวมาอยู่เพียงลำพัง” เสียงหยูเหวินหยาหมองเศร้าชวนให้หดหู่นัก

“เฮ้อ! เหิงเจี้ยงนะเหิงเจี้ยง ทำเจ้าทุกข์ใจโดยไม่รู้ตัวเข้าแล้ว อย่าถือสาสหายข้าผู้นี้เลย นิสัยเช่นนี้เป็นมาแต่เล็กแล้ว และฮูหยินทั้งสองก็ไม่ได้รับการปฏิบัติแตกต่างจากเจ้าเท่าไรนักหรอก เพียงแต่เจ้าต้องเลิกเก็บตัว พยายามเข้าหาสามีให้มากกว่านี้” หลี่ซื่อสอนสั่งด้วยความหวังดี เขารู้นิสัยสหายรักว่าแท้จริงแล้วมิได้เลวร้าย แต่เมินเฉยจนดูเย็นชาเท่านั้น

“ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงหม่อมฉันเพคะ แต่ความจริงอย่างไรก็เปลี่ยนไม่ได้ หม่อมฉันมีรูปกายเช่นนี้ แม้แต่สหายยังไม่มี แล้วจะให้เข้าหาสามี หม่อมฉันเกรงว่าเขาจะกลัว หม่อมฉันไม่อยากเห็นท่าทีเช่นนั้นเพคะ”

หยูเหวินหยาทอดถอนใจ รำพึงรำพันถึงเมื่อก่อนที่ใบหน้าและร่างกายยังผิดรูป นึกถึงสายตาและการถูกหยามเหยียดสารพัด แม้ตอนนี้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปแล้ว แต่นางก็ไม่ยินดีให้คนจิตใจคับแคบเหล่านั้นได้เห็น และไม่อยากถูกระรานจากสองฮูหยินที่เกรงกลัวว่านางจะแย่งสามี

“เช่นนั้นข้าจะเป็นสหายเจ้าเอง” องค์ชายหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้ม หยูเหวินหยารู้สึกชื่นใจที่ไม่โดนรังเกียจ

ร่างหนาชี้ไปยังกรงนกที่แขวนไว้ด้านข้าง มันถูกจัดเตรียมไว้โดยคำสั่งของนางที่ให้เซียงเซียงไปหามา พร้อมกับดอกไม้และผีเสื้อจำนวนมาก

“องค์ชายทอดพระเนตรในกรงนี้สิเพคะ หม่อมฉันก็เหมือนนกในกรงนี้ อยากจะมีสหายก็คงมีไม่ได้ ถึงองค์ชายจะลดพระเกียรติลงมาเพียงใด หม่อมฉันก็มิอาจไขว่คว้าเพคะ” เสียงเล็กตัดพ้อกับตนเอง

หลี่ซื่อได้ฟังก็ยิ่งสังเวช พลันเคลื่อนกายใหญ่เข้าไปใกล้กรงนก สองมือขาวเอื้อมไปเปิดประตูกรงนั้นทันที หมายให้นกที่ถูกจองจำโบยบินเป็นอิสระ ราวกับจะสื่อให้หยูเหวินหยาก้าวออกจากการเก็บตัวเป็นอิสระดั่งนกตัวนี้ ทว่านกตัวน้อยกลับไม่ขยับ มันทำเพียงจ้องมองประตูกรงที่เปิดอยู่ แต่ไม่ยอมโบยบิน

“ทำไมกัน” เสียงใหญ่อุทานด้วยความสงสัย

หยูเหวินหยาขยับกายเข้าไปใกล้ โน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยบอก “นกตัวนี้ก็เหมือนหม่อมฉันเพคะ ถึงจะมีประตูกว้างให้ออกไป แต่รูปลักษณ์พิกลพิการมิอาจโบยบินไปสู่ฟ้ากว้าง คล้ายหม่อมฉันมิอาจออกไปสู่ที่สาธารณะ ด้วยเกรงว่าจะทำชื่อสกุลเหิงเสื่อมเสียเพคะ”

องค์ชายสี่รับรู้ได้ถึงความระทมทุกข์ที่แอบแฝงอย่างท่วมท้นในใจหญิงสาวนางนี้ นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดมองร่างหยูเหวินหยาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอีกครั้ง ภาพหญิงสาวที่พันหุ้มด้วยผ้าปิดทั้งศีรษะไม่เห็นแม้เรือนผม มีเพียงดวงตาที่อ่อนโยนและริมฝีปากที่พ้นผ้า ทั้งร่างกายแขนขาลำตัวของนางดูหนาใหญ่เกินสตรี เขาก็พลันเวทนาในความอาภัพของนางยิ่ง

“หากเจ้าออกไปไม่ได้ เช่นนั้นคราวหน้าข้าจะมาหาเจ้าเอง ข้าตกลงแล้วว่าต่อไปเจ้าคือสหายของข้า หยูเหวินหยา” เสียงใหญ่เอ่ยบอกด้วยความหนักแน่นและยิ้มอย่างมีไมตรี

ใจของหยูเหวินหยาเต้นแรงอีกครั้ง ขนาดปฏิเสธทุกหนทาง แต่เขาก็ยังคงหยิบยื่นมิตรภาพและบอกจะมาหานางอีกโดยไม่คิดรังเกียจ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มด้วยความดีใจ

หากเป็นไปได้นางอยากให้ชายตรงหน้าเป็นสามีมากกว่าก้อนน้ำแข็งไร้ใจผู้นั้นเสียอีก

 

ยามดวงตะวันลาลับดับแสง ท้องฟ้ามืดมัวประดับด้วยดวงดาราพราวระยับดาษดื่น ภายในเรือนซุ่นซู หยูเหวินหยานั่งบนเก้าอี้ไม้ มือจับพู่กันตวัดลายเส้นเป็นภาพวาด คราก่อนนางเคยวาดภาพเซียงเซียงที่เป็นสาวใช้และเป็นเหมือนสหายเพียงคนเดียวที่มี ครานี้นางบรรจงสรรค์สร้างภาพสหายใหม่อีกคน นั่นคือองค์ชายสี่หลี่ซื่อ

ปัง!

เสียงประตูห้องถูกเปิดอย่างแรง ทำเอาหยูเหวินหยาถึงกับตกใจ ยั้งปลายพู่กันแล้วมองอย่างสงสัยไปทางต้นเสียง

“คุณชาย!” เซียงเซียงอุทานเรียกผู้มาเยือนดั่งพายุด้วยความตื่นตระหนก

ร่างใหญ่ของเหิงเจี้ยงเคลื่อนเข้ามาอย่างอุกอาจ ใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึงอย่างเด่นชัด เขาก้าวไปหาหยูเหวินหยาด้วยโทสะแรงกล้า

หยูเหวินหยาที่ได้ยินเสียงเซียงเซียงอุทานว่าคุณชาย ก็พอเดาได้ว่าคงเป็นเหิงเจี้ยงมาเยือน จึงรีบวางพู่กันและขยับกายมาด้านข้างโต๊ะ ยืนในท่าสงบเพื่อรอพบสามีตน แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจหยูเหวินหยากลับเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เพราะนี่คือครั้งแรกที่อนุภรรยาผู้นี้จะได้ยลโฉมสามี เพราะครั้งก่อนนางอยู่ใต้ผ้าคลุมมงคลทำให้เห็นได้เพียงเค้าร่าง จากนั้นก็หมดสติเพราะพิษไข้ไปเสียก่อน

ทันทีที่ร่างสูงใหญ่เผยตัว ดวงตาหวานก็เบิกโพลงด้วยความตกใจ รูปร่างชายตรงหน้าช่างสูงตระหง่าน แขนขาเรียวยาวกำยำ เรือนผมสีดำสนิทดุจพลอยนิล คิ้วเรียวเข้มสมส่วนกับโครงหน้าเรียว จมูกโด่งสันรับกับริมฝีปากหยักได้รูป นัยน์ตาสีนิลดำขลับคู่นั้น เพียงแรกพบสบตานางก็จำได้ทันทีว่าเขาคือชายในฝันที่เฝ้าถวิลหา

ใจของหญิงสาวเต้นถี่ ร่างเกร็งไปทั้งตัว เหตุใดสามีนางถึงมีหน้าตาพิมพ์เดียวกับชายในฝันไม่ผิดเพี้ยนเช่นนี้ แต่ในความฝัน ริมปากหยักนั้นยิ้มละมุนเสมอ ดวงตาคมทอแสงแห่งรักทุกครั้ง ทว่าชายตรงหน้ากลับบึ้งตึง อีกทั้งนัยน์ตายังฉายแววเย็นชา เพียงแค่ปรายตามองก็รู้สึกถึงความกดดันมหาศาล

“เจ้านี่เจ้าเล่ห์เสียจริง กล้ามากถึงขนาดใช้เล่ห์เหลี่ยมจิ้งจอกหลอกล่อองค์ชายสี่” ร่างใหญ่แผดเสียงเข้ม หัวคิ้วขมวดชนแสดงความโกรธ

หยูเหวินหยาตกใจในคำที่ได้ฟัง มันรุนแรงจนใจเธอชา และที่หน้าตื่นใจไปกว่านั้นก็คือ แม้กระทั่งน้ำเสียงที่เปล่งออกมายังเหมือนกับเสียงของชายในฝันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ภาพความหวานซาบซ่าน ความอบอุ่นถูกฉีกด้วยภาพปีศาจตรงหน้า

“ท่านพี่เอ่ยสิ่งใดหรือเจ้าคะ ข้าไม่เข้าใจ” หญิงสาวสะกดกลั้นอารมณ์ พยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่เขากลับฟังแล้วเหมือนนางยอกย้อนแสร้งทำเป็นไม่รู้

“เจ้าหลอกล่อองค์ชายสี่มาเรือนนี้ แล้วใช้เล่ห์ขอให้พระองค์เป็นสหายและยอมรับปากจะพาเจ้าไปเที่ยวในวัง เจ้าจะบอกว่าไม่รู้เรื่องนี้รึ” ร่างสูงใหญ่มีสีหน้าตึงเครียด หากนางอยู่อย่างสงบเขาก็ยังพอรับได้ ถึงแม้คนอื่นจะกล่าวถึงเรื่องคำสาปก็ตาม แต่นางกลับกล้ายั่วยุให้องค์ชายสี่พาเข้าวังหลวง สตรีแบบนี้เขาแสนเดียดฉันท์

ในใจหยูเหวินหยาหน่วงหนัก นางแค่อยากเห็นพระพักตร์องค์ชาย ไม่ได้คิดหลอกล่อแต่อย่างใด ทั้งไม่เคยขอให้องค์ชายเป็นสหายด้วยซ้ำ และไม่ได้ขอให้พาไปเที่ยวที่ใดทั้งสิ้น แต่สามีนางกลับมาพูดเองเออเองฝ่ายเดียว ทั้งยังว่านางใช้เล่ห์จิ้งจอกอีก ความรู้สึกตอนนี้ทั้งเจ็บหน่วงและปวดหนึบ

หญิงสาวขบริมฝีปากอย่างอัดอั้น นับหนึ่งถึงสิบในใจก่อนตัดสินใจเอ่ยคำต่อ

“ข้าไม่เคยขอให้องค์ชายสี่พาไปที่ใด ส่วนเรื่องสหายนั้น องค์ชายเป็นฝ่ายเอ่ยเอง ข้าเป็นเพียงแค่หญิงศักดิ์ต่ำ เป็นแค่อนุลับๆ ของท่านพี่ แล้วข้าจะเอาอำนาจใดไปจูงใจองค์ชายผู้มากด้วยอำนาจบารมีได้ ท่านพี่เอ่ยเช่นนี้ไม่ยุติธรรมกับตัวข้าเลย ข้าก็ถือว่าเป็นภรรยาท่าน แม้เพียงแค่ในนาม แต่ตัวข้าก็หวังอยู่อย่างสงบ ไม่แม้แต่จะออกไปสร้างความเดือดร้อนให้คนในจวน และยิ่งไม่เคยเตร็ดเตร่ไปมาให้คนเสียขวัญด้วยซ้ำ แค่นี้ข้ายังแสดงความจริงใจไม่พออีกหรือ”

มือนางสั่นเล็กน้อย ด้วยกำลังสะกดกลั้นความรู้สึกและน้ำตาไม่ให้ไหลต่อหน้าชายใจน้ำแข็งผู้นี้ เพราะหากเห็นน้ำตา เขาคงหาว่านางใช้เล่ห์เหลี่ยมจิ้งจอกเรียกร้องความสงสารอีกเป็นแน่

เหิงเจี้ยงถอนหายใจยาว ใจเขาสงบลงบ้างเมื่อได้ฟังความจากปากภรรยา ทว่าอีกใจก็ยังเคลือบแคลงในตัวนางอยู่ดี เพราะนางเคยใช้เล่ห์ทำให้เขายอมลดตัวไปรับนางเข้าจวนด้วยตัวเองมาแล้ว จึงพอรู้ว่านางฉลาดหลักแหลมเพียงใด

“ขอให้เป็นเช่นที่เจ้าว่าแล้วกัน หากไม่เป็นเช่นนั้นข้าคงอยู่เฉยไม่ได้ เพราะข้าเกลียดสตรีมากเล่ห์ที่ชอบเรียกร้องความสนใจเป็นที่สุด” ร่างใหญ่ลั่นคำหนักแล้วจากไปอย่างหุนหันราวกับพายุเช่นเดียวกับตอนมา

ทันทีที่ร่างสามีลับสายตา หยูเหวินหยาพลันทรุดกายลงบนพื้นทันที ความเจ็บหน่วงกลางใจที่ได้รับทำให้ลุกไม่ไหว จนเซียงเซียงต้องเข้ามาพยุง มือเล็กแกะผ้าพันใบหน้าออก เผยน้ำตาที่ท่วมท้นทะลัก

“คุณหนู! อย่าร้องอีกเลยเจ้าค่ะ” มือเล็กของสาวใช้จับผ้าเช็ดซับหยาดน้ำใสที่ไหลรินจากดวงตาหวาน ใจนางเจ็บไม่น้อยไปกว่าคุณหนู เพราะนางได้ยินและรับรู้เรื่องราวทุกสิ่ง รวมถึงรู้ด้วยว่าคุณหนูไม่ได้เอ่ยขอสิ่งใดจากองค์ชายสี่สักอย่าง นางจึงเข้าใจความรู้สึกที่กล้ำกลืนนี้ของคุณหนูเป็นอย่างดี

 

ในยามสายที่ดวงอาทิตย์สาดแสงอ่อน สายลมแผ่วเบาพัดผ่านเรือนซุ่นซูจนกลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งสดชื่น หยูเหวินหยาตัดสินใจละทิ้งความเศร้าสลด นางกลับมาลุกขึ้นยืนหยัดใหม่อีกครั้ง มือเล็กปักดอกไม้สีสดสวยลงในแจกันลายเมฆาเขียว โดยมีหมอหรงจุ้ยรูปงามดั่งอิสตรีคอยส่งดอกไม้ให้อยู่ข้างกาย ขณะที่เซียงเซียงไปเตรียมสำรับอาหารว่าง

ชิวหูกุนซือคนสนิทของเหิงเจี้ยงเข้ามาในเรือนตามคำสั่งเจ้านาย ที่ให้มาแจ้งว่าในวันพรุ่งจะพานางเข้าวังตามบัญชาขององค์ชายสี่ แต่เมื่อมาถึงกลับพบชายร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหวานประหนึ่งหญิงสาวคอยส่งดอกไม้ให้นายหญิงน้อยของตน ทั้งสองยังส่งรอยยิ้มให้กันอีก

ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็พลันอดคิดถึงเรื่องบัดสีไม่ได้ จึงส่งเสียงกระแอมดังคล้ายจะเตือนทั้งสองว่ามีผู้อื่นดูอยู่ เมื่อหยูเหวินหยากับหรงจุ้ยได้ยินเสียงก็หยุดมือแล้วหันมองตาม ปรากฏว่าผู้มาเยือนคือชิวหู คนสนิทของเหิงเจี้ยง ทั้งสองจึงยันกายลุกขึ้นยืนต้อนรับผู้มาใหม่

“คารวะน้อยหญิงน้อย มิทราบว่ากำลังสนุกกับสิ่งใด ถึงส่งเสียงหัวเราะดังไปยังประตูเรือน” เสียงใหญ่ถามอย่างนอบน้อม ทว่าแฝงความดุเข้มเอาไว้ ทั้งยังส่งสายตาชำเลืองมองหรงจุ้ย คล้ายไม่พึงใจในตัวหมอผู้นี้ที่มาสนิทสนมใกล้ชิดกับภรรยาผู้เป็นนาย ซึ่งหยูเหวินหยาก็พอดูออกในทันที

“ข้ากำลังจัดดอกไม้ และท่านหมอก็มาช่วยข้าเลือกว่าดอกใดเข้ากัน” เสียงใสเอ่ยพร้อมแย้มยิ้มอย่างสุขุม นางวางตัวคนละแบบยามอยู่กับหรงจุ้ย ซึ่งชิวหูที่ฉลาดเป็นกรดก็พอมองออก จึงถามหยั่งเชิงต่อ

“แล้วท่านหมอไม่มีกิจใดทำหรือ ถึงว่างมานั่งเล่นดอกไม้กับนายหญิงน้อยเช่นนี้” วาจาของชิวหูแอบแฝงความนัย เขาจะสื่อให้หมอผู้นี้รู้ว่าตัวเองไม่ทำหน้าที่หมอ แต่มาเสนอทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่

หรงจุ้ยที่ก้มศีรษะอย่างนอบน้อมได้ฟังก็อดขุ่นข้องไม่ได้ แต่ก็พยายามสงบนิ่งไม่แสดงท่าทีใดๆ เพราะชายตรงหน้าหล่อเหลาต้องตาเขายิ่ง

“ข้าน้อยมาดูแลสุขภาพนายหญิงน้อย เพราะช่วงก่อนนายหญิงน้อยป่วย ข้าเลยเกรงว่านายหญิงน้อยอาจป่วยอีกได้” หรงจุ้ยตอบ เสียงของเขาเล็กเหมือนสตรีจนชิวหูถึงกับอึ้งไปชั่วครู่

“ท่านชิวหูมาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ” หยูเหวินหยาเห็นบทสนทนาเงียบไป จึงเอ่ยถามขึ้นทันที

“อ้อ! ข้าน้อยรับคำจากคุณชายให้มาแจ้งนายหญิงน้อย ว่าในวันพรุ่งคุณชายจะพานายหญิงน้อยเข้าวังตามรับสั่งขององค์ชายสี่ขอรับ” ชิวหูกล่าวบอกจุดประสงค์ของการมา

“ขอบคุณมาก ไว้ข้าจะเตรียมตัว” หยูเหวินหยาตอบรับ

“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัว” ร่างใหญ่ค้อมตัวลา

ทว่าในจังหวะนั้นนางเห็นสายตาระยิบระยับที่หรงจุ้ยทอดมองไปยังร่างที่ก้มโค้ง ก็รู้ได้ทันทีว่ามันเหมือนสายตาหญิงสาวที่จ้องมองชายที่ต้องใจ ในฐานะสหายนางก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

“ประเดี๋ยวก่อน! ข้ามีเรื่องอยากรบกวนท่านได้หรือไม่” หยูเหวินหยาเอ่ยยั้ง

“เรื่องใดขอรับ ขอให้บอกมา หากไม่หนักหนา ช่วยได้ข้าน้อยก็จะช่วยขอรับ”

“ข้าขอวานท่านไปซื้อของที่ตลาดได้หรือไม่”

“อ้อ! หากเป็นเรื่องนั้นย่อมได้ขอรับ นายหญิงน้อยอยากได้สิ่งใดขอให้บอกมาขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปในทันที” ชิวหูรีบตกลง

“ดีเลย ขอบคุณท่านมาก แต่ท่านแค่ไปช่วยถือก็พอ เพราะข้าบอกสิ่งที่ต้องการแก่ท่านหมอไว้แล้ว ประเดี๋ยวท่านหมอจะเป็นผู้ไปเลือกให้ข้า ขอให้ท่านช่วยอำนวยความสะดวกด้วย”

หรงจุ้ยได้ฟังก็พลันตกตะลึงที่นายหญิงน้อยกล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็นิ่งไม่พูดสิ่งใด เพราะหากได้ไปกับชายตรงหน้า ต่อให้ต้องปีนหน้าผาเขาก็จะไปทันที ในใจหรงจุ้ยลอบร่ำร้องด้วยความดีใจ

“ท่านหมอเป็นชายชาตรี คงมิต้องห่วง ข้าน้อยคงไม่จำเป็นต้องไปช่วยหรอกขอรับ”

“ข้าคงขอมากไปสินะ คงทำท่านลำบาก ข้าขออภัย” หยูเหวินหยาตัดบทด้วยคำขอโทษ ทำเอาชิวหูรู้สึกผิดที่ปฏิเสธ จึงรีบตอบรับด้วยความเกรงใจ

“ไม่ต้องขอรับ ข้าน้อยยินดี” สิ้นเสียงตอบ ชิวหูก็หมุนกายเดินนำหรงจุ้ยไปทำกิจตามคำขอของนายหญิงน้อย

ร่างโปร่งของหรงจุ้ยขยับตามทันที ในขณะที่ขาก้าวตาม เขาหันกลับไปมองหยูเหวินหยา ก่อนขยิบตาเหมือนส่งสัญญาณว่าขอบคุณ

นายหญิงน้อยก็ยิ้มกว้างให้สหายใหม่ในร่างชายแต่ใจหญิง นางสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนดี มีความจริงใจไม่เสแสร้ง จึงยอมคบหาและคอยช่วยเหลือ ส่วนเขาจะขโมยใจลูกน้องของชายหน้าน้ำแข็งได้หรือไม่นั้นก็อยู่ที่พรหมลิขิตแล้ว นางคิดเช่นนั้น

 

ณ ตลาดกลางเมือง ชิวหูรู้สึกอึดอัด เพราะไม่เพียงแค่ต้องออกมาซื้อของกับบุรุษด้วยกันเท่านั้น ชายคนนี้ยังมีท่าทีดั่งสตรี คอยชม้อยชม้ายชายตาแลเขาตลอด ซึ่งเขาก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น หวังให้การซื้อของนี้สิ้นสุดโดยเร็ว

หรงจุ้ยพาชิวหูมายังร้านสมุนไพร เขาบอกชื่อสมุนไพรแก่เจ้าของร้านเสียหลายชื่อ จึงใช้เวลานานกว่าจะจัดเสร็จ ในระหว่างนั้นหรงจุ้ยก็ได้ทีพาชายหล่อเหลาไปเลือกซื้อของ โดยอ้างคำของหยูเหวินหยาว่านายหญิงน้อยฝากซื้อ ทำเอาชิวหูต้องเดินตามหรงจุ้ยต้อยๆ และถือนั่นถือนี่ตามใจชายอ้อนแอ้นผู้นี้

“ท่านชิวหู ท่านว่าป้ายหยกนี้งามหรือไม่” หรงจุ้ยพยายามชูหยกให้ชายหนุ่มหน้าบึ้งดู แต่เขากลับปัดออกด้วยรู้สึกอายสายตาผู้คนที่จ้องมอง หยกเขียวจึงร่วงหล่นลงบนพื้นหักเป็นสองซีกในทันที แทนที่หรงจุ้ยจะได้หยกสวยกลับกลายเป็นว่าต้องได้หยกเสีย ทั้งยังต้องเสียเงินจ่ายค่าหยกที่หักและนำกลับมาโดยปริยาย

ร่างใหญ่ของชิวหูรีบเดินนำกลับไปยังร้านสมุนไพร หมายไปรับของแล้วรีบจบภารกิจที่น่าอึดอัดนี้เสียที เมื่อสองร่างใกล้ถึงจวน จู่ๆ ม้าพยศตัวใหญ่ก็วิ่งมาอย่างคึกคะนอง หรงจุ้ยพลันปรี่กายเข้าไปผลักร่างใหญ่กว่าจนล้มลง หลบพ้นทางม้าพร้อมกัน

ร่างอรชรของหรงจุ้ยทาบทับบนกายกำยำของชายชาตินักรบ มัดกล้ามของชายเบื้องล่างแข็งแกร่งจนชายใจหญิงอ่อนระทวย ใบหน้าเรียวหวานดุจสตรีเข้าใกล้ใบหน้าคมเข้ม ปลายเส้นผมสีน้ำตาลสลวยของหรงจุ้ยสยายลงปรกระต้นคอ ยิ่งขับให้ชายตรงหน้างามเหมือนสตรีมากยิ่งขึ้น

ชั่วพริบตานั้นใจชายชาตรีอย่างชิวหูพลันกระตุกเต้น ในแวบหนึ่งเขาเห็นชายตรงหน้าเป็นหญิงงามชวนเคลิ้มฝัน ทันใดนั้นสติสัมปชัญญะก็กลับมา แล้วนึกได้ว่าคนตรงหน้าคือบุรุษเพศเดียวกัน จึงรีบใช้แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามดันร่างชายที่เบาดุจสตรีออก

ด้านหรงจุ้ยถึงกับหน้าแดงก่ำ เขาหมายช่วยผลักกายใหญ่ให้พ้นทางม้า ไม่ได้ตั้งใจให้เกินเลย แต่อีกใจก็ปลื้มปริ่มที่ได้สัมผัสชายองอาจผู้นี้อย่างแนบชิด ใจเขาเลยยิ่งลุ่มหลงชิวหูจนยากจะถอนตัว มือขาวหยิบหยกครึ่งซีกที่หักยัดใส่มือใหญ่ของชิวหูในทันที

“ท่านทำหัก ดังนั้นท่านต้องรับผิดชอบ ช่วยรับไปหนึ่งซีก” เสียงหวานเอ่ยบอก พร้อมรีบเดินนำออกไปด้วยกลัวชายหนุ่มจะปฏิเสธ

ชิวหูมองหยกเขียวในมือ เขาไม่ได้ชอบหยกนี้ แต่คำที่ได้ฟังเมื่อครู่บอกว่าเขามีส่วนทำให้มันหัก ดังนั้นเขาควรเก็บไปครึ่งหนึ่ง เมื่อตรองความนั้นชั่วครู่แล้วก็ตัดสินใจกำหยกไว้ในมือก่อนเดินกลับจวน

 

ยามรัตติกาล ดวงจันทร์สาดแสงนวลผ่อง ทั่วทั้งจวนดับแสงตะเกียงเพื่อเข้าสู่นิทรา หยูเหวินหยาหลับพริ้มอย่างอ่อนเพลีย ดวงจิตดำดิ่งลงลึกเห็นภาพฝัน ผ่านหมอกควันลอยเลื่อนลงสู่พื้นดิน ราตรีนี้นางพบว่าตัวเองมีฤทธิ์เดช ล่องลอยจากฟ้าลงสู่เบื้องล่างหมายช่วยวิญญาณผู้น่าสงสาร

“หยุดประเดี๋ยวนี้ ท่านกำลังทำวิญญาณนี้เจ็บ” สิ้นเสียงหวาน กายกำยำสูงใหญ่ในชุดดำก็หันมาจ้องมอง เขาคือชายคนเดียวกับในฝันเช่นทุกครา แต่นางในตอนนี้ไม่รู้จักและมีสัมพันธ์ลึกซึ้งใดกับเขา ร่างใหญ่ขมวดคิ้วเข้มแล้วจ้องตาดุใส่อย่างน่าเกรงขาม

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ปีศาจตัวนี้มากเล่ห์ หากมิกำจัด ไม่นานคงเป็นภัยร้าย” เสียงห้าวหาญบอก แต่นางกลับยอมไม่ได้

“ผิดอะไรก็ไปตัดสินในนรกเถิด ไม่ควรมาทำการเองเยี่ยงนี้นะท่านยมทูต” นางตักเตือนชายตรงหน้า ทว่าเขากลับไม่พอใจ ด้วยเขาคือยมทูตระดับสูงที่ทำงานขึ้นตรงต่อท่านจ้าวนรก ดังนั้นสิ่งใดที่เขาตรองแล้วว่าดี จ้าวนรกก็ย่อมว่าดีด้วย

“เจ้าอย่ายุ่งเลยดีกว่า กลับไปยังที่ของเจ้าเถิด” เสียงใหญ่บอกปัด ทว่านางดึงดันจะยุ่งเกี่ยว เพราะอดส่งสารวิญญาณนั้นไม่ได้

ร่างบางพลันเดินเข้าไปใกล้ขึ้น ทว่าจังหวะนั้นเอง วิญญาณที่ล้มพับบนพื้นก็อาศัยจังหวะที่ทั้งคู่สนทนากันเบี่ยงหลบดาบใหญ่ของร่างในชุดดำทะมึน แล้วหมายมุ่งไปดูดไอเซียนจากกายเล็ก มือที่เต็มไปด้วยเล็บยาวดุจหอกแหลมพุ่งเข้าใส่ร่างบาง ยมทูตรีบปรี่เข้าโอบพาสองร่างถลาไปพร้อมกัน ทั้งสองหมุนตวัดกอดกันแน่นแล้วแอบอิงที่ต้นไม้ใหญ่

นัยน์ตาคมจับจ้องใบหน้าหวานที่งามจนเขายากจะละสายตาได้ ในขณะที่ร่างบางก็จ้องหน้ายมทูตที่ใกล้เพียงฝ่ามือ สองร่างประชิดแนบแน่นจนความร้อนถ่ายเทและแผ่ซ่าน

“เจ้าปลอดภัยดีหรือไม่” เสียงทุ้มนิ่งเรียบเอ่ยถาม ทว่าช่างทรงเสน่ห์เสียจนนางใจสั่นไหว ดวงตากลมยังคงจ้องใบหน้าคมไม่วางตา จังหวะนั้นเองนางก็เห็นอกกำยำถูกกรงเล็บแหลมแทงทะลุร่างใหญ่

“ท่านยมทูต!” นางร้องเสียงดังลั่นอย่างตื่นตระหนก

หยูเหวินหยาหลุดออกจากห้วงฝัน ร่างบางหอบหายใจถี่ ความรู้สึกตื่นตระหนกยังคงค้างคาอยู่ในใจไม่เลือนหาย

“ข้าฝันอีกแล้ว ฝันเห็นท่านอีกแล้ว ท่านเป็นใครกันแน่ ท่านคือยมทูตอย่างนั้นหรือ แล้วที่ท่านเคยเรียกข้าในฝันว่าอี้หลิน แสดงว่าชื่อนี้คือชื่อของหญิงคนนั้นแน่ๆ แต่ยามนี้ข้าไม่ได้นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แล้วเหตุไฉนจึงฝันถึงท่านทั้งคู่ได้เล่า”

หยูเหวินหยารำพึงรำพันอย่างสงสัย นางฝันบ่อยเหลือเกิน ฝันราวกับว่านางคือหญิงคนนั้น แต่จะเป็นไปได้อย่างไร นางเลยสันนิษฐานว่าถ้าไม่ใช่ดวงจิตที่หลงเหลืออยู่ที่ต้นไม้โบราณนั้น ก็แสดงว่าคงเป็นความทรงจำของเจ้าของร่างนี้เป็นแน่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น