บทที่ 3
ไม่รู้เพราะเป็นนิสัยของคนเป็นอาจารย์หรือไม่ ณิสรินทร์ถึงได้รู้สึกว่าพสุทั้งดื้อแพ่งและมีความเด็ดขาดไม่น้อย ต่อให้ณิสรินทร์พยายามปฏิเสธคำเชิญชวนครั้งนี้เท่าไรเขาก็ไม่ยอมง่ายๆ ต้องยกข้ออ้างมากมายขึ้นมาไล่ต้อนทีละข้อ จนท้ายที่สุดเขาก็กึ่งชวนกึ่งบังคับพาเธอขึ้นรถมาด้วยกัน กระทั่งรถยนต์ของอาจารย์หนุ่มจอดลงที่ร้านข้าวต้มข้างทางแห่งหนึ่ง
แม้จะเป็นช่วงกลางดึก ทว่ายังเห็นลูกค้าหลายกลุ่มนั่งกระจายกันอยู่เต็มร้าน เสียงลูกค้าเรียกเจ๊เจ้าของร้าน เสียงจอแจวุ่นวาย และเสียงเคาะกระทะ เสียงจานชามกระทบกันดังเคล้า ทำให้บรรยากาศภายในร้านคึกคักอย่างบอกไม่ถูก ณิสรินทร์เดินตามพสุเข้าไปในร้าน พอเขานั่งลงแล้วพนักงานในร้านก็เดินมาหาชายหนุ่มทั้งรอยยิ้ม ทักด้วยท่าทางสนิทสนม
“อุ๊ย พี่รัก วันนี้พาสาวมาซะด้วย เอาเหมือนเดิมไหมฮะ”
เด็กประจำร้านยักคิ้วหลิ่วตาใส่เป็นเชิงเย้าหยอก ไม่ทันได้มองณิสรินทร์ที่ขมวดคิ้วทำหน้าปูเลี่ยนอย่างบอกไม่ถูก ส่วนพสุซึ่งคอยสังเกตอยู่แล้ว เมื่อเห็นใบหน้ายุ่งๆ ของหญิงสาวเขาก็ยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะโน้มตัวไปรับใบรายการอาหารจากมือของอีกฝ่าย
“พี่ขอดูก่อนนะ เดี๋ยวเรียก”
“ได้ฮะ”
คล้อยหลังเด็กในร้านเดินกลับไปแล้ว พสุก็ยื่นใบรายการอาหารมาตรงหน้าเธอ
“อยากกินอะไรก็สั่งได้เลยนะครับ”
ณิสรินทร์เม้มปาก เดิมทีก็ไม่คิดว่าตนจะมาจบที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งกับอาจารย์หนุ่มตรงหน้าอยู่แล้ว เธอจึงคิดจะใช้โอกาสนี้ปฏิเสธและหนีออกมาก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังไม่อยากอาหาร...”
ยังไม่ทันพูดจบ ท้องของหญิงสาวก็ส่งเสียงโครกครากเบาๆ ถึงรอบข้างจะมีเสียงพูดคุยและเสียงอื่นๆ แต่ด้วยระยะแค่โต๊ะกั้น พสุย่อมได้ยินเสียงนี้อยู่ดี
ริมฝีปากที่อ้าค้างของณิสรินทร์หุบลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่ติดจะเย็นชาอยู่เสมอกลับค่อยๆ แดงระเรื่อ ใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มกว่าส่วนอื่น ดวงตาของหญิงสาวสั่นไหว ท่าทางทำอะไรไม่ถูกทำให้ชายหนุ่มลอบยิ้มกับตัวเองเงียบๆ
พสุกระแอมในลำคอเพื่อเรียกบทสนทนาของพวกเขากลับมา ทั้งยังแสร้งถือใบรายการอาหารพลางถามเธอหน้าซื่อตาใสราวกับเมื่อครู่เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
“ตกลงคุณอยากกินอะไร กับข้าวร้านนี้อร่อยทุกเมนูเลยนะ แต่ดึกแล้วอย่ากินพวกของเผ็ดๆ จะดีกว่านะครับ”
ส่วนณิสรินทร์ที่เพิ่งเผลอปล่อยไก่ออกไปตัวใหญ่ก็รู้สึกใบหน้าร้อนเห่ออย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางแสร้งไม่รู้เรื่องอะไรของชายหนุ่มแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็ต้องกัดฟันกลืนความอึดอัดกลับลงในท้อง พลางกวาดตามองรายการอาหารตรงหน้าไวๆ ครั้งหนึ่งแล้วสั่งอาหารง่ายๆ แทน
“กะหล่ำปลีผัดน้ำปลากับข้าวสวยถ้วยหนึ่งค่ะ”
คนฟังเลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าเมนูตรงหน้านี้ไม่น่าจะทำให้อิ่มท้องเท่าไร แต่เห็นท่าทางแน่วแน่ไม่คิดเปลี่ยนใจของหญิงสาวแล้วเขาก็ไม่คิดจะบังคับอะไร เพียงเออออตามที่อีกฝ่ายต้องการ
“ได้ครับ” ว่าแล้วพสุก็ยกมือเรียกน้องพนักงานเสิร์ฟคนเดิมมา ก่อนไล่สั่งรายการอาหารที่อยู่ในใจ
“พี่เอาปลาลวกจิ้ม ผัดผักรวมมิตรใส่กุ้ง กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา แล้วก็ข้าวสวยสองถ้วยนะ”
“ได้เลยฮะ รอแป๊บนึงนะพี่รัก”
“อืม ขอน้ำเปล่าให้พี่สองที่นะ”
เด็กหนุ่มผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ รีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่ตู้เย็นในร้าน ไม่นานแก้วน้ำเย็นๆ สองแก้วก็วางลงบนโต๊ะตรงหน้าพสุกับณิสรินทร์ ทว่าหลังจากนั้นบนโต๊ะอาหารก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่คนช่างเจรจา หากไม่ใช่พสุเป็นคนเริ่มก่อน บทสนทนาในคืนนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
“ถ้าผมจำไม่ผิด อาจารย์เสกสรรเคยบอกว่าคุณเป็นนักศึกษาทุนของภาค”
ณิสรินทร์เงยหน้ามองคู่สนทนาเล็กน้อย มือที่จับแก้วน้ำผ่อนลง เธอครุ่นคิดเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นว่าข้อมูลนี้เป็นความลับอะไรมากจึงตอบอีกฝ่ายไปตามตรง
“ใช่ค่ะ”
“คุณลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่หรือเปล่าครับ”
เมื่ออาจารย์หนุ่มพูดขึ้นมาแบบนี้แล้ว ณิสรินทร์ก็ตวัดตามองอีกฝ่ายอย่างประเมินและห่างเหิน ใบหน้าที่นิ่งเฉยแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา
“นี่ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่อาจารย์พิเศษต้องทราบหรือเปล่าคะ”
ไม่ใช่แค่แววตาที่แปรเปลี่ยนเป็นความห่างเหินและเย็นเยียบ แม้แต่น้ำเสียงของหญิงสาวก็เจือความรู้สึกแข็งกร้าวขึ้นมา พริบตานั้นพสุก็รู้สึกได้ทันทีว่าระยะห่างของพวกเขาสองคนคล้ายถูกกีดกั้นด้วยกำแพงที่มองไม่เห็นขึ้นมา ท่าทางของหญิงสาวไม่ต่างจากเม่นแคระตัวน้อยที่คอยพองขนเตรียมใช้อาวุธของตนต่อต้านศัตรูรอบตัว
พสุยิ้มบางๆ น้ำเสียงที่ใช้พูดกับสาวน้อยตรงหน้าอ่อนลงโดยแทบไม่รู้ตัว
“ผมเห็นคุณออกมาทำงานกลางดึกแบบนี้มันไม่ค่อยปลอดภัย อีกอย่างที่สาขายังมีพวกงานเอกสารที่เปิดให้นักศึกษาเข้าไปช่วยงาน ถ้าคุณไม่ติดใจอะไร ผมยินดีลองถามอาจารย์ในสาขาให้นะ”
เขาสังเกตดวงตาที่วูบไหวของหญิงสาว แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม
“งานที่สาขาส่วนใหญ่ฉันได้ยินมาว่าจะมีนักศึกษาไปทำงานอยู่ตลอด ถ้ามีคนไปเพิ่มคงไม่เหมาะ งานที่ฉันทำอยู่ก็ไม่ได้กระทบการเรียน ฉันไม่รบกวนคุณ...ไม่รบกวนอาจารย์รักให้เหนื่อยเปล่าดีกว่าค่ะ”
แม้จะเป็นประโยคปฏิเสธที่นุ่มนวล แต่น้ำเสียงของคนตรงหน้ากลับแฝงความเด็ดขาดไม่น้อย ท่าทางไม่วางใจ ไม่ยอมแม้แต่จะผ่อนเกราะป้องกันลงเช่นนี้ยิ่งทำให้พสุไม่อยากคลาดสายตาจากคนตรงหน้า เพราะยิ่งมองเขาก็ยิ่งคล้ายว่ากำลังมองกระจกสะท้อนภาพตัวเองในอดีต
“แค่คุยกับอาจารย์ในภาคไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร ณิสรินทร์ ผมรู้ว่าที่ผ่านมาคุณอาจจะทำทุกอย่างเพียงลำพัง แต่บางครั้งถ้าคุณอยากจะขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง...ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นะครับ”
จบประโยคนี้หญิงสาวนิ่งชะงัก เงยหน้าสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่หลบเลี่ยง แววตานี้เต็มไปด้วยการสืบเสาะค้นหา ราวกับจะค้นดูว่าภายใต้คำพูดนั้นมีอะไรซุกซ่อนอยู่กันแน่ แต่ต่อให้ณิสรินทร์พยายามค้นหาความหมายที่อยู่ในประโยคนี้ของชายหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน สิ่งที่ได้กลับมาคือความตั้งใจแน่วแน่รวมถึงแววตาที่เป็นประกายเจิดจ้า ราวกับเขาจริงจังและตั้งใจจะบอกอย่างที่พูดทุกคำโดยไม่มีอะไรแอบแฝง แต่เมื่อนึกถึงความผิดหวังกับความเหน็ดเหนื่อยต่อการเชื่อใจคนอื่นนอกจากตัวเองแล้ว เธอก็ไม่อยากพาตัวไปสู่วังวนเก่าๆ ให้เหนื่อยล้าทั้งกายและใจอีก
หญิงสาวยืดหลังตรง กอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลาสติกเล็กน้อย
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีค่ะ แต่ปัญหานี้ ฉันคงไม่รบกวนคนอื่นหรืออาจารย์รักหรอกค่ะ”
น้ำเสียงราบเรียบที่ฟังดูแล้วยิ่งกว่าห่างเหิน อีกทั้งภาษากายที่ต้องการพยายามตีตัวออกหาก ยิ่งทำให้พสุมั่นใจอีกขั้นหนึ่งว่าณิสรินทร์ไม่คิดจะเปิดช่องว่างของตัวเองให้ใครเห็นและไม่คิดจะยื่นมือออกไปหาใคร ราวกับว่าบนโลกใบนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่พึ่งพาได้
คำตอบของหญิงสาวทำให้ความเงียบปกคลุมระหว่างพวกเขาอีกครั้ง กระทั่งเด็กหนุ่มคนเดิมยกอาหารมาเสิร์ฟครบแล้ว ณิสรินทร์ก็ไม่พูดต่อ ตั้งใจกินข้าวของตัวเองเงียบๆ หากอาจารย์หนุ่มตรงหน้าถาม เธอก็จะตอบคำสองคำพอเป็นพิธี กระทั่งจานปลาลวกชิ้นเนื้อขาวฟูเลื่อนมาอยู่ข้างหน้า ณิสรินทร์ซึ่งกำลังเอื้อมมือไปตักกับข้าวที่ตนสั่งมาก็ถึงกับชะงัก
“จานนี้ผมสั่งมาเผื่อ คุณกินสักหน่อยนะครับ แค่ผักอย่างเดียวจะไม่อยู่ท้อง”
เธอเหลือบมองผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามเล็กน้อย แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่หวังดี แต่เธอก็ไม่อยากถือเป็นบุญคุณน้ำใจกับใครทั้งสิ้น...โดยเฉพาะคนตรงหน้า
“คุณเป็นคนสั่งก็ต้องรับผิดชอบสิคะ”
จากวัยเด็กที่ผ่านมา กว่าจะมีข้าวกินดีๆ สักมื้อไม่ใช่เรื่องง่าย หญิงสาวจึงเห็นคุณค่าของข้าวทุกเม็ด จะกินทิ้งกินขว้างเหลือของเช่นนี้ก็ไม่ใช่นิสัย เธอเลื่อนจานเนื้อปลาลวกกลับไปที่หน้าพสุทันที
“อย่ากินทิ้งกินขว้างค่ะ”
น้ำเสียงที่หญิงสาวพูดติดจะสั่งสอน แปลกที่พสุไม่รู้สึกโกรธเคือง กลับกันเขานึกเอ็นดูอีกฝ่ายขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่านักศึกษาตรงหน้าดื้อแพ่ง ยอมหักไม่ยอมงอ แต่เขาก็ยังไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ เพียงแค่นี้
“ถ้าอย่างนั้นผมกับคุณคนละครึ่งดีไหม”
เห็นณิสรินทร์ยังคงเงียบไม่ยอมตัดสินใจ พสุจึงกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเป็นเชิงขอร้อง
“ผมกินคนเดียวไม่หมด เสียดายแย่ เราแบ่งกันดีไหมครับ”
สุดท้ายณิสรินทร์ก็พยักหน้า เธอตักเนื้อปลาลวกในจานออกไปครึ่งหนึ่งตามที่เขาเสนอ ก่อนจะช้อนตามองเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะคะ”
พูดจบเธอก็ตักเนื้อปลากินคู่กับข้าวสวยทีละคำๆ พสุรู้ดีว่าวิธีการนี้ออกจะกึ่งบังคับและกึ่งขอร้องกลายๆ ทว่าสำหรับพวกเขาสองคนในช่วงเวลานี้ก็มากพอแล้ว
“พี่ชายๆ ซื้อกุหลาบให้พี่สาวไหมคะ กุหลาบดอกละยี่สิบห้าบาทค่ะ”
ขณะที่พสุกำลังนั่งมองแมวเหมียวตัวน้อยยอมกินปลาจากตัวเอง ข้างโต๊ะของเขาก็มีเด็กน้อยอายุไม่เกินสิบขวบถือตะกร้าพลาสติกใส่ดอกกุหลาบสดและถุงบรรจุลูกอมเร่ขายของภายในร้าน เขาเลิกคิ้วมองเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าอย่างนึกสงสัย เขาเองก็เป็นลูกค้าประจำของที่นี่ แต่ไม่คุ้นหน้าเด็กคนนี้เลย
“กุหลาบให้พี่สาวคนสวยหน่อยไหมคะ เป็นแฟนกันต้องซื้อดอกไม้ให้กันนะคะ”
พสุยิ้มบางๆ เมื่อเห็นเด็กหญิงตรงหน้ามีท่าทางเก้ๆ กังๆ เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่าเวลานี้ดึกพอสมควรแล้วก็อดถามอีกฝ่ายกลับอย่างนุ่มนวลไม่ได้
“ดึกแล้วนะครับ ทำไมมาขายของล่ะครับ พ่อแม่ไม่อยู่เหรอ”
เด็กหญิงตัวน้อยได้ยินคำถามแล้วก็เม้มปากไม่ยอมตอบ ส่วนคนที่กินข้าวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองตั้งแต่ที่เห็นอาจารย์หนุ่มเริ่มถามแล้ว
ณิสรินทร์จ้องเด็กหญิงตรงหน้าไล่ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า กระทั่งสังเกตเห็นรอยแดงที่หลังขาของเด็กน้อย นัยน์ตาของเธอก็หดเกร็ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารอยเหล่านี้คืออะไร เพราะคนที่คุ้นชินกับมันอย่างเธอย่อมรู้ดีที่สุด
“ตัวเล็ก มานี่หน่อยสิคะ”
หญิงสาวเรียกอีกฝ่าย แววตาอันนิ่งสงบค่อยๆ อ่อนโยนลงอย่างที่พสุไม่เคยเห็น ชายหนุ่มมองณิสรินทร์ที่กำลังจะคุยกับเด็กหญิงตัวน้อยอย่างตั้งใจ ส่วนเด็กหญิงตัวน้อยก็รีบหันไปหาหญิงสาวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“พี่สาวขา พี่สาวอยากซื้อดอกไม้ให้พี่ชายไหมคะ ดอกละยี่สิบห้าบาทค่ะ ลูกอมก็มีนะคะ”
ณิสรินทร์ได้ยินก็ยิ้มบางๆ เธอลูบศีรษะอีกฝ่ายก่อนจะถามเบาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะกลัวว่าจะทำให้เด็กหญิงตรงหน้าตกใจ
“พี่ซื้อค่ะ แต่หนูบอกพี่ได้ไหมคะว่าวันนี้หนูขายมานานหรือยัง”
เด็กหญิงตรงหน้าหลุบตามองของในตะกร้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบคำถามของณิสรินทร์เสียงแผ่วราวกับกระซิบ
“เลิกเรียนแล้วก็มาขายกับแม่ค่ะ”
“อ๋อ แล้วคุณแม่อยู่ไหนคะ”
“ไปขายอีกร้านค่ะ ต้องแยกกันขาย เราจะได้เงินเยอะ” คราวนี้พอเด็กหญิงตัวน้อยพูดถึงแม่ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้น ณิสรินทร์ค่อยๆ จับทางทีละนิดแล้วถามอีกครั้ง
“หนูชอบคุณแม่ไหมคะ”
“ชอบค่ะ! คุณแม่ใจดี หนูชอบกอดคุณแม่ ถ้าวันไหนหนูขายดีคุณแม่ก็ซื้อขนมให้ด้วยค่ะ”
คำถามนี้เด็กน้อยตอบอย่างรวดเร็ว ดวงตาเวลาพูดถึงผู้เป็นแม่ก็เป็นประกายสดใส ไม่มีร่องรอยหวาดกลัวหรือโกหก ณิสรินทร์เริ่มเบาใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง เพราะอย่างน้อยรอยที่ขาของเด็กหญิงตรงหน้าก็ไม่ได้มาจากคนเป็นแม่
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ หนูชอบคุณพ่อไหม”
คราวนี้อีกฝ่ายกลับใช้เวลาคิดคำตอบนานกว่าปกติ ท่าทางของเด็กหญิงตรงหน้าดูลังเลและอึดอัดใจขึ้นมาชอบกล ก่อนจะตอบพึมพำเสียงเบากว่าเดิมมาก
“คุณพ่อดุค่ะ ชอบดุหนูกับคุณแม่ คุณแม่บอกคุณพ่อเมา เลยอารมณ์ไม่ดี แต่ถ้าคุณพ่อไม่ได้ดื่มก็จะอารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน”
เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยตรงหน้าเธอไม่ได้เข้าใจความหมายที่ผู้เป็นแม่พูดเท่าไรนัก ณิสรินทร์รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เธอถอนหายใจ เตรียมจะหันไปหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์จ่ายค่าดอกกุหลาบสองดอกที่เหลือ แต่กลับเป็นพสุที่ยื่นธนบัตรหนึ่งร้อยบาทให้เด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าแทน
“สองดอกนี้พี่ซื้อให้พี่สาวนะครับ”
เด็กหญิงไม่สนใจว่าใครเป็นคนจ่าย เมื่อเห็นเงินเธอก็กระตือรือร้นรีบพนมมือไหว้ขอบคุณ ส่งดอกกุหลาบที่เหลือสองดอกให้พสุ ยกนิ้วมือเล็กๆ ขึ้นมาเตรียมนับทอนเงิน แต่พสุก็พูดขึ้นอีก
“ไม่ต้องทอนนะ พี่ให้ ดึกแล้ว ไปหาแม่เถอะ พรุ่งนี้จะไปเรียนสายนะ”
เด็กหญิงดูลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายก็พยักหน้า หมุนตัวเตรียมจากไป แต่ไม่ลืมหันมาโบกมือลาทั้งคู่
“ขอบคุณนะคะ”
พูดจบเจ้าของแผ่นหลังเล็กๆ ก็วิ่งหายลับออกไปนอกร้าน พสุมองกุหลาบในมือสองดอกก่อนส่งให้หญิงสาวตรงหน้า
“รับไปสิครับ”
“คะ?” ณิสรินทร์เลิกคิ้วมองดอกกุหลาบสลับกับชายหนุ่ม แต่ยังไม่ทันได้ปฏิเสธ พสุก็วางมันไว้ข้างมือเธอ ก่อนผินหน้ามองไปทางที่เด็กหญิงคนเมื่อครู่จากไป
“คุณเป็นห่วงว่าเด็กคนนั้นจะโดนพ่อแม่บังคับให้มาทำงานสินะครับ”
พอได้ยินพสุเปิดปากพูด คำที่จะปฏิเสธดอกไม้ทั้งสองดอกนี้ก็ถูกกลืนหายไป ณิสรินทร์ถอนหายใจ อดมองออกไปนอกร้านตามชายหนุ่มไม่ได้
“ก็ประมาณนั้นค่ะ ถึงไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของแต่ละครอบครัว แต่นี่มันดึกแล้ว อยากให้เด็กๆ เขากลับกันเร็วๆ ถึงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่สวมรองเท้านักเรียนไว้แบบนั้น...ดูก็รู้ว่าอย่างน้อยคงได้เรียนหนังสือ”
“เมื่อก่อนเจ๊เจ้าของร้านเคยบอกผมไว้ว่า พวกที่มาขอขายของในร้านก็ไม่ได้ซื่อๆ อย่างที่เห็น บางคนก็เล่ห์เหลี่ยมจัด แต่คนเราเป็นพวกขี้สงสาร ใจอ่อนง่าย ยิ่งกับเด็กๆ หรือคนแก่ก็ยิ่งปฏิเสธยาก ดังนั้นพักหลังๆ ดึกๆ หน่อยจะเห็นเด็กมาขายของแทนเยอะ”
“เรื่องนั้นฉันก็รู้ดีค่ะ” คราวนี้หญิงสาวยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนี้กลับไปไม่ถึงดวงตา ทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายความเศร้า
ที่ณิสรินทร์รู้ดีเพราะตนก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาก่อน การออกมาเดินเตร่ขายของไม่ต่างจากเด็กคนเมื่อครู่นี้ เธอยังจำได้ไม่เคยลืม ไม่ว่าจะเป็นท่าทางน่าสงสารหรือคำพูดหวานๆ ที่ไว้ใช้เรียกลูกค้า เธอล้วนเคยทำมาหมดแล้ว
“ไม่ว่าเด็กคนนี้จะโกหกหรือไม่ หรือครอบครัวเขาเป็นอย่างไรฉันก็คงไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินแทนได้ เพียงแต่ฉันเข้าใจ...ตัวแค่นี้ก็ต้องออกมาหาเงิน ดึกๆ ดื่นๆ แทนที่จะได้พักผ่อนก็ต้องมาออกแรงเพื่ออนาคตที่เลือกไม่ได้ ถึงการซื้อของจะไม่ใช่การช่วยเหลือที่ถูกต้อง แต่เงินเหล่านี้ก็คือเงินที่เลี้ยงปากท้องของพวกเขาอยู่ดี”
คำพูดราวกับปลงตกต่อสถานการณ์เหล่านี้คนฟังย่อมเข้าใจได้ พสุเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย และจากคำพูดของณิสรินทร์ ตนก็พอรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เธอพูดย่อมเป็นสิ่งที่เคยพบเจอด้วยตัวเองมาแล้วทั้งสิ้น
“บางทีเราก็ตกเป็นเหยื่อการตลาดแบบนี้เหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ เพราะคุณเองก็สงสาร ถึงได้ให้ทิปเกินไปตั้งเยอะ” น้ำเสียงของหญิงสาวอ่อนลงเล็กน้อย ดวงตาเรียวคมหลุบมองดอกกุหลาบตรงหน้าเร็วๆ ก่อนจะหันมาสบตาเขา
“ดูท่าทางคุณคงเป็นคนขี้สงสาร เพราะแม้แต่กับฉัน คุณก็ยังเผลอแสดงความใจดีแบบนี้ออกมา”
พสุสัมผัสได้ถึงความเย้ยหยันที่อยู่เจืออยู่ในประโยคนี้ได้ แม้ดวงตาของเธอจะไม่แสดงความรู้สึกแบบเดียวกันออกมา ราวกับเขารับรู้ได้ด้วยตัวเอง ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้าอย่างจนใจ เมื่อเห็นความสงสัยในดวงตาคู่ตรงหน้า เขาก็ไม่คิดจะปิดบังความจริง
“เปล่าครับ ผมไม่ใช่คนขี้สงสาร” ความจริงแล้วบางครั้งเขาก็ไม่ได้เห็นใจใครต่อใครง่ายขนาดนั้น บางทีเปลือกนอกที่แสดงออกในทุกๆ ครั้งอาจจะทำให้หลายคนเข้าใจว่าเขาเป็นคนใจดี แต่คงมีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่า ‘ความใจดี’ ของเขามีไว้ให้คนไม่กี่คนเท่านั้น...อย่างเด็กคนเมื่อครู่นี้ เขาจะปล่อยผ่านทำเป็นไม่สนใจก็ได้ เพียงแต่ที่เขาทำทุกอย่างลงไปก็เพราะไม่อยากให้บางคนรู้สึกเศร้ามากกว่า
“ที่ผมอยากซื้อดอกไม้ก็ไม่ใช่เพราะสงสารเด็กคนนั้นครับ”
“ถ้าไม่ใช่สงสาร แล้วทำไมถึงยังซื้อล่ะคะ”
คราวนี้พสุไม่ตอบง่ายๆ เขาเพียงมองกุหลาบที่วางอยู่ข้างมือหญิงสาวแล้วเอ่ยทั้งรอยยิ้ม
“ถ้าคุณอยากรู้คำตอบ ก็รับดอกกุหลาบสองดอกนี้ไว้สิครับ”
ณิสรินทร์จ้องมองกระดาษวาดรูปตรงหน้าด้วยความอึดอัดใจ ต่อให้พยายามรวบรวมสมาธิและลองร่างแบบภาพในหัวข้อ ‘ความรัก’ กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ลายเส้นและโครงร่างในภาพก็ดูยุ่งเหยิงเกินกว่าจะแยกได้ว่าองค์ประกอบเหล่านั้นคืออะไร ยิ่งมองก็ยิ่งไม่รู้สึกถึงความหมายของความรักที่ว่าแม้แต่น้อย สุดท้ายก็วางดินสอทิ้งลงบนโต๊ะทำงานอย่างยอมแพ้ นึกโมโหคนที่สั่งงานหัวข้อนี้ขึ้นมา
เธอหันไปเห็นดอกกุหลาบสองดอกที่ปักไว้ในขวดน้ำ แต่เพราะผ่านมาหลายวันแล้ว ก้านดอกจึงโน้มงอลง จากดอกบานสีแดงสดก็เริ่มโรยรา ชั่วเวลาที่มองดอกกุหลาบสองดอกนี้ ใบหน้าของชายหนุ่มลอยเข้ามาในความคิด ในใจเกิดคำถามและข้อสงสัยที่ไม่ว่าอย่างไรก็หาคำตอบไม่ได้ ถึงจะไม่ได้เจออาจารย์หนุ่มทุกครั้งที่มีเรียน แต่ทุกคืนหลังจากมื้อค่ำในคืนนั้น ก็ต้องเห็นเขาอยู่ท่ามกลางลูกค้าบนรูฟทอปบาร์ของโรงแรมรัตนเวคินทร์เสมอ
ทุกครั้งที่เธอขึ้นร้องเพลงจะต้องมีดวงตาของอาจารย์หนุ่มจับจ้องตลอดเวลา สายตาของเขาที่เฝ้ามองมานั้นไม่ได้แสดงความหยาบโลนเหมือนที่เคยได้รับ กลับกันมันเจือด้วยแววบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก ณิสรินทร์จึงคาดเดาไม่ได้เลยว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ โดยเฉพาะความหวังดีที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ เธอไม่เข้าใจและไม่คุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
ณิสรินทร์รู้ดีว่าบนโลกใบนี้มีทั้งคนดีและคนเลวอาศัยอยู่ร่วมกัน ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เธอโกรธเกลียดและชิงชังโลกใบนี้ ใช่ว่าจะไม่เคยได้สัมผัสความจริงใจเหล่านั้นมาก่อน แต่ขณะเดียวกันก็รู้ดีว่ายังคงมีบางคนที่ใช้เบื้องหน้าของความหวังดีนี้เพื่อทำร้ายกัน แต่กับพสุแล้ว เขาจะเป็นอย่างไหน หรือมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นลางสังหรณ์หรือเพราะสัญชาตญาณ การปรากฏตัวของเขาทำให้ส่วนหนึ่งในตัวเธอสับสน ดั่งตะกอนที่อยู่ใต้ผืนน้ำสงบนิ่งถูกกวนให้ฟุ้งกระจายจนขุ่นมัว สมองสั่งเตือนให้หลีกเลี่ยงเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หญิงสาวลุกขึ้นยืน สลัดศีรษะทิ้งความคิดทั้งหมดไปชั่วคราว พอเหลือบเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาที่เพื่อนๆ ในสาขานัดรวมเพื่อคุยเรื่องกิจกรรมของคณะแล้ว เธอก็ไม่รีรอ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที
ก่อนออกจากห้องพัก ณิสรินทร์ไม่ลืมกวาดตาสำรวจดูความเรียบร้อยภายในห้อง เธอไขกุญแจ ล็อกแม่กุญแจคล้องประตูไว้อย่างที่ทำเป็นประจำ จากนั้นถึงได้หมุนตัวเดินลงจากหอพักอย่างเชื่องช้า กระทั่งมาหยุดยืนหน้าหอพักแล้ว คิ้วโก่งเรียวก็ผูกเป็นปมเมื่อพบเจอร่างคุ้นตาของผู้เป็นแม่กับพ่อเลี้ยงยืนอยู่ไม่ไกล
ณิสรินทร์คิดจะเดินเลี้ยวไปอีกทาง ทว่าก็ยังช้าเกินไปเมื่อลลิตาผู้เป็นแม่เห็นเธอเข้าเสียก่อน
“รูท!”
เสียงตะคอกของอีกฝ่ายทำให้หลายคนที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองเธอเป็นตาเดียว ณิสรินทร์ไม่ชอบความรู้สึกที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนหมู่มาก โดยเฉพาะในสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้ ไม่ทันไรคนเป็นแม่ก็เร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ก่อนโวยวายเสียงดัง
“เมื่อไหร่แกจะโอนเงินมาให้ฉันซะที รู้ไหมว่าฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว”
อีกฝ่ายคว้าต้นแขนเธอ ปลายเล็บยาวที่แต่งแต้มด้วยสีแดงแสบตาจิกเข้าเนื้ออ่อนจนณิสรินทร์ต้องขมวดคิ้วด้วยความเจ็บ
“แม่ ปล่อย” เธอพยายามข่มอารมณ์บอกคนตรงหน้าอย่างใจเย็น แม้จะอยากสลัดตัวให้พ้นและหนีไปให้ไกลเต็มกลืน
“อีกหลายวันกว่าจะสิ้นเดือน ทำไมแม่ถึงรีบมาล่ะ ไม่ใช่ว่าฉันบอกแล้วเหรอว่าถ้ามีเงินก็จะโอนไปให้”
“ขืนมัวแต่รอแก พวกฉันก็ตายกันหมดน่ะสิ” ลลิตาเพิ่มแรงที่ปลายนิ้ว จิกต้นแขนผอมบางตรงหน้าโดยไม่คิดจะผ่อนแรงลงเลยแล้วพูดต่อ “ไม่รู้แหละ วันนี้ถ้าแกไม่ให้เงิน ฉันก็จะไม่ไปไหน จะรอมันอยู่ตรงนี้ ดูซิแกจะทนได้ไหม!”
ณิสรินทร์เม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำขู่นี้ รู้ดีว่าคนเป็นแม่ทำได้จริงๆ เธอพยายามดึงแขนตัวเองกลับมา อีกฝ่ายก็ร้องตะโกนเสียงดัง
“คิดจะหนีเหรอ อีตัวดี!”
จากเดิมที่พวกเธอทั้งสามเป็นจุดสนใจอยู่แล้ว คราวนี้หลายๆ คนพากันหยุดยืนมองอย่างสนอกสนใจ ใบหน้าของหญิงสาวแดงเข้มสลับซีดเผือด บอกไม่ถูกว่าในใจตอนนี้เป็นความโกรธหรือความอาย ลำคอแข็งเกร็ง สุดท้ายก็ฝืนเปล่งออกมาได้หนึ่งคำ
“ปล่อย!”
ณิสรินทร์ใช้แรงทั้งหมดสลัดตัวให้พ้นจากเงื้อมมือของอีกฝ่าย ลลิตาไม่คิดว่าลูกสาวจะออกแรงโต้กลับโดยไม่ทันตั้งตัว จึงเซถลาถอยล้มลงไปกับพื้น ยังดีที่ได้สามีรุดเข้ามาประคองไว้ก่อน
“อีรูท! อีเด็กอกตัญญู แกทำร้ายฉันเหรอ โอ๊ย! ดูสิคะ ทุกคนดู! ลูกแท้ๆ ของฉันทำกับคนเป็นแม่ได้ลงคอ”
ลลิตารีบลุกขึ้นมาฟูมฟาย ใบหน้างดงามเปื้อนน้ำตา โดยมีศิรชัชยืนปลอบอยู่ข้างๆ ภาพในสายตาใครหลายคนรอบตัวจึงเป็นการสงสารสองสามีภรรยาขึ้นมาทันที
ณิสรินทร์กลืนก้อนแข็งๆ ที่ติดอยู่ในลำคออย่างยากลำบาก เธอคลายมือออกและกำเข้าหากันอย่างเชื่องช้า เมินสายตาที่เจือแววสงสัยและแววตำหนิของผู้คนรอบตัว ร่างเพรียวระหงก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวก็ลดช่องว่างระหว่างตนกับผู้เป็นแม่ ใบหน้างามเชิดขึ้นเล็กน้อย สายตาที่มองอีกฝ่ายมีแต่ความเย็นชา ไม่อาจหาความอบอุ่นได้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
“กลับไปซะ ถ้าฉันไม่ได้ขอให้คุณมา...ก็ไม่ต้องมา!” เสียงราบเรียบแฝงไปด้วยความเด็ดขาด ขณะเดียวกันสีหน้าของณิสรินทร์ก็มีแต่ความเย็นชาและแววข่มขู่ชัดเจน
ลลิตาซึ่งเพิ่งเคยเห็นท่าทางและน้ำเสียงเช่นนี้ของลูกสาวเป็นครั้งแรกนิ่งงันด้วยความตกใจ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นกระหน่ำ ฝ่ามือเปียกชื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อสามีใช้มือตบแผ่นหลังเบาๆ เพื่อปลอบและส่งสัญญาณ เธอก็รีบเหลียวมองรอบตัว ใช้โอกาสนี้บีบน้ำตาแสร้งร้องโวยวายเสียงดัง หวังเรียกความเห็นใจจากชาวบ้านหรือกลุ่มนักศึกษาที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เอาแต่คอยสังเกตการณ์แทน
“ฉันเลี้ยงแกมาด้วยความยากลำบาก พอปีกกล้าขาแข็งก็ทำเป็นไม่เห็นหัวคนเป็นแม่แล้วใช่ไหม”
ลลิตารำพันระคนสะอึกสะอื้น ดวงตาแดงก่ำ เดิมทีลลิตาก็หน้าตาน่ามองอยู่แล้ว จึงเรียกความเห็นใจจากคนมุงได้ไม่ยาก ณิสรินทร์รับรู้ได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองตนอย่างประเมินและตัดสิน แต่เธอก็ยังคงรักษาความสงบ ยืนมองบทละครที่ถูกเขียนนี้ด้วยแววตานิ่งเฉย ราวกับว่าระหว่างตนกับผู้หญิงคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันทั้งสิ้น
ยามเห็นน้ำตาจระเข้ของผู้เป็นแม่ไหลอาบแก้มแล้วหญิงสาวก็เหยียดยิ้มมุมปาก นึกอยากปรบมือให้ความพยายามของอีกฝ่าย ก่อนตัดสินใจหมุนตัวเดินจากมา แต่เท้าที่กำลังจะก้าวต่อก็ต้องชะงัก เมื่อเธอหันไปเผชิญหน้ากับกลุ่มเพื่อนร่วมสาขาของตนอย่างขวัญข้าวและอาจารย์พสุที่กำลังยืนมองมา
เพื่อนๆ ในสาขามองเธอด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีทั้งตกใจ ทั้งประหลาดใจ เป็นสายตาที่มองเธออย่างตัดสินบ้าง ทั้งโกรธและไม่พอใจบ้าง ณิสรินทร์เข้าใจทันที ดูเหมือนว่าละครที่ตนกลายเป็นนักแสดงแบบไม่ทันได้ตั้งตัวคงตกอยู่ในสายตาพวกเขาหมดแล้ว
การถูกตัดสินผ่านสายตาทำให้เธอคิดเผื่อไปแล้วว่าคงได้เห็นความผิดหวังหรือความดูแคลนจากอาจารย์พสุคนนั้น แต่พอกลั้นใจหันไปสบตาชายหนุ่มตรงๆ ก็ผิดคาด แววตาของเขาเจือความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง สายตาคู่นี้พลอยทำให้สมองของเธอขาวโพลน ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะ
“ยายรูท แกจะเดินหนีแม่ไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ รู้ไหมว่าฉันตั้งใจมาหาแกแค่ไหน”
เสียงของผู้เป็นแม่ดึงเธอออกจากความว่างเปล่า ณิสรินทร์เหลือบมองอีกฝ่ายทางหางตา ไม่คิดจะหมุนตัวกลับไปพบหน้าหรือพูดคุยอะไรอีก รู้ดีแก่ใจว่าท่าทางน่าสงสารเหล่านี้เคยหลอกตัวเองมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ท้ายที่สุดร่างเพรียวระหงก็เดินจากมา ไม่สนเสียงร้องโวยวายของแม่หรือสายตาของเพื่อนร่วมสาขาที่มองมาอย่างกังขาอีก มือเรียวเล็กกระชับกระเป๋าสะพายแน่น ต่อให้แผ่นหลังถูกมองอย่างทิ่มแทงแค่ไหนก็ไม่มีวันหันกลับไปเป็นอันขาด
เพราะไม่อยากพาตัวเองที่อารมณ์ขุ่นมัวไปพบใคร กว่าณิสรินทร์จะกลับมาห้องประชุมรวมตามนัดก็สายมากแล้ว ยามเธอเดินเข้าไปในห้องจึงโดดเด่นดึงสายตาใครหลายคน เพื่อนร่วมสาขาบางคนเหลือบมองมาด้วยแววตาเคลือบแคลงเป็นระยะ แต่เมื่อเธอหันไปมอง พวกเขาก็รีบหลบตา แสร้งทำเป็นง่วนกับธุระตรงหน้าแทน แม้แต่ขวัญข้าวซึ่งแอบมองอยู่ก็สะดุ้งเฮือกพลางส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้
หญิงสาวไม่สนใจสายตาอันหลากหลายของเพื่อนร่วมสาขา เธอกวาดตามองไปทั่วห้องเพื่อหามุมนั่งสงบๆ เดินลัดเลาะตามทางเดินระหว่างที่นั่ง เลือกเก้าอี้สักตัวจากแถวที่ไม่มีคนและนั่งลงเพียงลำพังเช่นเคย แต่เนื่องจากการจัดวางตำแหน่งเก้าอี้ในห้องเป็นรูปตัวยูและเว้นตรงกลางไว้สำหรับผู้สอน เพียงแค่เงยหน้าเธอก็สามารถเห็นคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งได้ทันที
ครั้นเงยหน้าขึ้นเตรียมจะฟังอาจารย์เสกสรรซึ่งอยู่ตรงกลางชั้นเรียนพูด เธอกลับเห็นใบหน้าของพสุซึ่งอยู่อีกฝั่งแทน ต่อให้แกล้งหลบตาแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เห็นกันและกัน
“...บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าอีกไม่กี่วันแต่ละสาขาจะมีการจัดนิทรรศการภายในคณะ ถึงนี่จะเป็นงานของน้องปีหนึ่งปีสอง แต่เนื่องจากอาจารย์ให้น้องๆ ไปดูแลงานส่วนอื่น ดังนั้นจึงอยากจะขอแรงพวกคุณปีสี่มาช่วยงานสักหน่อย...”
เสียงของอาจารย์เสกสรรลอยเข้าหู แต่รายละเอียดอื่นๆ ณิสรินทร์กลับได้ยินไม่ชัดเท่าไร ความสนใจของตนถูกแววตาแน่วแน่และประกายเรืองรองของพสุดึงดูดไว้ สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายหลุบตาหนีและหันกลับมาตั้งใจฟังอาจารย์เสกสรรแทน ทั้งๆ ที่จับใจความอะไรไม่ได้นอกจากช่วงท้ายเท่านั้น
“...ของที่ใช้สำหรับจัดซุ้ม ทางสาขามีเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขวัญข้าว รบกวนคุณแบ่งงานกับเพื่อนๆ ด้วยนะ”
ในฐานะประธานรุ่น ขวัญข้าวรีบยืนขึ้นตกปากรับคำอาจารย์เสกสรรเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจะจัดแบ่งทีมกับเพื่อนๆ ค่ะ”
“อาจารย์จะให้พี่รักของพวกคุณคอยอยู่ด้วย ถ้าติดปัญหาตรงไหนก็มาแจ้งได้เลย”
นักศึกษาเกือบทุกคนขานรับเป็นเสียงเดียว ก่อนที่ขวัญข้าวจะรับหน้าที่จัดสรรงานให้เพื่อนๆ ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมต่อ
“จากแผนผังงาน ซุ้มสาขาของเราจะแบ่งเป็นสามกลุ่มนะ...”
เมื่อฟังแผนงานคร่าวๆ จากขวัญข้าวอีกครั้ง แต่ละคนก็หันหน้าไปปรึกษาภายในกลุ่มที่สนิทกันเอง พอตกลงกันได้เรียบร้อยแล้วว่าอยากรับงานส่วนไหน ถึงเริ่มทยอยยกมืออาสารับงานที่สนใจ ส่วนณิสรินทร์ยังคงนิ่งเฉย ไม่ออกความเห็น กระทั่งได้ยินเสียงขวัญข้าวเรียกหา
“รูทยังไม่มีกลุ่มลงใช่ไหม ซุ้มด้านหน้าไม่ค่อยมีคน รูทจะลงไหมจ๊ะ”
พื้นที่ด้านหน้าที่ว่าถือเป็นหน้าตาของแต่ละสาขาวิชา ทว่าจำนวนรายชื่อคนที่ทำงานในกลุ่มนี้กลับน้อยกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากเป็นงานที่มีรายละเอียดยิบย่อยและใช้เวลาทำนาน หลายคนจึงแห่ไปดูแลพื้นที่งานส่วนอื่นแทน
ขวัญข้าวเห็นณิสรินทร์นั่งเงียบๆ อยู่นานจึงอดถามอีกฝ่ายไม่ได้ หญิงสาวเจ้าของสีหน้าเย็นชาเงยหน้าขึ้นมองตอบพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางเฉยเมยไร้ความรู้สึกของเพื่อนร่วมสาขาคนนี้ทำให้ขวัญข้าวรู้สึกหวั่นๆ อยู่บ้าง เหตุการณ์ที่หอพักหน้ามหาวิทยาลัยยังติดตาตน ถึงจะเห็นมาตลอดเกือบสี่ปีว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยเข้าหาใคร จงใจเว้นระยะห่างจากคนอื่นๆ แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะได้เห็นณิสรินทร์ในท่าทางเย็นชาและน่ากลัวเท่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้...
เธอคิดไม่ออกเลยว่าอะไรที่ทำให้ณิสรินทร์ทำแบบนั้นกับคนเป็นแม่ได้ลง
ขวัญข้าวพยักหน้าพร้อมส่งยิ้ม ก่อนลงชื่อของอีกฝ่ายลงในแผนงาน กระทั่งรายชื่อสุดท้ายถูกเขียนเรียบร้อย แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ขวัญข้าวเองก็เตรียมตัวไปช่วยงานตามหน้าที่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ไกลจากตัวยังมีรุ่นพี่หนุ่มที่พ่วงตำแหน่งอาจารย์พิเศษนั่งอยู่ เธอถึงหันไปถามเขาอย่างสุภาพ
“เอ่อ อาจารย์พี่รักคะ”
“ครับ”
“ถ้ามีอะไรติดขัดเรียกหนูได้นะคะ”
“ขอบคุณครับ แต่คงไม่รบกวนหรอกครับ ผมว่าจะออกไปช่วยดูซุ้มด้านหน้าสักหน่อย”
“ด้านหน้าเหรอคะ” ขวัญข้าวชะงัก เพราะจู่ๆ ก็นึกถึงณิสรินทร์ขึ้นมาทันที
“ครับ เห็นรายชื่อคนทำซุ้มด้านหน้าไม่เยอะ ถ้าผมไปช่วยอีกแรง งานจะได้เสร็จเร็วขึ้น”
พออาจารย์พิเศษหนุ่มพูดเช่นนี้แล้ว ขวัญข้าวก็พยักหน้าตามอย่างช่วยไม่ได้ แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ จนอดถามอีกฝ่ายอีกครั้งไม่ได้
“อาจารย์พี่รักคะ เรื่องก่อนหน้านี้...ที่หน้ามอ คิดว่าเราควรคุยกับรูทสักหน่อยดีไหมคะ”
ขวัญข้าวเห็นชายหนุ่มตรงหน้าเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัยเล็กน้อย แต่ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรออก ถึงได้หยั่งเชิงถามกลับมา
“หมายถึงเรื่องณิสรินทร์เหรอครับ”
“ค่ะ หนูรู้ว่ามันอาจจะดูก้าวก่าย แต่เพื่อนคนอื่นๆ ก็คงคิดไปหลายอย่าง อืม...ไม่รู้สิคะ หนูกลัวพวกเขาจะมองรูทแปลกๆ ถ้าพะ...พี่รักลองคุยกับรูท บางที...มันอาจจะดีขึ้นนะคะ มะ...หมายถึงคงไม่มีใครสบายใจเท่าไหร่ที่เห็นเพื่อนหรือคนรู้จักแสดงอารมณ์และท่าทางแบบนั้นกับพ่อแม่...”
ยิ่งพูดขวัญข้าวก็ยิ่งรู้สึกว่าเสียงของเธอเบาลงทีละนิด ความไม่มั่นใจผุดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ไม่ใช่ว่าตัวเธอมีปัญหากับเพื่อนร่วมสาขาอย่างณิสรินทร์ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะเข้าหาอีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อน
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
เสียงตัดบทของพสุทำให้ขวัญข้าวรีบมองอีกฝ่าย สีหน้าของชายหนุ่มค่อนไปทางนิ่งเฉย แววตาของเขามีคลื่นอารมณ์บางอย่างที่ทำเอาคนมองรู้สึกเสียววาบจนต้องหลุบตาหลบอย่างไม่มีเหตุผล ต้องรีบอธิบายอีกครั้ง
“คือปกติแล้วรูทก็ไม่ค่อยได้สนิทกับใคร ยิ่งเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ คนอื่นอาจจะ...จะมองรูทไม่ดี หนูคิดว่าแบบนั้นคงไม่ดีแน่ๆ แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ควรไปถึงอาจารย์เสก หนูเห็นว่าพี่รักก็อยู่ในเหตุการณ์ บางที...บางทีอาจจะคุยกับรูทสะดวกกว่า”
ขวัญข้าวไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องอธิบายทุกอย่างขนาดนี้ แต่เมื่อครู่แววตาของชายหนุ่มมันชวนให้รู้สึกเหน็บหนาวและทำให้เธอไม่กล้าคิดอะไรแปลกๆ ได้แต่บอกความคิดตัวเองออกไปอย่างไม่ปิดบัง
“ขวัญข้าว”
“คะ!”
เมื่อถูกเรียก เจ้าของชื่อก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วและมองชายตรงหน้าอย่างสงสัย ขณะที่เจ้าก้อนเนื้อตรงอกซ้ายก็เอาแต่เต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ ราวกับว่ามันพร้อมจะทะลุออกมาให้รู้แล้วรู้รอด เพียงแต่มันไม่มีความรู้สึกเขินอายหรืออารมณ์อ่อนหวานผสมอยู่ด้วยเลยสักนิด กลับกันมันคือความรู้สึกระส่ำระสายหวั่นใจไม่ต่างจากเวลาที่หนูเจอแมว
“เวลาที่เราเลือกมุมเพื่อวาดโมเดล แต่ละคนก็จะเลือกหันหน้านั่งเข้าหามุมมองที่ตัวเองอยากเห็นใช่ไหมครับ”
ขวัญข้าวรู้สึกเหมือนตัวเองตามคนตรงหน้าไม่ทัน แต่เมื่อคิดตามคำพูดของเขาแล้วเธอก็พยักหน้ายอมรับ ชายหนุ่มถึงได้พูดต่อ
“หากมีมุมที่อยากมองไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ของภาพเหล่านั้นก็ย่อมออกมาต่างกันเสมอ” พสุเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าเดิมเล็กน้อย
“ทุกคนล้วนมีมุมมองในการเล่าเรื่องต่างกัน สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาก็ย่อมต่างกัน ทั้งคุณและผม เราไม่มีทางรู้เลยว่าจากมุมของณิสรินทร์ เธอจะวาดภาพและถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นแบบไหน นอกเสียจากจะอยู่จุดนั้นเอง”
ตอนแรกขวัญข้าวไม่ทันได้ฉุกคิดถึงความหมายที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อ กระทั่งค่อยๆ เชื่อมโยงประโยคทั้งหมดจากคำพูดของอาจารย์พิเศษทีละเล็กทีละน้อย หญิงสาวพลันรู้สึกเห่อร้อนบนใบหน้าทันที ต่อให้คนตรงหน้าไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ทุกคำและทุกความหมายที่ซ่อนอยู่ก็ทำให้เธอแทบรู้สึกผิดไม่ทัน เวลานี้ทั้งอายทั้งไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่าย ได้แต่ก้มหน้าตอบเสียงแผ่ว
“ค่ะ อาจารย์ หนูเข้าใจแล้ว ขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะ ถ้างานมีปัญหา มาแจ้งผมได้เลยครับ”
“ค่ะ” ขวัญข้าวผงกศีรษะติดกันหลายครั้งจนดูเหมือนแม่ไก่จิกข้าวสาร กระทั่งรู้สึกได้ว่าร่างสูงโปร่งของพสุเดินจากไปแล้ว เธอถึงเงยหน้าขึ้นมาได้ ก่อนผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สุดปอด พลางยกมือตบอกเบาๆ
“ฮู่ว เห็นแบบนี้อาจารย์รักก็ดูน่ากลัวเหมือนกันแฮะ”
เมื่อคิดๆ ดูแล้วว่าการกระทำของตัวเองอาจจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทกับณิสรินทร์ อีกทั้งตัวเองก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอีกฝ่าย ขวัญข้าวก็เม้มปากอย่างรู้สึกผิด เธอส่ายศีรษะ คิดไว้แล้วว่าต้องหาโอกาสคุยกับณิสรินทร์ให้ได้ อย่างน้อยให้เธอขอโทษที่ไปตัดสินเรื่องนี้ก่อนจะรู้ความจริงใดๆ ก็ยังดี
ดังนั้นเมื่อตัดสินใจแล้ว ขวัญข้าวจึงปลุกปั้นอารมณ์ตัวเองให้สดใสแล้วรีบหมุนตัวเดินไปทางซุ้มตามหน้าที่ของตน ทว่าก็อดหันไปมองทางหน้าซุ้มที่กำลังเตรียมงานกันอยู่ไม่ได้ กระทั่งเห็นสายตาของอาจารย์พิเศษที่มองเพื่อนร่วมสาขาอย่างณิสรินทร์ผู้เย็นชาแล้ว ดวงตาของตนก็เบิกขึ้นเล็กน้อย
ไม่รู้ทำไมเมื่อเห็นภาพตรงหน้าแล้ว เธอถึงได้เร่งฝีเท้าก้าวออกไปไวๆ แถมหัวใจยังเต้นแรงผิดจังหวะด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าจะเคยเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของพสุในคาบเรียนมาแล้ว แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะได้เห็นสายตาแบบนี้ของเขา
แววตาที่เต็มไปด้วยเอ็นดูทั้งยังเจิดจ้าราวกับมีทะเลดวงดาวซ่อนอยู่ในนั้น ความรู้สึกล้ำลึกที่คาดเดาไม่ออก แต่กลับทำให้บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยกลิ่นอายหอมหวานราวกับมีดอกไม้บาน ราวกับมีมดนับพันไต่ยุบยิบอยู่ในใจจนคนแอบมองต้องหลบสายตาเสียเอง
ขวัญข้าวมั่นใจมากว่าไม่เคยเห็นสายตาของพสุเปลี่ยนแปลงแสดงคลื่นอารมณ์เช่นนี้มาก่อน เพราะเขามักจะรักษาท่าทียามอยู่ต่อหน้ารุ่นน้องอย่างพวกเธอเสมอ เมื่อเห็นว่าสายตาแสนพิเศษนี้มีให้เพื่อนนักศึกษาผู้เย็นชาอย่างณิสรินทร์ ในใจของตนก็เกิดคำถามขึ้นมา
ทำไมกันนะ...
ณิสรินทร์เดินมาบริเวณหน้าซุ้มของสาขาวิชา รอบข้างสาขาวิชาอื่นๆ ที่ได้พื้นที่จัดกิจกรรมใกล้ๆ กันกำลังง่วนอยู่กับการจัดซุ้มของตัวเองอย่างขะมักเขม้น ส่วนเพื่อนร่วมสาขาที่มีหน้าที่ดูแลหน้าซุ้มเหมือนตนกำลังแยกย้ายไปทำหน้าที่ตามจุด
งานส่วนใหญ่คือการระบายสีป้ายตามที่น้องๆ ชั้นปีอื่นได้วาดทิ้งไว้แล้ว ก่อนนำมาประกอบเป็นซุ้มด้านหน้า ถึงจะดูเป็นงานที่ไม่หนักหนาเท่าไรนัก แต่กว่าจะระบายสีแผ่นป้ายแต่ละแผ่น กว่าจะเอาป้ายเหล่านั้นมาประกอบเรียงต่อกันติดกับโครงเหล็กหน้าซุ้ม พร้อมตกแต่งเก็บงานให้เรียบร้อยด้วยลูกโป่งหลากสีอีก ก็ล้วนเป็นงานที่ใช้เวลา เธอไม่แปลกใจเลยที่คนส่วนใหญ่อยากหนีไปทำงานส่วนอื่นๆ
“มีอะไรให้ช่วยไหม” ณิสรินทร์เดินเข้าไปถามเพื่อนร่วมสาขาที่อยู่ใกล้ที่สุด ถึงจะไม่ค่อยสนิทกันมาก แต่อีกฝ่ายก็หันมาตอบอย่างเป็นมิตร
“อ๋อ รูท ตรงนี้ยังว่างอยู่ พวกเราแบ่งป้ายกันระบายตามแบบอยู่ รูทไปเลือกจากกองที่ยังไม่ได้ระบายได้เลยนะ สีกับแปรงเตรียมไว้พร้อมแล้ว ส่วนภาพต้นแบบมีอยู่ในแชตกลุ่มนะ”
เมื่อเพื่อนสาวร่างเล็กตรงหน้าอธิบายแล้ว เธอก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ หันไปหยิบแผ่นป้ายหนึ่งในกองที่ยังไม่ได้ลงสีขึ้นมา ระหว่างนั้นก็เปิดดูในแชตกลุ่มไปด้วยว่าแผ่นป้ายที่เลือกมาต้องใช้สีอะไรบ้าง โชคดีที่แผ่นป้ายนี้เป็นเพียงการระบายลงในช่องว่างของข้อความด้วยสีหลักอย่างสีน้ำเงินเข้มสีเดียว ณิสรินทร์หยิบถังสีใบเล็กพร้อมแปรงทาสีหัวใหญ่อีกสองอันติดมือมา จงใจทิ้งระยะห่างจากกลุ่มเพื่อนๆ ที่นั่งทำงานอยู่ก่อนแล้วเล็กน้อย
ขณะที่เตรียมตัวจะนั่งลงทำงาน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตรงหน้ามีเงาของชายหนุ่มร่างสูงพาดผ่านตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเงาก็สบประสานกับนัยน์ตาคมเข้มของพสุอีกครั้ง
“ทำไมแยกมานั่งไกลจากคนอื่นแบบนี้ล่ะ”
ได้ยินคำถามนี้แล้วณิสรินทร์ก็เงียบนิ่ง ในใจนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เธอเผยอารมณ์ร้ายกาจออกมาต่อหน้าใครหลายคน ถึงจะเห็นแล้วว่าสายตาที่พสุมองตนไม่ได้แฝงการตัดสินหรือความรู้สึกดูแคลนหยามหยันใดๆ แต่ในใจของตนก็แย้งขึ้นมาว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะปล่อยให้ชายหนุ่มตรงหน้าเข้าใกล้ตัวเองอีก
ณิสรินทร์คิดว่ากำแพงในใจที่ตั้งไว้กีดกันใครต่อใครให้ถอยห่างจากตัวเองไปนั้นแข็งกล้า กันได้ทุกสิ่ง แต่เธอไม่ทันได้รู้ตัวเช่นกันว่า ท้ายที่สุด ในอนาคตอันไม่ใกล้และไม่ไกลต่อจากนี้ กำแพงของตนจะถูกบางคนทำลายลงอย่างง่ายดาย...
“แล้วทำไมอาจารย์รักมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ” ณิสรินทร์ย้อนถามเสียงเรียบ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าประโยคนี้ของตนเป็นการบอกไล่กลายๆ ทว่าชายหนุ่มกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน คร้านจะถือสา แถมยังยิ้มมุมปาก ดวงตาที่ก้มมองลงมาก็เปล่งประกายเหมือนเด็กชายตัวน้อยที่ได้พบของขวัญที่ถูกใจเป็นครั้งแรก แต่ขณะเดียวกันมันก็ดูลุ่มลึกและเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่รู้จัก
“ผมมาช่วย”
ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายยังขยับมือมาแย่งแผ่นป้ายในมือเธอไป ก่อนรีบย่อตัวนั่งลงตรงข้ามเธอ ก้มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูตัวอย่างสีของป้ายนี้คร่าวๆ โดยไม่รอให้เธอตั้งตัว วินาทีต่อมาแปรงอันหนึ่งที่ถูกเขาชิงไปแล้วก็จุ่มลงถังสีใบเล็กแล้วปาดลงบนแผ่นป้ายตรงหน้าทันที
ณิสรินทร์อ้าปากจะเอ่ยไล่ให้เขาไปที่อื่น แต่เมื่อกลุ่มเพื่อนร่วมสาขาที่นั่งอยู่ไม่ไกลเห็นพสุ ก็รีบทักทายด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจกันยกใหญ่
“ ’จารย์พี่รักมาช่วยเหรอคะ”
“รุ่นพี่มาช่วยพวกผมตรงนี้ด้วยสิครับ”
ร่างสูงโปร่งเงยหน้าขึ้นมองเธอพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่งคล้ายจงใจยั่วเย้า ก่อนหันไปตอบรุ่นน้องที่พ่วงด้วยตำแหน่งลูกศิษย์ด้วยรอยยิ้มกึ่งหัวเราะไปในตัว
“ตรงนั้นมีกันตั้งหลายคน แต่ตรงนี้มีคนเดียวเองนะ”
“อุ๊ย! พูดมางี้ผมไปต่อไม่ถูกเลย”
“รีบทำ งานจะได้เสร็จ”
“รับทราบครับ/ค่ะ”
เห็นคนอื่นๆ ที่เหลือยกมือขึ้นวันทยหัตถ์ใส่พร้อมรอยยิ้มทะเล้นๆ พสุก็ยิ้มอย่างจนใจ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ลืมเงยหน้าหันมาพูดกับนักศึกษาสาวตรงหน้า
“คนอื่นๆ เขาทำงานแล้วนะครับ”
ณิสรินทร์เม้มปาก มองซ้ายมองขวาเห็นว่าคนอื่นๆ ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง ทั้งยังไม่มีท่าทางสงสัยเลยว่าทำไมอาจารย์พิเศษคนนี้ถึงมาช่วยงานตัวเอง ส่วนคนต้นเรื่องกลับเผยรอยยิ้มเสียจนรูปตาทั้งสองข้างโค้งงอ แววตาไหวเจือความขำขัน จนเธอนึกหมั่นไส้ อยากจะหมุนตัวกลับไปเสียตั้งแต่ตอนนี้
คิดๆ ดูแล้ว ในเมื่อพสุเอ่ยเต็มปากเต็มคำแล้วว่าเขาตั้งใจมาช่วย หากเธอทิ้งงานตรงหน้าแล้วหนีกลับไปฝ่ายเดียว ไม่แน่ว่าคงถูกคนอื่นๆ มองในแง่ลบหรืออาจจะถูกหยิบยกไปคุยในวงซุบซิบนินทา คิดไปไกลว่าเธอมีปัญหากับอาจารย์หนุ่มอีก ดังนั้นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวของณิสรินทร์ในตอนนี้ก็คือนั่งลงและรีบรับผิดชอบงานตรงหน้าให้เสร็จเท่านั้น
โชคดีที่แผ่นป้ายนี้มีความยาวพอสมควร ณิสรินทร์จึงเลือกนั่งฝั่งตรงข้าม ขยับห่างอีกฝ่ายไปเกือบสุดปลายอีกด้านหนึ่ง ก่อนหยิบแปรงทาสีอีกอันขึ้นมาจุ่มถังสีใบเล็กและเริ่มลงมือระบายสีแผ่นป้ายเงียบๆ
หญิงสาวตวัดแปรงวาดสีน้ำเงินเข้มไปตามทรงโค้งของตัวอักษร ข้อมือที่จับปลายด้ามแปรงมั่นคง ทำให้การลงน้ำหนักสีต่อเนื่อง ขอบสีจากฝีแปรงไม่เลยขอบดินสอที่ร่างไว้เลยสักนิด
ขณะที่ณิสรินทร์กำลังตั้งใจระบายสีให้เต็มตัวอักษร เธอไม่ทันสังเกตเลยว่ามีสายตาของอีกคนเพ่งมองอยู่ กระทั่งเงยหน้าขึ้นจะหันไปจุ่มสีอีกครั้งถึงได้ประสานสายตาคนตรงหน้าอีกครั้ง
“มองอะไรคะ”
ณิสรินทร์ขมวดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยความเป็นอริ ส่วนพสุก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า ทำเพียงยิ้มมุมปากก่อนหลุบตามองตัวอักษรที่หญิงสาวเพิ่งระบายเสร็จ
“มือนิ่งดีนะ เนื้อสีก็สม่ำเสมอ”
ประโยคที่ชายหนุ่มพูดดูเผินๆ เหมือนเป็นการชื่นชมฝีมือทั่วไป แต่ณิสรินทร์รู้ว่าเขาต้องการเลี่ยง ทำเป็นไม่ยอมตอบคำถามเธอ ดังนั้นความรู้สึกในตอนนี้จึงไม่ต่างจากการออกแรงงัดกับก้อนนุ่น ที่ท้ายที่สุดตัวเองก็เสียแรงเปล่า
เธอแอบถลึงตาใส่ชายหนุ่ม หันมาก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ไม่ลืมกำชับอีกฝ่ายคล้ายเป็นการขู่แกมประชดประชัน
“ถ้าจะช่วยก็ลงมือสิคะ ไม่ใช่ทำอะไรก็ไม่รู้...”
ปลายเสียงนี่คล้ายจะพึมพำกับตัวเอง แต่ท้ายที่สุดพสุก็ได้ยินอยู่ดี คนโดนเหน็บแนมไม่มีทีท่าว่าจะอารมณ์เสีย กลับกันท่าทางต่อต้านของณิสรินทร์ในสายตาเขาก็ไม่ต่างจากลูกแมวที่กำลังขู่ฟ่อๆ พองขนฟูใส่ศัตรู ดวงตาของพสุจึงประดับด้วยประกายยิ้มๆ มากกว่าจะโมโหคำพูดของหญิงสาว
“พวกเขาไม่ได้ทำอะไรคุณไปมากกว่านี้ใช่ไหม”
ประโยคที่เขาถามขึ้นมาโดยไม่มีการเกริ่นนำใดๆ ทำเอามือที่จับแปรงชะงัก ปลายขนแปรงสั่นไหวจนสีที่กำลังระบายเลอะออกนอกขอบไปเล็กน้อย
ณิสรินทร์เงยหน้าขึ้นมองผู้ชายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นความเป็นห่วงและความอาทรที่ฉายชัดจากดวงตาคู่ตรงหน้า เธอก็ก้มหน้าลงทันทีราวกับสายตานี้เป็นของต้องห้าม เธอเม้มปากเบาๆ ก่อนตัดสินใจทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแทน
ปลายนิ้วมือที่สั่นไหวเพราะความตกใจกลับมานิ่งได้อีกครั้ง ณิสรินทร์ยกแปรงทาสีขึ้นจุ่มสีอีกครั้งแล้วค่อยๆ ระบายทับรอยเลอะเก่าด้วยเส้นที่มั่งคงกว่า เช่นเดียวกับจิตใจที่เริ่มกลับมาสงบ
หญิงสาวบอกตัวเองว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตอบคำถามนี้ หากลองคาดเดาความคิดของเขาดู สำหรับพสุแล้ว เรื่องราวของเธอก็อาจเป็นเพียงเรื่องราวชวนน่าเห็นใจ บางทีการที่เขาเข้าหาตนด้วยความเอื้อเฟื้อนี้อาจเป็นเพียงน้ำใจของคนทั่วไปที่มีให้กันเท่านั้น สำหรับเธอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกสงสารหรือความเห็นใจจากคนรอบตัวล้วนไม่สำคัญ กลับกันบางครั้งเธอก็รู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออกเมื่อได้รับสายตาสงสารจากคนอื่น
เธอไม่เคยต้องการให้ใครมาสงสารชีวิตตัวเอง เมื่อก่อนไม่เคยต้องการ ตอนนี้ยิ่งไม่ต้องการ เพราะมันไม่ต่างจากการตอกย้ำว่าชีวิตของเธอมันน่าเวทนาและน่าเศร้าแค่ไหน
จู่ๆ ณิสรินทร์ก็นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็กขึ้นมาได้ ตอนนั้นเธอเป็นเพียงเด็กประถมตัวเล็กๆ ที่ไม่มีผู้ปกครองมาร่วมงานวันสำคัญเลยสักครั้ง คุณครูที่โรงเรียนอนุบาลหรือผู้ปกครองของนักเรียนคนอื่นต่างมองเธอด้วยความเห็นใจ พวกเขาเกาะกลุ่มคุยกันว่าชีวิตของเด็กหญิงตัวน้อยน่าเวทนาเพียงใด แต่เมื่อได้ยินคนพูดว่าแม่ของเธอขายร่างกายแลกเงิน สายตาของคนเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสารที่ปะปนด้วยความรู้สึกรังเกียจ เพื่อนนักเรียนวัยประถมก็ถอยห่างหนีจากเธอเหมือนเธอเป็นตัวเชื้อโรค ท้ายที่สุดณิสรินทร์ก็รับรู้สาเหตุที่ทำให้รอบข้างเปลี่ยนไป
‘แม่ของเด็กคนนั้น เห็นว่าวันๆ ขลุกอยู่กับแต่ผู้ชาย’
‘จะว่าไปอายุก็ยังน้อยอยู่เลยนะคะ แถมน้องรูทก็ไม่รู้จักพ่อด้วย’
‘เห็นเด็กทำงานตัวเป็นเกลียว ส่วนแม่ก็ร่อนไปกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้า...ก็อย่างว่านะคะ’
‘คงไม่มีเวลามาสอนลูก กลัวอย่างเดียวว่าจะโตไปเป็นเหมือนแม่’
เด็กหญิงตัวน้อยยืนฟังเงียบๆ จากอีกฝั่ง ถึงจะมีผนังห้องเรียนกั้น แต่ก็ไม่หนาพอจะเก็บเสียงเอาไว้ได้ ดวงตาจดจ้องพื้นราวกับกำลังดึงความคิดทั้งหมดไว้ที่จุดเดียว
ณิสรินทร์ในวัยเด็กไม่รู้ว่าคำพูดของผู้ปกครองของเพื่อนร่วมชั้นมีความนัยอะไรแฝงอยู่ ทว่าจากสายตาและท่าทางของทั้งสองคน เด็กหญิงก็เข้าใจและสัมผัสได้ถึงความรังเกียจที่พาดผ่านใบหน้า กระทั่งผู้ปกครองทั้งสองเดินจากไปแล้ว ณิสรินทร์ถึงเพิ่งเข้าใจว่า ท้ายที่สุดแล้วความสงสารเหล่านั้นก็มีแต่จะกลายเป็นการดูแคลน
ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่ได้รับสายตาเวทนาและความสงสารจากคนอื่นๆ ณิสรินทร์จึงยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนที่น่าสงสารคนหนึ่ง ต่อให้เธอพยายามแทบตายก็เป็นได้แค่เด็กน่าสงสารเท่านั้น...
หญิงสาวดึงตัวเองออกจากความทรงจำในวัยเยาว์ ความนิ่งเงียบที่ปกคลุมพวกเขาสองคนทำให้สติที่กระจัดกระจายกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ขณะเดียวกันเมื่อไม่มีการตอบรับจากคู่สนทนา เธอก็พลันโล่งอกขึ้นมาอย่างประหลาด...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากให้อาจารย์หนุ่มเข้ามาข้องแวะหรือรับรู้ปัญหาของตัวเองมากกว่านี้อีก
มือที่จับแปรงทาสียังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อระบายส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ณิสรินทร์ก็เบนสายตาไปยังพสุเร็วๆ เพื่อดูว่างานของเขาคืบหน้าไปถึงไหน แต่เมื่อเห็นความเร็วในการทำงานของอาจารย์หนุ่มแล้ว ณิสรินทร์ก็ขมวดคิ้ว เผลอหลุดปากถามด้วยความรู้สึกกึ่งไม่เข้าใจกึ่งอดทนไม่ไหว
“ทำไมถึงช้าแบบนี้ล่ะคะ” คิ้วโก่งงามเคลื่อนเข้าหากันจนเกือบจะผูกเป็นปม เธอขยับไปนั่งตรงข้ามชายหนุ่ม เพ่งมองการระบายสีของคนตรงหน้าอย่างละเอียด นับว่ายังดีที่มันเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่หากพูดถึงความเร็วแล้วยังใช้ไม่ได้
“คุณทำแผ่นนี้ต่อไปก็แล้วกันนะคะ ฉันจะไปดูป้ายอื่นที่ยังไม่ได้ทาสี”
ณิสรินทร์เตรียมจะลุกไปทำงานกับแผ่นป้ายอื่นต่อ แต่อาจารย์หนุ่มกลับเอ่ยรั้งเอาไว้
“ณิสรินทร์”
เจ้าของชื่อหันมามองคนเรียกอย่างมีคำถาม แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มในดวงตาของอีกฝ่ายแล้ว ณิสรินทร์ถึงรู้สึกว่าคำเรียกของเขามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ยังไม่ทันได้สืบเสาะหาสิ่งที่ค้างคาใจนี้ พสุก็พูดขึ้นก่อน
“คุณช่วยผมระบายก่อนได้ไหม ผมติดนิสัยทำงานช้าน่ะ กลัวว่าคนอื่นจะรอ”
ณิสรินทร์ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ เธอมองความคืบหน้าของงานที่เขาทำเมื่อเทียบกับของตัวเอง แล้วสุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับ นั่งลงเตรียมช่วยชายหนุ่มระบายสีต่อให้เสร็จ
“ขอบคุณครับ”
หญิงสาวไม่ตอบ เพียงเพ่งสมาธิกับการทาสี เดิมทีแผ่นป้ายที่ว่าก็ไม่ได้กว้างมากนัก ยิ่งเมื่อเธอขยับมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยแล้ว ระยะห่างของพวกเขาสองคนก็ร่นลงกะทันหัน หากเงยหน้าขึ้นก็อาจจะสบประสานเข้ากับดวงตาคมกริบได้ทันที ท่ามกลางความเงียบสงบนี้ เธอสัมผัสได้ถึงจังหวะการหายใจเข้าออกที่สงบนิ่ง รวมถึงกลิ่นหอมสะอาดจากคนตรงหน้า
ที่ณิสรินทร์เริ่มอยู่ไม่สุข ก็เพราะบรรยากาศรอบๆ ตัวชายหนุ่มกลับกลายเป็นสิ่งที่ร่างกายของตนเริ่มคุ้นชินไปแล้วทั้งๆ ที่เคยใกล้ชิดเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจหรือกลิ่นกายหอมสะอาด มันชวนให้รู้สึกสงบและอยากแนบอิงไออุ่นอันสดชื่นเหล่านั้นจนณิสรินทร์เริ่มชังร่างกายอันซื่อตรงของตัวเอง
ร่างบอบบางค่อยๆ ขยับออกห่างจากร่างสูงทีละนิด หวังไม่ให้จับสังเกตได้ แต่จู่ๆ คนที่เงียบอยู่นานก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ตรงนั้นยังไม่ได้ลงสีเลยนะ”
ณิสรินทร์ชะงักเมื่อได้ยินที่เขาบอก ก่อนรีบก้มมองจุดที่ชายหนุ่มชี้ เมื่อเห็นว่าเป็นตัวอักษรที่ตัวเองระบายอยู่ หญิงสาวจึงกระแอมกระไอ บอกเสียงเรียบ
“ทราบแล้วค่ะ คุณระบายของคุณไปดีกว่า” พูดจบเธอก็ก้มหน้าลงเตรียมระบายสีในพื้นที่ว่าง ทว่าเสียงหัวเราะทุ้มต่ำเบาๆ ดึงดูดให้ณิสรินทร์เงยหน้าขึ้นขวับ แม้ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าขำเพราะอะไร แต่รอยยิ้มจางๆ กับเสียงหัวเราะนี้ทำให้นึกขัดใจขึ้นมา
“มีอะไรน่าหัวเราะเหรอคะ อาจารย์”
ปลายเสียงติดจะตวัดเล็กน้อยเป็นการประชดประชันที่ดูแง่งอน พสุกลั้นยิ้ม ดวงตาที่มองหญิงสาวเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม
“อยากรู้เหรอครับ” ถึงจะถามตรงๆ อย่างนั้น แต่พสุก็เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวอยากรู้แต่ไม่อยากตอบ รอยยิ้มในแววตาจึงเป็นประกายเจิดจ้าและชัดเจนมากขึ้น เขาขยับตัวโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาวก่อนจะกระซิบ หวังให้ได้ยินคำพูดนี้กันแค่สองคน
“ผมกำลังคิดว่า...คุณก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะ”
คนฟังเบิกตากว้าง ไม่ถึงเสี้ยววินาที ร่างผอมบางก็สะดุ้งลุกพรวดพราดจนแปรงทาสีตกพื้น บริเวณใกล้ๆ กันเกิดเป็นรอยเลอะเพราะถูกขนแปรงสะบัดสีใส่ นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เปื้อนสีไม่ต่างกัน...
วินาทีนี้พสุบันทึกเก็บภาพใบหน้าแดงระเรื่อของณิสรินทร์ไว้ในใจเงียบๆ ต่อให้เธอพยายามรักษาความเยือกเย็นของตัวเองไว้สักแค่ไหน แต่ปฏิกิริยาของร่างกายก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ ไม่อย่างนั้นคนเย็นชาคงไม่แสดงสีหน้าขัดเขินออกมาให้เขาเห็นเป็นครั้งแรกอย่างนี้
“พะ...พูดอะไรออกมาคะ” หญิงสาวกัดฟันตอบ ดวงตาคมเรียวถลึงมองเขาอย่างตกใจ นอกจากนั้นยังมีคลื่นอารมณ์แข็งกร้าวคัดค้านเจืออยู่
พสุชักมือที่ถือแปรงทาสีออกมาจากแผ่นป้าย แล้วยกขึ้นเท้าคาง เอียงศีรษะมองเจ้าแมวที่ถูกเย้าแหย่ด้วยรอยยิ้ม
“พูดความจริงไงครับ” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “มีคนบอกคุณหรือเปล่าว่าคุณน่ารักมาก”
ยิ่งเขาพูดใบหน้าของณิสรินทร์ก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้นเรื่อยๆ ปฏิกิริยานั้นชวนให้หัวใจของพสุรู้สึกเหมือนถูกเจ้าเหมียวตัวน้อยตรงหน้าฝนเล็บใส่ ความรู้สึกเบาบางและหนักหน่วงปัดผ่านบางสิ่งที่นิ่งสงบเป็นเวลานานให้เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง สัญญาณที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้พสุทั้งตกใจและสงบใจในคราวเดียวกัน
ว่าแล้วว่าการที่ตัวเองสนใจผู้หญิงตรงหน้ามากขนาดนี้มันต้องมีความหมายบางอย่าง
ขณะที่พสุกำลังตื่นรู้ต่อความรู้สึกของตัวเอง คนบางคนก็เพิ่งตระหนักได้ว่า นอกจากกระแสความเย็นชาและเงียบสงบที่ตัวเองคุ้นชิน กำลังมีอีกความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นในใจ
หัวใจของณิสรินทร์เต้นแรง ต่างจากเวลาที่เธอตื่นตระหนกด้วยความกลัว ไม่เหมือนกับหัวใจที่บีบรัดเร็วๆ เพราะความโกรธ แต่นี่เป็นความเขินอายที่เธอตระหนักรู้และหวั่นใจในคราวเดียวกัน ประตูที่ปิดกั้นไม่ให้รู้สึกหวั่นไหวกับใครก็ตามกลับถูกสั่นคลอนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค
หญิงสาวเบิกตามองชายหนุ่มตรงหน้า สังเกตทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าจะเป็นประกายในดวงตา รอยยิ้มมุมปาก หรือน้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอก็ตาม
“ณิสรินทร์...”
เพียงแค่ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยชื่อเธอ เจ้าตัวก็สะดุ้งดั่งโดนของร้อน ไม่สนใจสายตาของเพื่อนนักศึกษาที่ลอบมองมาอย่างสงสัย
เมื่อเห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจของชายหนุ่ม ทันใดนั้นณิสรินทร์ก็ตัดสินใจที่จะอยู่สู้กับผู้ชายคนนี้ต่อ หากวิ่งหนีหรือแสดงท่าทียอมแพ้ออกไป ก็ไม่ต่างจากการเปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายเห็น หญิงสาวจึงรีบเก็บความรู้สึกอันหลากหลายในใจ พยายามควบคุมและบังคับสติตัวเองให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว
“รู้ตัวไหมคะว่ากำลังทำอะไร”
กระแสเสียงเย็นชาของหญิงสาวไม่ได้ทำให้พสุตื่นตระหนก ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงเจือด้วยรอยยิ้ม เขาวางแปรงทาสีลงบนผ้าใบที่ปูรองพื้นเอาไว้แล้วค่อยๆ เงยหน้ามองอีกฝ่าย รอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าลูกแมวตัวน้อยจะตอบโต้อะไรกลับมา
“ช่วยระวังคำพูดของคุณหน่อยนะคะ เพราะฉันไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่จะชื่นชอบพากันอวยคุณอย่างเดียว”
หากสายตาของณิสรินทร์คือคมมีด มันคงพุ่งปะทะกรีดตามร่างกายเขาให้ได้บาดแผลไปแล้ว พสุไม่ได้ร้อนรน เขาเพียงผงกศีรษะรับรู้แล้วอธิบายอย่างใจเย็น
“ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำให้คุณอึดอัด ผมแค่อยากชมข้อดีของคุณบ้าง” พสุยิ้ม เว้นจังหวะการพูดไปชั่วครู่เพื่อลอบมองปฏิกิริยาคนตรงหน้า “ถ้าขอชมคุณในฐานะรุ่นพี่กับรุ่นน้อง คงไม่ได้ทำให้คุณลำบากใจใช่ไหม”
ประกายเจ้าเล่ห์วาววับจากดวงตาคู่นี้ทำเอาณิสรินทร์ไปไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าพสุพยายามหลีกเลี่ยงประเด็นเรื่องคำพูดของเขา ซ้ำยังหาเหตุผลมารองรับการกระทำของตัวเองโดยที่เธอค้านไม่ได้ ถึงอย่างนั้นณิสรินทร์ก็ยังคงเชิดหน้าขึ้น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่แสดงความอัดอั้นออกมา เปลือกนอกที่แสดงออกจึงมีแต่ความแข็งกร้าว ไม่เกรงกลัวสิ่งใด
“พูดได้ดีนะคะ ดูท่าทางคงมีนักศึกษารุ่นน้องหลายคนที่หลงคำพูดนี้ของคุณมานักต่อนักแล้ว”
พสุไม่โกรธคำพูดนี้ เขากลับอมยิ้มเมื่อได้ยินประโยคนี้จากอีกฝ่าย แววตายิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ
“ณิสรินทร์”
หญิงสาวเลิกคิ้วมองแทนคำถาม แววตายังมีร่องรอยระแวงและระวังตัว ก่อนที่สีหน้านิ่งสงบจะสั่นไหวเพราะคำพูดของเขาอีกครั้ง
“ผมไม่เคยพูดแบบนี้กับใคร...นอกจากคุณ”
ความคิดเห็น |
---|