บทที่ ๔
“เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเอาการบ้านไปทำในออฟฟิศฉัน เสร็จแล้วฉันมีธุระจะพูดกับเธอ” เมื่อถึงบ้านเขาก็สั่ง สั่งเสร็จก็เดินนำเข้าบ้าน
ยิหวามองตาม หน้าตึงขึ้นเล็กน้อย ความคิดที่ว่าเขาอาจจะใจดีกว่าที่หล่อนคิดถูกลบหายไปด้วยความไม่พอใจที่เขาสั่งเอาๆ และหล่อนก็ได้แต่จำต้องทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น
หญิงสาวเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้าน ได้แก่ กางเกงยีนขาสั้นกับเสื้อยืดพอดีตัว เสร็จแล้วก็หอบสมุดหนังสือการบ้านเดินตรงไปยังห้องทำงานของเขา
หล่อนเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มตอบรับทันทีราวกับรออยู่แล้ว ยิหวาผลักประตูเข้าไป เห็นชายหนุ่มนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ท่าทางตั้งอกตั้งใจอยู่กับเอกสารตรงหน้า
“นั่งที่โซฟานั่นก็ได้” เขาสั่งโดยไม่เงยหน้า
“ค่ะ” ยิหวารับคำแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟา เริ่มเปิดหนังสือทำการบ้าน
ฟิสิกส์เป็นวิชาที่หล่อนอ่อนที่สุดในบรรดาวิชาเรียนสายวิทยาศาสตร์ แต่ที่ทำคะแนนได้ดีเพราะหล่อนตั้งใจทำความเข้าใจและฝึกแก้โจทย์อยู่เสมอ ซึ่งจำต้องใช้สมาธิอย่างมาก แต่เมื่อต้องมานั่งทำความเข้าใจบทเรียนและทำโจทย์ในห้องทำงานของเจ้าของไร่ หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มีเจ้าของโต๊ะนั่งทำงานหน้าเคร่งอยู่ หล่อนจะไปเอาสมาธิมาจากไหน
หลังจากอ่านโจทย์แล้ว ยิหวาก็นั่งกระสับกระส่าย เปิดหนังสืออ่านทวนบทเรียน เปิดสมุดรวมสูตรที่หล่อนจดไว้แล้วเปิดท่องเสมอเมื่อมีเวลาว่าง หล่อนจำสูตรเหล่านี้ได้ทั้งหมด เพียงแต่หล่อนไม่รู้ว่าจะเอาสูตรไหนมาใช้กับโจทย์นี้ เพราะอยู่ๆ หล่อนก็รู้สึกราวกับสมองว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกเอาเสียเลย
“โอย ทำไมยากแบบนี้ คิดไม่ออก” หล่อนพึมพำกับตัวเอง
หญิงสาวมัวแต่ก้มหน้าก้มตาพยายามทำโจทย์ เลยไม่ได้เห็นว่าคนนั่งทำงานหลังโต๊ะตัวใหญ่นั้นวางปากกาและนั่งมองหล่อน ริมฝีปากติดยิ้มน้อยๆ
คีรีรู้สึกเอ็นดูคนนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่โซฟา สายตาหล่อนจับจ้องหนังสือที่เปิดกางอยู่ตรงหน้า มือถือปากกาแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางหมุนไปมา พร้อมกับถอนหายใจเฮือกๆ บ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ เขาเดาว่าหล่อนคงจะมีปัญหากับการบ้านกระมัง
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินอ้อมโต๊ะทำงานตรงไปยังโซฟา โดยที่คนที่นั่งทำการบ้านอยู่ไม่ได้รู้ตัวแม้แต่นิดว่าเขากำลังเดินไปหา
“อุ๊ย!” ยิหวาอุทานเมื่อรู้สึกว่าโซฟาข้างตัวยวบลง กลิ่นกุหลาบลอยกรุ่นเข้าจมูก และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนตัวโตนั่งลงข้างๆ สายตาทอดไปยังหนังสือที่เปิดอ้าอยู่ตรงหน้า เขานิ่งไปราวกับอ่านโจทย์ตรงหน้าก่อนจะหันมาถามหล่อน
“ทำการบ้านไม่ได้หรือ”
“ค่ะ” ยิหวาตอบอ้อมแอ้ม
ชายหนุ่มยื่นมือไปหยิบปากกาจากมือหล่อนแล้วเขียนยุกยิกลงบนกระดาษที่หล่อนใช้เป็นกระดาษทด เขียนเสร็จเรียบร้อยก็เงยหน้าบอกหล่อน
“ลองนี่ดูสิ”
‘นี่’ ของเขาคือสูตรการคำนวณทางฟิสิกส์ซึ่งเขาเพิ่งเขียนลงบนกระดาษ ยิหวาก้มลงมองแล้วลองแทนตัวเลขในสูตรด้วยตัวเลขที่โจทย์กำหนดมา อดเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คนบอกสูตรไม่ได้เมื่อมองเห็นคำตอบลอยมาแต่ไกล ก่อนจะก้มลงไปคิดคำนวณต่อ จนเมื่อได้คำตอบที่ต้องการก็เงยหน้าขึ้นบอกเขาอย่างตื่นเต้น
“ใช่จริงๆ ด้วยค่ะคุณภู”
“ติดข้อไหนอีกหรือเปล่า” เขาถาม
“หนูดีเพิ่งเริ่มเองค่ะ”
“งั้นฉันจะช่วย”
“คุณภูไม่ทำงานแล้วหรือคะ”
“ไม่แล้ว ฉันรอเธอทำการบ้านเสร็จ”
คำตอบของเขาทำให้ยิหวาจำได้ว่า เขาบอกว่ามีธุระจะพูดกับหล่อน จึงขอโทษขอโพย
“หนูดีขอโทษค่ะที่ทำการบ้านไม่เสร็จเสียที คุณภูมีธุระอะไรจะคุยกับหนูดี คุยก่อนก็ได้นะคะ แล้วหนูดีค่อยทำการบ้าน”
“ไม่เป็นไร ฉันรอได้”
เมื่อเขาบอกเช่นนั้นยิหวาก็ก้มหน้าลงจดจ่อกับการบ้านอีกครั้ง โดยมีคนตัวโตนั่งมอง เมื่อหล่อนทำท่ามีปัญหาคิดไม่ออก เขาก็ชะโงกหน้ามาอ่านโจทย์ในหนังสือ อธิบายทฤษฎีที่จะนำมาใช้แก้โจทย์ และยิ้มอย่างพอใจเมื่อหล่อนทำโจทย์แต่ละข้อเสร็จ
ไม่นานนักยิหวาก็ปิดหนังสือ แล้วหันไปบอกคนนั่งเคียง
“เสร็จแล้วค่ะ”
“เอาหนังสือไปเก็บไป เดี๋ยวฉันจะไปรอหน้าบ้าน” เขาบอก จากนั้นกวาดตามองเรียวขาที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นของหล่อนแล้วบอก “เปลี่ยนไปใส่กางเกงขายาวด้วยนะ”
ยิหวาหลุบตาลงมองขาของตนตามสายตาเขา รู้สึกขัดเขินขึ้นมาทันที...หรือหล่อนจะแต่งตัวโป๊ไปจนเขาต้องบอกให้เปลี่ยนกางเกงนะ
“ค่ะ” หล่อนตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตาเขา หอบหนังสือขึ้นมาถือแนบอกแล้วลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปจากห้อง
ยิหวาเข้าห้องเพื่อเอาหนังสือเรียนไปเก็บและเปลี่ยนเป็นกางเกงขายาว ไม่นานก็เดินไปสมทบกับชายหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน เขาพาหล่อนเข้าไปในไร่ ตรงไปยังคนงานหญิงที่ตัดแต่งกิ่งกุหลาบอยู่แล้วบอก
“ช่วยหารองเท้าบูตให้คุณหนูดีใส่หน่อย...เธอใส่รองเท้าเบอร์อะไร” ประโยคหลังเขาหันมาถามคนยืนเคียง
“เบอร์หกค่ะ”
เมื่อรู้ขนาดรองเท้า คนงานสาวใหญ่กุลีกุจอเดินไปหาของที่ผู้เป็นนายสั่งที่อาคารเก็บของซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่าง ไม่นานนักก็กลับออกมาพร้อมรองเท้าบูตยาง
“ลองใส่ดูค่ะ”
ยิหวาถอดรองเท้าแล้วสวมรองเท้าบูตที่คนงานถือมาให้ จากนั้นก็เงยหน้าบอก
“พอดีค่ะ”
“ช่วยเอารองเท้าคุณหนูดีไปเก็บที่บ้านให้หน่อยนะ” คีรีสั่งคนงาน จากนั้นหันมาหาหญิงสาว “ไปกันเถอะ”
“ไปไหนหรือคะ”
“พาเธอเดินดูไร่ของเรา”
คำตอบของเขาทำให้ยิหวาเงยหน้าขึ้นมองคนพูด ด้วยไม่เคยคิดว่าเขาจะเรียกไร่ของเขาว่าไร่ของ ‘เรา’ เช่นนี้ หล่อนอยากรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขารวมหล่อนเป็นหนึ่งเดียวกับเขาจริงๆ หรือ แต่เมื่อมองหน้าเขาเต็มตา หล่อนก็ไม่เห็นอะไรนอกจากสีหน้านิ่งเฉยเป็นปกติของเขา
ยิหวาละสายตาจากใบหน้าของชายหนุ่มแล้วหลุบตาลงมองพื้น เดินตามเขาไปเงียบๆ
กลิ่นหอมหวานกำจายเข้าจมูกตลอดเวลาที่เดินผ่านแปลงกุหลาบที่กำลังออกดอก ยิหวากวาดตามองไร่กุหลาบกว้างไกลที่เห็นจนเจนตาด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปจากทุกที
ไร่แห่งนี้เป็นของหล่อนด้วยจริงๆ อย่างนั้นหรือ...
เมื่อได้มาเดินท่ามกลางแปลงกุหลาบเช่นนี้ ยิหวาเพิ่งรู้สึกว่าไร่แห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล แม้จะเกิดและเติบโตภายในไร่ แต่หล่อนก็ไม่เคยใส่ใจสืบเสาะว่าไร่แห่งนี้มีพื้นที่เท่าไร หล่อนไม่เคยสนใจมากไปกว่าเป็นที่ทำงานของพ่อ และเจ้าของไร่ก็เป็นนายจ้างของพ่อและเจ้าของทุนการศึกษาของหล่อน ซึ่งมีวิถีชีวิตห่างไกลกันแม้จะอาศัยอยู่ในเขตไร่เดียวกันก็ตาม แต่ตอนนี้เขากลับบอกว่าไร่แห่งนี้เป็นของ ‘เรา’ และน่าแปลกที่หล่อนกลับรู้สึกรู้สากับไร่แห่งนี้ขึ้นมาเสียเฉยๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หล่อนไม่เคยรู้สึกอะไรเลย
ในบริเวณอันกว้างใหญ่ของไร่ที่สายตาหล่อนมองเห็น มีแปลงกุหลาบทอดยาวเป็นแนว แต่ละแปลงมีหลายแถว กุหลาบสีเดียวกันออกดอกราวกับผืนผ้าลายตาราง เนื่องจากเป็นเวลาเลิกงานจึงเห็นคนงานเก็บอุปกรณ์การทำงานเดินมุ่งสู่อาคารเก็บอุปกรณ์ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวบ้านไม่มากนัก บางคนก็เดินสวนกับหล่อนและเขา ซึ่งชายหนุ่มก็ทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง
“รอแป๊บ”
ชายหนุ่มหันมาบอกหล่อนเมื่อเดินถึงแปลงกุหลาบสีขาว เขาเดินตรงไปยังกอกุหลาบ หยิบกรรไกรที่ห้อยอยู่ที่เอวออกมาตัดกุหลาบหลายดอกแล้วเดินกลับมายื่นให้หล่อน
“มาดามปล็องติเยร์”
“คะ?” ยิหวาถามอย่างไม่เข้าใจ
“กุหลาบ...พันธุ์มาดามปล็องติเยร์ หนึ่งในพันธุ์คลาสสิกที่หอมที่สุด ลองดมดูสิ”
ยิหวายกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์หลายดอกในมือขึ้นดมอย่างว่าง่าย กลิ่นหอมหวานคล้ายกลิ่นประจำกายของเขา แต่เข้มข้นกว่ามากแผ่ซ่านผ่านฆานประสาท
“หอมค่ะ...หอมมาก” หล่อนเงยหน้าขึ้นบอกเขา
หญิงสาวรู้สึกหัวใจกระตุกเมื่อเห็นเขาระบายยิ้มบางๆ ราวกับพอใจในคำตอบของหล่อน ดวงตาเขาเป็นประกายอย่างมีชีวิตชีวา ท่าทางผ่อนคลายอย่างที่หล่อนไม่เคยเห็น
“ใช้เวลาเป็นปีเหมือนกันกว่าจะได้กลิ่นหอมขนาดนี้” เขาบอก
“ยังไงหรือคะ...ปกติพันธุ์นี้ไม่ได้กลิ่นนี้หรือคะ”
“กลิ่นนี้ แต่เราปรับแต่งยีนที่มีผลต่อการให้กลิ่น เพื่อให้ได้กลิ่นหอมมากขึ้น”
“ปรับแต่งยีนหรือคะ” ยิหวาถามอย่างประหลาดใจ
ดูเหมือนสีหน้าของหล่อนคงจะเปิดเผยความรู้สึกให้เขารู้จนหมด หล่อนจึงเห็นชายหนุ่มทำท่าคล้ายจะยิ้ม คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้น
“เธอดูคาดไม่ถึง”
“ก็...หนูดีคิดว่าคุณภูแค่ปลูกกุหลาบขาย แต่ไม่คิดว่ามีการปรับแต่งพันธุกรรมแบบนี้” หล่อนไม่รู้ว่าไร่แห่งนี้จะไฮเทคขนาดนั้น
“คิดว่าฉันเป็นแค่ชาวไร่ทั่วไปหรือไง” เขาถาม สีหน้าดูอ่อนโยนลง
“ตอนนี้ไม่คิดแล้วค่ะ คุณภู...เรียนจบมาทางด้านไหนหรือคะ” หล่อนถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะคำถามหล่อนอาจจะฟังดูละลาบละล้วงไปสักหน่อย แต่ตอนนี้หล่อนมั่นใจว่าเขาต้องไม่ใช่ชาวไร่ธรรมดาอย่างที่หล่อนเคยคิด เพราะชาวไร่ที่ไหนจะสอนการบ้านฟิสิกส์หล่อนได้ด้วยท่าทางสบายๆ เช่นนั้น
“นึกว่าจะไม่สนใจอยากรู้เรื่องของสามีตัวเองเสียแล้วหนูดี”
คำพูดของเขาทำให้หล่อนเดินสะดุด เมื่อทำใจกล้าหันไปมองเขาก็เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉย ไม่เหมือนคนที่เพิ่งพูดถ้อยคำที่ทำให้หล่อนอึดอัดขัดเขินจนก้าวขาแทบไม่ถูกเลย
เขายังคงพาหล่อนก้าวไปตามทางเดินข้างแปลงกุหลาบช้าๆ โดยไม่ตอบคำถามหล่อน นาน...จนหล่อนคิดว่าเขาจะไม่ตอบเสียแล้ว จึงได้ยินเขาเอ่ยขึ้น
“ฉันจบมาทางด้านวิศวะชีวโมเลกุล”
คำตอบของเขาทำให้ยิหวาหันไปมองด้วยดวงตาเบิกโตราวกับคนโง่ เขาเรียนจบอะไรมานะ หล่อนไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจสีหน้าของหล่อน จึงพูดราวกับตัดบท แต่ก็เป็นการอธิบายถึงสาขาที่เขาเรียนจบมาอยู่ในที
“เอาเป็นว่าการเรียนสาขานี้ทำให้ฉันมีความรู้พัฒนาพันธุ์กุหลาบด้วยการตัดแต่งยีนในดีเอ็นเอเพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ อย่างมาดามปล็องติเยร์ที่ให้กลิ่นหอมตามที่ต้องการแล้ว แต่ยังหาวิธีที่จะทำให้กลิ่นไม่หายไปเมื่อเจออากาศไม่ได้” เขาบอก
“ยังไงหรือคะ” หล่อนถามอย่างไม่เข้าใจ ยกกุหลาบในมือขึ้นดม “กลิ่นก็ไม่ได้หายไปไหนนี่คะ ยังหอมอยู่เลย”
เขายิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของหล่อน
“กลิ่นหลังสกัดสิ เราจะขายดอกเพื่อสกัดน้ำมันหอม แต่พอน้ำมันหอมที่สกัดได้โดนอากาศ กลิ่นก็หายไป เลยยังต้องทำการทดลองอยู่เพื่อหาทางรักษากลิ่นไว้”
“สกัดน้ำมันหอมหรือคะ หนูดีนึกว่า...คุณภูขายกุหลาบเป็นดอกไม้”
“ในฐานะลูกสาวผู้จัดการไร่ เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานของพ่อเลยหรือ” เขาถาม
น้ำเสียงนั้นฟังดูหยอกเย้ามากกว่าจะตำหนิ ทำให้ยิหวากล้าค้อนน้อยๆ แล้วตอบเหมือนแก้ตัวว่า
“พ่อไม่ให้หนูดียุ่งกับงานของพ่อนี่คะ”
สิ้นคำหล่อน ชายหนุ่มมองหล่อนนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายไหววูบคล้ายคลื่นน้ำต้องสายลมแผ่ว ก่อนจะพูดในสิ่งที่ทำให้คนฟังรู้สึกราวกับมีแขนขางอกออกมาจนไม่รู้จะจัดวางไว้ตรงไหน
“ในฐานะลูกสาวผู้จัดการไร่เธอไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่ในฐานะนายหญิงของไร่ภูคีรี เธอต้องเรียนรู้อะไรอีกมากเชียวละหนูดี”
ความคิดเห็น |
---|