1

หน่วยรังผึ้ง

1

หน่วยรังผึ้ง

 

ซ่า! ซ่า! ซ่า! 

ท้องฟ้ามืดสนิทปรากฏแสงสีเงินวาบผ่านเป็นระยะ พายุฝนยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ไม่ว่าจะหันมองทางไหนก็เห็นเพียงกำแพงน้ำขนาดยักษ์ บดบังวิสัยทัศน์รอบกายโดยสิ้นเชิง 

เปรี้ยง!

โกดังซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สี่ไร่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ชุดดำหลายสิบคนเดินตรวจตราอย่างเข้มงวด จริงอยู่ที่พวกเขาสวมชุดกันฝน ทว่าหยดน้ำที่มาพร้อมลมพายุก็มากพอที่จะทำให้เนื้อตัวเปียกโชก แต่ทั้งหมดทำราวกับว่า สภาพอากาศแปรปรวนขณะนี้ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ยังคงทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องชนิดที่ว่าหากไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่มดแมลงก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้

สำหรับมนุษย์ที่ตัวใหญ่กว่าแมลงหลายหมื่นเท่ายิ่งเป็นไปได้ยาก!

“ผึ้งดำเรียกฝูงผึ้งงาน ตัวไหนได้ยินขอให้ตอบด้วย”

“ผ...ถ...ออก...ซ่า ซ่า”

“พูดให้มันชัดๆ หน่อยสิวะ!”

“ผ...ล...มา...ซ่า ซ่า ซ่า” 

‘ร้อยตำรวจเอกฆนิลกาฬ’ ที่ซ่อนตัวอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์มากว่าหกชั่วโมงเริ่มร้อนรน พยายามเคาะๆ วิทยุสื่อสารที่สวมอยู่ที่หูเพื่อติดต่อคนในทีมคนอื่นๆ อย่างสุดความสามารถ แต่กลับได้รับเพียงสัญญาณขาดๆ หายๆ ที่ปะติดปะต่อความหมายไม่ได้

‘หน่วยรังผึ้ง’ ได้รับเบาะแสว่าวันนี้จะมีการขนส่งสิ่งผิดกฎหมายลอตใหญ่มายังประเทศไทย โดยสถานที่เป็นโกดังของ‘ซิกนา คอร์ปอเรชั่น’ บริษัทข้ามชาติรายยักษ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐส่วนใหญ่ไม่อยากยุ่งเกี่ยว ดังนั้น ผึ้งงาน’ ทั้งเจ็ดคนจึงลอบเข้ามาหาหลักฐานการกระทำผิดเพื่อสิทธิ์อันชอบธรรมในการเข้าจับกุม แต่ไม่รู้ว่าเทพพิรุณเบื้องบนเล่นพิเรนทร์อะไรตั้งแต่เมื่อวาน จนกระทั่งตอนนี้ยังปล่อยห่าฝนลงมาอย่างต่อเนื่องจนมองอะไรไม่เห็น อีกทั้งพอลอบเข้ามาลึกขึ้นก็ถูกก่อกวนสัญญาณการสื่อสาร จะถอยก็ไม่ได้ จะรุกก็เสี่ยง กลายเป็นว่าผึ้งงานอย่างพวกเขาถูกทำให้หูหนวกตาบอดโดยสมบูรณ์

“เทพเทวาห่าไรก็ได้ บอกให้ไอ้พิรุณเลิกงานสักทีได้ไหมวะ” เจ้าหน้าที่หนุ่มสบถอย่างหัวเสีย แต่เพิ่งพูดจบไม่ทันไรก็ต้องรูดซิปปาก นอกจากเทพพิรุณจะไม่หยุดงาน ยังชวนเทพธอร์1 มาสร้างความครึกครื้นด้วย ขนาดหลบอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ที่หนายิ่งกว่าฝาบ้านยังรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน 

เปรี้ยง!! เปรี้ยง!!

สายฟ้าขนาดใหญ่แล่นไปมาบนผืนฟ้าสีดำราวกับกำลังเริงระบำ แสงสีเงินอร่ามที่ส่องต้องพื้นโลกไม่ได้ด้อยไปกว่าแสงจากดวงอาทิตย์ หากไม่เห็นเลข ‘22:37’ ที่หน้าปัดนาฬิกาดิจิตอล หลอกว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นก็คงหลงเชื่อ 

ทว่า...เทพข้างบนจะทำห่าอะไรก็ช่างแม่ง มนุษย์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างเขาคร้านจะสนใจแล้ว หลังจากอัดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ก็วิ่งฝ่าสายฝนตรงไปยังทิศทางของโกดังต้องสงสัยทันที 

แปลก...แปลกมาก ตอนที่อยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ยังได้ยินเสียงคนเดินตรวจตราเป็นระยะ แต่พอออกมาแล้วบรรยากาศกลับวังเวงจนน่ากลัว 

ร่างสูงกำยำในชุดรัดกุมสีดำหาที่หลบ ประสาทสัมผัสทุกส่วนตื่นตัวสุดขีด นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองไปรอบๆ พลางวิเคราะห์สถานการณ์อย่างระมัดระวัง ตอนที่ก่อตั้งหน่วยรังผึ้งแรกๆ เคยมีผึ้งงานสองคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในขณะปฏิบัติหน้าที่ กว่าจะตามพบก็สามเดือนหลังจากนั้น แต่ก็เหลือเพียงร่างไหม้เกรียมที่ถูกเผาจนแห้ง หลังจากนั้นก็มีกฎออกมาว่าห้ามให้เจ้าพนักงานเอาชีวิตเข้าเสี่ยงโดยไม่จำเป็น 

เจ้าหน้าที่หนุ่มก้มตัวลงต่ำในระดับความสูงเท่ากับลังไม้ อาศัยช่องว่างแคบๆ เป็นที่ซ่อนตัวพลางหรี่ตาจับจ้องไปยังกลุ่มคนแปลกประหลาดที่เดินออกมาจากโกดังต้องสงสัย 

“!!!”

นั่นมัน...เวรอะไรวะ! 

คิ้วเข้มขมวดแน่น แม้การมองฝ่าฝนหนาทึบและความมืดจะทำให้เห็นเป็นภาพลางเลือน แต่นั่นก็ชัดพอที่จะสร้างความตึงเครียดไปทั่วสรรพางค์

กลุ่มผู้มาใหม่มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่งกายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บ้างก็ใส่สูท บ้างก็ใส่ชุดปั่นจักรยานรัดรูป บ้างก็แต่งตัวเหมือนสาวออฟฟิศ แม้แต่ชุดพนักงานดิลิเวอรีสีเขียวกับสีส้มก็ยังมี ที่เด็ดดวงไปกว่านั้น...

เครื่องแบบนักเรียนมัธยม! 

หากเจอคนกลุ่มนี้แถวห้างสรรพสินค้า รถไฟฟ้า หรือริมถนน เขาคงไม่แปลกใจ แต่นี่คือสถานที่ต้องสงสัยว่ามีการลักลอบขนสิ่งผิดกฎหมายที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม แม้แต่หน่วยรังผึ้งซึ่งเป็นหน่วยงานปฏิบัติการพิเศษของรัฐบาลยังกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง ทว่าคนพวกนี้กลับเดินทอดน่องสบายใจเฉิบ เหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน 

สมองเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงความน่าจะเป็นอยู่ข้อเดียว 

ผู้สมรู้ร่วมคิด! 

ทว่าความคิดดังกล่าวดำรงอยู่ได้แค่อึดใจเดียว เมื่อบุคคลผู้สวมชุดปั่นจักรยานเข้าไปลากหนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกมากลางสายฝน โชคร้ายที่เขาอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินว่าคนพวกนี้ถกเถียงอะไรกัน ชายฉกรรจ์ชุดดำทำท่าจะต่อสู้ แต่ยังไม่ทันขยับก็ถูกชายในชุดปั่นจักรยานตวัดปลายมีดคมกริบผ่านช่วงลำคอ...ครั้งเดียวจอด ของเหลวสีแดงข้นคลั่กสาดกระเซ็นเปื้อนหน้าผู้ลงมือ ก่อนถูกสายฝนชำระล้างไปเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์น่าพรั่นพรึงเกิดขึ้น

คนกลุ่มนั้นสนทนากันอีกสักพัก จากนั้นก็แยกย้ายกันไปคนละทาง เหลือเพียงเด็กนักเรียนเสื้อขาวและกระโปรงสีกรมท่ายืนกางร่มสงบนิ่งท่ามกลางลมพายุและซากศพราวกับรูปปั้นไร้ชีวิต 

ฆนิลกาฬหมอบนิ่งอยู่ท่าเดิมเพื่อจับตาดูสถานการณ์โดยรอบ กระทั่งแน่ใจแล้วว่าในละแวกนี้มีแค่เขาและหนึ่งในผู้ร่วมกระทำความผิดเท่านั้น กระทั่งอีกฝ่ายขยับตัวทำท่าจะเดินจากไป เขาพลันตัดสินใจบางอย่างที่อาจจะขัดต่อนโยบายปลอดภัยไว้ก่อน 

ชายหนุ่มอาศัยความมืดและทักษะที่ฝึกฝนเป็นประจำวิ่งเข้าไปประชิดด้านหลังผู้ร่วมกระทำความผิดอย่างรวดเร็ว มองไกลๆ ว่าตัวเล็กแล้ว แต่พอมายืนเทียบเช่นนี้ก็พบว่าอีกฝ่ายสูงเพียงบ่าเขาเท่านั้น มิหนำซ้ำยังผอมบางจนไม่น่ายืนต้านลมแรงขนาดนี้ไหว ต่อให้เห็นเต็มสองลูกตาว่าอีกฝ่ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องชั่วร้าย ทว่าเขาก็ไม่ได้ใจยักษ์ใจมารขนาดใช้ความรุนแรงกับ ‘เด็ก’ ตัวแค่นี้ลง มือที่กำลังจะเอื้อมไปล็อกคอชะลอความเร็ว ก่อนเปลี่ยนไปคว้าจับต้นแขนเล็กๆ นั่นแทน 

เกิดพลาดพลั้งคอหักขึ้นมามันจะไม่คุ้มกัน!

หมับ!

“อย่าขัดขืน! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ!!” 

“เอ๊ะ!” ผู้ร่วมกระทำความผิดในคราบนักเรียนเซถอยหลังไปปะทะแผ่นอกแข็งแกร่ง ร่มสีใสที่ถืออยู่กระเด็นหลุดจากมือ ก่อนถูกลมพายุพัดปลิวไปไกล 

ซ่า! ซ่า! ซ่า! 

                คนร้ายที่ถูกทิ้งอยู่เพียงลำพังแหงนหน้ามอง บนหน้าครึ่งบนสวมหน้ากากสีขาวจนแทบจะกลืนไปกับผิวกาย กระทั่งริมฝีปากเองยังปราศจากสีสัน ท่ามกลางความมืดและสายฝนมีเพียงประกายวาววับจากดวงตาที่เห็นเด่นชัด แรกเริ่มอาจถูกรูปลักษณ์ภายนอกหลอกว่าเป็นแค่ ‘เด็ก’ แต่ความเย็นเยียบที่สะท้อนออกมาก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา 

“ยอมให้ความร่วมมือซะดีๆ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา!” เจ้าหน้าที่หนุ่มเป็นฝ่ายตะโกนแข่งกับสายฝนด้วยเสียงดุดัน มือข้างหนึ่งจับแขนบอบบางไพล่หลัง อีกข้างกอดรัดร่างในชุดนักเรียนแน่น ต่อให้เป็นปลาไหลก็แน่ใจว่าไม่มีทางดิ้นหลุด 

หญิงสาวใช้เวลาประมวลผลชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถามผู้มาใหม่ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ตำรวจเหรอ ตามกลิ่นมาถึงนี่เชียว” 

“เรียกฝูงผึ้ง! เรียกฝูงผึ้ง! พบตัวผู้ต้องสงสัยบริเวณหน้าโกดัง G ขอทีมช่วยเหลือด่วน!!” 

“ท...ซ่า...ส่ง...ป...ซ่า ซ่า ซ่า” 

แรกเริ่มดวงตาสีน้ำหมึกเผยความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง แต่พอได้ยินประโยคขอความช่วยเหลือจากวิทยุสื่อสาร แววตาพลันถูกความหงุดหงิดใจเข้ามาแทนที่ เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกเคล้าคลอไปกับถ้อยคำที่ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ “พวกฝูงผึ้ง...แมลงน่ารำคาญ”

มือขาวจนซีดยกขึ้นเกาะกุมแขนช่วงล่างของเจ้าหน้าที่หนุ่มแทบจะทันที เอ่ยประโยคต่อมาด้วยแววตาค่อนไปทางไร้อารมณ์ “ถ้าคุณเป็นพวกเดียวกับคนที่นอนอยู่คงตายสบายกว่านี้ แต่เพราะคุณไม่ใช่ ดังนั้นขอโทษล่วงหน้าเลยก็แล้วกัน”

ทีแรกฆนิลกาฬคิดว่าตนเองหูฝาดไป ทว่ายังไม่ทันได้โต้ตอบก็ถูกถีบเข้าที่หัวเข่าอย่างแรง ช่วงจังหวะที่คลายมือเพราะความเจ็บปวด ผู้ร้ายในเครื่องแบบนักเรียนพลันยอบตัวต่ำ ก่อนเตะซ้ำเข้าที่ข้อพับขาของเขาอย่างแม่นยำ ทีนี้พลันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าตนเองกำลังถูก ‘เด็ก’ ขู่ฆ่า!

“เฮ้ย!!”

พลั่ก! 

ต้นไม้ใหญ่โดนทำลายรากฐานยังโค่นได้ แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ โดยเฉพาะคนที่ประมาทคู่ต่อสู้ตัวเล็กจึงไม่ได้เตรียมตั้งรับไว้ตั้งแต่แรก ร่างสูงล้มหน้าคว่ำกระแทกพื้น โชคดีที่ใส่สนับเข่ารองไว้จึงไม่ถึงกับสะเทือนมาก แต่ยังไม่ทันทรงตัวดีๆ หางตาพลันเหลือบไปเห็นการจู่โจมที่สองพุ่งเข้ามาติดๆ ครั้งนี้เป็นเข่าเน้นๆ ตรงเข้ามาที่จุดตายอย่างก้านคอ

มันจะเหี้ยมเกินไปแล้ว!

“ขัดขวางเจ้าพนักงาน โทษถึงจำคุกนะเว้ย!” เจ้าของเสียงทุ้มตวาดพลางเอนตัวหลบอย่างฉิวเฉียด นอกจากอีกฝ่ายจะไม่หยุด ยังตามติดเข้ามาอย่างไม่ลดละ 

“ไม่ยักรู้ว่าพวกฝูงผึ้งจะใช้ปากเก่งขนาดนี้ จะตายแล้วยังเห่าไม่หยุด”

“อ้าวไอ้เด็กเวร! ตัวแค่นี้มาพูดเรื่องเป็นตาย เก็บปากไว้กินนมเถอะอีหนู!!” ถูกปรามาสซึ่งหน้ามีหรือจะทนไหว ชายหนุ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาบ้าง หากสู้คนตัวแค่นี้ไม่ได้ก็เตรียมยื่นจดหมายลาออกจากราชการเถอะ

หมับ! 

มือหยาบกร้านข้างหนึ่งคว้าหมับเข้าที่โคนขาซึ่งพุ่งเข้ามาได้ทันท่วงที ส่วนอีกข้างชกเน้นๆ ไปยังท้องน้อยของคู่ต่อสู้อย่างไม่ออมแรง ทว่าฝั่งนั้นก็ตาไวไม่แพ้กัน เบี่ยงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว กำปั้นจึงแฉลบไปที่บริเวณสีข้างแทน แต่เพราะขนาดตัวและพละกำลังแตกต่างกันเกินไป แรงแค่นั้นมากพอที่จะทำให้ร่างเล็กเซถอยไปหลายก้าว ก่อนฟุบลงไปกองเพราะความจุกเสียด ก่อนเงยหน้าขวับจ้องเขาด้วยแววตามาดร้าย 

“โทษทีว่ะ คนอย่างพี่เบามือไม่เป็น” ตำรวจหนุ่มคลี่ยิ้มสาแก่ใจขณะล้วงกุญแจมือออกจากกระเป๋า ย่างสามขุมไปยังร่างเปียกปอนบนพื้น โดนไปขนาดนั้นคงยากจะลุกขึ้นอีก

“...”

“ไป! ไปคุยกันที่โรงพัก!”

กริ๊ก

ถือว่าต้องจ่ายค่าเลินเล่อเป็นครั้งที่สอง เพิ่งจะล็อกข้อมือขาวซีดได้ข้างเดียว คู่ต่อสู้ที่คิดว่าหมดฤทธิ์กลับใช้ศีรษะเสยเข้าที่ปลายคางของเขาเต็มรัก ทั้งยังอาศัยจังหวะนั้นดึงแขนคืนกลับไป ร่างในชุดนักเรียนลุกขึ้นกระโดดถีบหน้าอกของเขาเต็มเหนี่ยว ถึงจะไม่อันตรายเท่าการจู่โจมครั้งที่แล้ว แต่ก็ทำให้หงายหลังได้เหมือนกัน 

“เวรเอ๊ย! ไม่ยอมให้หนีหรอกโว้ย!!”

พลั่ก!

มีหรือที่เขาจะยอมโดนกระทำฝ่ายเดียว อาศัยขาที่ยาวกว่าเกี่ยวคนตัวเล็กกว่าให้ล้มคว่ำมาด้วยกัน น้ำหนักที่กระแทกบนร่างไม่มากเท่าใดนัก เผลอๆ เบากว่าลูกเหล็กที่เขายกเล่นยามออกกำลังกายเป็นเท่าตัว

“แส่หาเรื่องใส่ตัวนักใช่ไหม!” หน้ากากขาวซีดไม่อาจปกปิดโทสะลุกโชนของผู้พูด จากที่คิดจะถอยไปตั้งหลัก พลันหันกลับไปสู้ยิบตาอย่างไม่ยอมจำนน

ร่างของคนสองคนสู้กันอุตลุดท่ามกลางสายฝน กอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างไม่มีใครยอมใคร เรื่องพละกำลังชายหนุ่มชนะขาด แต่เรื่องความว่องไวของคู่ต่อสู้นี่สิน่ากลัว ทุกการออกอาวุธพุ่งตรงมายังจุดอ่อนบนร่างกายทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลนี้คนตัวใหญ่จึงถอยร่นไม่เป็นกระบวน กล่าวได้ว่าคนตัวเล็กเป็นต่ออยู่หลายแต้ม 

ฆนิลกาฬพยายามสะบัดร่างที่นั่งคร่อมเอวออก ผิวหน้าทั้งแสบทั้งคันยามถูกผมยาวเปียกโชกสะบัดผ่าน ชั่ววินาทีหนึ่งเขาเห็นริบบิ้นขาวผ่านตาไวๆ รู้ตัวอีกทีริบบิ้นที่ควรใช้ผูกผมก็คล้องเข้ามาที่ลำคอของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนตามมาด้วยแรงดึงรั้งจากปลายเชือกทั้งสองด้าน ยังถือว่าโชคดีที่คู่ต่อสู้เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ชายตัวโตเท่ากัน ป่านนี้กระดูกต้นคอคงหลุดไปแล้ว

“อะ...อีหนู ยังกลับตัวทะ...” เจ้าหน้าที่หนุ่มกัดฟันเอ่ยกระท่อนกระแท่น อยู่มายี่สิบแปดปีถึงเพิ่งเข้าใจ พวกนักร้องนักแสดงที่ได้พวงมาลัยจากเหล่าแฟนคลับคงตื่นเต้นแบบนี้นี่เอง...

ไม่สิ...นี่ไม่ใช่พวงมาลัย แต่คืออาวุธสังหารที่พร้อมจะปลิดชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ!

“อย่ามาเรียกฉันว่าอีหนู!” เสียงแหลมตวาดลั่นกลบประโยคที่ยังพูดไม่จบ พลางหมุนข้อมือให้ปลายริบบิ้นสั้นลง ใช้เข่ายันแผงอกแกร่งเพื่อออกแรงต้าน ออกแรงรัดลำคอของคนใต้ร่างมากกว่าเดิม 

“เวร...อึก!!” ชายหนุ่มตาเหลือก เริ่มหายใจไม่ออก มือข้างหนึ่งรั้งริบบิ้นที่ทั้งเล็กและลื่นไม่ให้รัดแน่นไปกว่านั้น ในเวลาเดียวกันก็พยายามถีบตัวขึ้นเพื่อให้ร่างด้านบนหงายหลังไป แต่ใครจะคิดว่าขาเรียวทั้งสองข้างจะเกาะเอวเขาแน่น นั่งทรงตัวได้อย่างยอดเยี่ยม สุดท้ายจึงตัดสินใจรัวหมัดเข้าที่ซี่โครงด้านซ้ายของคู่ต่อสู้ติดกันหลายที มีแรงเท่าไหร่ใส่ให้ยับ 

คนอย่างเขา ถ้าจะตายก็ขอตายแบบนอนยิ้ม ไม่ขอนอนหนาวตายอยู่ตรงนี้! 

“อัก!” ถึงจะผ่านการฝึกฝนการต่อสู้มาเป็นอย่างดี แต่ลักษณะทางกายภาพของผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชายอยู่แล้ว มือที่จับริบบิ้นคลายออกพร้อมกับร่างบางซึ่งเซล้มไปด้านข้าง ก่อนถูกคว้าตัวเข้าไปขังไว้ในวงแขนแข็งแรง มิหนำซ้ำยังโดนขาหนักๆ ก่ายร่างปิดตายทางหนี 

หมับ!

ดวงตาสีน้ำหมึกเบิกกว้าง แม้แต่หญิงสาวเองก็ไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้วิธีการหน้าด้านแบบนี้ เสียงแหลมกรีดร้องขณะดิ้นขลุกขลักอยู่ในกรงขังมนุษย์ ขู่ฟ่อๆ คล้ายงูเห่าก็ไม่ปาน 

“หยุดขัดขืน! ยอมให้ความร่วมมือกับตำรวจ!!” 

เจ้าพนักงานส่วนใหญ่เรียนการต่อสู้ระยะประชิดหลักสูตรเดิมๆ ประเภทบุกซึ่งหน้าหรือหลบหลีกอย่างองอาจ หากเจอคนร้ายไม่เป็นโล้เป็นพายก็ใช้ป้องกันตัวได้เหลือแหล่ ทว่าในบางสถานการณ์...ถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่เทคนิคแพรวพราวหน่อยก็เสี่ยงจะซี้แหงแก๋ได้ไม่ยาก เหมือนในกรณีนี้เป็นต้น 

“กรี๊ด!!”

“อย่าดิ้นสิโว้ย!” ฆนิลกาฬวางเรื่องเพศสภาพไปก่อน ใช้แขนขากอดรัดร่างบางประหนึ่งนอนกอดหมอนข้าง โดยรวมอาจดูน่าอเนจอนาถไปบ้าง แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็หนีไปไหนไม่รอด 

“ถ้าฉันหลุดไปได้...!”

“เหอะๆ ฝันอย่างเดียว เพราะน้องสู้พี่ไม่ได้หรอกโว้ย!” ด้วยเกรงว่าเสียงฝนจะดังกว่าเสียงพูด ชายหนุ่มจึงก้มลงตะโกนชิดริมใบหูเย็นๆ ของคนในอ้อมแขน แต่เพราะอีกฝ่ายเอาแต่สะบัดหน้าไปมา สภาพเลยดูเหมือนเขากำลังกินหูคน 

“กรี๊ด! ไอ้คนทุเรศ!!” คนที่เข้าใจไปว่าถูกลวนลามกรีดร้องจนคอแทบแตก ทั้งโมโหทั้งอับอายผสมปนเป วินาทีนั้นคิดแต่เพียงว่าไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้าง 

“เฮ้ยๆๆ พี่ไม่ได้ลวนลามนะน้อง พี่แค่ทำตามหน้าที่!” ชายหนุ่มแก้ต่างให้ตัวเอง พลางยักคิ้วตอกย้ำถึงความเป็นผู้ชนะ ถึงเม็ดฝนจะทำให้การมองเห็นเป็นภาพมัวๆ แต่ก็ยังพอเห็นว่าอีกฝ่ายโมโหจนหน้าแดงหูแดงไปหมด 

“พอๆๆ เก็บแรงไว้สอบปากคำเถอะ เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา คนจะครหาว่าตำรวจรังแกเด็ก!”

เมื่อเห็นว่าต่อต้านไปก็เปลืองแรงเปล่า ท้ายที่สุดคนตัวเล็กจึงหยุดดิ้น หอบแฮกๆ ในกรงขังมนุษย์ ทว่าไม่ใช่เพราะยอมจำนน แต่เพราะประสาทสัมผัสอันเฉียบคมซึ่งถูกฝึกมาอย่างดีได้ยินเสียงตะโกนแว่วๆ ที่ใกล้เข้ามา 

“ผึ้งดำ! ได้ยินแล้วตอบด้วย!” 

“เฮ้ย! เจอศพทางนี้!”

“แยกย้ายกันไปหาผึ้งดำ!”

ไม่ได้การ!

คนร้ายในคราบนักเรียนใจหล่นไปยันตาตุ่ม ดวงตาสีน้ำหมึกฉายแววตื่นตระหนก รีบยันตัวเองขึ้นไปจนดวงตาทั้งสองคู่อยู่ในระดับเดียวกัน ใครใช้ให้ผึ้งตำรวจหน้าด้านแต่งตัวรัดกุมขนาดนี้ ผิวหนังนอกร่มผ้าที่พอจะจู่โจมได้เหลือแค่ส่วนใบหน้าเท่านั้น

โป๊ก!

“แม่งเอ๊ย!!” ฆนิลกาฬสบถคำหยาบเมื่อถูกโขกเข้าที่หน้าผากอย่างแรง เห็นของเหลวสีแดงติดอยู่ที่หน้ากากร้าวๆ ก่อนจะถูกสายฝนชำระล้างออกไป ยังไม่ทันหายมึน แรงกระแทกครั้งที่สองก็ตามมาติดๆ 

โป๊ก!

ครั้งแรกยังฝืนจับแน่นไม่ปล่อย แต่ครั้งที่สองที่อีกฝ่ายกระแทกหน้าลงมา...บังเอิญว่าฟันดันเฉาะลงมาที่ริมฝีปากของเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะด้วย ต่อมรับรสพลันสัมผัสได้ถึงรสสนิมเลือดเต็มปาก อีกทั้งฟันคมๆ นั่นก็กัดซ้ำรอยแผลปริแตกเหมือนปีศาจร้ายกระหายเลือด วินาทีนั้น ‘คนถูกลวนลาม’ ปราศจากปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ เมื่อตั้งสติได้จึงถีบร่างบางกระเด็นราวกับต้องของร้อน

“เอ็งกล้าล่วงละเมิดทางเพศตำรวจ!”

หญิงสาวกลิ้งห่างไปสามเมตร ทั้งมือทั้งเข่าครูดกับพื้นคอนกรีตจนถลอกปอกเปิก แต่ความโล่งใจกลับมีมากกว่านั้น พลันรีบพลิกตัวคลานเข้าไปประชิดร่างกึ่งนั่งกึ่งนอนอย่างรวดเร็ว อาศัยจังหวะนั้นเงื้อหมัดชกไปที่ ‘เป้าหลวง’ สุดแรงเกิด 

ตุ้บ!

“อุก!” โดนโจมตีจุดอ่อนจังๆ มีหรือจะทรงตัวไหว เจ้าหน้าที่หนุ่มจุกจนหน้าเขียว หงายหลังกลับไปนอนแผ่ทันที 

“เสนียดปาก! เสนียดมือ!” ผู้ลงมือกุมท้องกล่าวขณะลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ใช้หลังมืออีกข้างเช็ดปากหลายหน มิหนำซ้ำยังทำท่าขยะแขยงประหนึ่งเนื้อตัวแปดเปื้อนสิ่งปฏิกูล 

“ถุย! สกปรก!”

ฆนิลกาฬโมโหจนหูอื้อ นัยน์ตาแดงฉานดุจอสุรกายจ้องหน้าผู้ลงมือ ราวกับต้องการจะบอกว่าถ้าเขาลุกขึ้นได้เมื่อไหร่จะฉีกเนื้อแล่หนังให้หายแค้น สุดท้ายก็เค้นเสียงกระท่อนกระแท่นได้สามคำ

“ไอ้...เด็ก...เปรต!!” 

“โทษทีนะคุณตำรวจ ฉันไม่มีเวลาว่างมาเล่นด้วย หวังว่าจะอายุยืนจนถึงวันที่ได้พบกันใหม่” ริมฝีปากที่ปริแตกไม่แพ้กันคลี่ยิ้มเย้ยหยัน พลางเตะซ้ำเข้าไปที่กลางลำตัวของคนที่นอนกัดฟันกรอดๆ อีกหลายที เมื่อสาแก่ใจจึงหันหลังจากไปก่อนที่ฝูงผึ้งงานที่เหลือจะมาถึง 

ร่างกำยำนอนขดตัวเหมือนกุ้ง เจ็บตัวว่าหนักแล้ว แต่เจ็บใจยิ่งกว่า นัยน์ตาแดงฉานได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็กด้วยไฟแค้นสุมเต็มอก นึกชื่นชมฝีมือด้วยคำหยาบนับไม่ถ้วน 

หากชาตินี้ไม่ได้เอาคืนสักที คนอย่างฆนิลกาฬคงนอนตายตาไม่หลับ!

กระทั่งทีมผึ้งงานมาถึงจุดที่ ‘ผู้กองนิล’ นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง บวกกับไม่ไกลจากนั้นมีร่างไร้ชีวิตนอนจมกองเลือดอยู่ หนึ่งในนั้นพลันปราดเข้าไปพยุงหัวหน้าชุดปฏิบัติการด้วยความตื่นตกใจ

“ผึ้งดำ! ผู้กอง!”

ฆนิลกาฬมองลูกทีมด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง ปากม่วงคล้ำเผยอพูดอย่างยากลำบาก ขณะที่มือสั่นเทาชี้ยังทิศทางที่เงาผู้ต้องสงสัยหายลับไป

“ตะ...ตาม”

หน็อยไอ้เด็กเวร! คิดว่าจะหนีไปได้อย่างนั้นเหรอ รู้ฤทธิ์ผึ้งงานน้อยไปซะแล้ว!

“อดทนไว้นะครับ ผู้กองเสียสละเพื่อชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะต้องคุ้มครอง” ไหนเลยที่ลูกทีมจะปฏิบัติตาม กุมมือของ ‘ผู้บาดเจ็บ’ เอาไว้แน่น น้ำตาร่วงเผาะๆ แข่งกับเทพพิรุณ ก่อนตะโกนขอความช่วยเหลือกับพวกที่เหลือเสียงหลง

“เรียกทีมแพทย์ด่วน! ผู้กองบาดเจ็บ!”

“เจ็บพ่อ...” 

“ผู้กองเพ้อถึงพ่อแม่แล้ว! มาช่วยกันหามด่วน! เร็ว!”

“...”

 

พลั่ก!

“มึง! มึง! และก็มึง! ทำกูเสียเรื่อง!”

ร้อยตำรวจตรีรชตหรือ ‘ผึ้งรัง’ หัวเราะแหะๆ ทั้งที่เกือบโดนน้ำแข็งปาหัวแตก ก่อนรีบเอาผ้าห่อน้ำแข็งอันใหม่ส่งให้หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่นอนหมดสภาพอยู่ในห้องพักเจ้าหน้าที่ ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ลายหน้ายิ้มสีเหลืองซีดตัวเดียวที่จำได้ว่า แม่ค้าในตลาดขายตัวละเก้าสิบเก้าบาท แต่ผู้กองต่อเหลือตัวละห้าสิบบาท ใช้งานจนเปื่อยแล้วก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนตัวใหม่สักที 

“แหะๆ ผู้กองอย่าเพิ่งขึ้นนะครับ เดี๋ยวเลือดลมติดขัด”   

“ไอ้พวกห่า! กูบอกให้ตามๆ พวกมึงก็เอาแต่บ้าจี้กับไอ้รังนั่งร้องไห้ขี้มูกไหลย้อยอยู่นั่น สรุปเสียทั้งหลักฐานทั้งคนร้าย ปล่อยเสือเข้าป่าแบบนั้น มันคงย้อนกลับมาให้พวกมึงตามตัวเจอหรอก!” 

“แหม ก็พวกผมเป็นห่วงผู้กองนี่ครับ” 

“กูสบายดี!” 

“ผมไม่คิดว่าแบบนั้นนะครับ ผมว่าผู้กองไปหาหมอเถอะ เกิดไข่ฉีกขึ้นมาจะได้รักษาทัน” ร้อยตำรวจตรีวรกันต์ หรือ ‘ผึ้งวอน’ กอดอกมองด้วยความหวาดเสียว ขนาดมีบ็อกเซอร์ตัวบางขวางอยู่ ยังเห็นว่ากล่องดวงใจบวมเป่งเท่ากำปั้น 

“ผมเห็นด้วยกับหมวดวอนนะผู้กอง ถ้าเป็นหมันขึ้นมาละยุ่งเลย” ร้อยตำรวจโทคณุตม์ หรือ ‘ผึ้งคัน’ ลงความเห็น ตบท้ายด้วยประเด็นสำคัญที่หาทางแก้กันมายาวนาน “จากที่ไม่มีเมียอยู่แล้วจะกลายเป็นหาเมียไม่ได้นะผู้กอง”

“พวกมึงอย่ามาดูถูกไข่กู แข็งแกร่งยิ่งกว่าหิน!” ร้อยตำรวจเอกฆนิลกาฬ หรือ ‘ผึ้งดำ’ ให้คำตอบอย่างหน้าไม่อาย ขณะใช้น้ำแข็งประคบไอ้ที่มันบวมๆ ไปด้วย

ไอ้เจ็บน่ะเจ็บแน่ ดูได้จากเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นมาทั่วร่าง แต่เรื่องของศักดิ์ศรีมีมากกว่า ต่อให้กัดปากจนเนื้อหลุด คนอย่างผู้กองนิลก็ไม่มีทางเปล่งเสียงร้องโอดโอยออกมา 

“แข็งไม่แข็งผมไม่รู้ แต่ดูท่าแล้วคงไม่มีแรงไปอีกหลายวัน” ร้อยตรีวรกันต์ลูบปลายคางพิจารณา ก่อนตบเข่าฉาดราวกับเพิ่งนึกความจริงอีกข้อขึ้นมาได้ “อ้อลืมไป ไม่มีแรงเป็นปีก็ไม่เป็นไร ผู้กองไม่ต้องใช้อยู่แล้ว ฮ่าๆๆ”

พลั่ก! 

“ไอ้วอน! มึงนี่มันวอนตีนสมชื่อ!!” ผู้ได้รับบาดเจ็บคว้าน้ำแข็งก้อนโตปาใส่คนใต้อาณัติอย่างแรง แทนที่อีกฝ่ายจะหยุดพฤติกรรมหยาบช้า กลับหัวเราะดังลั่นกว่าเดิม 

“ผมกลับไปเขียนรายงานต่อดีกว่า ระหว่างนี้ก็หมั่นประคบเย็นเข้านะครับ หายไวๆ นะครับผู้กอง” นายตำรวจหนุ่มแซวแค่พอหอมปากหอมคอ กล่าวจบก็หาเรื่องหลบไปทันที 

ตั้งแต่กลับมาจากโกดังและพบว่าหัวหน้าของตนไม่ได้บาดเจ็บหนัก คนในทีมก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ร้อยโทคณุตม์จึงเพิ่งได้มีโอกาสเอ่ยถามเป็นครั้งแรก “แล้วผู้กองเข้าปะทะท่าไหนถึงได้อยู่ในสภาพนี้ล่ะครับ”  

“ไม่มีอะไรมาก กูไม่ระวังเอง” ฆนิลกาฬตอบเลี่ยง เรื่องอะไรจะเล่าว่าพลาดท่าให้คนร้ายในชุดนักเรียน จะนักเรียนจริงหรือนักเรียนปลอมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือเสียชาติเกิด 

“หน่วยข่าวกรองได้เบาะแสเพิ่มเติมรึยัง”

ตอนที่คนในทีมกระจายตัวกันไป พวกลูกทีมพบศพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณรอบนอกก่อนเขาเสียอีก เมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงถอนกำลังกลับไปยังจุดนัดหมายตามที่ตกลงกันไว้ ตราบจนเหลือเขาเป็นคนสุดท้ายที่ยังไร้วี่แวว สถานการณ์เช่นนั้นเสี่ยงมากที่จะส่งคนเข้าไปตาม ได้แต่รอฟังข่าวจากสัญญาณวิทยุติดๆ ขัดๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายที่ได้ยินคำว่า ‘ด่วน’ พวกลูกทีมจึงตัดสินใจทิ้งที่มั่นเพื่อบุกเข้าไปช่วยเหลือ  

“รอบนี้ผู้กองเจอของแข็งแล้วครับ พวกมันไม่เหลือหลักฐานให้เราแกะรอยเลย” คณุตม์ถอนหายใจ หลายปีผ่านไปเทคโนโลยีของหน่วยรังผึ้งก้าวหน้าขึ้นก็จริงอยู่ แต่กลุ่มอาชญากรก็ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ให้ตามจับง่ายๆ 

ผู้กองฆนิลกาฬได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มคนแปลกประหลาดที่พบเจอมา ทว่าหน่วยข่าวกรองที่กระจายอยู่ในรัศมีห้ากิโลเมตรกลับไม่พบความผิดปกติใดๆ เป็นไปได้ว่าก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว คนกลุ่มนั้นก็หลบหนีไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนสภาพศพที่ตรวจมาคร่าวๆ ส่วนใหญ่ตายจากการลงมือครั้งเดียว บ่งบอกว่ากลุ่มผู้ต้องสงสัยก็ฝีมือไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน

“ผมว่าต้องเป็นพวกมืออาชีพแน่ๆ แต่แปลกนะครับที่คนพวกนั้นไม่ได้เข้ามาวุ่นวายกับพวกเรา หรือว่ากลุ่มคนที่ผู้กองเจอตั้งตัวเป็นพวกศาลเตี้ย ขจัดคนพาลผดุงคุณธรรมด้วยวิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ร้อยตรีรชตที่เงียบมานานแสดงความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง แต่พอเห็นสายตาเหนื่อยใจจากเพื่อนร่วมงานก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ เอ่ยแก้ตัวด้วยเหตุผลที่คิดว่าฟังขึ้น 

“ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่ครับ หน่วยรังผึ้งของพวกเรารับบทคนดีไปแล้ว พวกที่อยู่ในคุกก็พวกคนเลว เพราะแบบนั้นต้องมีคนเทาๆ บ้างสิครับ โลกจะได้สมดุล” 

ประวัติศาสตร์ของ ‘หน่วยรังผึ้ง’ เริ่มต้นขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน มีผู้ก่อการร้ายชาวต่างชาติก่อเหตุใจกลางเมือง กว่าการติดต่อประสานงานตามขั้นตอนจะแล้วเสร็จ และกว่าจะส่งทีมช่วยเหลือไปถึงก็ล่าช้าเสียจนต้องสังเวยผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่ไปหลายสิบชีวิต พันตำรวจเอกไพฑูรย์ สิขวยาฆร์ (ยศในขณะนั้น) จึงได้ยื่นเรื่องขอก่อตั้งหน่วยรังผึ้งขึ้นเป็นการเฉพาะกิจ 

แม้จะอยู่ภายใต้สังกัดกรมอาชญากรรมพิเศษแห่งกระทรวงยุติธรรม แต่แท้จริงแล้วหน่วยรังผึ้งมีอำนาจอิสระ สามารถออกปฏิบัติการได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงโดยไม่ต้องรอคำสั่ง มีหน้าที่บุก ลุย ช่วยเหลือ และโผล่ไปเป็นก้างขวางคอการก่ออาชญากรรมทุกชนิดที่สั่นคลอนความมั่นคงของประเทศ 

เหตุที่ชื่อหน่วยรังผึ้ง เพราะผึ้งมีสังคมคล้ายมนุษย์ จุดเด่นที่ทำให้แมลงตัวเล็กๆ น่ากลัวคือความสามัคคีและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หน่วยรังผึ้งมีงานทำงานแบบผึ้งสมชื่อ มีนางพญาผึ้งควบคุมดูแลทุกอย่าง คอยตัดสินใจเรื่องสำคัญ มีผึ้งยามเฝ้าฐานที่มั่น สร้างเครือข่ายข้อมูลอันแข็งแกร่ง และมีผึ้งงานทำหน้าอยู่ด้านนอกคอยปกป้องรังจากศัตรู 

หน่วยรังผึ้งรุ่นแรกมีเจ้าหน้าที่ทั้งหมดสิบเอ็ดคน อาจเป็นตัวเลขที่ฟังดูน้อย ทว่าทุกคนคืออัจฉริยะบุคคลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถ ไม่ว่าจะบู๊จะบุ๋น จะเป็นผู้นำหรือผู้ตาม จะใช้หลักจิตวิทยาหรือกำลังวิทยาก็ล้วนแต่ทำได้ดี ส่งผลให้การทำงานรวดเร็ว ราบรื่น มีประสิทธิภาพ ประชาชนให้ความไว้ใจ เบื้องบนพึงพอใจ หน่วยรังผึ้งถึงได้อยู่ยาวมาจนถึงบัดนี้ 

การสอบเข้าหน่วยรังผึ้งรุ่นแรกโหดหินมาก ร่างกายและสติปัญญาต้องพร้อม อีกทั้งเวลาผ่านไป อาชญากรรมใช่จะลดน้อยลง หากใช้มาตรฐานเดิมคงผลิตเจ้าหน้าที่ไม่ทันการ ดังนั้นรุ่นต่อๆ มาจึงลดคุณสมบัติลงสักหน่อย ทว่าหนึ่งในสามก็ยังเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจที่แมวมองเห็นแววและเรียกมาติวเข้มเฉพาะทาง ที่เป็นหัวกะทิของรุ่นก็ส่งไปศึกษาต่อต่างประเทศ เมื่อครบกำหนดก็กลับมารับตำแหน่งเต็มตัว ปัจจุบันมีสมาชิกในหน่วยมากกว่าเดิมหลายเท่า กระจายตัวกันอยู่ทั่วประเทศ 

วันที่ ‘ร้อยตำรวจตรีฆนิลกาฬ สิขวยาฆร์’ มารายงานตัว คนในหน่วยฮือฮากันมาก เหตุเพราะเป็นลูกชายของนางพญาผึ้งรุ่นแรกที่เกษียณอายุราชการก่อนกำหนด อีกทั้งยังถูกส่งไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาตั้งสองปี จึงทำให้มีหลายคนตั้งบรรทัดฐานกับเขาเอาไว้สูงลิ่ว ฉะนั้นภาพชายหนุ่มร่างสูงกำยำ ใบหน้าแข็งกร้าว คิ้วเข้มตาคม มีลักยิ้มมุมปากสองข้าง สวมเครื่องแบบนายตำรวจเรียบร้อยยังติดตรึงอยู่ในใจของทุกคน น่าเสียดายที่ผ่านไปหลายปีภาพนั้นเหมือนจะจางลงเรื่อยๆ เพราะโดนความ ‘ถ่อย’ กลบไปซะมิด

ยกตัวอย่างเช่น...ตอนนี้เป็นต้น

“จะอะไรก็ช่างแม่ง แต่พวกมึงไปบอกหน่วยข่าวกรองให้รีบหาข้อมูลมา กูตื่นตอนไหนต้องได้อะไรที่มีประโยชน์ ไม่อย่างนั้นกูจะให้พวกมึงมานอนโอ๋ไข่เป็นเพื่อนกู” 

“ครับๆ พวกผมจะรีบจัดการ” ร้อยตรีรชตและร้อยโทคณุตม์จับเป้ากางเกงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หัวเราะเสียงแห้งสองที พวกเขายอมทำงานหามรุ่งหามค่ำดีกว่านอนโอ๋ไข่ เพราะแบบนั้นจึงรีบออกไปทำตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

ฆนิลกาฬนอนหนุนแขนตัวเอง นึกอะไรขึ้นได้จึงเอี้ยวตัวไปล้วงของบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ เป็นสร้อยข้อมือสีเงินเส้นบาง ตัวจี้แบนๆ ทำมาจากหินสีม่วงสลักลายดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋ม ตรงกลางมีอัญมณีสีม่วงใสขนาดประมาณหนึ่งส่วนสามของเม็ดข้าวสาร สายตาของผู้ชายส่วนใหญ่ค่อนข้างหยาบกระด้าง แต่ก็พอมองออกว่าเครื่องประดับชิ้นนี้ประณีตมาก 

ไอ้นี่แหละที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนแจ็กเก็ตของเขา ไม่รู้ว่าเจ้าของจงใจทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า หรือทำขาดแบบไม่รู้ตัวกันแน่ แต่พอคิดถึงวีรกรรมที่ทำให้เขาต้องนอนประคบลูกรักอยู่ที่นี่ ใบหน้าก็พลันปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

เอาไปจำนำแม่ง!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น