2

บทที่ 2 เรื่องคืนนั้น


2

เรื่องคืนนั้น

สามปีก่อน

ตอนเที่ยงคืนของวันนั้น หลังแยกกับนานะ ภานุรุจก็ไปที่ผับแห่งหนึ่งในย่านซูซูกิโนะคนเดียว ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์นั้นเอง ก็มีใครคนหนึ่งเข้ามาสวมกอดเขาจากทางด้านหลัง

            ‘ฮือๆๆ เรารักกาย อย่าทิ้งเราไปเลยนะ’ เธอคร่ำครวญอย่างคลุ้มคลั่ง กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยมาเตะจมูกทำให้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเมามาก

            ภานุรุจยืนขึ้นและแกะมือเล็กออก ก่อนจะหันกลับไปหาผู้หญิงคนนั้น แล้วก็ต้องอึ้งเมื่อพบว่าเธอคือคนที่เดินชนเขาในงานเทศกาลหิมะนั่นเอง!

ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยอะไร อีกฝ่ายก็โผเข้ามากอดเขาไว้อีกครั้ง

            ‘อย่าทิ้งเราไปนะกาย เราขอร้อง ฮือ...’ เธอสะอึกสะอื้นจนตัวโยน น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด

            ชายหนุ่มพรูลมหายใจยาวเหยียด นี่คงโดนแฟนทิ้งมา ถึงได้มาดื่มเหล้าจนเมามายหมดสภาพแบบนี้ แถมยังฟูมฟายใส่คนแปลกหน้าอย่างเขาโดยไม่อายอีก

            ‘ปล่อยผม’ เขามองเธอด้วยสายตาตำหนิ

‘ไม่ปล่อย เรารักกาย ได้ยินไหมว่าเรารักกาย!’

            ‘ผมไม่ใช่แฟนคุณ’ ภานุรุจผละออกมา ยกมือหนาขึ้นจับไหล่บางและเขย่าแรงๆ ‘ตั้งสติหน่อยสิ!’

            ดูเหมือนว่าการจับเธอเขย่าจะได้ผล อีกฝ่ายนิ่งไป ดวงตากลมโตที่แดงก่ำช้อนมองเขาอย่างพิจารณา

            ‘คุณไม่ใช่กายเหรอ’ แพขนตางอนยาวที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตากระพือขึ้นลงช้าๆ

            ‘อืม!’ เขาตอบเสียงหนักแน่น

            ประกายในดวงตาคู่สวยไหวระริก ‘ไม่จริง’ หญิงสาวส่ายหน้าไม่ยอมรับความจริง

            ‘จริง! ดูหน้าผมดีๆ สิ’ ภานุรุจโน้มใบหน้าคมคายลงไปหาคนตัวเล็กกว่า หากมองจากสายตาคนภายนอก ทุกคนคงคิดว่าเขากำลังจะจูบเธอ แต่เขาไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้นเลยสักนิด ก็แค่อยากให้เธอได้มองหน้าชัดๆ

            คนเมาเม้มริมฝีปากแน่น จ้องหน้าเขานิ่งๆ อยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่น้ำใสๆ จะไหลรินออกมาจากดวงตาบวมช้ำอีกระลอก

‘ฮือๆๆ’ ร่างเล็กอ่อนปวกเปียกและทำท่าจะทรุดลง ชายหนุ่มจึงต้องช่วยประคองเอาไว้อย่างทุลักทุเล

ภานุรุจปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนเกือบสิบนาที จนกระทั่งหญิงสาวสงบลงจึงเริ่มสอบถาม

            ‘คุณมากับใครครับ’ เขาพยายามคุยกับคนเมา แม้ไม่รู้ว่าคนเมาจะเข้าใจหรือเปล่า

            ‘อะไรนะ!’ หญิงสาวปรือตาขึ้นมองเขาและถามเสียงดังแข่งกับเพลงที่เปิดอยู่

            ‘คุณ-มา-กับ-ใคร’ ภานุรุจก้มลงกระซิบชิดใบหูที่แดงแจ๋เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

            ‘ช้านนน...มากับ...คุณ!’ เจ้าตัวยิ้มหวาน ดวงตาหยาดเยิ้ม

            หนุ่มร่างสูงทำหน้าเหลอหลา ‘เฮ้ย! ไม่ใช่ละ ผมมาคนเดียว’

            ‘ปะ กลับห้องกัน’ ยายเมรีขี้เมาเร่งเร้า ขณะที่ยืนโงนเงนไปมา

            ‘กลับห้องอะไรล่ะ เราไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันสักหน่อย’ ภานุรุจมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที

            ‘คุณรักฉันไหม’ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาถามน้ำเสียงจริงจัง ไม่นำพาต่อสิ่งที่เขาบอก

            ‘ไม่’ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง

            อีกฝ่ายมีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที ดวงตาที่จ้องมองมาฉายแววปวดร้าวมหาศาล ‘ทำไมอ้ะ!’

            ภานุรุจเห็นอย่างนั้นก็รู้ตัวว่าคำตอบของเขาคงไปทำร้ายเธอโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว

            ‘ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น’ เขาลืมไปว่าหัวใจของหญิงสาวกำลังเปราะบาง เวลานี้จึงไม่ควรจะพูดอะไรที่ตอกย้ำให้เธอรู้สึกแย่กว่าเดิม

            ใบหน้าหวานเริ่มบิดเบ้ ‘ใครๆ ก็ไม่รักฉัน ฮึก’

            ‘ร้องไห้อีกแล้ว’

            ‘ก็ฉันเศร้านี่ ไม่มีใครรักฉันเลย ฮือๆๆ’

            ‘อ้ะๆ ผมรักคุณก็ได้’ เขาเอ่ยออกไปอย่างนั้น เพราะอยากให้คนอกหักรู้สึกดีขึ้น

            แล้วก็ได้ผลจริงๆ เมื่อหญิงสาวหยุดร้องไห้แทบจะทันที

            ‘จริงเหรอ’ นัยน์ตาหวานเปล่งแสงพริบพราว

            ‘อืม’ ภานุรุจพยักหน้า...เอาเถอะ คนเมาจำไม่ได้หรอก

            ‘ดีใจจัง’ เธอยิ้มร่าเริงทั้งที่น้ำตายังเปียกแก้ม

            ‘ผมจะกลับแล้วนะ’

            ‘ฉันกลับด้วย’ อีกฝ่ายกอดเอวเขาหมับ

            ‘เฮ้ย! ไม่ได้’ ภานุรุจปฏิเสธเสียงแข็ง

            ‘งือ...’ เธอส่งเสียงขัดใจพร้อมทำปากยื่น

            ‘ไม่ต้องมางอแงเลย ยังไงผมก็ไม่ให้คุณกลับด้วย’ เจ้าของร่างสูงถอยหนี ขณะที่คนเมาเบียดกายนุ่มนิ่มเข้าใกล้ การรุกคืบของเธอทำให้หัวใจชายหนุ่มเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

‘ไม่เอา ฉันจะกลับกับคุณ’

            ‘ไม่ได้’ ชายหนุ่มยืนยันคำเดิม

‘ขอกลับด้วยคนสิ นะๆๆ’ อีกฝ่ายออดอ้อนและมองเขาด้วยสายตาเว้าวอน ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเธอคงหายไปกับแอลกอฮอล์จนหมดสิ้นแล้ว ถึงได้เอ่ยปากขอกลับบ้านกับผู้ชายแปลกหน้าได้อย่างไม่กลัวเกรงอันตรายใดๆ ทั้งนั้น

            ภานุรุจลังเลอย่างมากว่าจะเอายังไงกับผู้หญิงคนนี้ดี เพราะถ้าปล่อยให้เธออยู่ในผับต่อคนเดียวต้องไม่ปลอดภัยแน่ๆ

            สุดท้ายชายหนุ่มก็ตัดสินใจพาผู้หญิงที่เขาไม่รู้จักแม้แต่ชื่อกลับมายังโรงแรมด้วย

 

“เดี๋ยวค่ะ!” เพลงขวัญยกมือขึ้นเบรกภานุรุจ ก่อนที่เขาจะเล่าต่อ

“คุณแต่งเรื่องหรือเปล่าคะเนี่ย” เธอหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด ไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะทำอะไรน่าอายได้ขนาดนั้น

            “ผมพูดความจริง” คนหน้านิ่งตอบเสียงเรียบ นัยน์ตาสีเข้มไม่มีพิรุธปรากฏให้เห็น

‘ไม่จริ๊ง!’ หญิงสาวกรีดร้องในใจอย่างรับไม่ได้

            “โอ๊ยยย...ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย” เพลงขวัญรู้สึกอับอายจนอยากจะมุดลงไปใต้โต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด

            “ไม่รู้สิครับ”

            “ดิฉันไม่ได้ถามคุณค่ะ แค่รำพึงรำพันกับตัวเอง” เห็นนิ่งๆ แบบนี้ก็กวนเหมือนกันนะ

            “อ้าว เหรอครับ” ดวงตาคมกริบเป็นประกายวิบวับ

            “ใช่ค่ะ” หญิงสาวคันหัวใจยิบๆ อยากจะตีแขนเขาให้หายหมั่นไส้ แต่ก็ทำได้แค่คิด เพราะเดี๋ยวชายหนุ่มจะโวยวายหาว่าเธอทำร้ายร่างกาย

            “พร้อมฟังต่อหรือยัง” ภานุรุจหยิบปากกาสีเงินด้ามหรูขึ้นมาควงเล่นระหว่างรอคำตอบ

            มาถึงจุดนี้แล้ว ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมละ...

            “จัดมาค่ะ!” เพลงขวัญก็อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองจะเรื้อนได้มากที่สุดแค่ไหน หลังจากไปถึงโรงแรมแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ หากว่าเรื่องมันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด...

 

เมื่อมาถึงห้องพัก ภานุรุจใช้เวลาอยู่นานกว่าจะถอดรองเท้าให้เธอสำเร็จ เพราะอีกฝ่ายดิ้นพราดๆ ไม่หยุด จากนั้นเขาก็ประคองร่างบางไปนอนลงบนเตียงขนาดหกฟุตที่ตั้งอยู่กลางห้อง แต่คนเมาดันไม่ยอมนอนง่ายๆ

            ‘อยากเต้น!’ หญิงสาวเด้งตัวลุกขึ้นนั่งและโพล่งออกมา

            ‘ฮะ?’ คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากัน

            ‘เต้นนน’ เธอดีดดิ้นเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจอย่างไรอย่างนั้น

            ‘นอนดีกว่า ดึกแล้ว’ ภานุรุจพยายามตะล่อม

            ‘ไม่นอน ฉันจะเต้น!’ คนเมาเถียงทันควัน

            ‘แล้วจะเต้นยังไง ไม่มีเพลงนะ’

            ‘ช้านมีดนตรีในหัวใจ!’ ว่าแล้วยายเมรีขี้เมาก็ลุกขึ้นยืนทั้งที่หลับตา

            ‘เฮ้ย ระวัง’ ชายหนุ่มขยับตัวเตรียมพร้อมรอรับหากเธอเสียหลัก

            ‘ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ช้านสวย ช้านไม่เป็นไร’ หญิงสาวเอ่ยเสียงยานคางพลางปรือตาขึ้นมองเขา

‘เกี่ยวไหมเนี่ย’ ภานุรุจทำหน้างง

‘คุณณณ...ร้องเพลงให้หน่อยสิ’ จู่ๆ อีกฝ่ายก็สั่งขึ้นมา ทำเอาภานุรุจตามไม่ทัน

‘อ้าว ไหนเมื่อกี้ว่ามีดนตรีในหัวใจ’

‘เปลี่ยนใจแล้ว คุณร้องเพลงให้หน่อย’

‘ไม่’

‘ใจร้ายยย’ เธอมองเขาด้วยสายตาประณาม

‘ไม่ร้อง!’ ชายหนุ่มยกมือขึ้นมากอดอก เรื่องอะไรเขาต้องทำตามคำสั่งของผู้หญิงขี้เมาคนนี้ด้วย

‘เชอะ เต้นแบบไม่มีเพลงก็ได้’ ว่าแล้วสาวร่างเล็กก็เริ่มโยกย้ายส่ายสะโพก

‘นี่ เดี๋ยวก็ตกลงมาหัวแตกหรอก’ ภานุรุจมองคนที่กำลังเต้นเด้งหน้าเด้งหลังทั้งที่ไม่มีเสียงเพลงด้วยแววตาเหนื่อยใจ

            ‘หุบปากไปเลย!’ คนตัวเล็กยกมือขึ้นชี้หน้าเขาและมองตาขวาง ‘ช้านจะเต้น อย่ามายุ่ง!’

            ‘กรรม โดนด่าอีก’ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะ ท่าทางคืนนี้จะไม่ได้นอนแน่ๆ

            ‘ฮิ้ววว’ หญิงสาวเด้งเอวรัวๆ ใส่หน้าเขา

            ภานุรุจปวดหัวตึ้บ ไม่รู้จะจัดการกับอีกฝ่ายยังไงดี

            ‘งั้นให้เวลาเต้นอีกสิบนาทีนะ’ ชายหนุ่มจนปัญญาที่จะห้าม

ว่ากันว่าคนเรามักจะมีกลไกในการปกป้องตัวเองต่างกันไป ที่เธอทำอะไรบ้าบออยู่ตอนนี้ก็คงเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้าในใจนั่นละ

            ภานุรุจเดินไปนั่งลงบนโซฟาข้างเตียง กอดอกมองยายเมรีขี้เมาเต้นพลางถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า

           

สิบนาทีผ่านไป...

            ‘โอ๊ย ร้อนจังเลย’ คนที่เต้นแบบนันสต็อปบ่นพลางทำหน้ายู่ ว่าแล้วมือเรียวก็ถอดหมวกไหมพรมออก ตามด้วยผ้าพันคอ และเสื้อโคต

            เต้นขนาดนั้น ไม่ร้อนก็แปลกแล้ว...ชายหนุ่มคิดพลางกระตุกมุมปาก

            ‘ถอดหมดเลยน้า’ หญิงสาวไขว้แขนไว้ด้านหน้า จับชายเสื้อยืดแขนยาวสีชมพูดึงขึ้นช้าๆ

            ‘เฮ้ย!’ ภานุรุจอุทานเสียงดังพร้อมลุกพรวดขึ้นจากโซฟา และถลาเข้าไปรวบมือบางทั้งสองข้างเอาไว้ ‘ห้ามถอดเด็ดขาด’

            ‘ทำไมล่ะ ก็ฉันร้อนนี่’ ใบหน้าหวานยับยุ่งขึ้นมาโดยพลัน

            ‘มันไม่เหมาะ คุณเป็นผู้หญิง ผมเป็นผู้ชาย’ ชายหนุ่มอธิบายเหตุผลอย่างใจเย็น ขณะที่ยายเมรีขี้เมาพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา

            ‘ฉันร้อนนน...ร้อนๆๆ’

            ‘คุณไม่ควรถอดเสื้อต่อหน้าผู้ชาย ไม่เข้าใจหรือไง’ การคุยกับคนเมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

            ‘จะถอดๆๆ’

            ‘ไม่ได้!’

            ‘ปล่อยยย’

            ต่างฝ่ายต่างยื้อยุดกันไปมาอยู่นาน จนกระทั่ง...

            ‘กรี๊ดดด!’

            ‘เฮ้ย!’ ภานุรุจกางแขนรับหญิงสาวที่พลัดตกจากเตียง แต่ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งตัวทำให้ชายหนุ่มหงายหลังล้มลงบนพื้นพรมไปด้วยกัน

            ร่างเล็กโถมลงมาทับอยู่บนตัวเขา ต่างฝ่ายต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น โชคดีที่หัวของเขาไม่โขกพื้น แต่แรงกระแทกก็ทำให้จุกจนหน้าเขียวเลยทีเดียว

            ‘เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ’

            ตอนนี้ใบหน้าของเขาและเธออยู่ห่างกันเพียงแค่คืบ ใกล้...จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของกันและกัน

            ‘...’ ยายเมรีขี้เมาไม่ตอบ อาจเพราะยังตกใจไม่หาย

            ‘หึ มีผมเป็นเบาะรองรับเต็มๆ แบบนี้ คงไม่เป็นไรหรอก’ เขาก็ไม่น่าถามเลย

            ‘...’ อีกฝ่ายนิ่งเหมือนแบตเตอรี่หมด

            ‘นี่ ลุกออกไปได้แล้ว’

            ‘...’ หญิงสาวทำหน้าพะอืดพะอม ก่อนจะเม้มปากแน่นเมื่อบางอย่างแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ‘อุ๊!’

            ‘เฮ้ย! จะอ้วกเหรอ’

สิ้นประโยคนั้น หญิงสาวก็อาเจียนออกมาทันทีโดยที่ชายหนุ่มไม่มีโอกาสหนีได้เลย

            ภานุรุจได้แต่หลับตาเอาไว้ ขณะที่อีกฝ่ายอาเจียนออกมารดหัวเขาจนหมดแม็ก จากนั้นก็ฟุบลงมาบนตัวเขาและหลับไปโดยไม่รับผิดชอบกับหายนะที่ก่อเอาไว้เลยสักนิด!

 

“โอ๊ยยย! รับไม่ได้” เพลงขวัญกรีดร้องพลางยกมือขึ้นมาปิดหน้า ตอนปัสสาวะใส่ที่นอนสมัยเรียนอนุบาลยังไม่น่าอายเท่านี้เลย

            “นอกจากคุณจะอ้วกรดหัวผมแล้ว คุณยังอ้วกใส่ตัวเองด้วย เพราะแบบนี้ผมเลยต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณ”

ภานุรุจชี้แจงอย่างใจเย็น เหตุผลหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวเข้าใจไปว่าเธอกับเขามีอะไรกันแล้ว คงเป็นเพราะตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองใส่เสื้อผ้าของเขาอยู่นั่นละ

            “คุณอาบน้ำให้ดิฉัน?” สาวหน้าหวานเลื่อนมือลงมาปิดปาก หัวใจกระตุกวูบ งั้นก็หมายความว่า...เขาเห็น ‘อะไรๆ’ ของเธอหมดแล้วน่ะสิ!

‘กรี๊ดดด!’

            “ขอโทษครับ ผมพูดผิด ผมหมายถึง...ให้พนักงานผู้หญิงมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณ” ใบหน้าหล่อเหลาของคนพูดนิ่งมากถึงมากที่สุด

            “จริงเหรอคะ” เพลงขวัญมองเขม็ง

            “จริงสิครับ ถ้าผมฉวยโอกาสกับผู้หญิงที่เมาไม่ได้สติ ผมก็คงไม่กล้าเรียกตัวเองว่าลูกผู้ชายอีกต่อไป” ดวงตาคมกริบฉายแววซื่อตรง

            “คุณไม่โกหกดิฉันแน่นะคะ” หญิงสาวถามย้ำอีกครั้ง

            “ครับ ผมไม่ได้ล่วงเกินคุณแม้แต่น้อย ถ้าคุณไม่หนีไปเสียก่อน ผมก็คงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่วันนั้นแล้ว”

            “ก็...ดิฉันสติแตก ทำอะไรไม่ถูกจริงๆ นี่คะ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องรีบหนีไปให้เร็วที่สุด”

เพลงขวัญอาศัยจังหวะตอนภานุรุจออกไปรับโทรศัพท์ที่ระเบียงหอบเสื้อผ้าวิ่งแจ้นออกจากห้องไป หลังจากคุยกันได้เพียงไม่กี่ประโยค

            ระหว่างทางกลับที่พัก หญิงสาวก็คิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าควรจะไปแจ้งความจับเขาข้อหาข่มขืนดีไหม แต่สุดท้ายก็ไม่กล้า เพราะกลัวจะเป็นข่าวใหญ่และอับอาย สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับคนเดียว ให้มันเกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นและจบลงที่ญี่ปุ่นโดยไม่ต้องมีใครรับรู้จะดีกว่า

            เพลงขวัญยอมรับว่านี่เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเลย เพราะผู้กระทำผิดควรจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่ใช่ลอยนวลอยู่ในสังคมต่อไป แต่เพราะตอนนั้นเธอเป็นแค่นักศึกษาจบใหม่ จิตใจยังไม่แข็งแกร่งพอ จึงไม่กล้าเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง

            ส่วนเรื่องโรคติดต่อและการตั้งท้อง หญิงสาวได้ไปตรวจอย่างละเอียดหลังจากครบสามเดือน ตอนที่แพทย์แจ้งว่าผลเลือดเป็นปกติและไม่ตั้งครรภ์ เพลงขวัญรู้สึกโล่งราวกับยกภูเขาออกจากอก เพราะในช่วงระหว่างสามเดือนนั้นเธอเครียดและกังวลไปต่างๆ นานาจนนอนหลับไม่สนิทสักคืน

            “ถ้าคุณยังสงสัยตรงไหน ถามมาได้เลยนะครับ ผมยินดีตอบทุกอย่าง” เสียงทุ้มลึกเรียกให้เธอหลุดจากภวังค์

            เพลงขวัญเลื่อนสายตาขึ้นมองเขา “คุณสาบานได้ไหมคะ ว่าเราไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันจริงๆ”

            “ได้ครับ” ภานุรุจตอบโดยไม่ลังเล “ผมขอสาบานว่าทุกอย่างที่เล่าเป็นความจริง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน คืนนั้นผมเจอคุณเมาอยู่ในผับ เลยพากลับมาที่ห้องเพื่อความปลอดภัยก็เท่านั้น ถ้าผมโกหก ขอให้เดอะ ซันกรุ๊ปล้มละลายครับ” เขาสบตาเธอแน่วนิ่งระหว่างกล่าวคำสาบาน

เพลงขวัญมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น คนเราจะพูดโกหกยังไงก็ได้ แต่แววตาไม่สามารถโกหกได้ ตลอดเวลาที่ภานุรุจเอ่ย เธอไม่เห็นพิรุธในดวงตาอีกฝ่ายเลย มีเพียงความจริงใจที่ฉายชัดออกมา ที่สำคัญคนโกหกไม่กล้าสาบานให้บริษัทตัวเองล้มละลายแน่ๆ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เธอจะไม่เชื่อเขา

“ดิฉันเชื่อคุณค่ะ” เธอบอกภานุรุจหลังจากใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง

“ขอบคุณนะครับ” รองประธานหนุ่มยิ้มอย่างโล่งใจ

หญิงสาวค้อมศีรษะ “ขอบคุณที่เล่าทุกอย่างให้ดิฉันฟังเหมือนกันค่ะ” มือเรียวเอื้อมไปหยิบธนบัตรสีเทาสองฉบับบนโต๊ะมาใส่กระเป๋า เพราะกลัวชายหนุ่มจะยึดคืน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น

“แล้วดิฉันก็ต้องขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นด้วยนะคะ” เพลงขวัญกล่าวอย่างจริงใจ เธอไม่เคยลังเลที่จะเอ่ยขอโทษ หากตัวเองทำผิดจริง

“ผมต้องขอโทษคุณมากกว่า” รองประธานหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวล

“จริงๆ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยค่ะ เจตนาของคุณคือต้องการช่วยดิฉัน แต่ดิฉันดันเข้าใจผิดไปเอง” ต่อไปเธอจะไม่ตีตนไปก่อนไข้อีกแล้ว เพราะเรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป

“เป็นเพราะผมไม่ได้รีบอธิบายให้ชัดเจนด้วย แต่ตอนนี้หวังว่าคุณจะไม่เคลือบแคลงใจในตัวผมอีกต่อไปแล้วนะครับ”

ต่างฝ่ายต่างรับความผิดของตัวเองไปอย่างเท่าเทียมกัน

“ไม่แล้วค่ะ” เพลงขวัญส่ายหน้า ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “เอ้อ จริงสิคะ ทำไมคุณไม่ฝากดิฉันไว้กับแฟนล่ะ” ตื่นขึ้นมาในห้องนอนของผู้หญิงด้วยกัน ยังไงก็ดีกว่าตื่นขึ้นมาในห้องนอนของผู้ชาย

ภานุรุจชะงักไป นัยน์ตาสีเข้มฉายแววร้าวลึก

หญิงสาวหน้าเจื่อน ท่าทางคำถามของเธอจะไม่เข้าท่าเสียแล้ว “ขอโทษค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณจะสัมภาษณ์งานต่อไหม”

“ดิฉันก่อเรื่องไว้ขนาดนั้น คุณยังจะกล้ารับดิฉันเข้าทำงานอีกเหรอคะ”

เพลงขวัญถามอย่างตรงไปตรงมา แม้เรื่องราวจะผ่านมาตั้งสามปี แต่ภาพลักษณ์ของเธอป่นปี้ไปแล้วในสายตาเขา รองประธานบริษัทที่ดูเนี้ยบตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างภานุรุจคงไม่อยากมีเลขาฯ เรื้อนๆ แบบเธอแน่

“คนเราก็ต้องเคยทำผิดพลาดกันทั้งนั้น ผมไม่เอาอดีตมาตัดสินปัจจุบัน แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองก็ไม่เป็นไร เชิญกลับบ้านได้นะครับ” ชายหนุ่มผายมือไปยังประตูห้อง

ดวงตากลมโตเปล่งแสงวาววับ “ดิฉันเข้ามาถึงรอบชอร์ตลิสต์ได้เพราะความสามารถค่ะ”

“งั้นช่วยแสดงความสามารถของคุณให้ผมเห็นได้ไหมครับ” เขามองเธอด้วยสายตาท้าทาย คล้ายจะถามว่า ‘กล้าไหม’

“ค่ะ ดิฉันพร้อมรับการสัมภาษณ์แล้ว” คนอย่างเพลงขวัญไม่ยอมปล่อยให้ใครมาหยามง่ายๆ หรอกนะจะบอกให้!

ภานุรุจกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเริ่มถามคำถามแรก “Could you please introduce yourself?”

หญิงสาวยิ้มอย่างมั่นใจและแนะนำตัวเองเสียงฉะฉานไม่ให้เสียชื่อคนที่จบเอกภาษาอังกฤษธุรกิจเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมา “First of all, thank you for the opportunity to introduce myself.”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น