10
ในวันที่เด็กน้อยงอแง
บรรยากาศยามค่ำของเมืองที่ไม่เคยหลับใหลยังรายล้อมไปด้วยผู้คน การจราจรบนท้องถนนยังคับคั่งแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบสี่ทุ่มแล้ว เฟื่องฟ้าที่เพิ่งขับรถออกจากร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง ยังคงตั้งใจขับไปส่งเพื่อนรักให้ถึงที่พัก ภายในห้องโดยสารรถยนต์คันเล็กตอนนี้จึงมีเพลงสากลเปิดคลอเบาๆ สลับกับแสงจากดวงไฟด้านนอกที่ระยิบระยับเมื่อรถยนต์คันอื่นขับสวนมา
ข้างกายของเธอมีหญิงสาวหนึ่งคนฮัมเพลงตามจังหวะอย่างอารมณ์ดี ทว่าในความรู้สึกเฟื่องฟ้า ท่าทางร่าเริงเช่นนี้กลับน่าเป็นห่วงมากกว่า
สารถีคนสวยเหลือบมองเพื่อนสนิทสลับกับเส้นถนนตรงหน้าเป็นระยะ รินลดาที่แสดงความสดใสตั้งแต่ก้าวเข้าร้านอาหารชื่อดัง กระทั่งตอนนี้ยิ่งทำให้เธอเป็นกังวล
เฟื่องฟ้ารู้สึกว่าเพื่อนมีเรื่องราวในใจที่ไม่ได้พูดออกมา ทั้งยังพยายามเบี่ยงเบนมันตั้งแต่เจ้าตัวถ่ายรูปเซตอาหารที่จัดเสิร์ฟอย่างประณีตทุกเซต ตั้งใจฟังล่ามภาษาญี่ปุ่นบอกเล่าถึงสตอรีอาหารทุกจานตั้งแต่ต้นจนจบคอร์ส แถมยังชวนเธอคุยโน่นนี่นั่นจนคล้ายคนอารมณ์ดีมากกว่าปกติ
ที่ผิดปกติเพราะเฟื่องฟ้าคิดว่ารินลดาควรร่าเริงให้น้อยกว่านี้ เพราะเพิ่งถูกคนรักยกเลิกนัดกะทันหัน
ถึงอย่างนั้นเธอกลับยังเออออไปตามหญิงสาวอีกคน เฟื่องฟ้าเฝ้าสังเกตและพยายามไม่ถามถึงเรื่องที่คิดว่าน่าจะเป็นปัญหา ทว่าภาพที่รินลดายังเปิดเพลงแล้วร้องคลอตามไม่หยุด ทำให้เธอเป็นห่วงมากจนต้องถามออกมาในที่สุด
“เรื่องวันนี้แกโอเคแน่ใช่ไหมเนี่ย”
เฟื่องฟ้าถามเพื่อนเสียงเบา เธอไม่ได้ละสายตาจากเส้นถนนเบื้องหน้าเพราะไม่ต้องการกดดันให้อีกฝ่ายต้องตอบในทันที เธอยอมรับว่าตอนนี้เป็นห่วงความรู้สึกของรินลดามากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเจ้าตัวพยายามทำตัวร่าเริงมากเท่าไร ยิ่งน่าเป็นห่วงมากสำหรับเธอ
“โอเคสิ อาหารทั้งคอร์สดีจะตาย ฉันไม่เสียดายเงินสักบาทเลย ถึงจะไม่ใช่เงินตัวเองก็เถอะ”
“ยายริน แกเป็นแบบนี้ฉันเป็นห่วงนะเว้ย”
รินลดาที่ตั้งใจจะทำให้เพื่อนสบายใจถูกจับไต๋ได้เสียก่อน นิสัยโกหกไม่เก่งของเธอยังไม่พัฒนาไหนจริงๆ
“แกโกรธอาธีใช่ไหม”
เฟื่องฟ้าโพล่งคำถามออกไปตรงจุดเพราะทนต่อไปไม่ไหว ตั้งแต่รินลดาไม่ยอมให้เธอรับสายจากธีรดนย์ เธอก็ใจคอไม่ดีเอาเสียเลย มันตุ๊มๆ ต้อมๆ เพราะนึกไปถึงสายตาแสนดุของเขา ถึงหน้าตาจะหล่อเหลาเข้าขั้นพระเจ้าตั้งใจปั้น แต่เธอบอกเลยว่าไม่มีใครอยากเห็นตอนเขาดุแน่ๆ
เธอเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนพารินลดาหนีไปเที่ยวร้านเฮียจอมทัพ แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวก็ขนพองสยองเกล้าจนเธอไม่กล้าลองดีให้มีครั้งที่สอง แต่ดูเหมือนรินลดาจะกลัวเพื่อนอย่างเธออายุยืนนัก ถึงได้ขยันทำให้หัวใจเธอบีบรัด
“แกไม่โกรธจริงเหรอ”
พอสบจังหวะรถติดไฟแดง เฟื่องฟ้าจึงรีบหันไปเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง แล้วเธอก็ได้เห็นว่ารินลดาพยักหน้าให้ช้าๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้โกรธเคืองในเรื่องนี้ เธอจึงต้องถามคำถามใหม่
“งั้นน้อยใจ?”
“โจกึม”
“ไม่ต้องมาเกาหลีใส่”
เฟื่องฟ้าว่ากลั้วหัวเราะ บรรยากาศตึงเครียดก่อนหน้าจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงเมื่อรินลดาหันมาส่งยิ้มพร้อมทั้งพูดภาษาเกาหลีที่จำผิดจำถูกมาจากซีรีส์
“ถามว่าโกรธไหม ฉันไม่โกรธนะ แต่ถามว่าน้อยใจไหม มันก็มีนิดนึงแหละ”
เฟื่องฟ้ารับฟังเงียบๆ เธอเข้าใจดีทีเดียวว่าความรู้สึกพวกนี้น่าอึดอัดและทรมานแค่ไหน
“เรื่องนั้นฉันเข้าใจ แต่แกจะไม่รับโทรศัพท์เขาจริงเหรอ เหมือนอาธีจะเป็นห่วงมากเลยนะ เขาโทร. มาตั้งหลายรอบแล้วเนี่ย” เข้าใจเพื่อนก็เข้าใจ แต่เธอก็เข้าใจคนเป็นห่วงอย่างคุณอาหนุ่มคนนั้นด้วยเช่นกัน
“เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว ค่อยกลับไปคุยกันที่นั่นดีกว่า”
เพราะโทรศัพท์ของรินลดาแบตเตอรี่หมด เสียงสั่นครืดจึงดังอยู่ที่โทรศัพท์ของเฟื่องฟ้าแทน มันดังมาสักระยะแล้ว เพียงแต่รินลดาส่ายหน้าให้เธอเป็นเชิงว่าไม่ต้องรับสาย
เฟื่องฟ้าไม่แปลกใจนักที่ธีรดนย์รู้ว่ารินลดาอยู่กับเธอ เพราะเพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกันก็มีอยู่แค่นี้
“ค่อยๆ คุยกัน มีอะไรรีบโทร. หาฉันเข้าใจไหม”
“อืม ขอบใจมาก ทั้งเรื่องที่เป็นห่วง และก็เรื่องที่ไปเป็นเพื่อนวันนี้”
“ย่ะ! คิดว่าฉันทนเห็นแกหงอยได้เหรอ เพราะงั้นถ้ามีหลานต้องให้หลานเรียกฉันว่าพี่ พี่เฟื่องเท่านั้น ถือว่าขอกันแค่นี้”
“ยายบ้า” รินลดาส่ายหน้าระอา ทว่ามุมปากกลับระบายยิ้มอย่างห้ามไม่ได้
“จะเก็บไปพิจารณาแล้วกัน”
“ดีล แต่ศุกร์สิ้นเดือนนี่รถติดชะมัด”
พอทุกอย่างคลี่คลาย เฟื่องฟ้าจึงกลับมาบ่นกระปอดกระแปดได้อีกครั้ง เธอเหลือบมองตัวเลขสีแดงบนสัญญาณไฟจราจรแล้วได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมรับว่าตัวเองในวันนี้ใจร้อนกว่าวันอื่นหลายเท่า ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อโทรศัพท์มือถือของเธอยังสั่นเตือนไม่หยุด
“แล้วก็อีกเรื่อง”
“อะไร”
“บอกอาธีด้วยว่าแกสั่งไม่ให้ฉันรับสายเขา ฉันไม่ได้อยากทำ ฉันถูกแกบังคับ เข้าใจไหม”
คราวนี้รินลดาหลุดเสียงหัวเราะจริงจัง เธอไม่ได้รับปาก แต่พยักพเยิดไปยังไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวเรียบร้อยแล้ว ส่วนสารถีแต้มบุญน้อยก็แทบจะกุมขมับเพราะความกลัดกลุ้ม นอกจากตั้งใจขับรถแล้วเฟื่องฟ้ายังต้องภาวนาให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยจากสายตาดุๆ ของธีรดนย์อีกด้วย
‘ยายรินนะยายริน ทำแบบนี้คือกลัวเพื่อนอายุยืนใช่ไหม!’
ธีรดนย์วางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะพลางถอนหายใจเล็กน้อย หลังสายสุดท้ายที่เขาโทรศัพท์หาเฟื่องฟ้าแล้วไม่มีสัญญาณตอบรับ เขาจึงยอมวางมือในที่สุด เขาพอรู้อยู่แล้วว่ารินลดาคงไม่ยอมรับเพื่อนรับสาย ทว่าที่เขากดซ้ำไปหลายครั้งเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าทั้งสองคนอยู่ด้วยกันจริงๆ เท่านั้น
ความเป็นห่วงและกังวลว่าคนรักจะมีอันตรายคลายลงเล็กน้อย จากนั้นชายหนุ่มจึงพยายามทำใจให้สงบแล้วกลับมานั่งที่โซฟาเพื่อรอรินลดากลับมาอย่างใจเย็น ธีรดนย์รู้ถึงความผิดของตัวเองดี ครั้งนี้เขาคิดน้อยเกินไปจริงๆ เพราะคิดแค่ว่าขอเลื่อนไปวันอื่นแล้วค่อยไปพร้อมกันได้ แต่นึกไม่ถึงว่ารินลดาจะตัดโอกาสนั้นของเขาแล้วไปกับเพื่อนสนิทแทน
เขาไม่ได้โกรธเคืองเธอในเรื่องนี้ ตรงข้ามที่ความรู้สึกผิดของเขายิ่งทวี เพราะการที่รินลดาตัดสินใจเช่นนั้นแสดงว่าเธอตั้งความหวังเอาไว้มาก เธอถึงไม่รอและเลือกไปกับเพื่อนสนิทแทนที่จะเป็นเขา
ธีรดนย์เกือบลืมไปแล้วว่าเป็นเวลาเกือบเดือนที่รินลดาเฝ้ารอ เขาไม่เคยมีความคิดจะผิดนัดเธอแม้แต่น้อย ทำงานตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด แต่ต้องผิดสัญญาเพราะความผิดพลาดที่ไม่ได้มาจากตัวเขา เช่น วันนี้เขาได้รับเอกสารงบการเงินที่ไม่ใช่ฉบับไฟนัล และเขาต้องเสียเวลาทำทุกอย่างซ้ำสองครั้งจนเกือบไม่ทัน
‘ค่ะ รินไม่เป็นไร’
ทำไมเขาเพิ่งมาฉุกคิดในตอนนี้ ทั้งที่เสียงของเธอทั้งเศร้าและน่าสงสารขนาดนั้น แต่เขากลับยังไม่รู้อะไรเลย ธีรดนย์ตำหนิตัวเองไปหลายครั้งตั้งแต่กลับมาถึงห้องชุดและเห็นว่ามันว่างเปล่า ปราศจากร่างเล็กๆ ของคนรักที่มักเดินเข้ามาสวมกอดและออดอ้อน
รินลดายังไม่กลับห้องและนั่นทำให้หัวใจของเขาร้อนรนขึ้นมา เขาเดาได้ทันทีว่าเธอคงไปร้านอาหารญี่ปุ่นตามนัด แน่นอนว่าอีกคนที่นึกถึงหนีไม่พ้นเพื่อนสนิทของเจ้าตัวอย่างเฟื่องฟ้า
ถึงอย่างนั้นเขายังเพียรต่อสายหารินลดา เพราะต้องการพูดคุยและกล่าวคำขอโทษ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเขาก็โทรศัพท์หาเธอไม่ติด ไม่รู้เพราะแบตเตอรี่โทรศัพท์เธอหมด หรือตั้งใจปิดเครื่องหนีเขากันแน่
ธีรดนย์พยายามตั้งสติอย่างที่เคยทำมาตลอด ทว่าในเวลานี้กลับเป็นเรื่องที่ทำได้ยากนัก หนึ่งคือเขาเป็นห่วงความรู้สึกของรินลดา และสองคือเขาห่วงความปลอดภัยของเธอ
เมื่อเช้ารินลดาไม่ได้ขับรถยนต์ส่วนตัวไปมหาวิทยาลัย เพราะเขาบอกเองว่าจะไปรับเพื่อเดินทางไปที่ร้านพร้อมกัน ยิ่งคิดไปถึงเรื่องนั้นธีรดนย์ยิ่งต้องสบถด่าตัวเองหนักๆ เพราะความไม่เอาไหน เขาทำให้คนรักเสียใจ และไม่รู้ต้องขอโทษอีกกี่ครั้ง เขาถึงจะเรียกความรู้สึกที่เสียไปของเธอกลับคืนมา
แกร๊ก!
เสียงปลดล็อกที่หน้าประตูเรียกความสนใจจากชายหนุ่มให้ลุกขึ้นยืนในนาทีนั้น ธีรดนย์หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่นระหว่างก้าวเดินไปยังบานประตูที่เขาเห็นอยู่ทุกวัน ทว่าวันนี้กลับเต็มไปด้วยความกดดันมหาศาล มากเสียจนทำให้เท้าทั้งสองของเขาเริ่มหนักอึ้ง ก่อนมันจะยิ่งทวีขึ้นเมื่อมองเห็นใบหน้าคนรักในระยะสายตา
“ริน”
“อาธีกลับมานานแล้วเหรอคะ รินแวะไปร้านนั้นกับเฟื่องมาแหละ อาหารอร่อยมากเลย”
“รินครับ”
“อาธีพลาดแล้วนะคะที่ไม่ได้ไปด้วย แต่รินถ่ายรูปมาให้อาธีดูเยอะเลย ถ่ายจนโทรศัพท์แบตฯ หมดแน่ะ ไว้เดี๋ยวรินชาร์จ...”
“โกรธอาใช่ไหม”
“...”
“อาขอโทษ”
“...”
“ขอโทษครับคนดี”
ไม่รู้ทำไม รินลดาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงร้องไห้ตอนฟังคำขอโทษประโยคนั้นของเขาจบ
เธอไม่ได้โกรธเขา รินลดามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้โกรธเคืองในเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ทำไม พอได้ยินคำขอโทษจากเขาแล้วน้ำตาเธอกลับไหลไม่หยุด อาจเพราะความน้อยใจ หรืออาจเพราะความอ่อนไหวในส่วนลึกที่ทำให้เธอหยุดตัวเองไม่ได้
ไหล่เล็กๆ ของหญิงสาวสั่นไหวเพราะพยายามกลั้นเสียงสะอื้น สะอื้นหนักเสียจนใครอีกคนต้องรีบเข้ามาสวมกอด ธีรดนย์กอดคนในอ้อมแขนไว้แน่น กระชับร่างเล็กๆ ที่ยังสั่นเทาเข้าหาอย่างปลอบโยน รินลดาเหมือนเด็กตัวน้อยที่กำลังเสียขวัญ และธีรดนย์รับรู้ในนาทีนั้นว่าเขาจะไม่มีวันผิดสัญญากับเธออีกแล้ว
ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย
“คราวหน้าอาจะไม่ผิดสัญญากับรินอีกแล้ว อาขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ”
ธีรดนย์จะไม่ขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้ เขายินดีรับความผิด ถ้ารินลดาจะเคืองโกรธ เขาพลาดไปแล้วจริงๆ ในวันนี้ ยิ่งเห็นเธอร้องไห้หนักขนาดนี้ หัวใจเขายิ่งบีบแน่นจนเจ็บไปหมด
ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนตัวเองให้แน่นขึ้น เสียงปลอบโยนของเขาสั่นเครือและไม่มั่นคงเพราะความรู้สึกผิดอันท่วมท้น ยิ่งในตอนที่เจ้าของร่างเล็กพยายามดันตัวออกยิ่งทำให้เขาชะงัก หัวใจคนอายุมากกว่าวูบไหวเกรงกลัว ทว่าก่อนที่เขาจะได้คิดไปไกล คนในอ้อมแขนกลับค่อยๆ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ช่วยพัดพาความรู้สึกหนักอึ้งในใจเขาให้คลายลง
“ริน ฮึก รินไม่ได้โกรธอาธีนะคะ”
รินลดาพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ใช้มือเช็ดน้ำตาตัวเองออกก่อนจะค่อยๆ ระบายยิ้มให้คนตัวสูงตรงหน้า สีหน้าของเขาไม่ดีเท่าไร ถึงอย่างนั้นธีรดนย์ก็ยังยื่นมือมาช่วยเกลี่ยเม็ดน้ำตาบนแก้มออกให้เธออย่างเบามือ
ธีรดนย์จูบแผ่วเบาบนหน้าผากและปลายจมูก ก่อนจะหยุดตรงเปลือกตาทั้งสองข้างที่ยังคงบวมช้ำเพราะการร้องไห้ เขาจูบซับคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนออก ก่อนจะค่อยๆ พยุงคนเด็กกว่ามานั่งบนโซฟา ยังคงกอดรินลดาไว้แน่น ดีใจที่เธอไม่ได้ขืนตัวออกและยอมนั่งนิ่งๆ ให้เขากอด หัวใจที่เคยเย็นเยียบของธีรดนย์จึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
“รินไม่ได้โกรธจริงๆ นะคะ”
เด็กน้อยย้ำเสียงเครือนิดๆ สูดน้ำมูกจนตัวเองหลุดหัวเราะเบาๆ รินลดาอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว น้ำตาที่ไหลทะลักราวกับเขื่อนแตกก่อนหน้าก็ค่อยๆ สงบลงแล้วเช่นกัน
“งั้นก็ไม่ร้องไห้ได้ไหมครับ อาต่างหากที่ควรร้อง วันนี้รินหนีไปกินของอร่อยไม่รอกันเลย”
รินลดาหลุดยิ้มทั้งน้ำตา เธอรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการออดอ้อน บางจังหวะเหมือนคนน้อยใจนิดๆ แต่เธอคิดว่าตัวเองคงเข้าใจผิด เพราะอีกฝ่ายคงไม่งอนเธอกลับในเรื่องนี้หรอกมั้ง
“ไหน เล่าให้อาฟังหน่อย วันนี้อาพลาดของอร่อยอะไรไปบ้าง”
คนอารมณ์ดีขึ้นแล้วยิ้มหวาน รินลดาซุกหน้าลงกับแผ่นอกเขาแล้วเริ่มอธิบายถึงรสชาติอาหารที่ยังอวลอยู่ในปาก เธอแอบใส่ไข่เกินจริงไปเล็กน้อย ไม่รู้เพราะอะไร แต่นั่นทำให้เธออารมณ์ดีและบอกเล่าเหตุการณ์ได้เป็นฉากๆ
เรื่องนี้คงต้องยกความดีความชอบให้เฟื่องฟ้าด้วย รินลดารู้ดีว่าเพื่อนแค่เออออไปกับเธอเพราะกลัวเธอเสียใจ กลัวเธอไม่สบายใจ จึงติดสอยห้อยตามไปเพราะความเป็นห่วง
“แต่รินชอบอูนิร้านนั้นมาก อยากให้อาธีลองชิมจริงๆ ”
เนิ่นนานที่รินลดายังเจื้อยแจ้วเล่าถึงอาหารรสชาติถูกปากที่ได้พบเจอมา เธอแทบหลงลืมความรู้สึกน้อยอกน้อยใจก่อนหน้าไปสิ้น เพราะระหว่างนั้นคุณอาหนุ่มยังสวมกอดและคอยไถ่ถามไม่หยุด เขาเอ่ยคำขอโทษจนเธอต้องรีบห้ามปราม อีกทั้งยังอธิบายอย่างจริงจังว่าไม่ได้โกรธเคืองเขาเรื่องนี้ ทว่าความน้อยใจเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้และเธอยอมรับว่าน้อยใจเขา
กว่าจะได้แยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวรินลดาก็ถูกคนตัวโตกว่าพะเน้าพะนอไม่ห่าง เขาแทบไม่ปล่อยเธอจากอ้อมแขนด้วยซ้ำ นั่งกอดปลอบ จูบปลอบ ลูบมือลงบนแผ่นหลังกันอยู่อย่างนั้นราวต้องการปัดเป่าความทุกข์ร้อนและไม่สบายใจต่างๆ ของเธอออกไป
คืนนี้เป็นอีกคืนที่รินลดาได้นอนหลับในอ้อมแขนอบอุ่นของธีรดนย์อย่างมีความสุข เรื่องไม่เข้าใจถูกปัดเป่าออกไปอย่างที่เขาตั้งใจไว้ เหลือเพียงความสัมพันธ์และความเข้าอกเข้าใจที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม
เช้านี้เป็นวันหยุด รินลดาที่ตื่นขึ้นมาทีหลังรับรู้ได้ว่าข้างกายปราศจากคนที่นอนกอดกันทั้งคืน แต่ก็เป็นเรื่องปกติเสียแล้ว เพราะคุณธีรดนย์ของเธอชอบตื่นเช้า เขาน่าจะออกกำลังกายอยู่ด้านนอก หรือไม่อย่างนั้นคงเตรียมอาหารสักอย่างรอเธออยู่
ชีวิตประจำวันสำหรับเช้าวันหยุดของเธอไม่ผิดแผกไปจากนี้เท่าไรนัก
หลังจากนอนบิดร่างกายไปมาจนพอใจ รินลดาก็ค่อยๆ ขยับลุกจากเตียงกว้าง พลางจัดหมอนและพับผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทางอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะพาตัวเองเดินเข้าไปในห้องน้ำที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
ไม่รู้ทำไมเช้านี้เธอถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อยที่ปวดหน่วงเป็นพักๆ รวมถึงดวงตาทั้งสองข้างที่รู้สึกตึงๆ เช่นกัน แต่แล้วไม่นานรินลดาก็พบสาเหตุของความผิดปกติทั้งหมด รวมถึงรู้ด้วยว่าทำไมเมื่อคืนเธอถึงอารมณ์อ่อนไหวและไม่มั่นคง
เธอเป็น...วันนั้นของเดือน
รินลดายกมือปิดหน้าเพราะความอับอาย เมื่อนึกย้อนถึงความเอาแต่ใจของตัวเองที่มีต่ออีกฝ่ายเมื่อคืน ถึงว่า ทำไมเธองอแงเอาแต่ใจกับเขานัก ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย ยิ่งเขาง้อ ยิ่งได้ยินคำปลอบโยนก็ยิ่งร้องไห้ไม่หยุด
ที่แท้สาเหตุของความอ่อนไหวทั้งหมดก็อยู่ตรงนี้นี่เอง
จากที่ตั้งใจจะออกไปหาคนรักเพื่อออดอ้อนเอาใจ รินลดาจึงต้องเปลี่ยนแผนมาอาบน้ำชำระร่างกายตั้งแต่เช้าแทน
ปกติวันหยุดมักเป็นวันที่เธอทำตัวเอ้อระเหย ชอบเดินไปเดินมาให้เหงื่อออกก่อนจะได้ฤกษ์อาบน้ำอาบท่า แน่นอนว่านิสัยน่าตีนี้ทำให้เธอโดนคุณอาจอมเฮี้ยบดุบ้างเป็นบางคราว แต่เขาดุไม่จริงจังนักหรอก อ้อนๆ นิดหน่อยก็หายแล้ว
ดังนั้นภาพที่รินลดาอาบน้ำสระผมจนตัวหอม เดินออกจากห้องนอนในเช้าวันหยุดจึงเป็นภาพที่แปลกตาไม่น้อย คนตัวสูงที่ง่วนทำอะไรสักอย่างบนโต๊ะรับประทานอาหารจึงหันมองพลางเลิกคิ้วนิดๆ
ธีรดนย์ยืนมองนิ่งๆ ราวกับสงสัยว่าเด็กน้อยรินลดาคนนี้คือตัวจริงหรือเปล่า ไม่นานคนโตกว่าก็ยิ้มอบอุ่นเมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้
“หอมจัง”
รินลดาเดินเตาะแตะเข้าไปหาชายหนุ่มที่ราดน้ำผึ้งใส่แพนเค้กทั้งสองจานที่วางคู่กัน เธอยกแขนขึ้นกอดเขา ทิ้งน้ำหนักตัวใส่แผ่นอกแข็งแรงจนได้ยินเสียงเสียดสีของเนื้อผ้า กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มจางๆ ลอยปะทะเข้าจมูก จนเธอต้องแอบสูดกลิ่นนั้นเบาๆ โดยไม่ยอมขยับไปไหน
“ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้งก่อน เดี๋ยวได้เป็นหวัดกันพอดี”
ธีรดนย์วางมือจากจานอาหารเช้าตรงหน้าเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขายกมือแตะแก้มของคนตัวเล็กที่เงยหน้ามองกันเล็กน้อย เผลอดุไปหนึ่งทีเพราะเห็นยังโพกผ้าขนหนูผืนนุ่มที่ยังมีน้ำหยดลงมา
“รินหิว”
พอได้ยินแบบนั้น คนตั้งใจจะดุก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ธีรดนย์ใจอ่อนให้คนตรงหน้าอีกครั้ง เขาสู้รินลดาไม่ไหวหรอก อีกอย่างคือเขาไม่คิดสู้คนตัวเล็กตรงหน้านี้อยู่แล้ว ยิ่งมีความผิดติดตัวมาเมื่อวาน เขายิ่งต้องทำตัวน่ารักเพื่อไถ่โทษ จากที่ยอมอยู่แล้วก็กลายเป็นยอมทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ไปโดยปริยาย
คนบ่นหิวช้อนตามอง แต่ไม่ยอมขยับเขยื้อน คนสองคนจึงยืนกอดกันอยู่นานเป็นนาที จนสุดท้ายธีรดนย์ต้องเป็นฝ่ายดึงคนในอ้อมแขนออกแล้วพาเธอไปนั่งลงบนเก้าอี้เพราะกลัวแพนเค้กเนื้อนุ่มจะเย็นจนเสียรสชาติเสียก่อน เขาคิดว่ารับประทานตอนร้อนๆ พร้อมน้ำผึ้งและผลไม้ตระกูลเบอร์รีค่อนข้างเป็นอะไรที่เข้ากัน จึงตั้งใจตื่นมาทำไว้เพื่อเอาใจคนที่งอแงกับเขาเมื่อคืน
ส่วนเรื่องเส้นผมที่ยังชื้น ไว้เขาค่อยจัดการให้เธอทีหลัง
“หื้อ แพนเค้กอร่อยมาก”
เสียงเอ่ยชมพร้อมกับนิ้วโป้งเล็กๆ ที่ยกขึ้นสองข้างเรียกรอยยิ้มจากธีรดนย์ได้ไม่ยาก คนที่ลุกขึ้นมาเตรียมอาหารแต่เช้าส่ายหน้าน้อยๆ ทว่ามุมปากกลับยังประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“อร่อยก็กินเยอะๆ”
จากนั้นแพนเค้กเนื้อนุ่มราดน้ำผึ้งก็ถูกจัดการจนหมด อีกทั้งผลไม้รสเปรี้ยวหวานในจานก็เช่นกัน รินลดาดื่มนมอึกสุดท้ายจนหมดแก้ว เธอหันมายกนิ้วให้พ่อครัวคนเก่งอีกครั้ง ก่อนจะอาสาล้างจานและอุปกรณ์ทำครัวเช่นเดิม
บางครั้งหน้าที่นี้รินลดาก็เคยมีความคิดอยากสลับหน้าที่ดูบ้าง แต่พอนึกถึงฝีมือการทำอาหารของตัวเองแล้วก็คิดว่าแค่ล้างจานอย่างเดียวดีกว่า อย่าให้ต้องเข้าครัวแทนเขาเลย เพราะเกรงว่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
ไม่นานรินลดาก็วางจานใบสุดท้ายลงบนชั้นเก็บจานเป็นอันเสร็จสิ้น เธอเช็ดมือให้แห้ง ก่อนจะเดินกลับมาหาคุณอาหนุ่มที่นั่งรอบนโซฟาห้องนั่งเล่นพร้อมกับเปิดโทรทัศน์ไว้เป็นเพื่อน
รินลดาทิ้งตัวลงนั่งตาม ทว่าไม่ใช่บนโซฟาตัวเดียวกับเขา แต่เป็นพื้นพรมหนานุ่มด้านล่าง เธอเอนศีรษะเข้าหาคนโตกว่า ซึ่งอีกฝ่ายก็รับรู้ได้ทันทีว่าเธอต้องการอะไร
เสียงหัวเราะแผ่วเบาของคุณอาหนุ่มดังลอดมา พร้อมกับวางฝ่ามือลงบนผ้าขนหนูผืนเล็ก ธีรดนย์ค่อยๆ คลายผ้าขนหนูที่โพกไว้ออก แล้วใช้มันซับเส้นผมที่เริ่มหมาดของหญิงสาว
“วันนี้อยากออกไปไหนไหม” เขาเอ่ยถามระหว่างซับผ้าขนหนูไปตามเส้นผมนุ่มอย่างเบามือ รินลดาก็ให้คำตอบโดยส่ายศีรษะไปมาจนเส้นผมที่เริ่มแห้งขยับตามไปด้วย
“รินปวดท้องค่ะ วันนี้อยากอยู่บ้านมากกว่า” รินลดาบอกเสียงเบา
คำว่าปวดท้องของเธอสะกิดใจคนฟังจนต้องรีบเอ่ยถามเสียงเครียด ธีรดนย์ตกใจจนหน้าถอดสี เพียงแค่ได้ยินรินลดาบอกว่าปวดท้อง เขาคิดไปไกลตั้งแต่อาหารเป็นพิษกระทั่งโรคที่ร้ายแรงมากกว่า
“ปวดมากหรือเปล่า แล้วปวดได้ยังไง ไปหาหมอไหม อาว่าเราต้องไปหาหมอ อาว่า...”
“อาธี อาธีขา” คนเด็กกว่ารีบเรียกชื่อคนรักเสียงหวาน ก่อนเขาจะเข้าใจผิดไปกว่านั้น รินลดาเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังแล้วจับมือเขาไว้พลางรีบอธิบายต่อ
“อาธีใจเย็นๆ ฟังรินก่อนนะ รินไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่...เอ่อ เป็นวันนั้นของผู้หญิง” เสียงของรินลดาเบาลงในช่วงท้ายของประโยค ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องอ้อเบาๆ เป็นเชิงว่าเข้าใจ
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกค่ะ รินไม่ต้องไปหาหมอ”
“แล้วตอนนี้อาช่วยอะไรรินได้บ้างไหม ต้องกินยาหรือเปล่า”
ธีรดนย์ยังไม่เคยรับมือกับเหตุการณ์เช่นนี้ แม้เขาจะมีน้องสาว ทว่านีรชาไม่เคยมีปัญหา เขาเคยได้ยินว่ามันขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้หญิงแต่ละคน บางคนก็ปวดมากถึงขั้นต้องกินยาหรือไปโรงพยาบาล แต่บางคนที่โชคดีก็ไม่เป็นอะไร ซึ่งรินลดาจัดอยู่ในประเภทแรกและเขายอมรับว่าเป็นห่วง
“ยังไม่ต้องค่ะ รินแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว แล้วก็...อาจจะอารมณ์อ่อนไหวกว่าปกติ”
คนอารมณ์อ่อนไหวมากกว่าปกติรู้สึกผิดนิดๆ รินลดากดจูบลงบนหลังมือคุณอาหนุ่มหนึ่งที เธออยากไถ่โทษเขาเรื่องเมื่อวาน
“ที่รินงอแงใส่อาธีเมื่อคืน ก็อาจจะมีส่วน”
“...อ้อ”
นั่นเป็นอีกเรื่องที่ธีรดนย์คิดว่าเขารับมือได้ไม่ดีนัก เพราะแค่เห็นรินลดาร้องไห้ หัวใจเขาก็เจ็บไปหมด แต่ถึงรินลดาจะบอกว่าอ่อนไหวกว่าปกติจนทำให้ร้องไห้ แต่ความผิดทั้งหมดก็ยังเป็นของเขาคนเดียวอยู่ดี
“นั่นเพราะอาผิดจริงๆ ต่างหาก ไม่เกี่ยวหรอกว่ารินจะอ่อนไหวหรือเปล่า อาขอโทษนะครับที่ทำให้รู้สึกไม่ดี”
ความผิดพลาดนี้ เป็นความผิดพลาดและความเสียใจที่ธีรดนย์จะไม่มีทางให้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด
“อาธีขอโทษรินอีกแล้ว”
“อาขอโทษเพราะอาทำผิดครับ”
“ไม่เอาแล้วค่ะ เราไม่คุยเรื่องนี้กันแล้วดีกว่า รินขอถามบ้างว่าวันนี้อาธีอยากทำอะไร รินจะตามใจอาธีเอง”
รินลดารีบบอกปัดและพาเปลี่ยนเรื่อง เพราะเธอไม่ชอบมองใบหน้าเศร้าๆ ของเขาเลย ไหนๆ ที่ผ่านมาเขาก็เป็นฝ่ายตามใจเธอมาตลอดแล้ว เพราะฉะนั้นหนึ่งวันเต็มๆ นี้เธอจะตามใจเขาคืนบ้าง
“อืม...” ธีรดนย์เว้นวรรค เขายิ้มขำน้อยๆ เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่บนพรมทำหน้าลุ้นตาม
“อาคิดไม่ออกครับ”
“โถ่”
สุดท้ายคนโตกว่าก็หลุดหัวเราะตอนเห็นคนคาดหวังทำหน้ามุ่ยเพราะเขาตอบไม่ได้ รินลดาคงกำลังเจอเรื่องสนุก แต่เพราะเขาไม่มีกิจกรรมที่อยากทำเป็นพิเศษจริงๆ จึงต้องปล่อยให้คนตัวเล็กผิดหวังต่อไป
“งั้นเดี๋ยวรินช่วยคิด”
“เอาสิ”
“อืม...ไปร้านหนังสือ”
ธีรดนย์ส่ายหน้า เขาเพิ่งสั่งหนังสือเล่มใหม่จากเว็บไซต์ต่างประเทศเมื่อคืน
“ซื้อของสดเข้าบ้าน”
“ในตู้เย็นยังมีเหลือเยอะเลยครับ”
พอสองชอยส์ไม่ได้รับเลือก รินลดาก็ถึงขั้นหมุนตัวกลับมาหาคนที่นั่งบนโซฟาแล้วมองอีกฝ่ายอย่างจริงจังทันที เธอพิจารณาจากความทรงจำและสิ่งที่เธอเคยเห็น วิเคราะห์ว่าความชอบของเขามีอะไรบ้าง
“งั้นไปตีกอล์ฟ”
“...”
คนกำลังสนุกยิ้มกริ่มเมื่อคนตรงหน้าเงียบไปเล็กน้อย ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะสองข้อเมื่อครู่เขาปฏิเสธทันทีแทบไม่ต้องหยุดคิด
ถ้าพูดถึงความชอบของคุณอาหนุ่มที่รินลดาคิดออกและเคยเห็นมาบ้างจากในอดีต ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่ทำอยู่ต่างประเทศ ปั่นจักรยาน คาร์ทริป หรือแคมป์ปิงแนวผจญภัยในธรรมชาติ ทว่ากิจกรรมพวกนั้นไม่เหมาะจะมาทำที่นี่ โดยเฉพาะการปั่นจักรยาน ที่นอกจากแดดจะร้อนลวกแล้วยังเสี่ยงต่อการโดนรถชนอีกต่างหาก
ไม่เอาเด็ดขาด แค่คิดเธอก็กลัวแล้ว
ที่เหลือที่เธอพอจะนึกออกคือกอล์ฟ เธอจำได้ว่าเคยเห็นภาพเขาตีกอล์ฟจากอินสตาแกรมส่วนตัวอยู่หนหนึ่ง
“จริงๆ อันนี้ก็น่าสนใจ แต่เอาไว้หลังจากรินหายดีกว่า”
คนจะยิ้มกว้างเพราะอยากเห็นเขาทำกิจกรรมนี้กับตาหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อฟังจบประโยค รินลดาทำหน้ามุ่ย วางมือลงบนฝ่ามือของเขาแล้วเขย่าไปมาเพื่อหวังให้เขาเปลี่ยนใจ
“รินไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”
“แต่อาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี”
“โถ่”
รินลดาโอดครวญอย่างแสนเสียดาย เธอไม่น่ารีบบอกเลยว่าตัวเองปวดท้อง ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นภาพเขาไดรฟ์กอล์ฟด้วยตาตัวเองแล้ว ในรูปว่าเท่เต็มสิบ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเห็นกับตา เธอคงให้คะแนนเขาเต็มร้อยอย่างไม่ต้องสงสัย
สุดท้ายแล้วบทสรุปของทั้งสองคนในวันหยุดนี้จึงเป็นเพียงการนอนกอดกันดูหนังอยู่บ้าน รินลดาตามใจให้คุณอาหนุ่มเลือกหนังเองโดยที่เธอจะไม่ชี้นำแต่อย่างใด ผ่านไปหลายนาทีสุดท้ายพวกเธอก็ได้หนังแนวสืบสวนสอบสวนของต่างประเทศมาหนึ่งเรื่อง
แต่เพียงเท่านี้อาจจะน้อยไปหน่อย รินลดาจึงให้โบนัสพิเศษโดยทำข้าวโพดคั่วเองกับมือ ได้ข้าวโพดคั่วรสออริจินัลและคาราเมลมาอย่างละเต็มโถ นอกจากนั้นเธอยังเซอร์วิซคุณธีรดนย์ของเธอด้วยการป้อนเขาถึงปาก
ทว่าบางครั้งก็กลับเป็นปากของเขาที่ก้มลงมาฉกชิมความหวานนั้นจากปากเธออยู่เป็นนาน ไม่รู้ว่าเพราะเธอป้อนช้าหรือว่าอะไร แต่รินลดามีความสุขมาก มากชนิดที่ว่าเธอแทบจะลุกขึ้นไปอุ่นข้าวโพดคั่วมาเผื่อไว้อีกหลายห่อเพราะกลัว ‘ทุกอย่าง’ ขาดตอน
“รินลุกไปอบข้าวโพดคั่วเพิ่มดีไหมคะ”
“พอแล้วครับ เรานี่มันจริงๆ เลยริน”
ธีรดนย์หลุดเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อเจอความทะเล้นของคนในอ้อมแขน ท่าทางแสนจริงจังนั้นทำเอาเขาต้องก้มลงไปชิมกลีบปากอวบอิ่มของเธออีกครั้งเพราะทนไม่ไหว
กิจกรรมดูหนังในวันหยุดนี้จึงมีเสียงภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนเคล้าคลอรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ บางครั้งก็มีเสียงจูบหวานหูของคนสองคนลอดแผ่วเข้ามา จูบที่พวกเขาแลกเปลี่ยนรสชาติเค็มหวานของข้าวโพดคั่วรสดั้งเดิมและคาราเมลให้แก่กันและกัน
แม้จะจำไม่ได้แล้วว่าเป็นข้าวโพดคั่วยี่ห้อใด แต่ธีรดนย์อยากกว้านซื้อมาเก็บไว้ให้หมดตลาด ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากซื้อไปถึงกิจการเสียด้วยซ้ำ เพราะรสชาติที่เขาลิ้มลองอยู่นี้แสนถูกปากและถูกใจ
เป็นข้าวโพดคั่วรสชาติกลมกล่อมที่มัดใจเขาไว้อยู่หมัด
มัดแน่นเสียจนคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติคงหนีไปไหนไม่รอดแล้ว
ความคิดเห็น |
---|