1

ในวันที่เธออกหัก

1

ในวันที่เธออกหัก

 

หากให้พูดถึงความผิดหวัง แน่นอนว่าย่อมเกิดขึ้นพร้อมความเจ็บปวดและเสียใจ...เป็นความลงตัวที่ผูกติดมาเนิ่นนานจนแทบแยกไม่ออก ซึ่งนิยามความเจ็บปวดของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ตามแต่ความเข้มแข็งของร่างกายหรือจิตใจที่จะอดทนต่อเรื่องนั้นๆ ไหว

แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดรูปแบบใดก็ไม่มีใครปรารถนาให้เกิดขึ้นทั้งนั้น โดยเฉพาะความเจ็บปวดในรูปแบบของ ‘ความรัก’ ซึ่งมักมาพร้อมกับความเสียใจและคราบน้ำตา

‘รินลดา’ ไม่แน่ใจว่าคนอื่นผิดหวังเรื่องความรักกันมากน้อยแค่ไหน เริ่มต้นกันตั้งแต่เมื่อไร แต่สำหรับเธอแล้ว ความผิดหวังในเรื่องนี้ เปิดฉากให้เจ็บช้ำตั้งแต่ครั้งแรกที่สารภาพรักกับ ‘เขา’ เลยทีเดียว

‘รินรักอาธี’

เธอยังจำแววตาตื่นตระหนกของชายผู้เป็นรักแรกและรักเดียวคนนั้นได้ดี ‘อาธี’ ที่เธอเรียกชื่อด้วยเสียงสั่นเครือค่อยๆ ก้าวถอยหลัง เดินห่างออกไปเรื่อยๆ คนที่เคยใจดีและตามใจเธอยิ่งกว่าใคร ในตอนนั้นเขากลับมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม 

‘อาไม่คิดว่านั่นคือความรัก รินยังเด็ก รินอาจจะแค่สับสนเพราะอาใจดีกับเรา’

เขาบอกว่าความรู้สึกของเธอไม่ใช่ความรัก

เขาบอกว่าเธอแค่สับสนเพราะความใจดีที่ผ่านมา 

แต่เธอกลับอยากตะโกนออกไปเหลือเกินว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใจร้ายที่สุด 

เขารู้ได้อย่างไรถึงกล้าตัดสินความรู้สึกเธอออกมาในแง่นั้น หรือเหตุผลเพราะแค่เธอยังเด็ก เพราะยังอ่อนต่อโลกในสายตาเขาใช่ไหม เขาถึงได้ดูถูกความรู้สึกเธอขนาดนี้

‘รินไม่ได้สับสน รินว่าเรื่องนี้อาธีรู้ดีกว่าใคร’

ผู้ชายที่ชื่อ ‘ธีรดนย์’ คนนั้นรู้ดียิ่งกว่าใคร เขารู้ว่าเธอจะไม่พูดออกไป ถ้าไม่มั่นใจในความรู้สึก แต่ก็นั่นแหละ การที่เขาเลือกตอบเช่นนั้น ย่อมแน่ชัดแล้วว่าคำตอบของเขาคืออะไร 

‘เราจะไม่คุยกันเรื่องนี้อีกริน’

‘ทำไมคะ หรืออาธีอยากให้รินพิสูจน์’

‘หยุดสิ่งที่เราคิดจะทำเดี๋ยวนี้ริน!’

รินลดาฝืนยิ้มเมื่อความทรงจำหวนมาถึงตอนที่มือเธอค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนออก มันยังไม่ทันหลุดจากรังดุมด้วยซ้ำ คนตรงหน้าก็ตวาดราวกับโกรธเคืองเพราะการกระทำของเธอหนักหนา

เธอแค่อยากพิสูจน์ 

พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าความรู้สึกเธอไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คำว่ารักที่พูดออกไปไม่ใช่แค่ความสับสนอย่างที่เขากล่าวหา แต่ความไม่พอใจที่เขาแสดงออกทางสายตาแสนดุดันกลับกระชากเธอมาสู่ความจริง

เขาไม่ได้รักเธอ 

ผู้ชายคนนี้ไม่ได้รักเธอ หรือแม้แต่จะต้องการกันด้วยซ้ำ ขนาดเธอคิดจะเปลื้องผ้า ยืนปลดกระดุมต่อหน้า เขายังไม่เหลียวแล นอกจากนั้นดวงตาคมดุยังเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและไม่พอใจ โกรธราวกับจะตรงเข้ามากระชากสาบเสื้อที่เปิดออกเพียงน้อยนิดของเธอเข้าหากันเพราะทนมองไม่ได้

‘ติดกระดุมเสื้อแล้วกลับบ้านไปก่อน ถ้ารินทำแบบนี้ อาคิดว่าเรายังไม่ควรมาเจอกัน’

คำพูดแสนใจร้ายของคุณอาข้างบ้านอย่างเขาช่างจริงจังและหนักแน่น นั่นเป็นครั้งแรกที่คนสารภาพรักอย่างรินลดาเจ็บจนพูดไม่ออก สิ่งที่เธอรับรู้ตอนนั้นมีเพียงความไม่พอใจของคนตรงหน้า ความไม่พอใจที่เขาแสดงออกทางน้ำเสียงและสายตาอย่างไม่คิดปิดบัง

ใช่สิ เธอคงเป็นแค่เด็กกะโปโลคนหนึ่งในสายตาเขา ไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่มีเสน่ห์เย้ายวนเหมือนสาวสวยที่เธอเห็นเมื่อหลายวันก่อน ผู้หญิงคนนั้นดูดีจนเธอเทียบไม่ติด ขนาดมองจากระยะไกลเธอยังรู้ว่าตัวเองคงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงแข่ง 

แต่เพราะเธอไม่อยากยอมแพ้นี่ เพราะไม่อยากยอมแพ้...เธอถึงเลือกเปิดเผยความรู้สึกให้เขารู้ ลึกๆ แล้วรินลดาคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณอาข้างบ้านอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่สุดท้ายคำพูดจากปากเขาก็ย้ำชัดแล้วว่าเธอคิดผิด

เธอไม่ใช่คนที่ถูกเลือก

รินลดาอกหักครั้งแรกในวันที่ตัดสินใจสารภาพรัก เป็นเรื่องตลกร้ายที่จะหัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก ขนาดเธอยอมทำใจกล้าข่มความอายเสนอตัวให้เขาเชยชม หวังพิสูจน์ความจริงใจและความรู้สึกที่มีต่อเขา สุดท้ายนอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จ ยังถูกเขาไล่ออกจากบ้าน คำพูดที่ยังรักษามารยาทนั้นไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดในใจเธอลดลงแม้แต่น้อย 

ต่อจากนี้เธอคงไม่กล้ากลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีก หลุมหลบภัยที่เคยคิดว่าเป็นของตัวเองมาตลอดราวกับถูกปิดตายและลงกลอนอย่างแน่นหนา แน่นหนาพอๆ กับหัวใจเจ้าของบ้านที่เธอไม่สามารถเปิดเข้าไปได้

คนอกหักน้ำตานองอย่างรินลดากินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน กระทั่งคุณป้า ‘ดวงดาว’ ผู้ปกครองซึ่งรักเธอเหมือนลูกแท้ๆ เดินเข้ามาหาพลางปลอบโยนด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ

‘เสียใจที่ธีเขาไม่รัก ก็ยังดีกว่าเสียใจที่รินไม่ได้พูดออกไปไม่ใช่เหรอลูก’

ราวกับว่านั่นเป็นคำพูดที่ปลดล็อกความรู้สึกทั้งหมดของเธอให้คลายออก เสียใจที่เขาไม่รัก ดีกว่ามานั่งเสียดายว่าทำไมถึงไม่เคยพูดออกไปตั้งแต่แรก 

‘แต่รินเจ็บจังเลยค่ะ’

‘ความรักก็แบบนี้แหละ แต่เดี๋ยววันหนึ่งความรู้สึกพวกนั้นมันก็จะหายไปเอง เชื่อป้าสิ’

‘อาธีคงเกลียดรินแล้ว รินเป็นเด็กไม่น่ารัก อาธีไม่อยากเห็นหน้ารินแล้วค่ะป้าดาว’

‘งั้นเอาแบบนี้ดีไหม ไปพักที่คอนโดของเราก่อน ออกจากตรงนี้ไปสักพัก ป้าเชื่อว่าเดี๋ยวทุกอย่างจะต้องดีขึ้น เพราะรินของป้าเก่งอยู่แล้ว’

จุดเริ่มต้นในการย้ายออกจากบ้านครั้งแรกของเธอเกิดขึ้นในตอนนั้น รินลดาเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของคุณลุงคุณป้าเพราะสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่วัยเยาว์ จนความทรงจำเกี่ยวกับพวกท่านเลือนรางแทบจำไม่ได้ แม้จะจำไม่ได้ ทว่าทุกครั้งที่ระลึกถึง ทุกครั้งที่รินลดามองรูปพวกท่าน เธอยังรับรู้ได้ถึงความรักและรู้สึกขอบคุณอยู่เสมอ 

ขอบคุณที่ทำให้เธอเกิดมา และขอบคุณที่ทำให้เธอได้พบกับครอบครัวที่แสนอบอุ่นเช่นนี้

“ไว้ลุงกับป้าจะแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ นะจ๊ะ”

น้ำเสียงอบอุ่นของผู้ปกครองที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรียกรินลดาให้หลุดจากภวังค์ความทรงจำ เธอค่อยๆ คลี่ยิ้ม ก่อนจะถูกท่านดึงเข้าไปกอดไว้แน่น

“รินต้องคิดถึงทั้งสองคนมากแน่ๆ เลย”

หญิงสาวที่ถูกผู้ปกครองทั้งสองกอดแน่นบอกเสียงอู้อี้ กอดตอบคนสองคนที่รักและเอ็นดูเธอไม่ต่างจากลูกแท้ๆ ด้วยท่อนแขนเล็กๆ เพื่อซึมซับความห่วงใย

“อะไรกัน ยังไม่ทันจัดของเข้าห้องก็มีคนงอแงซะแล้วเหรอเนี่ย”

“รินเปล่างอแงซะหน่อย รินพูดเรื่องจริงต่างหากล่ะคะ”

ดวงดาวว่าพลางยิ้มขำ ส่วนรินลดายังคงอ้อนต่อก่อนใบหน้าที่แกล้งงอง้ำเมื่อครู่จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มหวานอย่างเอาใจ

“ถึงจะพูดแบบนี้ป้ากับลุงก็ไม่ช่วยย้ายของกลับบ้านหรอกนะจ๊ะ ไม่ต้องมาอ้อนเสียให้ยาก”

ได้ยินแบบนั้นคนอ้อนก็หัวเราะร่า รินลดาไม่ได้งอแงอยากตามผู้ปกครองกลับบ้านอย่างที่ถูกกล่าวหาเสียหน่อย เธออ้อนเพราะคงจะคิดถึงท่านทั้งสองมากๆ ต่างหาก แต่เพราะตัดสินใจมาอย่างดีแล้ว เธอจึงไม่คิดเปลี่ยนใจอีก สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คือทำให้พวกท่านวางใจว่าเธอดูแลตัวเองได้ 

“อยู่คนเดียวก็ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก”

“รับทราบแล้วค่ะ รินลดาจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดเลย!” 

“เด็กคนนี้นี่”

ดวงดาวยิ้มขำ หันมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของหลานสาวที่มีแต่ความแก่นแก้วแล้วส่ายหน้า อดคิดไม่ได้เลยว่าบ้านของเธอจะเหงาแค่ไหนเมื่อไม่มีรินลดาคอยป่วน ถึงอย่างนั้นเธอกลับไม่คิดห้ามตอนหลานสาวตอบรับคำแนะนำของเธอ 

รินลดาอาจจะเสียใจมากกว่าเดิมหากยังอยู่ตรงนั้น ตรงที่ยังมองเห็นชายหนุ่มอีกคนซึ่งตัดความสัมพันธ์กับหลานของเธอ แต่เรื่องนี้ดวงดาวไม่โทษว่าเป็นความผิดของธีรดนย์ จิตใจคนบังคับให้รักชอบใครได้เสียที่ไหน เธอจึงไม่คิดกล่าวโทษใคร แต่เลือกจัดการแค่ในส่วนที่ผู้ปกครองอย่างเธอทำได้แทน

ดวงดาวเลี้ยงลูกทุกคนมาอย่างอิสระ เธอเคารพการตัดสินใจของลูกทุกคนเสมอ ดังนั้นเมื่อรินลดาตัดสินใจแล้วว่าจะทำเช่นนี้ เธอก็เชื่อว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับหลานสาวเธอ

“ไปเถอะคุณ ให้หลานขึ้นไปจัดข้าวของได้แล้ว ผมว่าคนที่จะคิดถึงจนทนไม่ไหวน่ะน่าจะเป็นคุณมากกว่า”

“คุณก็”

‘ทัดเทพ’ มองภรรยาที่หันมามองค้อนเขาด้วยรอยยิ้มขัน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าที่ยังยื้อคุยกันอยู่น่ะเพราะใคร คนที่จะคิดถึงหลานสาวจนทนไม่ไหวคือ ภรรยาของเขาต่างหาก

“ไม่มีใครรู้ใจป้าดาวเท่าลุงทัดอีกแล้ว”

“เนอะ”

รินลดาหัวเราะคิก มองผู้ปกครองที่เธอรักค้อนกันไปมาแล้วตรงเข้าไปกอดไปหอมอีกยกใหญ่ เล่นเอาคนถูกจู่โจมกะทันหันหัวเราะร่วนทันที

“รินสัญญาว่าจะดูแลตัวเองอย่างดี คุณลุงกับคุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

เมื่อผละออกจากอ้อมแขนของท่านทั้งสอง รินลดาก็ย้ำเสียงหนักแน่น เธออยากให้พวกท่านวางใจ แม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เธอตัดสินใจย้ายออกจากบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก แต่รินลดาเชื่อว่าเธอดูแลตัวเองได้ และการตัดสินใจนี้ถูกต้องที่สุดแล้วจริงๆ 

เธอต้องหลบออกมาจากตรงนั้นสักพัก เพราะการอยู่ใกล้คุณอาข้างบ้านคนนั้นมีแต่จะทำให้เธอยิ่งเจ็บปวด

“ลุงชัยขับรถดีๆ น้า ห้ามขับเร็ว แล้วก็ห้ามแซงเฟี้ยวฟ้าวเป็นวัยรุ่นนะคะ”

รินลดาปัดเรื่องวุ่นวายออกจากหัว ก่อนจะหันไปฝากฝังกับลุงชัยซึ่งเป็นคนขับรถคนเก่าคนแก่ของบ้าน หญิงสาวยืนรอกระทั่งรถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวออกไป ใบหน้าสวยหวานที่ยิ้มกว้างก่อนหน้าจึงค่อยๆ กลับมาเรียบดังเดิม รินลดาหายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ หวังเรียกกำลังใจให้กลับมาเต็มเปี่ยมเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

“เอาน่าริน แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”

ฝ่ามือเล็กตบปุๆ ลงบนหน้าอกของตัวเองหนึ่งทีก่อนจะหมุนตัวกลับ เธอไม่มีเวลามานั่งเสียใจหรอก เพราะยังมีข้าวของให้จัดการอีกมาก ยิ่งจะมาคิดมากหรือลังเลตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว สิ่งที่เธอทำได้คือต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น 

ความจริงแล้วจะบอกว่าการตัดสินใจครั้งนี้ค่อนข้างกะทันหันก็ไม่ผิดนัก รินลดายอมรับว่าเธอใช้เวลาแค่ไม่กี่วันในการเตรียมตัวเตรียมใจ ในเมื่อเธอไม่มีอะไรจะเสียแล้ว หนีมาพักใจเงียบๆ คนเดียวคงไม่มีใครว่าหรอก

หลังจากวันที่เธอบ้าบิ่น คิดเปลื้องผ้าต่อหน้าคุณอาข้างบ้านครั้งนั้น เธอก็ไม่ได้เจอเขาอีก และเขาเองก็ใจร้ายมากพอที่ไม่ติดต่อหาเธอเช่นกัน กระทั่งข้อความที่เธอส่งไปหา เขายังไม่คิดตอบกลับ ไม่แม้แต่จะถามไถ่ถึงความรู้สึกของเธอเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่เมื่อก่อนเขาใจดีกับเธอมากกว่าใครแท้ๆ ไม่คิดว่าพอตัดสินใจสารภาพความรู้สึกออกไป ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรไปหมด 

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเธอตั้งรับความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน ความเอ็นดูในวันวานกลับกลายเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง รอยยิ้มแสนอบอุ่นเหลือเพียงความเฉยชา รินลดาไม่เข้าใจว่าเธอทำอะไรผิดนัก ถึงอย่างนั้นเธอก็คงไม่มีโอกาสได้ถามเขาอีกแล้ว เพราะชายหนุ่มแสดงชัดว่าไม่อยากมาเจอเธออีก นั่นคงเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าเธอควรถอยออกมา 

แม้จะรู้และเข้าใจทุกอย่าง แต่เธอก็อดเสียใจไม่ได้อยู่ดี

หญิงสาวเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ เมื่อนึกถึงความทรงจำครั้งเก่า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแผลที่สดใหม่นี้ยังตอกย้ำความเสียใจของเธออยู่ซ้ำๆ เสียงตวาดกร้าวของเขายังดังก้องอยู่ในหัวเหมือนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ทั้งที่ความจริงก็ผ่านมาสักระยะแล้ว

เรื่องน่าเจ็บใจที่สุดสำหรับเธอคือ ยิ่งอยากลืมเขามากเท่าไร ความทรงจำรอบตัวกลับยิ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวของเขา หนังสือเล่มโปรดที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด โปสต์การ์ดสวยๆ ที่ส่งมาจากต่างประเทศเวลาเขาไปทำงาน ของขวัญ ตุ๊กตา หรือแม้กระทั่งเครื่องประดับที่เธอสวมอยู่ก็ยังเต็มไปด้วยความทรงจำของเขา 

ผู้ชายคนนั้นรู้ดีว่าเธอชอบอะไร แต่ทำไมถึงไม่เคยรู้เลยว่าเธอรักเขามากแค่ไหน

“ทำไมถึงใจร้ายกับรินนัก”

รินลดาตัดพ้อเสียงสั่นพร่า ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าว แต่พยายามฝืนตัวเองไม่ให้ร้องไห้อีก เธอรู้ดีว่าต่อให้ร้องไห้จนหมดแรง อีกฝ่ายก็คงไม่เห็นใจ ไม่สิ เขาคงไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร เพราะผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แต่ผู้ชายใจร้ายคนนั้นยังไม่คิดจะติดต่อหาเธอ

“รินแค่รักอาธี รินไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

รินลดาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างถึงออกมาเป็นแบบนี้ แต่ในเมื่อคำตอบของเขาแน่ชัดแล้ว เธอเองก็ควรยอมรับเช่นกัน ต่อให้เธอมีคำถามอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ยังรอฟังคำตอบจากเขาก็ตาม 

คำถามที่ว่าทำไมถึงอยากให้เธอเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเขา ทำไมถึงบอกว่าความรู้สึกของเธอไม่ใช่ความรัก ทำไมเขาถึงใจร้ายกับเธอได้ลงคอ 

ทำไม...

ในหัวของรินลดาเต็มไปด้วยคำถามอีกมากมาย ทั้งหมดล้วนเป็นคำถามที่เธอไม่รู้จะหาคำตอบมาได้อย่างไร ในเมื่อคนคนเดียวที่ตอบเธอได้ เลือกตัดเธอออกจากชีวิตเสียแล้ว

‘เธอเป็นใคร แล้วเข้ามาอยู่ใบบ้านหลังนี้ได้ยังไง’

ภาพเหตการณ์ครั้งแรกที่เธอได้พบกับเขายังติดแน่นในความทรงจำ เสียงดุเข้มของคนตัวโตในวันนั้นทำเธอตกใจจนแทบตกจากเปลญวนที่แขวนระหว่างต้นไม้ หนังสือนิยายที่ถืออยู่ร่วงลงพื้นเมื่อหันมาเจอเจ้าของนัยน์ตาดุเข้มไม่แพ้น้ำเสียง

‘แล้วคุณล่ะคะเป็นใคร เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ยังไง’

รินลดาจำได้ว่าตัวเองยียวนได้น่าตีแค่ไหน ความตกใจระคนโกรธเคืองเพราะหนังสือเล่มโปรดหล่นลงพื้นดินทำเธอไม่คิดหน้าคิดหลัง ตอบโต้ออกไปแทนการตอบคำถาม เพราะมั่นใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก

เด็กน้อยรินลดาในตอนนั้นกวาดสายตามองบ้านหลังใหญ่ที่เธอแอบเข้ามาเที่ยวเล่นจนคุ้นชิน นานหลายปีแล้วที่ไม่เคยมีผู้บุกรุก แต่วันนั้นเธอกลับถูกใครบางคนถามเสียงเข้ม ราวกับว่าคนที่ดูแลปัดกวาดพื้นที่มาเนิ่นนานอย่างเธอเป็นผู้บุกรุกเสียเอง เธอจะยอมได้อย่างไร

‘ฉันเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ คิดว่าเข้ามาบ้านตัวเองไม่น่าจะมีความผิด แล้วเธอล่ะเป็นใคร ทีนี้จะตอบฉันได้หรือยัง’

พอได้ยินคำตอบ คนที่มั่นใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกกลับนิ่งอึ้งจนพูดไม่ออก คำว่าเจ้าของบ้านที่ไม่คิดว่าจะได้ยินรุนแรงถึงขั้นทำให้เจ้าของร่างเล็กๆ เซวูบ

ตุบ!

คราวนี้ไม่ใช่แค่หนังสือที่หล่นลงพื้น แต่เป็นร่างของเธอที่ร่วงโครมลงมาด้วยเช่นกัน รินลดาตะเกียกตะกายจะลุก แต่ก็ทำได้ไม่ถนัดนัก เพราะในมือยังกอดหนังสือที่ต้องทะนุถนอมไว้อยู่ สุดท้ายก็ลำบากคนได้ชื่อว่าเป็น ‘เจ้าของบ้าน’ ต้องมาช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นเพราะเรี่ยวแรงที่มีอยู่เหมือนจะหายไปเสียดื้อๆ เลย

‘ว่ายังไง ถึงกับหมดแรงไปเลยเหรอเรา’

‘รินขอโทษค่ะ ริน...รินไม่รู้ว่าคุณคือเจ้าของบ้าน ริน...’

หลังจากนั้นเธอจำได้เลยว่าตัวเองพรั่งพรูคำขอโทษและอธิบายไปหมดเปลือก ตั้งแต่วันแรกที่แอบมุดเข้ามาในรั้วบ้านกระทั่งวันที่ถูกจับได้ อีกทั้งยังแนะนำตัวว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครเสร็จสรรพ ไม่ต้องรออีกฝ่ายไถ่ถามเพราะเกรงกลัวในความผิดเหลือเกิน

‘วันหลังถ้าอยากมาก็เข้ามาทางประตูบ้านดีๆ ไม่ใช่แอบมุดรั้วเข้ามาแบบนี้ เข้าใจหรือเปล่า’

‘ปะ...แปลว่าคุณยอมให้รินมาเล่นได้นี้ได้เหรอคะ’

‘อืม’

‘ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณคุณมากนะคะ!’

‘ฉันชื่อธีรดนย์ เรียกฉันว่าอาธีก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะรินลดา’

รินลดาฝืนยิ้มเมื่อความทรงจำเก่าๆ หวนกลับมาเล่นงานอีกครั้ง ยิ่งคิดถึงความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นมากเท่าไร น้ำตาที่คิดว่าเหือดหายไปแล้วกลับยังไหลออกมาได้เรื่อยๆ ราวไม่หมดสิ้น

ครั้งนี้รินลดายอมรับว่าเสียใจ เธอเสียใจจริงๆ ที่สุดท้ายทุกอย่างไม่เป็นตามที่หวัง แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธอคิดว่าเธอคงเลือกทำแบบเดิมอยู่ดี เธอจะสารภาพรักกับเขาและซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง 

เธอไม่เสียดาย แต่สำหรับความเสียใจ เธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันยังชัดเจนอยู่

 

‘รินชอบสปาเกตตีของอาธีที่สุด อร่อยกว่ากินที่ร้านอาหารแพงๆ อีก’

‘อืม อารู้แล้ว ชอบก็กินเยอะๆ ’

 

‘รินไม่เก่งภาษาเลยอะ รินท้อแล้วเนี่ย’

‘มานี่มา อาช่วยติวให้’

 

‘ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ อามีรางวัลให้รินด้วยนะ’

‘จริงนะคะ’

‘จริงสิ’

‘เย้! อาธีใจดีที่สุด!’

 

ต่อจากนี้เธอคงไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว คงไม่ได้อยู่ชิมอาหารฝีมือเขา ไม่มีอีกแล้วคนที่ช่วยติวหนังสือ และคงไม่มีอีกแล้วสำหรับอาธีที่แสนใจดีของเธอ รินลดาทำทุกอย่างพัง พังไปหมดตั้งแต่วันที่เธอสารภาพความรู้สึกกับเขา

เพราะหลงคิดว่าความใจดีของเขาอาจเปลี่ยนเป็นความรักได้ในสักวัน เพราะคิดว่าเขาเอ็นดูเธอจึงกล้าลองเสี่ยงกับความสัมพันธ์อันแสนเปราะบาง แต่มาวันนี้ความชัดเจนของคุณอาข้างบ้านเป็นคำตอบแล้วว่านั่นคือความคิดของเธอเพียงฝ่ายเดียว

เขาแค่ใจดี แต่คงไม่ใช่แค่เธอที่ได้รับมัน

ปิ๊งป๊อง!

ก่อนรินลดาจะจมลึกกับเรื่องราวในอดีตมากกว่านี้ เสียงกริ่งจากหน้าประตูก็ทำเอาคนเศร้าจำต้องเก็บกลืนทุกอย่างเอาไว้ก่อน รินลดารีบเช็ดน้ำตาออก พยายามให้ตัวเองกลับมาเป็นปกติมากที่สุด แล้วค่อยๆ เดินไปยังบานประตูเพื่อเปิดต้อนรับคนมาใหม่ 

“ทาด้า! ของโปรดเพื่อนรินมาแล้วจ้า!”

เจ้าของห้องระบายยิ้มกลบเกลื่อนความเศร้าเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย แน่นอนว่าไม่ต้องเดาให้เสียเวลา รินลดาก็รู้ว่าใครที่มายืนอยู่หน้าห้อง คงไม่มีใครอื่นแล้ว นอกจากเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กอย่าง ‘เฟื่องฟ้า

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย ได้ข่าวว่ากินกันแค่สองคนไม่ใช่เหรอ”

เฟื่องฟ้าขันอาสามาช่วยเธอจัดห้องหลังรู้ข่าวว่าเธอย้ายออกมาอยู่คอนโดมิเนียมของครอบครัว แถมยังเอ่ยปากว่าจะซื้ออาหารแซ่บๆ มาเลี้ยงฉลองการขึ้นบ้านใหม่ ก็เป็นข้ออ้างที่เหมาะกับเพื่อนของเธอดีนั่นละนะ แต่ความจริงรินลดารู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงและไม่อยากให้เธออยู่คนเดียวต่างหาก จึงอาสามาอยู่ด้วย

แน่นอนว่าเฟื่องฟ้าเป็นอีกคนที่รู้เรื่องการอกหักรักคุดของเธอตั้งแต่ต้น นอกจากผู้ปกครองทั้งสองท่านแล้ว คนที่เธอเลือกระบายให้ฟังก็คือเพื่อนสนิทวัยเยาว์คนนี้ 

“ของโปรดแกทั้งนั้นแหละ อย่าบ่นน่า”

เฟื่องฟ้าที่โผล่มาที่หน้าประตูเอ่ยขึ้น สองมือเต็มไปด้วยของโปรดเธออย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้างจริงๆ แต่พอรินลดารีบตรงเข้าไปช่วยเพื่อนถือของก็ต้องยิ้มขำ เพราะเมื่อดูดีๆ แล้วนอกจากของโปรดเธอครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเหมือนจะเป็นของโปรดเจ้าตัวนั่นเอง

“แล้วจะกินหมดไหมเนี่ย”

“ไม่รู้แหละ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้เราแค่มากินให้ตัวแตกกันไปข้างก็พอ”

ก็ถ้ากินหมดนี่จริงๆ เธอเชื่อว่ากินจนตัวแตกน่ะไม่ไกลเกินเอื้อมหรอก รินลดาคิดพลางส่ายหน้าช้าๆ แล้วเชื้อเชิญเพื่อนรักเข้ามาในห้อง 

“ห้องน่าอยู่นะเนี่ย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พาเพื่อนทัวร์ห้องหน่อยจ้า”

หลังนำอาหารทั้งหมดไปวางที่โต๊ะตัวเล็กในครัว เฟื่องฟ้าก็เอ่ยปากให้เจ้าของบ้านพาทัวร์ห้องใหม่ทันที น่าเสียดายที่คอนโดมิเนียมของครอบครัวเธออยู่คนละที่ แต่ยังถือว่าไม่ไกลกันมากนัก สามารถไปมาหาสู่กันได้สบายๆ 

ความจริงเฟื่องฟ้าค่อนข้างดีใจที่รินลดาย้ายออกมาอยู่ข้างนอก เพราะบ้านหลังเดิมที่เจ้าตัวอยู่นั้นเรียกว่าไกลจากมหาวิทยาลัยพอสมควร พอย้ายมาอยู่ตรงนี้จึงค่อนข้างสะดวกสบายกว่า และอีกเหตุผลคือเธอจะได้พาเพื่อนสาวออกตะลอนยามค่ำคืนได้สะดวก

ถึงคุณลุงคุณป้าของรินลดาจะค่อนข้างหัวสมัยใหม่และเข้าใจวัยรุ่นเอามากๆ แต่เธอยอมรับว่ายังเกรงใจพวกท่านอยู่มากเพราะความแสนดี พอรู้ว่ารินลดาย้ายออกจึงไม่ต้องบอกเลยว่าเธอดีใจแค่ไหน เธอน่ะเคยคะคั้นคะยอเพื่อนรักอยู่หลายหนให้ย้ายออกมา เพราะทั้งสะดวกและไม่ต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทาง แต่รินลดาก็บ่ายเบี่ยงว่ายังไม่ถึงเวลามาตลอด เธอแทบจะกลอกตาเป็นพันๆ ครั้งหลังได้ฟังเหตุผลที่เพื่อนเคยอ้อมแอ้มเอามากล่าวอ้าง เพราะความจริงแล้วเธอรู้ดีว่าเหตุผลที่รินลดาไม่ยอมย้ายออกก็เพราะคุณอาข้างบ้านคนนั้นต่างหาก

คิดแล้วเฟื่องฟ้ายังโมโหคุณธีรดนย์คนนั้นไม่หาย แต่เธอจะไม่พูดตอนนี้หรอก เพราะยังไม่อยากสะกิดแผลคนอกหักให้เลือดซิบ 

“โชคดีมากเลยที่ผู้เช่าคนเก่าย้ายออก ไม่งั้นฉันคงไม่ได้ย้ายมาแน่ๆ ”

“อย่ามาๆ คอนโดฉันก็ว่างตั้งหลายห้อง ถ้าแกจะย้ายออกนะ ไม่ยากเลยริน ถ้าไม่ใช่เพราะอาธี...อ่า ขอโทษ” 

ว่าจะไม่พูดแต่สุดท้ายกลับหลุดปากจนได้ เฟื่องฟ้ารีบตะครุบปากตัวเองทันที แต่เธอรู้ว่ามันไม่ทันแล้ว เพราะท่าทางที่ชะงักไปของเพื่อนรักบ่งบอกว่าเจ้าตัวยังเจ็บกับเรื่องนี้อยู่

“อะไร ไม่เห็นต้องขอโทษเลย แกไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย”

รินลดายิ้มบางระหว่างมองสีหน้ารู้สึกผิดของเพื่อน เธอไม่ได้พยายามกลบเกลื่อนความเศร้า เพราะรู้ว่าอย่างไรเฟื่องฟ้าก็มองออก 

“ไม่ต้องคิดมากน่า”

เจ้าของห้องตัวเล็กยังพาเพื่อนเดินสำรวจมาเรื่อยๆ กระทั่งมาหยุดอยู่หน้าห้องนอนซึ่งเป็นห้องใหญ่ที่สุด รินลดาเปิดประตูเข้าไป ก่อนจะเดินไปหยุดตรงปลายเตียงแล้วทิ้งตัวนอนทันที

“เตียงนี่นิ่มมาก เด้งดีสุดๆ ”

ว่าแล้วเจ้าของห้องก็กระดืบๆ เด้งตัวให้เพื่อนดู เพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ ส่วนเฟื่องฟ้านั้นส่ายหน้าพลางยิ้มขำ แต่สุดท้ายเธอก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ เพื่อนแล้วเด้งตัวไปมาพร้อมกัน 

“มันเจ็บมากเลยเหรอริน”

“อืม แต่ก็น้อยลงกว่าวันแรกแล้วละ”

เพราะรู้สึกมากจึงเจ็บมาก เพราะแบบนี้เฟื่องฟ้าจึงไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรเธอเลย เมื่อก่อนเธอยึดติดกับผู้ชายคนนั้นมากจริงๆ นั่นแหละ คิดแค่ว่าตัวเองมีความสุขเวลาอยู่ใกล้เขาก็พอแล้ว ถึงไม่ได้เจอกันทุกวัน แต่แค่รู้ว่าเขาอยู่บ้านข้างๆ เธอก็ดีใจจนเนื้อเต้น และคงเพราะยึดติดมากเกินไปอีกเช่นกัน พออะไรๆ ไม่เป็นตามที่หวังจึงเป๋จนเกือบจะเรียกว่าเสียศูนย์

“กับเรื่องนี้ ฉันเก่งไม่ออกเลยว่ะเฟื่อง”

พอเป็นเรื่องของเขาเธอก็รู้สึกว่าตัวเองจัดการอะไรไม่ได้เลย แค่คิดถึงเขาโดยไม่ร้องไห้ เธอว่านั่นก็เก่งมากแล้วจริงๆ 

“ก็ไม่เห็นต้องเก่ง กับเรื่องแบบนี้ใครจะไปทำเก่งอยู่ได้ ไม่ซึมเป็นหมารอเจ้าของก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว”

รินลดายิ้มขำเมื่อได้ยินคำพูดเปรียบเปรยของเพื่อน แต่ก็จริงอย่างที่เฟื่องฟ้าพูดนั่นแหละ เรื่องแบบนี้ใครจะมัวทำเก่งอยู่ได้ อกหักครั้งแรกมีใครไม่ร้องไห้เสียใจกัน ถ้ามีจริงเธอก็ถือว่าคนคนนั้นแข็งแกร่งมากจนน่านับถือ 

สำหรับเธอถือว่าสะบักสะบอมพอสมควรเลยทีเดียว

“พอๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ออกไปกินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวส้มตำป้าแต๋มจะคายเครื่องซะก่อน”

บรรยากาศอึมครึมแบบนี้เฟื่องฟ้าไม่ค่อยปลื้มนัก เธอตั้งใจจะมาช่วยเพื่อนคลายเหงา แต่กลายเป็นว่าอยู่ๆ ก็วกกลับเข้าเรื่องเศร้าอีกจนได้ คนรู้สึกผิดจึงพยายามเปลี่ยนบรรยากาศโดยเอาของกินมาเป็นตัวคั่น แถมวันนี้เธอกับรินลดายังมีงานต้องทำอีกมาก ขืนมัวแต่เศร้า รับรองว่าทำงานไม่เสร็จกันแน่ๆ 

“กินแล้วจะได้รีบทำงานด้วย ได้ข่าวว่าจัดของยังไม่เสร็จนี่”

“อืม งั้นกินก่อนค่อยทำงานแล้วกัน กองทัพต้องเดินด้วยท้องนี่เนอะ”

“แน่นอน!” 

เฟื่องฟ้าตอบรับอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะเป็นฝ่ายกระเด้งตัวลุกขึ้นแล้วเขย่าแขนเพื่อนแรงๆ พลางช่วยดึงให้ลุกขึ้นจากเตียง 

“ไปๆ ลุก ฉันหิวจนจะกินแกเข้าไปได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย”

“อันนี้ก็เว่อร์ไป” รินลดาหัวเราะขำ

“เอาน่า แกไม่เคยได้ยินคำโบราณที่ว่าอย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนหิวหรือไง” 

“มีก็บ้าแล้วมั้ง”

รินลดาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจอีกครั้ง สุดท้ายทั้งเธอและเฟื่องฟ้าต่างก็หัวเราะพร้อมกัน ดูเหมือนความเห็นแก่กินของพวกเธอจะเอาชนะทุกอย่างได้จริงๆ 

ไม่นานอาหารหน้าตาน่ารับประทานที่ซื้อมาทั้งหมดก็จัดใส่จานอย่างเรียบร้อย โชคดีที่ตอนย้ายข้าวของมาที่นี่ป้าดวงดาวกำชับให้เด็กๆ เก็บอุปกรณ์ครัวครบชุดใส่มาให้ด้วย ห้องของเธอจึงมีทั้งชุดจาน ชาม และแก้วน้ำเสร็จสรรพ นอกจากนั้นก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ แทบทุกอย่าง เรียกว่าแค่เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ เก็บหนังสือเข้าชั้น ห้องใหม่ของเธอก็พร้อมเข้าพักโดยไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง

“อื้อหือ ลาบน้ำตกดีอะ” เฟื่องฟ้าว่าก่อนจะจิ้มข้าวเหนียวตามเข้าปาก

“นี่ขนาดกินมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ ฝีมือป้าแกยังไม่ตกเลย” ร้านนี้เธอกับรินลดาเป็นลูกค้ามาตั้งแต่วัยเยาว์ เรียกว่าเป็นร้านตี้ร้านแรกเลยก็ว่าได้ 

“ฉันว่าปีกไก่ทอดน้ำปลาเด็ดกว่า” รินลดาออกความเห็นบ้าง

“อันนี้ไม่เถียง กินร้านไหนก็ไม่อร่อยเหมือนร้านป้าแก” คนไปซื้อมากับมืออย่างเฟื่องฟ้าพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าป้าแต๋มมาได้ยินที่พวกเธอสองคนคุยกันคงดีใจยกใหญ่ เพราะโต๊ะตัวเล็กที่เคยว่างเปล่าบัดนี้เต็มแน่นด้วยของกินจากร้านป้า แน่นอนว่าเรื่องรสชาติก็ไม่ผิดหวัง เพราะทั้งอร่อย ทั้งแซ่บ จนต้องสูดน้ำมูก กลั้นน้ำตา เพราะความเผ็ดร้อน 

“ว่าแล้วก็นึกถึงตอนเด็กเหมือนกันเนอะ” เฟื่องฟ้าชวนระลึกความหลัง

“ที่กินข้าวคำกินน้ำคำน่ะเหรอ”

แล้วสองสาวก็หัวเราะขำพร้อมกันอีกครั้ง นึกถึงสมัยเด็กที่นั่งกินไปน้ำตาไหลไปเพราะความเผ็ดร้อนที่ขึ้นชื่อ กระทั่งตอนนี้อยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้ายกันแล้วพวกเธอก็ยังซี้ดซ้าดกับรสชาติร้อนแรงนี้ไม่เปลี่ยน 

“ต่อไปคงไม่ได้กินบ่อยๆ แล้วแน่เลย”

รินลดาตัดพ้อไม่จริงจังนัก เพราะตัดสินใจย้ายออกจากบ้านแล้ว เธอจึงตั้งใจว่าจะไม่กลับเข้าไปเร็วๆ นี้ เหตุผลแรกเพราะมหาวิทยาลัยใกล้เปิดเทอมแล้ว เธอคิดว่าตัวเองคงยุ่ง และงานคงหนักเพราะเป็นปีสุดท้าย ส่วนอีกเหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือเรื่องของคุณอาข้างบ้านคนนั้น

เธอยังไม่กล้ากลับไปเจอเขา เพราะกลัวว่าทุกอย่างที่ทำมาจะพังอีก หรือบางทีอาจจะพังมากกว่าเดิมถ้ากลับไปแล้วเจอเขาอยู่กับผู้หญิงคนนั้น

“จะกลัวอะไร มีฉันอยู่ทั้งคน แกอยากกินตอนไหนก็แค่สั่งมา แกร็บเฟื่องคิดค่าบริการไม่แพงหรอก”

เฟื่องฟ้าขันอาสาพร้อมทั้งตั้งท่าจะจ้วงน้ำตกเข้าปาก ทว่าพอเหลือบเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเพื่อนก็ถึงกับต้องรีบวางช้อนลงแล้วเอ่ยถาม

“อะไรยะ อยู่ดีๆ ก็ทำหน้าเศร้า นี่อย่าบอกนะว่าคิดเรื่องอาธีอีกแล้ว”

ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาก็รู้ว่าตัวเองคิดถูก เฟื่องฟ้าถอนหายใจเบาๆ เธอไม่ได้จะต่อว่าเพราะเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนเป็นอย่างดี คนที่เธอนึกฉุนและอยากต่อว่าคือผู้ชายใจร้ายคนนั้นต่างหาก 

คุณธีรดนย์คนนั้นกล้าดีอย่างไรถึงปฏิเสธเพื่อนเธอ!

โอเค เธอไม่ปฏิเสธก็ได้ว่าผู้ชายคนนั้นเพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ ซึ่งอาจจะมากกว่าที่หลายๆ คนจินตนาการไว้ เธอจึงไม่แปลกใจที่เพื่อนของเธอจะตกหลุมรักคุณอาข้างบ้านอย่างเขาเข้าเต็มเปา 

แต่ถ้าพูดให้ถูก เธอไม่โกรธเรื่องที่คุณธีรดนย์คนนั้นปฏิเสธเพื่อนเธอ เข้าใจว่าความรู้สึกคนเราบังคับกันไม่ได้ แต่ที่เธอไม่ชอบใจคือคำกล่าวหาว่าความรู้สึกเพื่อนเธอคือความสับสนต่างหาก 

สับสนบ้าบออะไร รินลดาตกหลุมรักคุณอาข้างบ้านมาสามปีเต็ม นี่เรียกสับสนตรงไหน!

“มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆ ซะหน่อย”

“เฮ้อ”

พอถูกทักท้วงตรงจุด รินลดาก็เถียงไม่ออก เธอยอมรับเพราะไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องปิดบังคนตรงหน้า เฟื่องฟ้าคือคนที่เธอไว้ใจไม่ต่างจากคนในครอบครัว เรียกว่าหลายๆ เรื่องเธอกล้าเล่าให้เพื่อนฟังมากกว่าผู้ปกครองเสียอีก เรื่องที่เธอก๋ากั่นปลดประดุมเสื้อต่อหน้าคุณอาข้างบ้านวันนั้นก็ด้วย

แน่นอนว่าเธอถูกเฟื่องฟ้าดุยกใหญ่ ไม่ใช่เพราะทำตัวก๋ากั่นเกินงาม แต่เพราะเป็นห่วงและกลัวเธอจะถูกเอาเปรียบ นึกๆ แล้วก็ตลกร้ายอยู่เหมือนกัน เพราะนอกจากเขาจะไม่ทำอะไรแล้ว เธอยังถูกต่อว่าจนหน้าม้านอีกต่างหาก

ทั้งเจ็บทั้งอาย สุดท้ายก็ไม่มีอะไรสมหวังสักอย่าง

“ฉันก็คงเจ็บแบบนี้ไปอีกสักพักแหละ แต่แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก คงไม่มีอะไรแย่กว่านี้อีกแล้วมั้ง”

นั่นแหละ เธอคิดว่าคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว รินลดาเชื่อว่าสักวันเธอคงลืมเขาได้ แต่ก็เชื่ออีกเช่นกันว่าคงไม่ใช่เร็ววันนี้ ความรู้สึกที่บ่มเพาะมานานหลายปีคงไม่จางหายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ แต่ก็ใช่ว่าเธออยากจมอยู่กับความผิดหวังและเสียใจไปตลอด

ไม่เลย

เธอแค่ยังหาวิธีลืมเขาไม่ได้เท่านั้นเอง

“ไม่ให้ห่วงได้เหรอ ให้ฉันบอกไหมว่าตั้งแต่เข้ามาแกจ้องหน้าจอโทรศัพท์ไปแล้วกี่ครั้ง”

“ก็...”

ก็เพราะยังหวังว่าเขาจะตอบข้อความของเธอบ้าง 

รินลดาได้แต่ตอบคำถามเพื่อนในใจ ไม่กล้าพูดออกไปเพราะกลัวถูกเพื่อนดุอีกหน เธอรู้ว่าเฟื่องฟ้าเป็นห่วงและหวังดีกับเธอ แต่แผลที่ยังสดใหม่เช่นนี้เธอก็ยังหาทางรับมือไม่ถูก เธอไม่ได้อยากเศร้า ไม่ได้อยากทำตัวอ่อนแอ หรือร้องขอความเห็นใจ ดังนั้นนอกจากข้อความสุดท้ายที่ส่งไป เธอจึงไม่ได้ทำอะไรอีก

‘ขอโทษที่ทำให้อาธีรู้สึกไม่ดีนะคะ รินจะไม่ไปรบกวนอาธีอีกแล้ว’

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเธอรักษาคำพูดและความตั้งใจไว้ทุกอย่าง หักห้ามใจไม่ไปหา ไม่มองหน้า ไม่เข้าใกล้ กระทั่งเรื่องที่เธอตัดสินใจย้ายออกจากบ้าน เธอก็ยังไม่บอกเขา 

ลึกๆ แล้วรินลดารู้ดีว่าที่เธอทำแบบนี้เพราะยังกลัวคำตอบ กลัวว่าถ้าอีกฝ่ายไม่สนใจไยดีกับการมีอยู่หรือจากไปของเธอ หัวใจที่บอบช้ำอยู่แล้วจะยิ่งเจ็บหนักกว่าเดิม เธอจึงตัดสินใจง่ายๆ โดยการหนีปัญหา เพราะเธอมั่นใจว่าต่อให้เธอจะยังอยู่หรือย้ายออกมา เขาก็คงไม่สนใจอยู่ดี

ก็ดีแล้ว ให้มันจบแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว

“ยายริน!”

“อะ...อะไร”

“เหม่ออีกแล้ว ฉันเรียกตั้งหลายที แกก็ไม่ยอมตอบ”

“โทษที ฉันไม่ได้ยินจริงๆ ”

“เพราะมัวแต่คิดถึงอาธีละสิ ฉันรู้ทันหรอก”

คนเรียกอยู่นานตัดพ้อไม่จริงจังนัก เฟื่องฟ้าเข้าใจเพื่อนดี แต่เธอก็ไม่อยากเห็นรินลดาเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้นานนัก นึกๆ ไปแล้วก็เคืองเขาไม่หาย เสียแรงที่เธอเคยแอบเชียร์อยู่ห่างๆ มาหลายปี นึกว่าคุณอาข้างบ้านของเพื่อนจะเป็นผู้ชายอบอุ่น แต่ที่ไหนได้เขาดันกลายเป็นคนที่ทำให้เพื่อนเธอนอนจมกองน้ำตาอยู่หลายวัน 

คอยดูเถอะ! เธอจะกันท่าไม่ให้ได้เข้าใกล้รินลดาอีกเลย!

“ไม่ได้การแล้ว ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อ ยังไงแกก็ลืมอาธีไม่ได้แน่”

ความจริงที่เฟื่องฟ้ามาวันนี้เพราะอยากดูให้แน่ใจว่ารินลดาพร้อมจะลืมรักแรกอย่างที่กล่าวอ้างหรือเปล่า แต่พอมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว เธอก็มั่นใจเลยว่าเพื่อนรักไม่มีทางลืมคุณอาคนหล่อนั้นได้แน่นอน

“นี่ยายริน แกเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม ที่เขาบอกว่าคนเราจะไม่มีทางลืมรักเก่า ถ้าไม่เจอรักใหม่น่ะ”

ถ้ายังเจ็บกับรักเก่าไม่หาย ก็หาคนใหม่มาดามหัวใจมันซะเลย!

เอาละ เฟื่องฟ้าคิดว่าเธอพอจะนึกอะไรดีๆ ออกแล้ว

“นี่แกอย่าบอกนะว่าจะให้ฉันหาคนใหม่?”

“ก็ใช่น่ะสิ! ลืมๆ อาธีของแกไปเถอะ ผู้ชายดีๆ ไม่ได้มีคนเดียวในโลกสักหน่อย”

แผนการในหัวของเฟื่องฟ้าแล่นเป็นฉากๆ โดยเฉพาะเรื่องหาผู้ชายคนใหม่มาดามใจเพื่อนรัก แต่เรื่องที่ว่าผู้ชายอย่างคุณธีรดนย์ไม่ได้มีคนเดียวในโลก อาจเป็นคำพูดที่เกินจริงไปหน่อย 

เฟื่องฟ้ารู้ดีว่าคุณอาคนหล่อคนนั้นเหมาะสมกับเพื่อนรักเธอไม่หยอก เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันบรรยากาศราวกับอบอวลเป็นสีหวานๆ อธิบายไม่ถูก เคมีมันเข้ากันจนเผลอเชียร์ออกนอกหน้าไปหลายครั้ง แต่ก็อย่างที่บอก ตอนนี้มันคงไม่มีประโยชน์แล้ว และเธอก็เปลี่ยนใจ ไม่เชียร์เขาแล้วเช่นกัน เพราะสุดท้ายคุณอาข้างบ้านคนนั้นก็เลือกปฏิเสธเพื่อนรักของเธออย่างไม่ไว้หน้า

เอาเป็นว่าคนนี้เธอไม่ให้ผ่านแล้ว ไม่! ผ่าน!

“วันนี้ไปร้านเฮียทัพกัน ฉันจะโทร. ให้เฮียจองโต๊ะให้เดี๋ยวนี้เลย”

“เดี๋ยวสิเฟื่อง นี่เอาจริงเหรอ”

“จริง! เอาน่า ไม่ได้ผู้ แต่ไปเที่ยวขำๆ ก็ไม่เห็นเป็นไร”

เฟื่องฟ้าไม่ได้คาดหวังให้รินลดาลืมรักแรกอย่างคุณธีรดนย์ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันนี้ แต่อย่างน้อยเธอก็อยากพาเพื่อนออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เธอรู้ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมารินลดาเศร้าจนไม่รู้จะเศร้าอย่างไรแล้ว ถ้าการลืมเขามันยากนัก แค่ไปดีดเต้นให้หายคิดถึงผู้ชายคนนั้นสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ยังดี

“เอาแบบนี้แหละ ไม่ได้อาธี ก็ไปหาคนใหม่เอาข้างหน้า”

ว่าแล้วคนมุ่งมั่นก็รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดหาพี่ชายทันที นั่นคือเฮียทัพหรือก็คือ จอมทัพ’ พี่ชายคนโตของเธอ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของไนต์คลับดังย่านสถานบันเทิงขึ้นชื่อนั่นเอง

“เฮีย วันนี้เข้าร้านหรือเปล่าคะ น้องอยากได้โต๊ะ...ใช่ค่ะ น้องจะไปกับยายริน”

รินลดามองเพื่อนรักคุยสายกับพี่ชายแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้าง สุดท้ายจึงส่ายหน้าช้าๆ กับนิสัยคิดแล้วทำเลยของเพื่อนที่ไม่เคยเปลี่ยน จะปฏิเสธก็คงไม่ทัน เพราะเธอเพิ่งเห็นคนตรงหน้าทำมือเป็นสัญลักษณ์ว่าโอเค ซึ่งนั่นหมายความว่าโต๊ะที่อีกฝ่ายถามหาได้จองไว้เรียบร้อย 

“เรียบร้อย” 

นั่นไงล่ะ ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน

“เดี๋ยวคืนนี้เรานั่งแท็กซี่ไปกัน ส่วนขากลับเฮียทัพบอกว่าจะมาส่ง เพราะงั้นเราสองคนเมาได้เต็มที่!”

จากความอึ้งสุดท้ายเหลือเพียงความขบขัน รินลดายอมใจในความกระตือรือร้นของเพื่อนจริงๆ ที่สามารถจัดการทุกอย่างภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะเธอเองก็อยากดื่มให้เมาหัวทิ่มไปข้าง อย่างน้อยๆ ถ้ายังลืมเขาไม่ได้ พระพรหมท่านอาจจะเห็นใจส่งเนื้อคู่คนใหม่มาให้สักคน 

แต่ก่อนอื่นเลย เธอว่าเธอควรบล็อกช่องทางติดต่อของเขาให้หมดเสียก่อน ไม่ใช่เพื่อป้องกันเขาติดต่อมา แต่กันไม่ให้ตัวเองโทรศัพท์หาเขาตอนเมาต่างหาก!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น