๑๑
ทะเบียนสมรส
“...จับไซริงค์ให้แน่น แล้วก็หยอดนมลงตรงนี้ ช้าๆ นะคะ และปล่อยให้ค่อยๆ ไหลลงไป...แบบนี้ค่ะ” เจ้าหน้าที่พยาบาลในชุดสีชมพูสอนการให้นมผ่านท่อทางปากแก่เด็กทารก[1] ขณะที่วิยะดาประคองยายหนูอยู่แนบอก
นมที่ว่านั้นเป็นนมชงสำเร็จสำหรับเด็กแรกเกิด และเพราะร่างกายของแกยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ณ ตอนนี้ยายหนูจึงยังต้องรับอาหารผ่านท่อ หลังจากที่รับน้ำเกลือผ่านเส้นเลือดมาระยะหนึ่ง
ในใจวิยะดารู้สึกสงสารลูกเป็นอย่างมากที่ต้องมีสายสอดคาอยู่ แกคงจะเจ็บและอึดอัด ซึ่งทุกครั้งที่มีการป้อนอาหาร ยายหนูก็มักจะร้องและสำลักในช่วงแรก ซึ่งวิยะดาต้องพยายามแข็งใจ เพราะมันคือทางที่ดีที่สุดสำหรับแก
นับตั้งแต่ที่อุ้มยายหนูได้ วิยะดาก็มาอุ้มหรือทำแคงการูแคร์เกือบทุกวัน ได้ยินว่าเจษฎ์บดินทร์เองก็ทำเช่นนั้น แต่คนละเวลากับเธอ เนื่องจากการอุ้มทำได้ทีละคน
เมื่อทำแคงการูแคร์ของวันนี้เสร็จแล้ว หญิงสาวก็จูบเบาๆ ตรงหน้าผากเล็ก พร้อมกับบอกแกว่าจะรีบมาหาในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะออกจากห้อง KMC เพื่อเปลี่ยนชุด
วันนี้วิยะดามาถึงที่นี่ตั้งแต่ตี ๕ ถือเป็นครั้งแรกที่มาหายายหนูเช้าขนาดนี้ แต่เพราะวันนี้มีนัดกับเจษฎ์บดินทร์เพื่อไปจัดการเรื่องทะเบียนสมรส หญิงสาวจึงอยากจะมาหาลูกก่อนที่จะไปพบเขาตามเวลานัดหมายตอน ๗ โมง
แน่นอนว่าอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาต้องนัดเช้าขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป เพราะได้ตกลงใจแล้วว่าจะยอมรับเงื่อนไขของเขา ดังนั้นเมื่อเจษฎ์บดินทร์โทร. มานัด เธอจึงตอบรับไปอย่างง่ายดาย
เมื่อเดินออกมาจากห้องแต่งตัว วิยะดาก็พบว่าเขาได้นั่งรอเธอยู่ด้านหน้าแล้ว
“อรุณสวัสดิ์”
เขาลุกขึ้นและทักทายเธอ ขณะกวาดสายตามองคนตัวเล็กที่อยู่ในชุดเดรสแขนยาวสีดำคอจีนแต่งลูกไม้ ที่ดูทั้งเรียบร้อยเป็นทางการ และเป็นสีที่เธอสวมใส่ในช่วงนี้เพื่อไว้ทุกข์ ผมยาวสลวยถูกรวบเป็นหางม้าเอาไว้ด้านหลัง ทั้งหมดทั้งมวลนั้นขับเน้นให้ดวงหน้าขาวผ่องที่แต่งแต้มสีสันอย่างพอดิบพอดี ดูงดงามเหลือเกินในความรู้สึกของเขา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่ว ขณะเลื่อนปิดประตูแล้วหันกลับมา โดยหลุบตาลงไม่มองหน้าเขา
“จอดรถยิ้มไว้ที่นี่ แล้วเอารถพี่ไปนะ เพราะวันนี้เราต้องไปทำธุระกันหลายที่”
ไปหลายที่? เขาไม่เห็นบอกเธอเลย ว่าจะต้องไปที่อื่นต่อ นอกจากไปสำนักเขตเพื่อจดทะเบียนสมรส
แต่หญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะถึงยังไงเธอก็ไม่มีทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว
“ค่ะ”
ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นและผายมือให้เธอเดินนำไปก่อน
นี่คงเป็นครั้งแรก...ที่เจษฎ์บดินทร์เป็นผู้เดินตาม...
แต่เพราะส่วนสูงที่ต่างกันเกือบ ๓๐ เซนติเมตร ทำให้ก้าวย่างของทั้งสองแตกต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่เธอคุ้นชินมาตั้งแต่เด็กจึงเป็นการเดินตามเขามาโดยตลอด
วิยะดาพยายามชะลอฝีเท้าให้ช้าลง เพราะไม่อยากเป็นฝ่ายเดินนำ และอยากจะหนีความรู้สึกแปลกๆ คล้ายถูกจับจ้องจากทางด้านหลังอยู่ตลอดเวลานี้ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่แซงขึ้นมา แถมเสียงฝีเท้าที่ได้ยินก็ยังเนิบช้าตามเธออีกด้วย
กระทั่งออกจากลิฟต์ เขาก็ยังคงทำเช่นนั้น
“คุณเดินนำก่อนดีกว่านะคะ ฉันไม่รู้ว่ารถคุณอยู่ที่ไหน”
“ได้”
เท่านั้นเองข้อมือของเธอก็พลันถูกจับเอาไว้ด้วยมืออุ่นร้อน ก่อนที่จะถูกจูงให้เดินตามไปหน้าตาเฉย
“คุณจะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะคะ อย่ามาทำรุ่มร่ามแบบนี้” หญิงสาวพยายามบิดมือออก พร้อมกับกวาดตาไปมองโดยรอบ
แม้จะค่อนข้างเช้า...แต่สำหรับคำว่า ‘โรงพยาบาล’ แล้ว ย่อมมีคนเดินผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา โดยเฉพาะบนเส้นทางสัญจรหน้าอาคารผู้ป่วย
“ข้ามถนนไง ไปเถอะ เดี๋ยวเขาบีบแตรไล่” ว่าแล้วเจษฎ์บดินทร์ก็ลดมือลงไปจับมือของวิยะดา และเดินหน้าจูงเธอข้ามถนนที่มีรถ ‘กำลัง’ จะขับผ่านเข้ามา ราวกับไม่รับรู้ความไม่พอใจของเธอ
หญิงสาวไม่อยากจะแสดงท่าทีใดๆ กับเขาอีก เธอรู้จักเจษฎ์บดินทร์ดี...อย่างน้อยก็พอจะรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง
เจษฎ์บดินทร์เป็นคนไม่ค่อยพูดหรือยี่หระต่อสิ่งใดก็จริง แต่ถ้าได้ตั้งใจจะทำอะไรแล้ว เขาจะกลายเป็นคนเผด็จการ และเอาแต่ใจตัวเองอย่างที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครหยุด หรือบังคับเขาได้ อย่างเรื่องของยายหนู เขาก็คงคำนวณผลได้ผลเสียทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว...และคงมั่นใจว่าเธอไม่มีทางปฏิเสธแน่!
หลังจากที่มือถูกปล่อยเป็นอิสระ วิยะดาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก โดยไม่สนใจว่าเจษฎ์บดินทร์จะหันมามองเช่นไร หญิงสาวไล่สายตามองพาหนะที่เขาเปิดประตูด้านข้างคนขับให้ด้วยความประหลาดใจ
นี่มัน...
เธอจำได้ว่าเจษฎ์บดินทร์รักรถสปอร์ตคันหนึ่งมาก แต่ไม่ค่อยได้เอาออกมาขับ เพราะมีรถยนต์สัญชาติยุโรปพร้อมคนขับกึ่งๆ บอร์ดี้การ์ดคอยติดตามรับส่ง และเธอก็จำได้ว่าเป็นคันนี้...Mercedes SLR McLaren Edition สีตะกั่ว ซึ่งความจริงแล้ว ราคาของมันถูกกว่ารถที่เขาใช้อยู่เป็นประจำ แต่ที่เขารักรถคันนี้มากจนไม่เคยอนุญาตให้ใครนั่งเลย นั่นเพราะมันเป็นรถคันแรกที่เขาเก็บเงินซื้อได้ด้วยตนเองสมัยเรียนอยู่อเมริกา และที่สำคัญมันเป็นรุ่นสุดท้ายของ SLR ที่ผลิตเพียง ๒๕ คันในโลกเท่านั้น เขาจึงต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการได้เป็นหนึ่งในผู้ครอบครองยนตรกรรมสุดหรูรุ่นพิเศษนี้
เจษฎ์บดินทร์ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นคนตัวเล็กจ้องมองรถแสนรักของตน
“ยิ้มเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้นั่งรถคันนี้ และคนต่อไปจะมีแค่ลูกสาวของเราเท่านั้น”
“...”
วิยะดาแสร้งไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอก้าวขึ้นรถที่เปิดไว้ให้ด้วยใบหน้าและความรู้สึกเรียบเฉยดังเดิม
ชายหนุ่มมองอาการของเธอด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้ลดลงเลย
“ทำไมถึงมาที่นี่?” คำถามหลุดออกจากริมฝีปากอิ่มเต็มที่เม้มแน่นมาตลอดทางที่นั่งอยู่บนรถหรูซึ่งเปิดเพลงบลูส์สากลฟังสบายคลอเบาๆ
โชคดีที่เจษฎ์บดินทร์ ก็ยังคงเป็นเจษฎ์บดินทร์ที่พูดน้อยถนอมคำ ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องตอบคำถาม หรือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน...บ่อยนัก
แน่นอนว่าวิยะดาตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้นไปจนถึงตอนจากกัน แต่พอเห็นว่าเขาขับรถพาเธอเข้ามาในวัดเช่นนี้ ก็ทำให้วางเฉยไม่ได้อีกต่อไป
“ก่อนจะไปจดทะเบียนสมรส เราควรจะทำบุญตักบาตรกันก่อน...ผู้ใหญ่ท่านบอกว่ามันจะเป็นสิริมงคลกับชีวิตคู่ของเรา”
วิยะดาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง...เธออยากจะเอ่ยปฏิเสธแรงๆ แต่ก็รู้สึกว่ามันบาปเกินไป เพราะเขาได้พาเธอมาถึงที่วัดแล้ว...
“แต่...เราไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากขนาดนี้นี่คะ”
“ไม่ยุ่งยากหรอก พี่ให้คนเตรียมของไว้หมดแล้ว” เจษฎ์บดินทร์บอกด้วยรอยยิ้มจางๆ ประดับบนใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยอยู่เสมอ เห็นได้ชัดว่าพื้นอารมณ์ของเขาในวันนี้ค่อนข้างดี...ตรงข้ามกับเธอ
วิยะดาสูดหายใจเข้าลึก หมดสิ้นคำพูด ขณะที่ประตูด้านที่เธอนั่งถูกเปิดโดยคนที่ลงไปก่อน
“ลงมาเถอะ เดี๋ยวพระท่านจะรอนาน”
เมื่อมาถึงขั้นนี้ เธอจึงหันไปหยิบกระเป๋าสะพาย และลงจากรถ ในตอนนั้นเองที่วิยะดาสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างที่ก่อนหน้านี้มองไม่เห็น เพราะไม่ยอมมองหน้าเขาตรงๆ อีกทั้งรอยแดงอมม่วงนั้นก็ค่อนข้างจาง แต่แสงแดดยามเช้าที่แผดลงมา ทำให้ทุกๆ อย่างประจักษ์แก่สายตาของเธอ
“หน้ากับปากคุณ...ไปโดนอะไรมาคะ” ทั้งที่คิดว่าจะไม่สนใจ แต่ก็อดถามออกไปไม่ได้
เจษฎ์บดินทร์นิ่งไปนิดก่อนจะบอกว่า
“ไม่มีอะไร มีเรื่องที่ต้องใช้กำลังเคลียร์กันนิดหน่อย”
คนฟังแทบไม่เชื่อหูตัวเองกับคำตอบที่ได้รับ เธอแน่ใจอยู่แล้วว่ารอยนั้นน่าจะเกิดจากการปะทะ แต่เท่าที่รู้จัก...แม้เจษฎ์บดินทร์ค่อนข้างชอบกีฬาต่อสู้เกือบทุกชนิด แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะใช้กำลังตัดสินปัญหา...
แต่ในเมื่อเขาพูดแบบนั้น เธอจึงไม่ถามต่อ และละความสนใจเพียงเท่านั้น
เจษฎ์บดินทร์เดินนำวิยะดาเข้ามาในศาลาการเปรียญ ณ ที่ตรงนั้นมีการจัดเตรียมสำรับอาหารสำหรับใส่บาตร พร้อมกับเครื่องอัฐบริขารชุดใหญ่อยู่แล้วอย่างพร้อมพรัก
แรกที่ขึ้นไปนั้น บนศาลาไม่มีใครอื่นนอกจากเขาและเธอ แต่ไม่นานพระสงฆ์ก็ทยอยขึ้นมานั่งประจำอาสนะทั้งแปดที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ เจษฎ์บดินทร์เป็นผู้นำ ส่วนเธอเป็นผู้ตาม ทั้งคู่เริ่มจากการกราบพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่สามครั้ง ก่อนจะเริ่มถวายสำรับ และเครื่องอัฐบริขาร โดยมีผู้ชายในชุดดำ ซึ่งเป็นคนของเจษฎ์บดินทร์เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการหยิบจับข้าวของต่างๆ มาส่งให้กับเจ้านาย
หลังจากที่พระสงฆ์อาราธนาศีลแล้ว จึงทำการผูกข้อมือ พรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล และกล่าวอวยพร
“ขอให้ชีวิตคู่ของคุณโยมทั้งสอง จงมีแต่ความสุข ความเจริญ ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง อย่าได้มีสิ่งเลวร้ายใดๆ มาแผ้วพานเลย...สาธุ”
ทั้งสองก้มลงกราบรับคำอวยพรนั้นโดยพร้อมเพียง
หลังจากลงจากศาลาแล้ว เจษฎ์บดินทร์ก็หันไปรับพวงมาลัยดอกมะลิมาจากลูกน้องที่นำมาส่งให้ และหันมาบอกเธอว่าอยากพาเธอไปพบใครคนหนึ่งก่อนที่จะออกจากที่นี่ คราแรกวิยะดาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เมื่อเดินตามร่างสูงใหญ่ไปยังบริเวณด้านหลังของวัด ก็พบว่า ‘คน’ ที่เขาพาเธอมาพบ คือ ...คุณแม่ของเขา
เจษฎ์บดินทร์ทำการปัดเศษใบไม้แห้งที่ร่วงลงมาเปื้อนบนแท่นด้านหน้าเจดีย์เก็บอัฐิสีขาว ซึ่งมีกระถางธูปวางอยู่ เมื่อทุกอย่างสะอาดแล้ว ก็ค่อยๆ วางพวงมาลัยดอกมะลิลงไป และเริ่มจุดธูปสองดอก โดยมีวิยะดายืนมองอยู่เงียบๆ ที่ด้านหลัง เสร็จแล้วเขาจึงเอาธูปดอกหนึ่งส่งมาให้เธอ
วิยะดาขยับตัวไปยอบลงนั่งพับเพียบกับพื้นหญ้านุ่มที่ถูกปูและตัดแต่งอย่างดีข้างๆ เจษฎ์บดินทร์ และรับมันมา
เมื่อไหว้เสร็จแล้ว ต่างก็นำไปปักเอาไว้ที่กระถาง
“แม่คงแปลกใจ ที่เห็นว่าวันนี้ผมพาผู้หญิงมาด้วย เป็นไงครับ สวยถูกใจแม่ไหม”
วิยะดาเหลือบมองคนพูดด้วยความรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง ที่ได้เห็นเจษฎ์บดินทร์ในอีกมาดหนึ่งที่เธอไม่เคยเห็น พร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยนที่เหมือนกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งยามที่พูดกับแม่ของเขา...ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะเย็นชาอยู่เสมอกระจ่างด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
บรรยากาศโดยรอบสงบและร่มเย็น มีสายลมแผ่วเบาพัดหยอกล้อกับกระดิ่งลมจนเกิดเสียงไพเราะเสนาะหู ไม่ได้วิเวกวังเวง แต่ชวนให้ผ่อนคลายอย่างประหลาด
ที่แท้...วัดนี้คือวัดประจำตระกูลวรวัฒน์ ตระกูลฝั่งมารดาของเจษฎ์บดินทร์
“เธอคือหนูยิ้ม วิยะดา สุรสินทร์ ลูกสาวคนเล็กของคุณอาวิกานดา ที่แม่เคยบอกผมว่าน่ารักมากไงครับ”
วิยะดามองภาพของสตรีวัยสามสิบปลายที่ดูงดงามราวกับภาพวาด ทั้งๆ ที่เป็นภาพขาวดำเล็กๆ ที่ติดอยู่หน้าเจดีย์เก็บอัฐิมากว่า ๒๐ ปีแล้ว วิยะดารับรู้เรื่องราวของท่านมาโดยตลอด ผ่านการเล่าของมารดาซึ่งเป็นเพื่อนรักของท่าน...ใจจึงรู้สึกเคารพและรักคุณป้าอาภาศิริเหมือนญาติผู้ใหญ่ของตนมาเสมอ
“เธอกำลังจะมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่แล้วนะ และวันนี้เราก็กำลังจะไปจดทะเบียนสมรสกัน แม่ช่วยอวยพรให้เราสองคนด้วยนะครับ”
“...”
“...ตอนนี้แม่มีหลานแล้วนะครับ เป็นเด็กผู้หญิง น่ารักมาก ถ้าแม่เห็นยายหนูจะต้องหลงแกแน่ๆ ต่อไปแกจะมาเป็นลูกสาวคนโตของผมกับยิ้ม แต่สุขภาพของแกไม่ค่อยดีครับ แม่ช่วยคุ้มครองแกด้วยนะ ให้แกเป็นเด็กดี เลี้ยงง่าย แข็งแรง...อยู่กับผมกับยิ้มไปนานๆ และมีชีวิตที่มีความสุข”
น้ำตาหยาดรินลงจากดวงตาคู่สวยของวิยะดา กับทุกๆ คำพูดของเจษฎ์บดินทร์...
วันนี้เขาดูจะพูดมากกว่าทุกๆ วัน และทุกๆ ถ้อยคำของเขานั้น ล้วนเป็นถ้อยคำที่วิยะดาไม่คิดว่าเขาจะมี...เหมือนกับว่าคนที่นั่งอยู่เคียงข้างเธอนี้ เป็นอีกคนหนึ่งกับเจษฎ์บดินทร์ที่แสนเย็นชาต่อหน้าทุกคนที่เธอคุ้นเคย...
ทันทีที่ทั้งสองมาถึงสำนักงานเขต ทนายความของเจษฎ์บดินทร์ก็รอทั้งสองอยู่ก่อนแล้ว คนๆ นี้เธอเคยเห็นหน้าหลายครั้ง เพราะเขาเป็นผู้ดำเนินการเอกสารหลายๆ อย่างในตอนที่วาริศายังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แม้แต่ตอนเสียชีวิต เขาก็เป็นคนนำเอกสารมาแจ้งแก่วิยะดาว่าพี่สาวได้แต่งตั้งเธอและเจษฎ์บดินทร์เป็นผู้อภิบาลหลานสาว
ทั้งสองถูกเชิญไปที่ห้องรับรองห้องหนึ่ง ณ ที่ตรงนั้นมีเจ้าหน้าที่รออยู่ก่อนแล้วพร้อมเอกสารสองฉบับที่ถูกเปิดและยื่นมาวางตรงหน้า เจษฎ์บดินทร์เป็นคนลงมือเซ็นชื่อตนเองลงบนเอกสารก่อน เมื่อเห็นว่าเธอยังคงนั่งนิ่งและจ้องมองมัน ก่อนจะส่งกลับมาให้เธอ
วิยะดาถอนหายใจ แล้วหยิบปากกาขึ้น ปลายปากกาที่จดบนช่องในเอกสารสำคัญการสมรสที่มีลายเซ็นของเจษฎ์บดินทร์หยุดลง หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะสะบัดปลายปากกาเซ็นชื่อตนเองลงไปทั้งสองฉบับ
เจ้าหน้าที่ก็ทำการตรวจสอบเอกสารต่างๆ จนครบสมบูรณ์ และยื่นมาตรงหน้าทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มไม่มากไม่น้อย
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ การจดทะเบียนสมรสของคุณทั้งสองคนเสร็จสมบูรณ์แล้ว”
นั่นคือคำพูดของเจ้าหน้าที่นายทะเบียน ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่เพียงวิยะดากับเจษฎ์บดินทร์ และเอกสารสำคัญการสมรสสองฉบับที่วางอยู่เบื้องหน้า
ความเงียบเข้ามาครอบคลุมอีกครั้ง ก่อนที่เจษฎ์บดินทร์จะเป็นฝ่ายทำลายมันลงด้วยคำถาม...
“...ยิ้มกำลังคิดอะไรอยู่”
“ฉันกำลังคิดถึงตัวฉัน เมื่อสัก...๒ หรือ ๓ ปีก่อนหน้านี้...”
“...”
“คุณรู้ไหมคะ ว่าสิ่งที่ฉันกำลังเจออยู่นี่ มันเคยเป็นความฝันของฉัน...” เธอเหยียดริมฝีปากยิ้ม “ฉันคิดว่าถ้าวันนี้มันมาถึงจริงๆ ฉันจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ...”
“...”
“แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะค่ะ ว่ามันเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น...”
เพราะความจริงก็คือ...เธอไม่เพียงไม่มีความสุข แต่ยังรู้สึกผิด สับสน และตะขิดตะขวงใจ จนแทบหายใจไม่ออก
แล้วมันก็คงจะเป็นเช่นนี้ไปในทุกๆ วัน นับจากนี้ที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา...เจษฎ์บดินทร์ พุฒิวิริยะกุล
“ทุกอย่างมันไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือความจริง ตอนนี้ยิ้มกับพี่ เราเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายกันแล้ว...และทุกๆ วันต่อจากนี้ไป พี่จะทำทุกอย่างให้ยิ้มมีความสุข และคิดไม่ผิดที่เลือกให้พี่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของยิ้ม...”
“...”
“นับจากนี้ไป คนที่พี่จะรักและให้ความสำคัญยิ่งกว่าใครในโลกนี้ จะมีแต่ยิ้ม ยายหนู และครอบครัวเล็กๆ ของเราสองคนเท่านั้น...”
“...”
ความคิดเห็น |
---|