4

บทที่ 4


ข่าวร้าย

ภาพเด็กทารกแรกคลอดที่นอนอยู่ในตู้กระจกนั้น ช่างเล็กและบอบบางเหลือเกิน จนคล้ายกับว่า...ไม่ควรมีสิ่งใดบนโลกใบนี้แตะต้องเธอแม้แต่ปลายก้อย เพราะมันอาจจะทำให้ร่างน้อยนั้นสูญสลายหายไปในพริบตา...

วิยะดามองภาพนั้นด้วยน้ำตาที่รื้อขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่อาจห้ามได้ ความรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่ยึดเหนี่ยวจู่โจมเธออีกครั้งพร้อมกับคำถาม และหวาดกลัวที่อัดแน่นเต็มหัวใจ

การอยู่แบบนั้นจะทำให้ยายหนูแข็งแรงขึ้นจริงๆ อย่างที่หมอบอกใช่ไหม

การนอนอยู่ในตู้ที่มีแสงไฟสีเหลืองส่องถึงเพียงนั้น ไม่ได้ทำให้แกร้อนจริงๆ หรือ

อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ถูกรัดเอาไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างเล็ก จะทำให้แกอึดอัด หรือเจ็บปวดบ้างไหม

แกจะเหงาและหวาดกลัวมากเพียงใด หากรู้สึกตัวตื่นแล้วไม่พบใครอยู่เคียงข้าง

และเมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่ที่ยายหนูของเธอจะได้ออกมาจากตู้อบใบนั้นด้วยร่างกายที่แข็งแรง...

วิยะดาไม่รู้เลยว่า เธอควรจะทำยังไง ถึงจะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของหลานสาว หรือสามารถรวบเอาความรู้สึกทุกข์ทรมานที่ร่างเล็กได้รับมาไว้กับตัว

ทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้...และเธอก็ยังคงได้แต่ยืนอยู่นอกห้อง NICU[1] ซึ่งมีผนังกระจกกั้นเอาไว้ โดยไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อร่างเล็กในตู้อบ ที่มีหน้ากากป้องกันแสงปิดตาอยู่นั้นได้ดีไปกว่าการเฝ้ามอง

เช้านี้หลังจากได้รับโทรศัพท์แจ้งจากโรงพยาบาลว่าให้มาพบแพทย์เจ้าของไข้ของหลานสาวเป็นการด่วน วิยะดาก็เร่งรุดมาในทันที เธอพบว่าไม่ใช่เพียงแค่ตนที่ถูกเรียก แต่เจษฎ์บดินทร์เองก็ได้มาถึงที่โรงพยาบาลแล้วเช่นกัน

 

‘เราตรวจพบอาการผิดปกติที่ลิ้นหัวใจของเด็กครับ’

‘ลิ้นหัวใจ...’ วิยะดาหน้าซีดเผือดทันทีที่ได้ยินผลวินิจฉัยของแพทย์

คุณหมอหมายความว่า...ยายหนูเป็นโรคหัวใจอย่างนั้นหรือ!?

ความเข้าใจนั้นเหมือนทำให้โลกทั้งใบของเธอถล่มลงมาตรงหน้า ภาพเด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกพันธนาการด้วยเครื่องช่วยหายใจ และเครื่องมือแพทย์มากมายเกินขนาดตัวในตู้อบนั้น ยิ่งตอกย้ำความหวาดกลัวในหัวใจให้ยิ่งทวีคูณ

‘มีวิธีรักษาไหมครับ’ เจษฎ์บดินทร์ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

‘มีครับ วิธีการรักษาคือการผ่าตัดและทำบอลลูน แต่ตอนนี้เด็กยังเล็กเกินไป ถึงลิ้นหัวใจช่องที่มีปัญหาจะเป็นช่องที่ง่ายต่อการรักษาที่สุด แต่การผ่าตัดอาจจะมีความเสี่ยง คงต้องรอให้โตกว่านี้และมีน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ถึงจะทำการรักษาได้’

‘เหมาะสม? อีกนานแค่ไหนคะ’

‘น่าจะสัก ๑ หรือ ๒ ขวบ ต้องรอดูพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กควบคู่กันครับ”

‘แล้ว...ระหว่างนี้...แกจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ แกจะแข็งแรงและเติบโตเหมือนเด็กปกติทั่วไปใช่ไหมคะ...’

ยายหนูยังเล็กเหลือเกิน ตอนนี้แม้แต่จะหายใจเองยังไม่สามารถทำได้เอง แล้วร่างเล็กนั้นยังต้องมาแบกรับโรคที่แสนน่ากลัวนี้อีกหรือ?

นายแพทย์เจ้าของไข้ยังคงรักษาสีหน้าภูมิฐานและใจเย็นได้อย่างเป็นปกติ

‘หากผ่านพ้นช่วงสองเดือนนี้ เด็กจะมีพัฒนาการและเติบโตเหมือนเด็กในวัยเดียวกัน แต่เรื่องอาการอื่นๆ คงต้องรอดูเป็นระยะครับ เพราะแต่ละคนก็แสดงอาการไม่เหมือนกัน ซึ่งผมคงต้องแจ้งให้ทราบไว้ก่อนว่าเด็กที่เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจส่วนใหญ่ มักไม่ค่อยมีแรง และมีอาการหน้าเขียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเด็กแต่ละคนด้วยครับว่าจะแสดงอาการออกมามากน้อยแค่ไหน’

 

ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มที่ถูกยื่นมาตรงหน้าทำให้วิยะดาตื่นจากภวังค์ความคิด เธอหันไปมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เดินมาใกล้อย่างไม่รู้ตัวด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย

สายตาที่มองมายังคงราบเรียบยากจะหยั่งความรู้สึกอย่างเคย วิยะดาไม่รู้ตัวว่าเธอเผลอดำดิ่งไปสู่ห้วงลึกนั้นอยู่นานเท่าไหร่ และด้วยความรู้สึกเช่นไร แต่มารู้ตัวอีกทีร่างบอบบางในชุดเดรสสีดำก็ถูกรวบเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่อยู่ตรงหน้า

“ป...ปล่อย...” แม้จิตใจของเธอจะต่อต้านเพียงใด แต่เสียงที่เอ่ยออกมากลับแหบพร่าจนเกือบเป็นกระซิบ...

วิยะดาเกลียดตัวเองที่ไร้เรี่ยวแรงในการผลักไสเขาอย่างที่ควรจะทำ เกลียดตัวเองที่นิ่งอยู่อย่างนั้น พร้อมกับน้ำตา และเสียงสะอื้นไห้ที่หลุดออกมา...

เจษฎ์บดินทร์โอบกระชับร่างนุ่มในอ้อมแขนเอาไว้แน่นจนรู้สึกถึงอาการสั่นไหว ก่อนที่เสียงสะอื้นไห้ และหยาดน้ำตาอุ่นชื้น จะค่อยๆ ซึมเข้าสู่อกเสื้อของเขาจนเปียกชุ่ม

ภายนอกเขาอาจจะยังคงรักษาสีหน้าและอาการสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับกำลังบีบรัดอย่างรุนแรง...

ไม่ว่ายังไง...สิ่งที่เขาไม่อาจรับมือหรือทนเห็นได้ ก็คือน้ำตาของวิยะดา

“ทำไม...ทำไมต้องเป็นแบบนี้...”

“แกจะไม่เป็นอะไร”

 

“อะไร! แค่นี่ก็จะร้องไห้แล้วเหรอ เฮอะ! ยายเด็กขี้แย แน่จริงก็ขึ้นไปเก็บมาเองสิ ไม่กล้าใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆ สมน้ำหน้า! ใครบอกให้เกิดมาตัวเตี้ยเอง!”

            เสียงล้อเลียนของเด็กชายวัย ๑๐ ขวบที่มีฐานะเป็นญาติคนหนึ่ง ทำให้วิยะดาในวัย ๗ ขวบยกมือขึ้นปิดหน้า และร้องไห้ออกมาอย่างจนหนทาง

เธอนั่งจุมปุ๊กอยู่บนพื้นดินแข็ง เต็มไปด้วยกรวดหินเย็นเฉียบในหน้าหนาวของจังหวัดเชียงใหม่ ที่อากาศแทบจะกลายเป็นเลขตัวเดียว ขณะที่อีกฝ่ายยื่นจังก้าอยู่ตรงหน้า

รู้ดีว่าแม้เสียงของตนจะดังไปทั่วทั้งบริเวณสวนส้มกว้าง แต่ก็คงไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์หรือเข้ามาช่วยเหลือ เนื่องจากวันนี้เป็นวันฉลองครบ ๖ รอบของพ่อเลี้ยงชาติชายเพื่อนสนิทของคุณตาผู้เป็นเจ้าของไร่ คนงานที่เคยพลุกพล่านจึงไปรวมกันอยู่ ณ บ้านใหญ่

ซึ่งการที่เธอต้องลงไปนั่งอยู่ตรงนั้น ก็เพราะถูกอีกฝ่ายซึ่งตัวโตกว่าผลักลงไปกระแทกกับพื้นจนเจ็บระบม อีกทั้งตุ๊กตาแสนรักก็ยังถูกแย่ง และโยนขึ้นไปติดคาอยู่บนต้นส้มที่สูงกว่าวิยะดาถึง ๓ ช่วงตัว

            หากเป็นปกติ วาริศาพี่สาวคนรองที่มักจะอยู่ข้างกายเสมอ คงกางปีกปกป้องไม่ให้ใครมารังแกเธอได้ แต่ในยามนี้อีกฝ่ายไม่อยู่ เพราะไปช่วยพวกผู้ใหญ่เตรียมสำรับที่โรงครัวอีกฝั่งหนึ่ง เดิมวิยะดาต้องอยู่รอพี่สาวที่เรือนใหญ่กับมารดา แต่เพราะติดพี่สาวมากจึงจะตามไปหา แต่มาเจอกับรณพีร์ เด็กชายที่มักจะแกล้งเธอทุกครั้งที่เห็นหน้ากัน โดยเฉพาะในยามลับตาผู้ใหญ่เข้าเสียก่อน

            “เอ้า! อยากร้องก็ร้องเลย ร้องไห้ออกมา ร้องออกมาเยอะๆ เลยนะยายเด็กขี้แยฮ่าๆ ร้องไห้แล้วก็ขี่ม้าสามศอกไปฟ้อง...”

            “เลิกทำตัวเกเรได้แล้วรณพีร์”

            เสียงปรามของผู้มาใหม่ทำให้รณพีร์กลืนถ้อยคำลงคอ และหันไปมอง

            “พี่เจษฎ์”

ความตกใจ และกลัวความผิดฉายในดวงตาของเด็กชายวูบหนึ่ง ก่อนที่รณพีร์จะปัดความรู้สึกนั้นออกไป กำมือเข้าหากันแน่น และจ้องมองเจษฎ์บดินทร์

“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ยายเด็กนี่ทำตัวอ่อนแอเอง”

ด้วยความเป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัว ทำให้รณพีร์ถูกตามใจจนเคยตัว และมีนิสัยดื้อรั้นไม่ยอมใคร

            “แต่พี่ว่านายอ่อนแอกว่า ที่รังแกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีทางสู้นายได้เลย ถามจริงๆ เถอะ การได้ทำ และได้เห็นเธอร้องไห้คือความสุขแล้วก็ความสนุกของนายจริงๆ เหรอ...ขอโทษเธอซะ”

ใบหน้านิ่งเฉยแลดูเป็นผู้ใหญ่ข่มให้คนตัวเล็กกว่ากริ่งเกรง ยิ่งเขามองนิ่ง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก็ยิ่งดู...น่ากลัวอย่างประหลาด

            “...” รณพีร์พูดไม่ออก เด็กชายหันหน้าไปมอง ‘ยายเด็กนั่น’ ด้วยสายตาที่แม้จะดูถือดีแต่ก็มีแววของความรู้สึกผิดปรากฏอยู่จางๆ

            เจษฎ์บดินทร์ละสายตาญาติผู้น้อง และเดินไปหาสาวน้อยที่ยังคงนั่งจุมปุ๊กร้องไห้อยู่

ร่างสูงยอบตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าคนตัวเล็กในชุดกระโปรงสีชมพูแสนน่ารัก

            เมื่อมาดูใกล้ๆ จึงได้รู้ว่าเธอคือ ‘หนูยิ้ม’ ที่คุณอาวิกานดาเพิ่งแนะนำให้เขารู้จัก เด็กหญิงที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่หลังพี่สาวของเธอ ด้วยอาการที่แยกไม่ออกระหว่างหวาดกลัวหรือเขินอายเมื่อยามอยู่ต่อหน้าเขา

            “ลุกขึ้นก่อนนะคะ พื้นตรงนี้เย็นเดี๋ยวจะไม่สบาย” ถึงจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทอดอ่อนลงกว่าปกติ และใช้หางเสียงอ่อนหวาน แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความราบเรียบเฉยชาตามแบบฉบับของเจ้าตัว ที่กลายเป็นนิสัยซึ่งแก้ไม่หายไปเสียแล้ว

            เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายตัวโตที่นั่งลงตรงหน้าเธอ ผู้ที่เข้ามาช่วยเธอให้หลุดพ้นจากการถูกกลั่นแกล้ง และหยุดการกระทำของรณพีร์

ไออุ่นที่แผ่กระจายออกมาจากร่างสูง พร้อมกับกลิ่นกายสดชื่นทำให้น้ำตาที่คลอหน่วยจากการร้องไห้เมื่อครู่ร่วงรินลงมาอีกครั้ง

ดวงตากลมโตหวานซึ้งที่ประดับด้วยแพรขนตางอนหนานั้น ทำให้เจษฎ์บดินทร์อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้กับเธอ ลงความเห็นในใจว่า ดวงตาของแม่หนูคนนี้คือดวงตาที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ยิ่งเมื่อมันมาอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำยาวสลวย ก็ยิ่งทำให้เธอน่าทะนุถนอมราวกับตุ๊กตากระเบื้องเนื้อดี

รณพีร์ผู้มองอยู่เม้มปากแน่นอย่างขัดใจ

“ยายเด็กปัญญาอ่อน ขี้แย จ้างให้ผมก็ไม่มีวันขอโทษหรอก เชิญพี่โอ๋ไปคนเดียวเถอะ!” ว่าแล้วร่างเก้งก้างของเด็กชายก็วิ่งหนีไป

เจษฎ์บดินทร์มองตามแล้วส่ายหน้า ถ้าเขาไม่รู้มาก่อน คงไม่เชื่อว่าเด็กคนนั้นจะเป็นน้องชายแท้ๆ ของชัชวีร์ที่ดูโตเกินกว่าวัย และค่อนข้างสุขุมคนนั้น

คิดดังนั้นแล้วก็หันกลับมามองสาวน้อยที่ยังไม่ยอมลุกจากที่เขาจึงช่วยพยุงเธอขึ้น ร่างนั้นมีน้ำหนักเบากว่าที่เขาคิด

“โอ๊ย...” วิยะดาร้องออกมาเบาๆ นั่นทำให้เจษฎ์บดินทร์ต้องประคองตัวเธอเอาไว้อย่างระวังมากขึ้น

เขาพบว่าวิยะดาไม่สามารถทรงตัวยืนได้ ดูเหมือนเท้าข้างหนึ่งของเธอจะได้รับบาดเจ็บ

“เกาะไหล่พี่ไว้นะคะ”

วิยะดาที่หยุดร้องไห้แล้ว และถอนสะอื้นเบาๆ ทำตามอย่างว่าง่าย ขณะลอบมอง ‘พี่ชาย’ ตรงหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ ปนประหม่า

“เจ็บตรงนี้รึเปล่าคะ” เจษฎ์บดินทร์ค่อยๆ คลำหาตำแหน่งบาดเจ็บให้กับเธอ แต่วิยะดาส่ายหน้า เขาจึงขยับมือลงไปอีกนิด

“อึ๊ก!...เจ็บค่ะ”

“สงสัยจะเท้าแพลง งั้นขี่หลังพี่กลับเรือนใหญ่ก็แล้วกันนะคะ”

เจษฎ์บดินทร์มองดวงหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นของสาวน้อยด้วยรอยยิ้มอย่างที่น้อยนักจะเผยออกมา เขาไม่รอรับคำตอบจากคนตัวเล็ก แต่ขยับหันหลังให้เธอขึ้น

วิยะดาดูลังเล กล้าๆ กลัวๆ แต่สุดท้ายก็ยอมขึ้นหลังพี่ชายตัวโตแต่โดยดี ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตทีเดียวที่เธอได้ขี่หลังใครคนหนึ่ง

การพบเจอกับเจษฎ์บดินทร์ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง หลังจากที่เมื่อเช้าแม่พยายามแนะนำเธอให้รู้จักกับเขา วิยะดาจำว่าตนเองรู้สึกกลัวพี่ชายคนนี้จนไม่กล้าเข้าไปพูดคุยทักทาย เธอเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังพี่สาวที่โตกว่าตัวเองและมีอายุใกล้เคียงกับเจษฎ์บดินทร์ จึงพูดคุยกับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผิดกับเธอที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใกล้พี่ชายคนนี้ได้โดยปราศจากความกริ่งเกรง

            เหตุที่เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะเจษฎ์บดินทร์หน้าตาน่าเกลียดหน้ากลัว หรือเป็นเด็กเกเรชอบรังแกเธอเหมือนกับพี่ชายคนอื่นๆ แต่เขาเป็นคนที่สาวน้อยรู้สึกถึงเกราะป้องกันบางอย่างที่แผ่ออกมา จนคล้ายกับว่าเขาไม่ใช่คนที่เธอจะพูดคุยหรือสนิทสนมด้วยได้ เขาแทบไม่ยิ้ม แทบไม่พูดคุยกับใคร และไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นๆ แม้จะมีคนมากมายที่ให้ความสำคัญเขา และอยากจะทำความรู้จัก หรือสนิทสนมด้วย

            ฟุบ!

            เสียงประหลาดที่ดังอยู่ด้านบนทำให้วิยะดาเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าเป็นเจษฎ์บดินทร์ที่เอื้อมมือไปคว้าตุ๊กตาแสนรักของเธอบนต้นส้มลงมาด้วยมือเพียงข้างเดียว

เขาสะบัดมันไปมาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใบไม้ แมลง หรือเศษดินเศษหญ้าติดอยู่แล้วจึงค่อยส่งมาให้เธอที่อยู่ด้านหลังของตัวเอง

            “นี่ค่ะ”

            “ขอบคุณค่ะ” วิยะดาบอกเขา พร้อมกับรับตุ๊กตาแสนรับของตัวเองมากอดเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง

“ไม่ต้องกลัวนะคะ พี่จะไม่ยอมให้ใครมารังแกยิ้มได้ทั้งนั้น” น้ำเสียงของเจษฎ์บดินทร์ทอดอ่อนลงอีก เมื่อเห็นดวงตากลมโตที่ฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำ แม้ว่าเธอจะหยุดร้องไห้ไปแล้ว แต่ใบหน้าน่ารักก็ยังคงแดงระเรื่อ อีกทั้งยังถอนสะอื้นเบาๆ

            ความรู้สึกอบอุ่นประหลาดหลากล้นในหัวใจของเด็กหญิง สิ่งที่คิดเมื่อแรกพบเจษฎ์บดินทร์ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป แผ่นหลังแข็งแรงมั่นคงที่แบกรับเธอไว้ให้ความรู้สึกปลอดภัยจนราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดให้เธอต้องกลัวอีก ตราบใดที่มีเขาอยู่

            มันเป็นความรู้สึกมั่นคงคล้ายคลึงกับที่เธอมีเมื่ออยู่ในอ้อมกอดวาริศา แต่ก็มีความแตกต่างอย่างน่าประหลาด

            หากเด็กหญิงตัวน้อยในวันนั้น ยังคงไม่อาจแยกแยะได้ว่า ความแตกต่างที่ว่านั้น มันแตกต่างกันอย่างไร...

วิยะดารู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้ง พบว่าตนเองอยู่บนเตียงในห้องที่มีกลิ่นสะอาดของแอลกอฮอล์ค่อนข้างฉุน คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน กับความรู้สึกหน่วงๆ บริเวณศีรษะลามมาถึงกระบอกตาที่แสบร้อน

มีไข้? นั่นคือสำนึกแรกของเธอ...

ครั้นจะยกมือข้างถนัดขึ้นมากุมขมับก็พบว่ามันถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยมือของใครคนหนึ่ง...ที่นั่งอยู่ข้างเตียง

เขาจับจ้องวิยะดานิ่งราวกับรูปปั้น ไม่เอ่ยทักแม้จะเห็นเธอว่าเธอลืมตาตื่น หรือคิดจะปล่อยมือ แม้ว่าเธอจะพยายามบิดมือของตัวเองออก

เจษฎ์บดินทร์...

ดวงตาหวานซึ้งเจือประกายเศร้ามองสบตากับสายตานิ่งลึกยากจะอ่านอารมณ์ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับถูกทับด้วยของหนักจนไม่อาจจะขยับเขยื้อนหรือทำสิ่งใดได้

“รู้สึกยังไงบ้าง”

หญิงสาวไม่ตอบ แต่หลับตาลงกล้ำกลืนก้อนแข็งที่จุดแน่น

การพบเขาเป็นคนแรกหลังจากที่ฟื้นคืนสติ สร้างความรู้สึกฝาดขมในลำคอให้กับวิยะดา ยิ่งเมื่อเห็นว่าเขาจับมือเธอเอาไว้ ก็ยิ่ง...

“หิวรึเปล่า”

“...”

“กินน้ำก่อนนะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าทอดอ่อนลงกว่าปกติ ก่อนจะปล่อยมือที่จับกุมอยู่ เพื่อหันไปรินน้ำใส่แก้ว และกลับมาพร้อมกับหลอดที่เสียบเอาไว้พร้อมดื่ม

วิยะดาไม่ตอบรับ แต่ยันตัวขึ้นจากเตียงผู้ป่วย เพิ่งสังเกตเห็นว่าตนอยู่ในชุดคนไข้ของทางโรงพยาบาล อีกทั้งแขนข้างหนึ่งก็ยังมีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ ก่อนจะยกมือขึ้นแตะที่ขมับ เพราะรู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหันจากการลุกขึ้นจากเตียงเร็วเกินไป

“ปวดหัวใช่ไหม” เจษฎ์บดินทร์ถามด้วยน้ำเสียงฟังดูร้อนรนเล็กน้อย ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกดสัญญาณเรียกแพทย์และพยาบาลให้เข้ามา

“นี่กี่โมงแล้วคะ ฉันหลับไปนานขนาดไหน” ถามพลันขมวดคิ้ว เมื่อพบว่าเสียงของตนค่อนข้างแหบ และเจ็บคอเล็กน้อย

“ดื่มน้ำก่อน”

วิยะดาที่ไม่ได้รับคำตอบจากคนตัวสูงที่ยื่นแก้วและหลอดมาให้เม้มปากเล็กน้อย

“ฉันดื่มเองค่ะ” เธอรับแก้วมาจากเขา แต่เหมือนว่าเจษฎ์บดินทร์จะไม่ยอมให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ มือของเขายังคงตามมาช่วยประคองแก้วน้ำอยู่

และวิยะดาก็ได้เข้าใจในวินาทีต่อมา ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น นั่นเพราะแขนของเธอแทบไม่มีแรง

“ตอนนี้ ๙ โมงแล้ว”

ใบหน้าซีดเซียวของคนที่ดื่มน้ำจนชุ่มคอหันมามองเขาด้วยสายตาตื่นตกใจ

“๙ โมง...”

เวลาที่เธอจำได้ล่าสุดก่อนจะหมดสติ เป็นเวลา ๑๑ โมง...หรือว่า...

“หลับไป ๒๐ กว่าชั่วโมง หมอให้น้ำเกลือ ยาลดไข้ และยาคลายเครียด”

ในตอนนั้นเองแพทย์เจ้าของไข้ และพยาบาลจำนวนสองคนก็เปิดประตูเข้ามา แน่นอนว่าเจษฎ์บดินทร์ต้องถูกเชิญให้ออกไปก่อน

“จินล่ะคะ” ถ้าเธอแอ็ดมิทอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน จินตนาการน่าจะทราบเรื่อง

“เมื่อคืนนี้พี่ไม่ได้บอกจินว่ายิ้มอยู่ที่นี่”

“หมายความว่ายังไง”

“พี่บอกจินว่ายิ้มไปค้างที่บ้านสุรสินทร์”

“...” วิยะดามองใบหน้าคมคายของคนตอบด้วยสายตาเป็นคำถามกึ่งไม่พอใจ แต่เจษฎ์บดินทร์กลับไม่อยู่รอให้คำตอบหรือคำอธิบายที่มากกว่านั้น เขาเดินตรงไปยังประตู

ตอนนั้นเองที่วิยะดาเพิ่งสังเกตเห็น ว่าเจษฎ์บดินทร์ยังคงอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อวานนี้ เพียงแต่เขาถอดสูทตัวนอกออกเท่านั้น...เขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานอย่างนั้นหรือ?

หลังจากเผลอมองพินิจเนิ่นนาน เธอก็เก็บสายตากลับมา และเบือนหน้าไปมองยังหน้าต่างกรุกระจกที่ม่านกรองแสงถูกแง้มเอาไว้ เมื่อเห็นว่าก่อนที่ประตูห้องพักจะปิดลง คนที่เดินออกไป...ได้มองมายังเธอด้วยสายตาชนิดใด

หลังจากนั้น...หญิงสาวก็ได้ทราบรายละเอียดจากแพทย์ ว่าเมื่อวานเธอหมดสติไปจากความอ่อนเพลีย และเครียดสะสม จนเป็นไข้ แพทย์ได้ทำการเจาะเลือดตรวจ ก่อนจะให้น้ำเกลือ ยาลดไข้ และยาคลายเครียดเพื่อให้เธอพักผ่อน

            หลังจากตรวจอาการโดยรวมแล้วนายแพทย์ก็ไม่ลืมเน้นย้ำให้วิยะดาพักผ่อนให้เพียงพอ และกินอาหารให้ตรงเวลา โดยขอให้เธออยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลอีก ๑ คืน ก่อนจะยกหน้าที่ให้พยาบาลเข้ามาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเธอ



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น