๖
ข้อเสนอ
“ยิ้ม”
วิยะดาที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตื่นจากภวังค์ และหันไปมองเพื่อนรักที่เปิดประตูเข้ามาในห้องพักฟื้น ความรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่ยึดเหนี่ยวอันโอบล้อมร่างกายและจิตใจของเธออยู่ค่อยๆ มลายหายไป หลังจากได้เห็นสายตาห่วงหาอาทรจากผู้มาใหม่ทั้งสองคน
อินทุอร...จินตนาการ...
“เป็นยังไงบ้าง แล้วนี่หมอว่ายังไง แค่เป็นไข้หวัดอย่างเดียวใช่ไหม ไข้ลดรึยัง ไหนดูสิ” อินทุอรยิงคำถามมากมาย พอวางกระเป๋าตรงโต๊ะข้างเตียงได้ก็ลูบหลังลูบไหล่ตรวจวัดไข้เพื่อนรักด้วยสีหน้าห่วงใย
“ตัวโอเคใช่ไหมยิ้ม...” จินตนาการถามเสียงแผ่วมองสำรวจใบหน้าซีดเซียวของเพื่อนรัก ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาหมาดๆ และแน่นอนว่าคำถามของเธอไม่ได้หมายถึงสภาพร่างกาย แต่เป็นสภาพจิตใจ
วิยะดามองทั้งสองนิ่ง ภาพใบหน้างดงามที่ปรากฏค่อยๆ พร่าเลือนด้วยหยาดน้ำที่เอ่อขึ้นมา...อีกครั้ง
ก่อนหน้าที่ทั้งสองจะเข้ามา วิยะดาไม่รู้เลยว่าตนเองนั่งนิ่งทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมายนานเท่าไหร่ และด้วยความรู้สึกเช่นไร น้ำตาของเธอหยุดไหลไปนานแล้ว เหมือนกับไม่หลงเหลืออีกต่อไป
ทว่า...การได้เห็นเพื่อนรักที่เป็นเหมือนพี่น้องมาอยู่ตรงหน้า กลับทำให้สิ่งที่คิดว่าหมดสิ้นไปแล้วนั้น พลันไหลรินลงมาอีกครั้ง
“ยิ้ม...”
เมื่อปราการแห่งความเข้มแข็งทุกอย่างของวิยะดาพังทลายลงไม่มีชิ้นดี เสียงร้องนั้น...ก็ถูกเปล่งออกมาปริ่มจะขาดใจ
อินทุอรและจินตนาการมองภาพเพื่อนรัก น้ำตาไหลรินลงมาด้วยความเข้าใจ และความเจ็บปวดที่อยากร่วมแบ่งปัน...
ไม่ต้องเอ่ยคำใด ทั้งสองตรงเข้าไปโอบกอดวิยะดาเอาไว้แน่น...และร้องไห้ไปด้วยกัน
“ร้องออกมา...อยากร้องก็ร้องออกมา...”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตัวก็ยังมีเราสองคนอยู่ตรงนี้นะยิ้ม ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น...”
“ยิ้มเป็นยังไงบ้างจ๊ะ” หม่อมราชวงศ์ปราบดาเอ่ยถาม หลังจากที่ภรรยาสาวเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในตึกใหญ่ของวังพยุหะมนตรี ที่แต่ก่อนมักถูกเรียกว่าตำหนักใหญ่ เพราะเป็นวังที่ประทับของเจ้านายชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป
แต่ต่อมาเมื่อสิ้นบิดาของเขาหม่อมเจ้าชัชวาลจึงได้เปลี่ยนคำเรียกขาน ‘บ้าน’ เสียใหม่ว่า ‘ตึกใหญ่’ แทน
แม้วันนี้จะเป็นวันหยุด แต่หม่อมราชวงศ์หนุ่มยังคงทำงานตามปกติเพียงแค่สลับสถานที่จากออฟฟิศมาเป็นห้องทำงานส่วนตัวภายในวัง ดังนั้นในตอนที่เอ่ยถามผู้มาใหม่นั้น เขาจึงยังคงรัวนิ้วเรียวยาวลงบนแป้นพิมพ์เพื่อตอบอีเมล์สำคัญกับลูกค้าต่างชาติ และดวงตาคมกริบภายใต้แว่นกรอบเงินก็จับจ้องอยู่ทีหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้หันไปมองเธอ
อินทุอรเดินลงส้นมากกว่ายามปกติเพราะแรงอารมณ์อันคุกรุ่นอยู่ในอกเข้ามาด้านใน และวางกระเป๋าหิ้วแสนเก๋ลงบนพื้นที่ว่างบนโต๊ะทำงานของหม่อมราชวงศ์ผู้เป็นสามี
“อาปราบจะเลือกใครระหว่างพี่เจษฎ์กับอิน”
แม้ว่าหม่อมราชวงศ์ปราบดา และเจษฎ์บดินทร์จะเป็นเพื่อนสนิทที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่อินทุอรมักจะเรียกสามีอย่างติดปากว่า ‘อา’ ตามฐานะก่อนแต่งงาน แม้ว่าผู้ใหญ่หรือคนรอบข้างจะคอยเตือนให้เธอเปลี่ยนสรรพนามเรียกเขาเสียใหม่ว่า ‘พี่ชาย’ ตามวัย และฐานะในปัจจุบัน
ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีความคิดที่จะปรับ แต่พอลองปรับ ก็กลับเป็นเขาที่หน้ามืดจนต้องสั่งให้เธอเรียกตามเดิม เพราะทนท่าทางกระบิดกระบวน เหนียมอายแปลกๆ หรือกลั้นขำจนไหล่สั่นของภรรยาไม่ได้!
นี่อาจจะครั้งแรกในชีวิต ที่ปราบดารู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจของตัวเอง ที่สั่งให้เธอเรียกเขาว่าอา เพราะหวังจะใช้เป็นเส้นแบ่งความสัมพันธ์ของทั้งเขาและเธอ ในช่วงแรกๆ ของการแต่งงาน ‘ตามหน้าที่’ ในตอนนั้น
โชคดีที่คำถามของอินทุอรถูกส่งมา พร้อมๆ กับที่ปราบดาเขียนอีเมล์ฉบับนั้นเสร็จ และกดส่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น” หม่อมราชวงศ์หนุ่มผู้มีกิริยาสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอหันมามองภรรยาสาวที่อายุห่างกับตนถึง ๑๐ ปี ด้วยสีหน้าฉายความกังขา
ยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ ครั้นเห็นว่าใบหน้างดงามของคนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานงอง้ำเป็นจวัก ฟังๆ แล้วน้ำเสียงที่ใช้ถามเมื่อครู่ ก็คล้ายเด็กที่กำลังจะนำเรื่องมาฟ้อง...
ปีนี้ภรรยาของเขาอายุ ๒๔ ปีแล้ว ส่วนเขาและเธอแต่งงานใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมากว่า ๕ ปี
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านมาเร็วขนาดนี้ และสาวน้อยแสนวุ่นผู้เป็นเหมือน ‘ภาระ’ ที่เขาเพียงตระหนักรู้ว่าต้องแบกรับเอาไว้เมื่อ ๕ ปีก่อน ได้กลายมาเป็นเธอผู้ที่สวยน่ารัก แม้ว่าวัยจะทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของอินทุอร กลับยังคงสดใส เป็นแรงพลังให้กับเขาอยู่เสมอ
ซึ่งที่น่าแปลกก็คือ แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า ๕ ปี แต่สายตาและความรู้สึกที่เขามีให้กับเธอ กลับไม่เคยลดลงไปเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ วัน และชื่นใจทุกครั้งที่ได้เห็นความพยายามในการเติบโตของเธอ
ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาในการพยายามนั้น เธอมักจะบ่นเสมอว่าตัวเองยังไม่ดีพอ แต่สำหรับปราบดาแล้ว อินทุอรสมบูรณ์พร้อมยิ่ง กับคำว่า ‘ภรรยา’ และ ‘คู่ชีวิต’ ของเขา
“...อาปราบฟังอินอยู่รึเปล่าคะ”
ปราบดายิ้มกว้างขึ้นอีก เมื่อเห็นว่าเจ้าของร่างอ้อนแอ้นในชุดเดรสสั้นเหนือเข่ามาหยุดอยู่ตรงหน้าตนซึ่งยังนั่งอยู่
“ว่าไงนะจ๊ะ” หม่อมราชวงศ์หนุ่มตอบรับ พร้อมกับใช้มือหนึ่งโอบภรรยาสาวให้เข้ามาใกล้จนกลายเป็นนั่งลงบนตัก
นั่นทำให้อินทุอรทำปากยื่นอย่างแง่งอนเล็กน้อย ด้วยคิดว่าที่เขาถามทวนซ้ำเพราะลังเลที่จะเลือกข้าง
“อาปราบจะเลือกใครระหว่างอินกับพี่เจษฎ์”
“ทำไมต้องเลือก”
อินทุอรสูดหายใจเข้าและปล่อยออกมาด้วยแรงอารมณ์ ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างประคองกึ่งกระชับใบหน้าคมคายของสามีหนุ่มเอาไว้ แล้วยืดตัวขึ้นไปจูบปากหยักหนาของเขาอย่างเอาแต่ใจ ซึ่งหม่อมราชวงศ์ปราบดาก็ยอมโน้มใบหน้าลงมาเล็กน้อยเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเธอ...ด้วยท่าทีคุ้นเคยกับการแสดงความรักเช่นนี้
หากดูเหมือนอินทุอรจะเสียเปรียบเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เป็นคนเริ่ม เพราะหลังจากบดริมฝีปากของตนเข้ากับเรียวปากหยักหนา ก็ถูกเขาควบคุมด้วยการสอดลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัด จนสุดท้ายอินทุอรก็เป็นฝ่ายถูกควบคุมและชักนำเข้าสู่อารมณ์หวานรัญจวน แทนที่จะเป็นคนคุมเกมอย่างที่ตั้งใจ
เรียวลิ้นร้อนระอุของเขาโรมรันเข้ามาอย่างอาจหาญทำให้อินทุอรถึงกับเสียการควบคุมเผลอไผลไปจนแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่ตนเข้ามาพบเขาด้วยสาเหตุใด และกำลังรู้สึกเช่นไรอยู่!
เป็นแบบนี้ตลอดเลย! ทั้งๆ ที่เธอเริ่มก่อนแท้ๆ!
หญิงสาวรวบรวมสติดึงใบหน้าออก และเริ่มถามเขาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่น หรือหอบหายใจถี่รัว แม้ว่าใบหน้าจะแดงระเรื่อด้วยความสะเทิ้นอาย
“เลือกอินหรือพี่เจษฎ์”
มาถึงขั้นนี้แล้ว แม้ไม่รู้ที่มาที่ไปของคำถาม แต่แน่นอนว่าคำตอบของหม่อมราชวงศ์หนุ่มย่อมเป็น...
“ต้องเลือกอินอยู่แล้วสิจ๊ะ”
หม่อมราชวงศ์ปราบดาตอบรับออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทอดอ่อนลงกว่าปกติ อย่างที่หากเป็นคนอื่นมาได้ยินคงไม่คิดว่าจะเป็นเขาที่พูดเช่นนี้ได้...แน่นอนมันเป็นน้ำเสียงที่เขามีให้กับอินทุอรเท่านั้น
คนถูกเลือกยิ้มน่ารัก และยืดตัวขึ้นไปจูบตบรางวัลให้กับสามีอีกครั้งอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้เล่ารายละเอียดในเรื่องที่ให้เขาเลือก จึงเริ่มเล่ากึ่งๆ ฟ้องสามีอย่างใส่อารมณ์ ขณะที่หม่อมราชวงศ์ปราบดาก็คอยตอบรับในลำคอ และถามซักเพิ่มเติมในบางครั้ง เพื่อให้เธอเล่าทุกอย่างจนครบถ้วน
แม้ระหว่างนั้นอินทุอรจะต้องคอยจับมือที่ป้วนเปี้ยนทำลายสมาธิ เบี่ยงตัวหนีเวลาที่ถูกหากำไรด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน จนแอบสงสัยว่าจริงๆ แล้วหม่อมราชวงศ์ผู้เป็นสามีตั้งใจฟังสิ่งที่เธอกำลังเล่าหรือไม่ และเมื่อไหร่กันที่เขา...กลายเป็นคนแบบนี้!
“อินไม่เข้าใจเลยค่ะ ว่าทำไมพี่เจษฎ์ถึงทำแบบนี้ แล้วยังมีหน้ามาขู่ยิ้มอีก อาปราบคะ...อาปราบต้องช่วยยิ้มนะคะ อินรู้ว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างใหญ่ อาปราบเองก็มีงานยุ่ง แต่...ยิ้มเป็นเหมือนพี่น้องของอิน อินไม่อยากให้ยิ้มต้องมาเจ็บปวดกับเรื่องพวกนี้อีก ยิ้มเจอเรื่องร้ายๆ ในชีวิตมามากเกินพอแล้ว อีกอย่าง...ถึงอินจะไม่มีหลักฐาน แต่ก็รู้ว่าที่พี่แยมเกือบแท้งยายหนูจนต้องจากไปแบบนี้ ก็เพราะคนพวกนั้น ตอนนี้พี่เจษฎ์รับยายหนูเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ก็เท่ากับกำลังจะเอายายหนูไปอยู่ในกรงเสือ แล้วถ้ายิ้มไม่มีทางเลือกจริงๆ จนต้องยอมแต่งงานกับพี่เจษฎ์อีก ไม่ยิ่งอันตรายหรือคะ คนบ้านนี้น่ากลัวจะตาย พี่เจษฎ์เองก็ไว้ใจไม่ได้”
“...”
“แถมคนแรกที่จะทำร้ายยิ้มอย่างใจร้ายที่สุดก็เป็นเขานั่นแหละ!”
“แต่ว่าการที่เจษฎ์บดินทร์ตัดสินใจทำแบบนี้คงมีเหตุผล และมันก็อาจจะมีเรื่องที่เรายังไม่รู้ซ่อนอยู่ วาริศาเองก็คงคิดดีแล้วถึงได้วางใจให้เจษฎ์รับยายหนูเป็นลูกบุญธรรม อย่าลืมสิว่าตอนนี้ยิ้มอายุไม่ถึง ๒๕ ปี ยังรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมไม่ได้ และการปล่อยให้แกไม่มีพ่อแม่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อาจจะไม่เป็นผลดีต่อเด็ก เราจะเอาเรื่องที่เราเห็นในฐานะคนนอก และอาจจะเป็นความจริงแค่ด้านเดียวมาตัดสินไม่ได้”
อินทุอรมองสามีงอนๆ แม้จะเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามอธิบาย
“ไม่รู้ล่ะค่ะ ถึงจะมีเหตุผล แต่สุดท้ายก็ทำร้ายยิ้มอยู่ดี พี่แยมไม่บอกอะไรยิ้มเลย ทั้งๆ ที่ก็น่าจะรู้ว่ายิ้มต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้าง การยกยายหนูให้พี่เจษฎ์ก็เท่ากับผูกมัดยิ้มให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเขาไม่จบสิ้นอยู่แบบนี้”
อินทุอรถอนหายใจ เมื่อคิดถึงเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของวิยะดา
“...สำหรับยิ้มแล้ว พี่แยมไม่ใช่แค่พี่สาวนะคะ แต่คือแม่คนที่สอง คือคนที่เลี้ยงดู และปกป้องยิ้มมาตั้งแต่จำความได้ ยิ้มไม่มีทางผิดคำสัญญาที่ให้กับพี่แยม หรือปล่อยมือยายหนูแน่ๆ ดังนั้นอินถึงอยากช่วยเพื่อน แย่งยายหนูมา เพราะอินเองก็ยอมไม่ได้ที่จะให้ยิ้มไปยุ่งเกี่ยวกับพี่เจษฎ์อีก เขาเคยทำร้ายยิ้มมาแล้วครั้งหนึ่ง อินไม่อยากให้เพื่อนเจ็บซ้ำอีก”
ว่าแล้วก็เปลี่ยนท่าทีเป็นออดอ้อน “อาปราบ...อาปราบต้องช่วยยิ้มนะคะ”
ปราบดาฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้ม พร้อมกับลักหอมแก้มเนียนใสอีกครั้ง
“ได้สิ แต่...อินต้องเคารพการตัดสินใจของเพื่อนด้วยนะ”
คำตอบของเขาหมายความว่า ถ้าวิยะดาไม่ยอมรับข้อตกลง และลุกขึ้นสู้ตาต่อตาฟันต่อฟันกับทางเจษฎ์บดินทร์ และฝ่ายครอบครัวของเขา ปราบดาก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วย แต่ถ้า...วิยะดาตัดสินใจตรงกันข้าม ซึ่งในมุมมองของปราบดาคิดว่าคือทางเลือกที่ง่าย และถูกต้องกว่า (แม้จะไม่ได้พูดออกมาให้ภรรยาฟัง) อินทุอรก็ต้องยอมรับผลการตัดสินใจนั้น และอยู่ในฐานะคนที่คอยยืนอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจ หรือช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้อย่างที่ผ่านมา
อินทุอรเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มสมใจ
“อินมั่นใจค่ะ ว่ายิ้มจะไม่ตอบตกลงแน่! คนใจร้ายแบบนั้นจะปล่อยให้มาเป็นพ่อของยายหนู สามีของยิ้มได้ยังไง ไม่มีทาง!”
ปราบดาส่ายหน้าน้อยๆ กับความเชื่อมั่นของภรรยาสาว แต่ก็เข้าใจเธอ เพราะอินทุอรมองเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาในฐานะคนที่รักและปรารถนาดีต่อวิยะดา จึงไม่แปลกที่จะพลอยไม่ชอบใจและต่อต้านเจษฎ์บดินทร์ไปด้วย
“ไม่ได้ค่ะ อินว่าอินไปโทร. บอกยิ้มดีกว่า ยิ้มจะได้สบายใจว่ามีคนช่วยแน่ๆ” ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่ลืมอ้อนหม่อมราชวงศ์ผู้เป็นสามี เพื่อไม่ให้เขารู้สึกว่าถูกใช้ประโยชน์แล้วทิ้งขว้าง
“เดี๋ยวอินจะเข้ามาตามตอนตั้งโต๊ะอาหารเย็นนะคะ อินรักอาปราบค่ะ” เธอตบท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มน่ารัก และแก้มแดงระเรื่อ พร้อมกับยืดตัวขึ้นจูบมุมปากหยักที่ยกยิ้มด้วยความรัก จึงถูกเขารั้งท้ายทอยให้รับจุมพิตแสนตักตวงกำไรจนสติกระเจิดกระเจิงอีกครั้ง
“งั้นก็...แสดงว่าคืนนี้ต้องมีการตบรางวัลใหญ่ถูกไหม”
อินทุอรไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำขึ้นกว่าเดิม คว้ากระเป๋า และก้าวเร็วๆ ไปยังประตูห้อง
แต่ก่อนที่จะออกไปนั้น...ก็หันกลับมาแล้วพูดว่า
“เตรียมตัวได้เลย!”
หม่อมราชวงศ์หนุ่มเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา พร้อมกับที่ประตูห้องทำงานของเขาถูกปิดลง
เมื่อกลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง หม่อมราชวงศ์หนุ่มจึงค่อยๆ คลายรอยยิ้ม เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะขึ้นมา และกดโทร. ออกหาใครคนหนึ่ง
“ว่าไง ใช่ เพิ่งมาฟ้อง...ดูเหมือนว่าเพื่อนๆ เขาไม่ค่อยปลื้มนายเท่าไหร่นะ เตรียมตัวรับมือให้ดีล่ะ”
หม่อมราชวงศ์หนุ่มระบายยิ้ม เขาลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานไปหยุดยืนทอดสายตามองวิวลานน้ำพุที่ถูกตกแต่งด้วยสวนดอกไม้สไตล์อังกฤษบริเวณกลางตึก ที่แลเห็นร่างอ้อนแอ้นของภรรยาสาว กำลังคุยโทรศัพท์อยู่อย่างออกรสออกชาติ
“ทำไมนายไม่อธิบายเรื่องทุกอย่างให้เขาเข้าใจ บางทีเหตุการณ์มันอาจจะดี และง่ายกว่านี้ก็ได้ วิยะดาไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากไม่ใช่เหรอ”
คนเตือนด้วยความหวังดี ฟังปลายสายแล้วก็ได้แต่ยิ้มบางๆ รู้สึกเห็นใจเพื่อนอยู่ไม่น้อย เพราะเขาเองก็พอจะเข้าใจเรื่องราวที่อีกฝ่ายต้องเผชิญมาตลอด
“...มีอะไรให้ช่วยไหม?”
“มีคนบอกข่าววาริศากับเจ้าเชษฐ์รึยัง” ประมุขผู้เป็นเสาหลักของตระกูลพุฒิวิริยะกุลเอ่ยทำลายความเงียบลง ขณะนั่งรับประทานอาหารร่วมกันกับลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายคนที่ ๒ ซึ่งคนหลังถูกเรียกตัวให้กลับมาร่วมโต๊ะอาหารกับท่านในวันนี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะปกติแล้วเจษฎ์บดินทร์มักจะพักอยู่ที่คอนโดมิเนียมกลางใจเมืองมากกว่ากลับมาที่บ้านพุฒิวิริยะกุล
หากบรรยากาศกลับไม่ได้เต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวหรือมีเสียงพูดคุยถามทุกข์สุขอย่างที่นานๆ ครั้งจะเจอกันเป็นการส่วนตัวอย่างที่ควรจะเป็น เรียกว่านับตั้งแต่มาพร้อมหน้ากันบนโต๊ะที่ถูกจัดวางไว้ด้วยอาหารชั้นเลิศ ก็มีเพียงเสียงมีดกับส้อมกระทบก้นจานเนื้อดีเป็นครั้งคราวเท่านั้น
เพ็ญพักตร์ที่กำลังหั่นสเต็กในจานของตนหยุดมือ และเหลือบไปมองสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเขาเองก็กำลังมองมายังหล่อนเช่นกัน สายตาอิดหนาระอาใจฉายชัดเพียงวูบหนึ่ง ก่อนจะทอประกายละมุน เรียวปากสีแดงสดขยับยิ้มไม่มากไม่น้อย
“ข่าวทางนี้ออกจะคึกโครม เผลอๆ น่าจะรู้ตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะมั้งคะคุณพ่อ”
ตอนนี้เชษฐาอยู่ในระหว่างพา ‘นีรนาท’ ภรรยาสาวที่เพิ่งแต่งงานกันเพียง ๔ เดือนไปฮันนิมูนที่ต่างประเทศ...ไม่รู้คุณพ่ออยากให้บอกข่าวไม่เป็นมงคลทำลายบรรยากาศทำไม!
“สรุปคือไม่มีใครบอกสักคนใช่ไหม” ใบหน้าราบเรียบทว่าน่าเกรงขามปรากฏร่องรอยไม่พอใจ
บพิตรเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดีจึงรีบคลี่ริมฝีปากยิ้ม พร้อมกับเอ่ยขึ้นบ้าง
“ตอนนี้เจ้าเชษฐ์พาหนูนาทไปออกแคมป์ สัญญาณขาดๆ หายๆ ติดต่อกันลำบากครับคุณพ่อ ผมกับคุณพักตร์ก็พยายามติดต่ออยู่เหมือนกัน แต่ติดต่อไม่ได้เลย เดี๋ยวยังไงถ้า...”
“ข้ออ้าง!” บวรรวบมีดกับส้อมด้วยสีหน้าแสดงอารมณ์ น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นทำให้บพิตรที่พยายามแก้ต่างเมื่อครู่หุบยิ้มลง แม้สายตาจะแสดงความไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรมากกว่านั้น
“แล้วเด็กคนนั้น...เป็นยังไงบ้าง” คำถามนั้นจงใจส่งตรงมายังเจษฎ์บดินทร์ที่ยังคงหั่นสเต็กส่งเข้าปากราวกับไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งบนโต๊ะอาหาร....ซึ่งผู้ที่ได้ชื่อว่าพ่อและแม่เลี้ยงกำลังถูกตำหนิ
“อยู่ในการดูแลของหมออย่างใกล้ชิด ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ” เขาเอ่ยไร้น้ำเสียงเช่นเคย
หากคำพูดนั้นกลับทำให้คนบนโต๊ะมีปฏิกิริยาที่ซ่อนอยู่ในท่าทีเรียบเฉยแตกต่างกันออกไป
บพิตรไม่ใส่ใจ เพ็ญพักตร์เคืองรำคาญ ส่วนบวรแม้จะยังคงเต็มไปด้วยความน่าเคร่งขรึม แต่ก็ดูห่วงใยเด็กที่เอ่ยถามถึงไม่น้อย
อย่างไรเสีย เด็กคนนี้ก็เป็นเหลนคนแรก...
“อืม ดีแล้ว...”
ท่านรับคำในลำคอ อยากจะถามเรื่องอื่นอีก แต่ก็หนักอึ้งเกินกว่าจะเอ่ยออกมาได้
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนรู้อยู่แก่ใจ...พวกเขาทำผิดต่อบ้านนั้นและเด็กคนนั้นเหลือเกิน...
บวรถอนหายใจ ก่อนจะตวัดสายตามามองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นปู่กับย่าของ ‘เด็กคนนั้น’
“ในเมื่อไม่อยากยุ่งเกี่ยว ก็อย่าไปยุ่ง ปล่อยให้น้าเขาจัดการกันไป” แน่นอนว่านี่คือการเน้นย้ำ
สิ่งที่เกิดขึ้น ใช่ว่าไม่รู้ไม่เห็น แต่ไม่อยากพูด!
“ครับ”
“ค่ะ”
เมื่อได้รับคำตอบแล้ว ท่านบวรจึงหันมามองหลานชายที่ตนวางใจเสมือนแขนขาของตัวเอง
สำหรับบวรแล้วเจษฎ์บดินทร์ไม่ได้เป็นเพียงหลานชายที่ปรารถนาและภาคภูมิใจ แต่ยังเป็นเสมือนตัวตายตัวแทนที่สามารถมอบทุกสิ่งอย่างไว้ในมือได้ และนอนตายตาหลับ
จึงไม่เคยนึกโกรธหรือไม่พอใจเจษฎ์บดินทร์ที่ปีกกล้าขาแข็ง จนสามารถยื่นข้อเสนอ กึ่งข่มขู่ท่านเมื่อหลายเดือนก่อน
หลายๆ คนอาจจะมองว่าท่านทำให้ลูกและหลานชายทั้งสองต้องแก่งแย่งแข่งขันกัน แต่ความจริงแล้ว ผู้ที่ลงแข่งขันกับเจษฎ์บดินทร์ไม่ใช่บพิตรหรือเชษฐา แต่เป็นตัวท่านเองต่างหาก...
ในเมื่อเจษฎ์บดินทร์คือผู้ที่ท่านเลือกแต่แรกแล้ว จึงมีเพียงด่านเดียวที่เขาจะผ่านมันไปให้ได้ นั่นคือ...การเอาชนะท่าน!
ซึ่งเจษฎ์บดินทร์ก็ทำได้จริงๆ และสวยงามเหลือเกิน...การเล่นเกม เมื่อผู้ชนะได้แต้มสูงกว่าก็ย่อมต้องได้รับชัยเป็นเรื่องธรรมดา
หากสิ่งที่น่าเสียดายและเสียใจเหลือเกินสำหรับท่านก็คือ ต่อให้จะเลี้ยงดูฟูมฟักเจษฎ์บดินทร์มากับมืออย่างไร แต่สุดท้ายก็ไม่เคยรู้สึกว่าตนสามารถเข้าใกล้ หรือเข้าใจสิ่งที่หลานชายคนนี้คิดหรือรู้สึก
มันเป็นเช่นนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่ที่ ‘อาภาศิริ’ จากไป...
“ช่วยอะไรได้ก็ช่วยให้เต็มที่ ยังไงซะเด็กคนนั้นก็เป็นลูกหลานบ้านนี้เหมือนกัน”
“ครับ”
“อ้าวเฮีย วันนี้ไม่ไปหาคู่หมั้นเหรอ” รณพีร์ที่เพิ่งออกมาจากห้องออกกำลังกายถามกึ่งทักอย่างแปลกใจ ที่เห็นพี่ชายซึ่งยังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็คผูกเน็คไทเต็มยศนั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กดัดสีขาวข้างสระว่ายน้ำ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคงเพิ่งกลับจากออฟฟิศ
ชัชวีร์หันมามองน้องชายที่นั่งลงตรงเก้าอี้ว่างข้างๆ พร้อมกับเปิดขวดน้ำแร่ และยกขึ้นดื่มด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า
เหตุการณ์การพบกันภายในบ้านเช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักช่วงพักหลัง นั่นเพราะรณพีร์ย้ายไปทำงานที่อเมริกาเมื่อ ๔ ปีก่อน โดยให้เหตุผลว่า อยากหาประสบการณ์จากการเป็นลูกน้องคนเก่งๆ ก่อนจะกลับมาช่วยกิจการของที่บ้านตามความต้องการของพ่อและพี่ชาย
คราแรก ชัชวีร์คิดว่าไอ้เจ้าน้องชายตัวดีจะกลับมาให้เห็นหน้าค่าตาบ้างในช่วงวันหยุดยาว หรือช่วงพักร้อนอย่างที่พนักงานออฟฟิศอื่นๆ เขาทำกัน แต่กลับกลายเป็นว่ามันหายหัวไปเลย กลับบ้านมานับครั้งได้ เห็นจะมาบ่อยหน่อยก็คือช่วงนี้
“ไม่”
รณพีร์เหลือบมองใบหน้าเคร่งขรึมเหมือนมีเรื่องในใจให้วิตกกังวลของพี่ชาย เขาปิดฝาขวดน้ำที่ดื่มไปแล้วกว่าครึ่งและวางลงบนโต๊ะ
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า...ทางนั้นเขามีปัญหาเหรอ” แน่นอนว่าคำว่าทางนั้นของรณพีร์หมายถึงวิยะดา
“ไอ้ปัญหาน่ะมันก็มีอยู่แล้ว แต่...” จู่ๆ ผู้ที่มักจะมั่นใจในตัวเอง และมีลักษณะของการเป็นผู้นำเสมอก็พลันหยุดพูดลงเสียอย่างนั้น ใบหน้าหล่อเหลาสไตล์หนุ่มไทยเชื้อสายจีน คล้ายกำลังตกอยู่ในความคิดของตัวเอง
“แต่อะไรเฮีย...”
คนถูกถามถอนหายใจออกมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“แต่เฮียไม่รู้ว่ายิ้มจะตัดสินใจยังไง”
คนเป็นน้องพยายามไม่แสดงสีหน้าร้อนใจ
“ตัดสินใจอะไรเฮีย เล่าให้ฟังชัดๆ ได้ไหม พูดแบบนี้ผมจะไปเข้าใจได้ยังไง”
ชัชวีร์เหลือบมองคนเป็นน้องคล้ายกับรำคาญกึ่งๆ อ่อนใจในความใจร้อนไม่เปลี่ยนของมัน
“คืองี้ นายก็รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ยิ้มเขาต้องอยู่คนเดียว แถมยังต้องแบกรับปัญหาทุกอย่างเอาไว้หมด ไหนจะเรื่องบ้านที่ไม่มีคนดูแล ไหนจะเรื่องหลานที่ยังอยู่โรงพยาบาล ไหนจะเรื่องแม่ที่อยู่ที่วัด เฮียก็เลยตัดสินใจขอเขาแต่งงาน เพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระ และปกป้องเขา อีกอย่างตอนนี้ยิ้มยังรับหลานเป็นบุตรบุญธรรมไม่ได้ เพราะอายุเขายังไม่ถึงเกณฑ์ แล้วแม่เขาก็ดูไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้...”
“...”
“บอกตามตรงนะว่าเฮียไม่อยากให้เขาปฏิเสธ เพราะตอนนี้ยิ้มควรมีคนช่วย อย่างแรกก็เรื่องหลาน ยิ่งปล่อยไว้นานจะยิ่งยาก” ว่าแล้วชัชวีร์ก็ถอนหายใจพลางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เห็นด้วย”
“ยังไงเฮียกับเขาก็เป็นคู่หมั้นกันอยู่แล้ว ช้าเร็วยังไงก็ต้องแต่ง ทำไมเฮียถึงคิดว่าเขาจะปฏิเสธล่ะ” คนเป็นน้องถามเสียงเรียบ พร้อมกับหยิบขวดน้ำแร่ขึ้นมาเปิดดื่มอีกครั้ง
“เรื่องมันไม่ใช่แบบนั้นสิวะ...”
“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วจะแบบไหน เฮียกับเขาไม่ได้จะแต่งกันเพราะเรื่องธุรกิจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ป๊าม๊าก็สนับสนุน มีอะไรต้องกังวล” ที่งานศพของคุณวันชนะพ่อของวิยะดา ทางบ้านของเขาก็แสดงออกอย่างเต็มที่ว่าเห็นวิยะดาเป็นสมาชิกคนหนึ่ง และให้การต้อนรับเธอโดยไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอื่น
“ที่นายพูดมามันก็ถูก แต่มันดันติดที่...เฮียกับยิ้มคุยกันเอาไว้ว่าจะถอนหมั้นกันหลังจากที่เขาเรียนโทจบ เพราะยิ้มเองก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดผู้ใหญ่ ส่วนเฮียก็เห็นเขาเป็นน้อง เรื่องมันเลยยากขึ้น...บอกตรงๆ นะ เฮียเดาไม่ออกเลยว่ะ ว่ายิ้มจะตัดสินใจยังไง...เห็นเขาแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วเป็นคนละเอียดอ่อนและเข้มแข็งมาก แถมช่วงนี้ยังทำเหมือนหลบหน้า ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกรึเปล่า”
ชัชวีร์เอ่ยอย่างหนักใจปนกังวล เพราะสำหรับเขาแล้ว การแต่งงานกับวิยะดาไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือเรื่องฝืนใจ ถึงไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรักฉันชู้สาว แต่เขาก็ไม่ติดอะไรหากจะต้องแต่งงานกับเธอ ส่วนเรื่องใช้ชีวิตคู่ก็คงสุดแท้แต่เวลา หรือถ้ามันไม่เวิร์ค เขาก็พร้อมเสมอที่จะให้อิสระแก่เธอ ขอแค่อยากช่วยให้วิยะดาผ่านมรสุมชีวิตในครั้งนี้ไปให้ได้ก่อน
“หมายความว่ายังไง เฮียกับเขาตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าจะถอนหมั้น!”
คนเป็นพี่ได้ยินคำถามย้ำนั้นก็พลันหันหน้าไปมองอย่างเริ่มมีน้ำโห
นี่มันได้ฟังที่เขาพูดไหมว่ะเนี่ย!
สามวันต่อมา...หลังจากที่วิยะดาออกจากโรงพยาบาล ก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง แทบไม่กิน ไม่ดื่ม จนจินตนาการที่เฝ้ามองอยู่นั่งไม่ติด เช่นเดียวกับอินทุอรที่มาเยี่ยมทุกวัน
จินตนาการรู้สึกลังเลใจไม่น้อย ที่ยอมทำตามคำขอร้องของวิยะดาว่าไม่ให้แจ้งเรื่องนี้แก่ชัชวีร์ ทั้งๆ ที่ ณ ตอนนี้จินตนาการมองว่า การบอกชัชวีร์เกี่ยวกับการกระทำ และข้อเสนอของเจษฎ์บดินทร์ น่าจะทำให้วิยะดาได้เกราะป้องกัน หรือตัวช่วย เพราะไม่ว่าอย่างไรฝ่ายนั้นก็มีศักดิ์เป็นคู่หมั้นคู่หมายที่เพิ่งเอ่ยปากขอแต่งงานกันไปหมาดๆ
มาถึงตอนนี้...แม้แต่ตัวจินตนาการเอง ก็ยังไม่รู้เลยว่าความเงียบของเพื่อนรักนั้นหมายถึงสิ่งใด และการตัดสินใจของวิยะดา จะเป็นการบอกปฏิเสธเจษฎ์บดินทร์จริงๆ หรือไม่
“ยิ้ม...วันนี้ตัวจะไปดูหลานไหม”
จินตนาการถามคนที่นั่งนิ่งทอดสายตาออกไปมองนอกระเบียงด้วยความเห็นใจ หากไม่ถามก็ไม่ได้ เพราะตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลวิยะดาก็ไม่ได้ไปเยี่ยมหลานสาวอีกเลย เธอรู้ว่าเหตุผลของทุกอย่างคือวิยะดายังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับเจษฎ์บดินทร์ แต่ก็ไม่อาจทอดทิ้งหลานสาวได้ จึงไหว้วานให้เธอ และอินทุอรผลัดกันไปเยี่ยมและสอบถามอาการแทน
เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักไม่ตอบ นักเขียนสาวก็ตัดสินใจโดยอัตโนมัติ
“งั้นวันนี้เค้าไปนะ เพราะอินต้องไปรับหม่อมท่านที่วัด ตอนเย็นๆ ถึงจะแวะมาหาพร้อมกับของกิน”
หากวิยะดากลับหันมายิ้มบางๆ ที่คล้ายฝืนมากกว่า แล้วบอกว่า
“วันนี้เราจะไปเอง ไม่ได้เห็นหน้ายายหนูมาหลายวัน รู้สึกคิดถึงแกน่ะ อีกอย่าง...ตัวยังไม่ได้นอนเลยไม่ใช่เหรอ ไปนอนเถอะ”
“งั้นให้เราไปส่งนะ เรื่องนอนน่ะไม่มีปัญหา สบายมากอย่าห่วงเลย”
“ไม่เป็นไร...”
ใบหน้าซูบเซียว และแววหม่นหมองที่สะท้อนออกมาจากดวงตาเพื่อนรัก ทำให้จินตนาการอดถอนใจออกมาไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองต้องพูดอะไรสักอย่าง
“เราว่าตัวบอกพี่วีร์เถอะยิ้ม อย่างน้อยๆ นะ พี่วีร์ก็น่าจะให้คำปรึกษา หรือว่า...”
“เราตัดสินใจแล้วล่ะจิน”
“ตัดสินใจ?”
วิยะดาพยักหน้า และมองหน้าเพื่อนตรงๆ
“เราจะ...”
ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของวิยะดาก็ดังขึ้น เธอจึงต้องหยิบมันขึ้นมา ย่นหัวคิ้วเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่ปรากฏคือเบอร์แปลกที่ไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้
“สวัสดีค่ะ ค่ะ...” ใบหน้างดงามฉายอาการตื่นตกใจ “...คุณเพ็ญพักตร์...”
‘เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง’
“แกสบายดีค่ะ...และยังไม่ตาย” สมใจหล่อน
เพ็ญพักตร์ฟังน้ำเสียงแข็งกร้าวของเด็กสาวที่หล่อนเคยเจอหลายครั้งก่อนจะหัวเราะออกมา
‘...มาถึงขั้นนี้แล้วฉันก็จะไม่ขออ้อมค้อมก็แล้วกันนะ เธอคงรู้ข่าวว่าเชษฐาแต่งงานแล้ว และตอนนี้ก็กำลังจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับหนูนีรนาทภรรยาของเขา’
วิยะดาเกือบจะเบ้ปากกับคำพูดของอีกฝ่าย ที่แสดงออกถึงความโอ้อวด และภาคภูมิเหลือเกินในตัวของลูกชาย และลูกสะใภ้ ที่เป็นถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของรัฐมนตรีที่มีฐานะทางการเงินและสังคมมั่นคงไม่เป็นสองรองใคร
คงภูมิใจมากสินะ ที่ลูกชายสามารถ ‘หลอก’ ผู้หญิงและหาผลประโยชน์ได้ขนาดนี้...
“ทราบค่ะ ถ้าตาไม่บอดก็คงรู้ ในเมื่องานแต่งงานใหญ่โตขนาดนั้น...”
ปลายสายหัวเราะเบาๆ
‘ดี งั้นเธอก็คงรู้ใช่ไหม ว่าฉันไม่ต้องการให้ชีวิตครอบครัวของลูกชายฉันมีตัวปัญหามาวุ่นวาย หรือข้องเกี่ยว ลูกของตาเชษฐ์จะมีแค่ลูกที่กำลังจะเกิดมากับภรรยาของเขาเท่านั้น’
“ตัวปัญหา? ...คุณหมายถึงยายหนูงั้นเหรอคะ” วิยะดาอยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็หัวเราะไม่ออก เธอรู้สึกโกรธจนตัวสั่น จำได้ว่าเคยเจอคนในสายหลายครั้ง เพราะความสัมพันธ์ของครอบครัว และธุรกิจ ถึงเมื่อก่อนเธอจะสามารถยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าคนนี้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่ก็ไม่เคยมีความทรงจำดีๆ ใดให้กับผู้หญิงที่สวยงามแม้จะอยู่ในวัย ๕๐ กะรัต แต่ดูหยิ่งผยองไม่เห็นหัวใครอย่าง ‘เพ็ญพักตร์ พุฒิวิริยะกุล’
“...ถึงคุณไม่โทรมาวันนี้ ฉันก็ตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วล่ะค่ะ ว่าจะไม่มีวันยอมให้ยายหนูไปยุ่งเกี่ยวกับพวกคุณอีก และถึงวันหนึ่งพวกคุณจะดิ้นทุรนทุรายเรียกร้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูยายหนู ฉันก็จะไม่มีวันให้ ดังนั้นเชิญลูกชายและลูกสะใภ้คุณใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขหมดห่วงได้เลย เพราะสำหรับยายหนู แกได้ตัดขาดจากพวกคุณแล้ว นับตั้งแต่ที่แม่ของแกถูกทำร้ายจนเกือบจะต้องเสียแกไป”
‘ไม่เสียแรงที่เธอเป็นหลานสาวที่ท่านวิเชียรรักที่สุด เธอฉลาดดีนะวิยะดา...ดังนั้นฉันจะเชื่อเธอสักครั้ง ไม่กังวลกับเรื่องหยุมหยิมนี้ชั่วคราว’
“...”
‘เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธออยากไปอยู่ต่างประเทศไหม ฉันมีวิลล่าเล็กๆ อยู่ที่คอทส์โวลส์[1] ถ้าเธอสนใจฉันจะยกให้ พร้อมกับตั๋วเครื่องบิน ๓ ใบ สำหรับเธอ แม่ของเธอ และเด็กคนนั้น แล้วก็เงินอีกจำนวนหนึ่ง...สัก ๒๐ ล้านเป็นยังไง’
หมายความว่าหล่อนต้องการให้วิยะดาพาหลานหลบหนีผู้คนย้ายไปอยู่ต่างประเทศ
หึ! ๒๐ ล้านงั้นเหรอ?!
‘อย่าหาว่าฉันดูถูกเลยนะ แต่ที่ฉันเสนอ ก็เพราะเห็นแก่ที่เด็กนั่นมันก็เป็นเลือด...ที่ตาเชษฐ์ไปทำเลอะทิ้งไว้ แล้วลำพังตัวเธอกับแม่ของเธอตอนนี้ก็คงจะกระเบียดกระเสียรกันไม่น้อย จะได้เอาไว้ใช้จ่ายแล้วก็ดูแลเด็กคนนั้นไม่ต้องมาวุ่นวายเรียกร้องสิทธิ์ที่ไม่ใช่ของตัวเองในภายหลัง ทุกอย่างจะได้จบสวยๆ และวินกันทั้งสองฝ่าย เธอเห็นว่าเป็นยังไง’
“...ไม่จำเป็นค่ะ เก็บเงินของพวกคุณเอาไว้ทำบุญสร้างกุศล หรือไม่ก็เก็บไว้ให้หลานที่กำลังจะเกิดมาในอนาคต จ่ายค่าเล่าเรียนเรื่องศีลธรรมดีกว่านะคะ เพราะมันคงยากที่แกจะเรียนรู้ได้จากที่บ้าน...เหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆ เขา และการที่ฉัน คุณแม่ แล้วก็ยายหนูจะอยู่ที่ไหน มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะเข้ามายุ่ง เรื่องของเรามันจบไม่สวยอยู่แล้วค่ะ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเสนออะไรทั้งนั้น ขอแค่พวกคุณไม่มายุ่งเกี่ยวกับพวกเราอีก ฉันก็จะถือ...ว่าเป็นการตัดกรรมต่อกันแค่นี้!”
วิยะดาวางสายไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ เธอกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น ทั้งโกรธ แค้น และชิงชัง...
“ยิ้ม...ใจเย็นๆ นะ” จินตนาการที่นั่งอยู่ข้างๆ โอบ และลูบต้นแขนเพื่อนเป็นการปลอบโยน
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนคนนี้จะเป็นย่าของยายหนู! ทั้งข่มขู่ ทั้งเอาเงินมาฟาดหัว! ฉันไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะมีคนที่เลวทรามต่ำช้า และจิตใจมืดดำได้ถึงขนาดนี้...เลือดที่เชษฐามาทำเลอะทิ้งไว้อย่างนั้นเหรอ...สารเลว สารเลวที่สุด!”
พอได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกไปทางวาจาเผ็ดร้อนแล้ว วิยะดาก็ทิ้งร่างกายที่เกร็งสะท้านของตัวเองลงกับพนักโซฟา สมองเริ่มคิดทบทวนถึงสิ่งที่เพ็ญพักตร์พูดออกมา
จริงอยู่ว่าวันนี้เพ็ญพักตร์อาจจะแค่ขู่และไม่สอดมือเข้ามายุ่ง แต่ถ้าวันหนึ่งทางนั้นเห็นผลประโยชน์ หรือคิดขวางหูขวางตา มันไม่เท่ากับเป็นภัยแก่ตัวยายหนูหรอกหรือ
เจษฎ์บดินทร์พูดถูก ว่าเธอไม่มีทางซ่อนยายหนูไปได้ตลอดชีวิต และด้วยความชั่วช้าที่พวกเขามี ไม่มีอะไรรับประกันเลยว่า เธอจะไม่พ่ายแพ้ จนไม่อาจปกป้องยายหนูได้ในอนาคต!
“แบบนี้ก็แสดงว่าเพ็ญพักตร์ ยังไม่รู้เรื่องที่พี่เจษฎ์รับยายหนูเป็นบุตรบุญธรรมน่ะสิ” เพราะถ้ารู้คงไม่มาพูดแบบนี้
วิยะดาเองก็คิดเช่นนั้น
“แล้วยิ้มจะทำยังไงต่อไป”
“เราไม่รู้” เธอหลับตาลงแน่น ริมฝีปากสั่นระริก “จินเรากลัว...เราจะปล่อยให้ยายหนูอยู่ท่ามกลางคนพวกนั้นได้ยังไง...”
หรือจะไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว...นอกจากยินยอม
ความคิดเห็น |
---|