๙
แจ้งข่าว
“หนูนาทท้องได้ ๕ สัปดาห์แล้วค่ะคุณพ่อ พอหมอยืนยันก็รีบโทร. มาบอกทางนี้เลย ...ท่าทางจะดีใจน่าดู” เพ็ญพักตร์ที่ใบหน้าสดชื่นกว่าทุกๆ วันแจ้งเรื่องที่น่ายินดีแก่พ่อสามี ขณะนั่งรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน
มันช่างเป็นจังหวะเหมาะยิ่ง เพราะวันนี้เจษฎ์บดินทร์มาร่วมโต๊ะด้วย!
“แหม่ ไอ้ลูกชายคนนี้มันไม่เสียแรงจริงๆ สงสัยว่าเหลนผู้ชายคนแรกของคุณพ่อคงจะมาในอีกไม่ช้าแล้วนะครับ” บพิตรยิ้มปลาบปลื้ม พร้อมชมสำทับ กึ่งๆ อวดเอาความดีความชอบแทนลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“นี่ไม่รู้ว่าทางบ้านหนูนาทเขาจะรู้แล้วรึยังนะคะ”
“มีเหรอจะไม่รู้ ป่านนี้ท่านรัฐมนตรีคงกำลังวุ่นเตรียมของรับขวัญหลานอยู่ล่ะมั้ง”
“นั่นสิคะ”สองสามีภรรยามองสบตากันด้วยรอยยิ้มสมใจ ก่อนที่บพิตรจะหันไปหารือกับผู้เป็นพ่อ
“เราเองก็ไม่ควรน้อยหน้านะครับ ถ้าเป็นหลานชายจริงๆ คงต้องมีของรับขวัญชิ้นใหญ่ๆ หน่อย จะได้ไม่น้อยหน้าทางนั้น”
ประมุกของบ้านวางแก้วน้ำที่เพิ่งดื่มลงตำแหน่งเดิม และกล่าวเสียงเรียบ
“จะหญิงหรือชายก็หลานทั้งนั้น บอกให้เจ้าเชษฐ์ดูแลเมียดีๆ อย่าให้มีปัญหา”
ท่าทีที่ดูไม่ยินดียินร้ายของคนเป็นทวด ทำเอาว่าที่ปู่ย่าซึ่งกำลังชื่นชมยินดีชะงักไปเล็กน้อย
ท่านบวรเอง ก็ไม่คิดว่าตนจะไร้ความรู้สึกใดๆ ต่อข่าวน่ายินดีนี้เช่นกัน หากเป็นเมื่อก่อนท่านคงจะมีอาการไม่ต่างจากลูกชายและลูกสะใภ้ เพราะเด็กในท้องของนีรนาท ถือเป็นโซ่ทองคล้องสองตระกูลที่มีฐานะทัดเทียมกัน และยิ่งทำให้รากฐานของพุฒิวิริยะกุลมั่นคง
ทว่า...ในวันนี้บางสิ่งบางอย่างในสำนึกของท่านกลับเปลี่ยนไป...
คงเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในชีวิต ทั้งที่พบเห็นกับตา และลงมือกระทำด้วยตนเอง มันทำให้ท่านชินชา และรู้สึกเหมือนได้ตื่นขึ้นจากความฝัน แล้วพบว่าสิ่งที่ตนไล่ไขว้คว้ามาตลอดทั้งชีวิตนั้น...มีแต่ความว่างเปล่า โดยเฉพาะเรื่องตระกูลสุรสินทร์ และการเกิดมาอย่างผิดที่ผิดทางของ ‘เหลนคนแรก’
เพ็ญพักตร์พยายามไม่นำพาต่อท่าทีผิดคาดของพ่อสามี หล่อนแย้มริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
“ได้เลยค่ะ ว่าแต่คุณพ่อคงจะไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ ถ้าตาเชษฐ์กับหนูนาทอยู่ที่โน่นต่ออีกสักระยะหนึ่ง เพราะตอนนี้หนูนาทแกเพิ่งท้องได้แค่เดือนเศษๆ เกรงว่าถ้าเดินทางกลับตามแผนเดิม จะกระทบกระเทือนถึงเด็กในท้องได้น่ะค่ะ”
นั่นหมายความว่าการเดินทางกลับของเชษฐาต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ดังนั้นเรื่องงานทางนี้จึงต้องชะลอไปด้วย
บวรพยักหน้า และหันไปหาเจษฎ์บดินทร์ที่ยังคงรับประทานอาหารอยู่เงียบๆ ตรงตำแหน่งขวามือของตน
“ตำแหน่งเจ้าเชษฐ์ ให้คนที่แกไว้ใจมาดูแลงานแทน”
“ครับ”
“ไม่จำเป็นหรอกครับคุณพ่อ ผมจะให้คนของผมจัดการเอง”
“เรื่องนี้ให้เจ้าเจษฎ์จัดการ แกทำงานของตัวเองให้ดีก็พอ” นั่นคือคำขาด
บพิตรและเพ็ญพักตร์หันมามองหน้ากัน ทั้งสองพยายามซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ และไม่พูดอะไรอีกเลยหลังจากนั้น
กระทั่งบวรเอ่ยทำลายความเงียบลง หลังจากรวบช้อนพร้อมกับหลานชาย
“ไปคุยกับปู่ที่ห้องก็แล้วกัน”
“ครับ”
เมื่อทั้งสองออกจากห้องรับประทานอาหารไป คนที่เหลืออยู่ก็หมดความอยากอาหารและความอดทนเช่นกัน
“คุณว่าคุณพ่อเรียกมันมาทำไม”
“จะไปรู้เหรอ ก็นั่งอยู่ด้วยกัน” บพิตรยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วจะเอายังไง ดูคุณพ่อไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเด็กในท้องหนูนาท แถมยังให้ไอ้เจษฎ์หาคนมาสวมตำแหน่งแทนเจ้าเชษฐ์อีก...แบบนี้มันข้ามหน้าข้ามตากันชัดๆ”
“ใจเย็นๆ สิคะ รอให้หนูนาทคลอดหลานชายออกมาก่อน ไม่แคล้วจะหลงแทบไม่ทัน คุณพ่อคุณก็รู้ๆ กันอยู่ ว่าบ้าทายาทสายเลือดสองตระกูลแค่ไหน ยังไงๆ เด็กคนนี้ก็เป็นสะพานเชื่อมเรากับตระกูลท่านรัฐมนตรี ทั้งเส้นสาย ทั้งธุรกิจไม่รู้เท่าไหร่ คิดๆ แล้วเอื้อประโยชน์ให้เราได้มากกว่าฝ่ายตระกูลนังอาภาศิริที่หนุนหลังไอ้เจษฐ์อยู่ไม่รู้กี่เท่า ไม่เอนเอียงมาทางเราก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
บพิตรหัวเราะเฮอะ ที่ฟังไม่ออกว่ากำลังเยาะ หรือเห็นด้วยกับสิ่งที่ภรรยาคาดการณ์
“ให้มันจริงเถอะ แต่คุณอย่าลืม ว่ามันเป็นเด็กที่คุณพ่อเลี้ยงมากับมือ แล้วไหนจะตำแหน่งประธานนั่นอีก ลุงมันไอ้เมฆินทร์คงจะอยู่เฉยหรอก” บพิตรกัดฟันเมื่อนึกถึง ‘เมฆินทร์’ พี่ชายบุญธรรมของแม่เจษฎ์บดินทร์ที่คอยหนุนหลัง และจ้องกำจัดอำนาจของเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
จนถึงตอนนี้ ไอ้สารเลวนั่น มันก็ยังแค้นเขาอยู่...
กึก!
เพ็ญพักตร์วางแก้วน้ำลงอย่างกระแทกกระทั้น
“เจ็บใจจริงๆ ทั้งๆ ที่ตาเชษฐ์เป็นคนทำให้ได้สุรสินทร์ ดีเวลอปเมนต์ มาแท้ๆ ทำไมไอ้เจ้าลูกชายคุณ มันถึงได้หยิบชิ้นปลามัน ลำเอียงชัดๆ!”
“ก็ถึงได้บอกไง ว่าจะล้มไอ้เจษฎ์มันไม่ง่ายนักหรอก!”
“...”
“แล้วก็เรื่องเจ้าเชษฐ์ บอกให้มันรีบๆ กลับมาก็ดี แค่นี้คุณพ่อก็จะไม่เห็นหัวมันอยู่แล้ว ถ้าหลุดจากตำแหน่งล่ะคงซวยกว่านี้!”
“แกมาหาปู่เองแบบนี้ คงมีเรื่องสำคัญจะคุยใช่ไหม” ท่านบวรเปิดประเด็น หลังจากจุดซิการ์และอัดเข้าปอดหนึ่งครั้ง ควันขาวลอยอวลอยู่ในอากาศเบื้องหน้าเป็นสาย
“ผมกำลังจะแต่งงานกับวิยะดาครับ”
คำพูดง่ายๆ นั้นทำให้ผู้เป็นปู่ถึงกับหันมามองด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง
“แกว่าอะไรนะ แต่งงานกับใครนะ”
“ยิ้ม วิยะดา สุรสินทร์ ครับ”
“เขายอมแต่งกับแกได้ยังไง...” สายตาคมกริบของผู้ที่ผ่านโลกมานานหรี่ลงเล็กน้อย “เพราะเด็กคนนั้น?”
“ครับ ผมมาบอกให้ปู่ทราบเอาไว้ แต่เรื่องอื่นๆ ผมจะจัดการเอง”
“แกคิดดีแล้วเหรอ” ทั้งเรื่องแต่งงานกับวิยะดา และการรับผิดชอบเด็กที่แม้จะเป็นหลานร่วมสายเลือด แต่ก็...เป็นลูกของเชษฐา
“คนของปู่คงยังไม่ได้รายงาน แต่ตอนนี้ผมทำเรื่องรับแกเป็นบุตรบุญธรรมแล้วครับ และศาลก็มีคำสั่งแล้ว ต่อไปฐานะตามกฎหมายของแก จะเป็นลูกสาวคนแรกของผมกับวิยะดา” เจษฎ์บดินทร์รู้มาตลอดว่าปู่ให้คนติดตามจับตาดูอยู่ แต่คล้ายกับเขาไม่ได้นำพา
ประหลาด...ที่เมื่อได้ยินคำพูดและเห็นถึงสายตาของเจษฎ์บดินทร์ บางสิ่งในใจของบวรก็พลันค่อยๆ คลายตัวลง
“...จัดการทุกอย่างไปแล้วสินะ”
“ครับ”
ผู้สูงวัยอัดซิการ์เข้าปอด ทอดสายตาออกไปมองนอกระเบียง ก่อนจะถาม...
“เด็กคนนั้น...เป็นยังไงบ้าง”
“แข็งแรงดีครับ”
“ดี...” ท่านพยักหน้า “แล้วมีชื่อรึยัง”
“มีแล้วครับ เด็กหญิง เจษฎ์ธิดา พุฒิวิริยะกุล แต่ยังไม่มีชื่อเล่น ผมคิดว่าจะให้แม่เขาเป็นคนตั้ง”
เมื่อหมดธุระแล้วเจษฎ์บดินทร์จึงขอตัวกลับ แต่ถูกเรียกเอาไว้ด้วยคำถาม
“ที่แกทำมาทั้งหมด เหตุผลหนึ่ง...ก็เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ใช่ไหม”
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ แต่เจษฎ์บดินทร์ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ในการสร้างฐานอำนาจในบอร์ดบริหาร และซื้อหุ้นของ พี. เค. กรุ๊ป จนสามารถตลบหลังต่อรองเอาตำแหน่งประธานกรรมการบริหารจากท่านได้ โดยที่บวรแทบไม่รู้ตัว
ในวันที่เจษฎ์บดินทร์เข้ามายื่นข้อเสนอกึ่งขู่ให้ท่านวางมือจากตำแหน่งนั้น บวรได้เอ่ยถามคำถามนี้ออกไปครั้งหนึ่ง เพราะรู้สึกสังหรณ์ใจมานานแล้วว่าความรู้สึกที่เจษฎ์บดินทร์มีให้กับเด็กผู้หญิง ที่ครั้งหนึ่งท่านเคยคิดจะใช้เป็นเครื่องมือในการเกี่ยวดองกับสุรสินทร์ แต่ถูกเจษฎ์บดินทร์ปฏิเสธนั้นไม่ธรรมดาเลย...
“ครับ” เจ้าของร่างสูงหันมาตอบง่ายๆ ก่อนจะเดินจากไป
ซิการ์ที่ถูกจุดและคีบคาเอาไว้ถูกวางลงบนที่เขี่ย
ความเงียบภายในห้องทำงานซึ่งมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟตั้งโต๊ะพลันถูกทำลายลง เมื่อริมฝีปากหยักหนาได้รูปของผู้สูงวัยพึมพำเสียงกระซิบ
“เจษฎ์ธิดา...ลูกสาวของเจษฎ์บดินทร์...เป็นชื่อที่ดี...”
ดวงตาคมกริบอย่างผู้ที่ผ่านโลกมานานเหลือบไปมองกรอบรูปเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในตู้ไม้กรุกระจก ซึ่งบรรจุภาพของผู้ชายสองคนกำลังกอดคอกันด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพและพลังแห่งวัยหนุ่ม
วิเชียร...
รถ SUV สัญชาติญี่ปุ่นสีขาวสะอาดแล่นเข้ามาจอดในโรงจอด ที่มีรถอีกหลายคันจอดอยู่ แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดนั้นไร้ซึ่งเจ้าของ เพราะเดิมมันเป็นสิ่งที่พ่อและพี่ชายผู้ล่วงลับของเธอใช้และเก็บสะสมเอาไว้
วิยะดาเดินลงจากรถด้วยสภาพร่างกายและจิตใจอ่อนล้า ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงบันไดหินอ่อนหน้ามุก ‘เรือนเล็ก’ พลางกวาดตามองสำรวจ ‘บ้าน’ ด้วยความรู้สึกว่างโหวง
วันนี้เธอตัดสินใจเดินทางไปพบมารดาที่วัดเพื่อแจ้งเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านรับทราบ โดยเฉพาะเรื่องการตัดสินใจแต่งงานของตน และด้วยเหตุนั้นจึงทำให้เธอมีสภาพเช่นนี้
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้าผาก พยายามสูดลมหายใจสั่นๆ เข้าลึก แต่ก็ไม่อาจขับไล่ความแสบร้อนที่แล่นขึ้นมาตรงบริเวณปลายจมูกและกระบอกตาที่รวดร้าวเพราะการร้องไห้อย่างหนักตลอด ๒ ชั่วโมงที่ผ่านมาได้
ภาพใบหน้างดงามสมวัยทว่าซีดเซียวเหลือเกินของคุณแม่ เมื่อตอนได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหลานสาวตัวน้อย และเหตุผลที่เธอจะต้องแต่งงานกับเจษฎ์บดินทร์ ยังคงตรึงอยู่ในมโนสำนึกของวิยะดา
ใบหน้านั้นราบเรียบยิ่ง ขณะที่ริมฝีปากของท่านเม้มเข้าหากกันเป็นเส้นตรง ดวงตาอมโศกสั่นไหวรุนแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว สะเทือนใจ ทว่าท่านกลับไม่ได้แสดงมันออกมา นอกจากเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า
‘ก็อย่างที่แม่บอกยิ้ม ว่าต่อไป...อะไรที่ยิ้มเห็นว่าดี ก็จัดการไปได้เลย...ไม่ต้องมาถามแม่...’
‘คุณแม่...’
ฉับพลันนั้นท่านก็ผลุดลุกขึ้น และเดินเข้าห้องพักไป
ทำให้วิยะดาที่นั่งอยู่บนตั่งเร่งลุกตาม แต่ก็ไม่ทัน...เพราะท่านปิดประตูลงในทันทีที่เธอไปถึง
วิยะดาทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าประตูนั้นด้วยน้ำตาที่ไหลรินลงมา
‘คุณแม่...ยิ้มขอโทษ...ยิ้มขอโทษนะคะ แต่ถ้าไม่ปล่อยให้เป็นแบบนี้...ก็จะปกป้องยายหนูไม่ได้...ยายหนูไม่เหลือใครอีกแล้ว ไม่เหลือใครอีกแล้วค่ะคุณแม่...ยิ้มทิ้งแกไม่ได้ ทิ้งไม่ได้จริงๆ ค่ะ ยิ้มขอโทษนะคะ ยิ้มขอโทษนะคะคุณแม่’
ช่วงเวลาหลังจากนั้น สรรพเสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน จากภายนอก...และภายในห้องที่เล็ดลอดออกมา...
“ยิ้ม?” เสียงเรียกที่ดังมาจากด้านในบ้าน ทำให้วิยะดาต้องสูดลมหายใจเข้า พร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลรินลงมาอาบสองข้างแก้ม
จินตนาการมองแผ่นหลังของเพื่อนรักอย่างห่วงใย แน่นอนว่าเธอรู้ว่าวิยะดาไปที่ไหนมา จึงไม่จำเป็นต้องรอคำตอบ ก็รีบเดินมาคุกเข่าลงข้างๆ และโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้
“จิน...”
อาการสั่นไหวของวิยะดาที่สะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหว และร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ทำให้คนที่ลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยนน้ำตาคลอตาม
ความคิดเห็น |
---|