เอี๊ยดดด!!! โครม!!!
แรงกระชากจากเข็มขัดนิรภัยและระบบเซฟตีของรถยนต์สมรรถนะเยี่ยมทำให้ภูรินท์เจ็บและจุกไปครู่ใหญ่ กว่าที่ความเจ็บนั้นจะหายไปก็ราวห้านาทีได้ ชายหนุ่มรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออก ในใจก็นึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ได้ดื่มจนเมามายเหมือนทุกครั้ง และยังมีสติประคับประคองให้ตัดสินใจหักพวงมาลัยหลบได้ อีกทั้งดีแค่ไหนแล้วที่รถเขาไม่พลิกคว่ำไปด้วย หลังจากที่สติกลับมาสมบูรณ์ ภูรินท์ก็รีบเปิดประตูรถออก แล้วรีบวิ่งไปดูคนที่โผล่พรวดออกมาตัดหน้ารถเขา
ริมฟุตพาทมีร่างบางนอนแน่นิ่งอยู่ ชายหนุ่มใจหายวาบ เขาคงไม่ได้ชนเธอจนเสียชีวิตหรอกนะ แค่คิด ขนในกายก็ลุกชัน เขารีบวิ่งไปนั่งลงข้างร่างบางพลางร้องเรียกอย่างร้อนรน แม้ฝนจะซาลงกว่าเมื่อครู่แล้ว แต่ก็ยังตกไม่ขาดสาย
“คุณ! คุณ!”
ภูรินท์เขย่าแขนเล็กเพื่อเรียกสติ และหวังให้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำตามอย่างที่เขาหวัง
“คุณ! คุณเป็นอะไรมากมั้ย! ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะพาคุณส่งโรงพยาบาลเอง อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ผมขอร้อง!”
เขาพูดอย่างร้อนรนก่อนจะรีบช้อนร่างบอบบางขึ้นอุ้มและพาไปขึ้นรถ เหยียบคันเร่งไปทางโรงพยาบาลของเพื่อนสนิทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก โชคดีที่รถของเขายังใช้งานได้ หากต้องรอเรียกแท็กซี่หรือรอรถพยาบาลก็อาจจะช้าเกินไป
…
ภูรินท์นั่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินราวครึ่งชั่วโมงได้ หลังจากส่งคนเจ็บให้แก่ทีมแพทย์ของทางโรงพยาบาลแล้วถึงเพิ่งเห็นชัดๆ ว่าหญิงสาวศีรษะแตก เขาพยายามหักหลบอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ถือว่าชนแรงอยู่ดี ได้แต่หวังว่าหญิงสาวจะไม่เป็นอะไรมาก ไม่งั้นชีวิตนี้เขาคงรู้สึกผิดไปจนตายแน่
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เขารู้แต่ว่าทุกวินาทีนั้นช่างยากลำบากเหลือเกิน
...อย่าเป็นอะไรเลยนะ ขอร้อง
“คุณเป็นคนที่พาคนไข้มาส่งใช่มั้ยครับ” คุณหมอหนุ่มในชุดกาวน์สีขาวเอ่ยถามหลังจากที่เปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมา
“เอ่อครับ เธอเป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยถามออกไปอย่างยากลำบาก ลำคอแห้งผาก รอคำตอบจากหมออย่างใจจดใจจ่อ
“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ก็ต้องตรวจละเอียดอีกครั้งหลังจากคนไข้ฟื้นขึ้นมา อีกสักครู่พยาบาลจะเคลื่อนย้ายไปอยู่ห้องพักฟื้น”
“ครับ ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว ถ้ายังไงหมอขอตัวก่อนนะครับ” หมอหนุ่มยิ้มให้เขานิดๆ อย่างอ่อนเพลีย ก่อนจะเดินจากไป
จากนั้นภูรินท์ก็ต้องทำหน้าที่เป็นญาติของคนไข้ชั่วคราว เนื่องจากเขาเป็นคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ และยังเป็นคนที่ขับรถชนจนเธออยู่ในสภาพนี้
หลังจากจัดการเอกสารเกี่ยวกับประวัติผู้ป่วยเสร็จก็ราวๆ ตีสี่ ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปยังห้องพักฟื้น ทราบคร่าวๆ จากเอกสารที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ว่าเธอชื่อ ‘พิมพ์พิสุทธิ์ วรกานต์’ อายุราวยี่สิบแปดปี มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด
ชายหนุ่มยืนมองร่างบอบบางด้วยใจที่คลายกังวลลงเล็กน้อย อยากจะขอบคุณเบื้องบนเหลือเกินที่อาการของเธอไม่ได้สาหัสกว่านี้
รุ่งเช้าต่อมาคุณหมอเจ้าของเคสก็เข้ามาตรวจคนที่ยังคงนอนหลับตาอยู่บนเตียงนิ่งราวกับไม่รับรู้สิ่งใด นั่นยิ่งทำให้ภูรินท์ที่เบาใจไปแล้วกลับมาเครียดและกังวลเหมือนเดิม และส่อแววว่าจะมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเธอไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเสียที
แม้ว่าคุณหมอจะปลอบใจเขาด้วยการบอกว่าคนไข้น่าจะอ่อนเพลียจากอาการบาดเจ็บ ร่างกายจึงยังปรับสภาพไม่ทัน ถึงอย่างนั้นภูรินท์ก็เอาแต่นั่งเฝ้าไม่ห่าง
จนกระทั่งช่วงสายของวันถัดมาเขาก็แทบจะตะโกนลั่นห้องพักฟื้นของผู้ป่วยวีไอพี เมื่อเห็นว่าคนที่นอนหลับตานิ่งๆ เป็นตุ๊กตาขยับเปลือกตาเบาๆ มือก็เริ่มขยับเล็กน้อย จากนั้นหมอและพยาบาลก็กรูเข้ามาในห้องและกันเขาออกไปรอข้างนอก ไม่นานความโกลาหลย่อมๆ ก็หายไป
“มองตามแสงไฟที่หมอส่องนะครับ” หมอสั่งให้คนไข้ปฏิบัติตาม
“เอาละ ดีมากครับ” เสียงหมอยังดังอยู่เรื่อยๆ
“คนไข้ยังรู้สึกเจ็บหรือปวดตรงไหนมากเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ บอกหมอได้นะ”
ผ่านไปชั่วครู่ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงแหบหวานเบาๆ
“เจ็บ ตรงนี้ค่ะ...แล้วก็ปวดหัวมาก”
“อืม เป็นอาการปกตินะครับ คนไข้เพิ่งประสบอุบัติเหตุรถชนมา อาจจะปวดระบมตามร่างกายด้วย” หมอยังอธิบายไปเรื่อยๆ “คนไข้จำเหตุการณ์ก่อนที่จะถูกรถชนได้มั้ยครับ”
ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนไข้
“คนไข้จำได้มั้ยครับว่าตัวเองเป็นใคร ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่”
เมื่อได้ยินคำถามนั้นภูรินท์ก็ลุ้นยิ่งกว่าลุ้นบอลทีมโปรดที่แข่งแมตช์สำคัญประจำฤดูกาลเสียอีก ผ่านไปราวห้านาทีก็ยังไร้เสียงตอบจากเจ้าของเสียงหวานแหบติดหูนั่น
ใครจะไปคิดว่าเรื่องราวที่เหมือนละครหลังข่าวจะเกิดขึ้นกับตัวเขา เบาใจได้ไม่ทันไรที่เธอฟื้นขึ้นมา...เขาก็ต้องเจอกับเรื่องช็อกที่สุดในชีวิตเข้าไปอีกเรื่องหนึ่งเมื่อเห็นว่าคนบนเตียงส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่เป็นไรนะครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวหมอจะพาไปสแกนสมอง ให้ละเอียดอีกครั้งนะครับ ตอนนี้คนไข้อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก นอนพักผ่อนให้มากๆ ร่างกายจะได้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมเร็วๆ”
หลังจากที่ผลตรวจซีทีสแกนออกมา หมอก็ขอคุยกับภูรินท์เป็นการส่วนตัว ชายหนุ่มแทบจะช็อกเพราะเรื่องที่ได้ยิน
“เป็นเพราะศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน หรือไม่ก็อาจจะเกิดจากตอนที่เกิดเหตุนั้นจิตใต้สำนึกของคนไข้อ่อนแอเกินจะรับไหว พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นจึงช็อก จนทำให้มีความทรงจำบางส่วนขาดหายไป หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมองเกิดอาการความจำเสื่อมชั่วคราว”
“ความจำ...เสื่อม” สมองเขาสั่งให้ปากขยับอย่างเชื่องช้า “เรื่องแบบนี้มันมีอยู่จริงหรือครับคุณหมอ”
“ครับ แต่ไม่ต้องกังวลหรอกนะครับ เพราะความจำเสื่อมชั่วคราวมีโอกาสหายได้ แต่อาจจำเป็นต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะกลับมาเป็นปกติ”
ราวกับโดนหมัดฮุกตรงๆ เสยเข้าหน้ารัวๆ สมองภูรินท์เบลอและมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนที่ปากจะเอ่ยถามได้อีกครั้ง “นาน...แค่ไหนครับ”
“ใจเย็นๆ นะครับ โอกาสที่จะหายและกลับมาปกติมีอยู่มาก แล้วก็ใช่ว่าเคสแบบนี้จะไม่เคยเกิดขึ้นเลย เคสแบบนี้โอกาสหายมีมากครับ เพียงแต่ต้องใช้เวลา”
เพียงเท่านั้นภูรินท์ก็เข้าใจแล้วว่าหมอต้องการจะสื่ออะไร เขาเดินอย่างใจลอยไปนั่งคนเดียวที่สวนหย่อมของโรงพยาบาล จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแยกจากคุณหมอมาตอนไหน
หลังจากนั่งทำใจกับเรื่องสุดช็อกในชีวิตราวสองชั่วโมงกว่าๆ ชายหนุ่มก็รวบรวมแรงใจด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องพักฟื้นของผู้ป่วย
ใบหน้านวลใสไร้เครื่องสำอางหันไปมองทางประตู ก่อนจะพบชายสูงใหญ่คนหนึ่ง จากที่เธอคาดคะเนด้วยสายตา เขาน่าจะสูงราวร้อยแปดสิบห้าได้
ดวงหน้าหล่อคมเข้ม นัยน์ตาคมคู่นั้น ถ้าเธอจำไม่ผิด มันเป็นสิ่งแรกที่เธอเห็นวันที่ฟื้นขึ้นมา ใบหน้าเรียวรับกับจมูกที่เข้ารูปและดูดี ริมฝีปากบางอย่างที่เธอเห็นแล้วนึกอิจฉาเขานิดๆ สรุปแล้วผู้ชายตรงหน้าเธอนั้นเข้าขั้นหล่อ จะว่าหล่อมากก็ได้...ว่าแต่เขาเป็นใครกันล่ะ
คนตัวสูงเดินเข้ามาหาร่างบางที่บัดนี้นั่งเอนหลังพิงหัวเตียง มองเขาตาใสอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จะว่าไปตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็เพิ่งได้มองหน้าเธอชัดๆ ก็คราวนี้ ดวงตากลมโตคู่นี้ทำให้ผู้ใดก็ตามที่ได้มองสบราวกับต้องมนตร์ และเผลอหลงละเมอได้ไม่ยาก ดวงหน้าเรียวเล็ก ผิวเนียนใสราวกับสาวน้อยวัยยี่สิบต้นๆ ถ้าเขาไม่รู้จากบัตรประชาชนของเธอมาก่อนว่าเธออายุเท่าไร เขาอาจจะคิดว่าเธอยังเป็นเด็กมหา’ลัยอยู่ก็ได้
“เอ่อ คือ ผม...” เขาพูดอย่างยากลำบาก
หญิงสาวเอียงคอฟังอย่างรอคอยและสงสัยในคราวเดียวกัน
“ผม...เป็นคนที่ขับรถชนคุณในคืนวันเกิดเหตุ”
เท่านั้นละดวงตากลมโตพลันฉายแววตกใจและสั่นไหวไปชั่วครู่
“ผมชื่อภูรินท์นะ คุณไม่ต้องห่วงหรือกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ผมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง” เขาพูดออกไปแล้วก็รอดูปฏิกิริยาจากอีกฝ่ายซึ่งยังคงประมวลผลทุกอย่างแบบเชื่องช้า ครู่หนึ่งใบหน้าเล็กก็พยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงว่าเข้าใจ
“คุณหมอคงอธิบายให้คุณฟังแล้วว่า...ผลที่เกิดจากอุบัติเหตุทำให้สมองคุณได้รับการกระทบกระเทือน จนส่งผลให้คุณยังจำอะไรไม่ได้”
เธอพยักหน้าเงียบๆ แบบเดิม
“ถึงยังไงผมก็อยากจะบอกคุณว่าผมรู้สึกผิดและเสียใจมากที่เกิดเรื่องแบบนี้” เขามองสบดวงตาคู่สวยของเธออย่างไม่หวั่นเกรง “ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ” เขาเอ่ยจากใจจริง รู้สึกไม่ดีที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้
หญิงสาวมองคนตรงหน้านิ่ง ก่อนจะคิดตามอย่างช้าๆ ไม่นานก็เข้าใจ และยิ้มอ่อน “มันเป็นอุบัติเหตุนี่คะ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกค่ะ”
[M2] ประโยคนี้น่าจะต้องแก้นะคะ เพราะนางเอกความจำเสื่อม ไม่น่าจำเรื่องได้ค่ะ
“คุณอย่าเอาแต่โทษตัวเองเลยนะคะ” เธอบอกพร้อมส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง “ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณด้วยเหมือนกันค่ะเพราะฉัน คุณถึงต้องมาเจอเรื่องยุ่งวุ่นวายแบบนี้” เธอยิ้มอย่างดูแคลนตัวเอง เมื่อรู้ว่าตัวเองก็มีส่วนในเรื่องวุ่นวายนี้ไม่ต่างกัน ฉะนั้นจะปล่อยให้เขารู้สึกผิดอยู่คนเดียวก็คงจะไม่แฟร์เสียทีเดียว
ภูรินท์ยิ้มออกเล็กน้อยที่หญิงสาวตรงหน้าพยายามเข้าใจเขา ซึ่งเขาก็ยอมรับว่ามันทำให้เขาเบาใจไปได้อีกนิดหนึ่ง ที่เธอไม่โกรธเคืองว่าเขาเป็นต้นเหตุให้เธอต้องสูญเสียความทรงจำ...จำไม่ได้แม้กระทั่งตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ภูรินท์จึงต้องเลื่อนกำหนดกลับเชียงใหม่ออกไปอีก โดยโกหกมารดาว่าเพื่อนเกิดอุบัติเหตุจนถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล เขาต้องไปเยี่ยมเพื่อนก่อนสักระยะ เพื่อไม่ให้ท่านต้องเป็นกังวลใจกับเรื่องของเขา
หลังจากรู้เหตุผลท่านก็เพียงต่อว่าเล็กน้อยว่าเขาเห็นเพื่อนสำคัญกว่าท่านตามประสาคนสูงวัยที่ชอบน้อยใจอยู่บ่อยๆ แต่ก่อนจะวางสาย ท่านยังไม่วายกำชับเขาอีกเรื่องดูตัว
“ภูเลื่อนวันกลับแบบนี้ก็อดเจอหน้าน้องกิ่งกานดาพอดีน่ะสิลูก แม่หรืออุตส่าห์ไปชวนมาทานข้าว หวังให้ลูกๆ ได้เห็นหน้ากัน ทำความรู้จักกันไว้ เผื่อวันหน้ามีโอกาสได้ทำธุรกิจด้วยกันจะได้ไม่ยุ่งยาก”
“โถ่ คุณแม่ครับ กลัวลูกตัวเองขายไม่ออกขนาดนั้นเลยเหรอครับ” เขาพูดติดตลกที่มารดาทำเหมือนกับว่าเขาจะขึ้นคาน หรือไม่ก็กลัวว่าเขาจะเบี่ยงเบนไปสนใจเพศเดียวกันแทน
“ไม่ต้องมาโอดครวญเลย ถ้าคราวหน้าผิดนัดแม่อีกละก็ บอกไว้ก่อนนะว่าแม่ไม่ยอมแน่” มารดาขู่เสียงเข้ม
ภูรินท์แกล้งถอนหายใจเสียงดัง
“ถอนหายใจทำไมกันฮะตาภู นี่แม่จริงจังนะรู้มั้ย ให้แม่ผิดคำพูดแบบนี้บ่อยๆ มันไม่ดี มันเสียผู้ใหญ่นะ”
เขากลั้นหายใจก่อนจะแกล้งโยนหินถามทาง “แม่เผื่อใจไว้บ้างก็ดีนะครับสำหรับเรื่องคลุมถุงชนเนี่ย ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ เพราะผมกลัวว่าแม่จะเสียผู้ใหญ่ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมทำให้ผู้ใหญ่หลายๆ คนเข้าหน้ากันไม่ติดเสียเปล่าๆ”
“อะไร นี่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงฮะตาภู!” ชไมพรถามเสียงดัง ถ้าอยู่ตรงหน้าเขาคงโดนบิดเนื้อเขียวแน่ๆ เผลอๆ อาจถูกดึงจนหูเกือบหลุด
“ก็บอกไว้ก่อนไงครับ เผื่อผมพาสะใภ้ไปกราบจะได้ตั้งตัวทัน ไม่เป็นลมล้มพับไปเสียก่อน” เขาว่าพลางนึกภาพตาม
“นี่! ตาภูพูดให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะ! สะใภ้อะไรที่ไหน แล้วเป็นใครฮะ พูดให้เคลียร์นะ!” ปลายสายเสียงดังจนแทบตะโกน จนเขาต้องรีบลดโทรศัพท์ออกห่างจากหู ก่อนจะนำมันกลับมาแนบหูใหม่
“อย่ามาคิดหาข้ออ้าง! เจ้าเล่ห์นักนะเรา แม่ส่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนาก็ใช่ว่าจะทิ้งขว้างแกจนไม่สนใจหรือปล่อยปละละเลยแกจนไม่รู้ความเคลื่อนไหวของลูกชายเพียงคนเดียวหรอกนะ! เพราะฉะนั้นหยุดพล่ามเรื่องโกหก หยุดปั้นน้ำเป็นตัวได้แล้ว...”
ฟังที่แม่พูดแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเกเรที่โดนคุณครูรายงานความประพฤติให้ผู้ปกครองทราบเลยแฮะ
“เพราะถึงยังไงเรื่องดูตัวครั้งนี้ ภูไม่มีทางยกเลิกได้ง่ายๆ แน่! และแม่ขอย้ำและขอเตือนอีกครั้งว่า การผิดนัดดูตัวครั้งที่สองจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่!” หลังจากที่เน้นและย้ำเสียงแข็งและเด็ดขาดกว่าทุกๆ ครา ท่านก็ชิงวางสายไปก่อน
จากที่ชายหนุ่มคิดว่าคงเป็นเรื่องเล่นๆ เหมือนเมื่อครั้งดูตัวหนก่อนๆ ก็เห็นจะไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ดูท่าแล้วคนนี้คุณสมบัติด้านต่างๆ คงจะครบถ้วนจนไร้ข้อตำหนิ คุณหญิงชไมพรถึงย้ำเสียงแข็ง แล้วแบบนี้เขาจะทำยังไงกับชีวิตโสดต่อไปล่ะเนี่ย ในเมื่อเขายังรู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะสละความโสดทิ้ง และจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่พบคนที่ทำให้เขาอยากจะ ‘หยุด’ ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อ ‘เธอ’ คนนั้นเลย
หวังว่าชีวิตโสดของเขาคงจะไม่ลงเอยด้วยการถูกจับคลุมถุงชนกับลูกคุณหนูคนใดคนหนึ่งที่มารดาหมายตาไว้หรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเห็นทีภูรินท์คนนี้คงต้องดื้อบ้างละ
ความคิดเห็น |
---|