“พริ้ม...เราเลิกกันเถอะ” เสียงทุ้มดังขึ้น หลังจากที่ทั้งคู่ยืนนิ่งเงียบมาเป็นเวลานานแล้ว
“ทำไม...” เธอเอ่ยถามออกไปอย่างยากลำบาก “เพราะอะไร”
“...”
ยิ่งร่างสูงนิ่งเงียบ ไม่ยอมเอ่ยถ้อยคำใดออกมาเลยนั้น ใจเธอก็ยิ่งเจ็บ
“เพราะอะไร ตอบพริ้มมาสิ!”
“เพราะ...พริ้มจนใช่มั้ย” เธอกลั้นใจถามออกไป
ร่างสูงทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็เสมองไปทางอื่น ไม่ยอมสบตาเธอ...แต่ถึงกระนั้น แม้จะเพียงชั่วครู่เดียวก็ตาม แต่เธอก็ทันเห็นมันเข้าจนได้
แววตาที่มองมาด้วยความสงสาร เธอไม่อยากเห็นมัน
เธอกลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ให้หลุดออกมา และสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ดวงตาเหลือบมองขึ้นฟ้า เพื่อกล้ำกลืนหยาดน้ำตาที่ปริ่มจวนเจียนจะร่วงหล่นจากดวงตา ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนจะฝืนส่งยิ้มให้เขา แม้ว่าแท้จริงแล้วตอนนี้หัวใจเธอเหมือนกำลังโดนเข็มนับร้อยนับพันจากที่ไหนก็ไม่รู้ทิ่มแทงอยู่
“พริ้ม...เข้าใจแล้ว” เธอพูดได้เพียงเท่านี้ ก่อนจะรีบหมุนตัวหันหลังให้ เพราะกลัวว่าหยดน้ำตาจะร่วงหล่นให้คนตรงหน้าได้เห็น และมันคงจะน่าสมเพชมากแน่ๆ
หึ!...สองปีกับรักโง่ๆ จากผู้หญิงที่ซื่อบื้อคนนี้ รักครั้งแรกแตกละเอียดราวกับเศษธุลี รักที่เธอให้เขาไปทั้งใจ...อยากจะถามสักพันครั้งว่าเป็นไปได้ไหมที่พวกเราจะไม่จบแบบนี้ แต่เธอก็เพิ่งเข้าใจดีในวันนี้เอง...ที่ว่า ‘เมื่อคนจะไป รั้งยังไงก็คงไม่อยู่’ เผลอๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น...นั่นอาจจะไม่ใช่ความรักสำหรับเขาเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้ที่เขาทำแก้เบื่อ หรือไม่ก็เป็นอะไรไม่รู้ที่อาจจะไม่เคยมีอยู่จริง
เธอแค่นยิ้มอย่างสมเพชตัวเองที่วาดหวังจะมีรักแท้...จากใครสักคน
เพียงคำว่ารักอย่างเดียว...คงไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้
ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาวแล้วที่เธอคอยปลอบเพื่อนสนิทเมื่ออกหัก หรือผิดหวังจากความรัก เธอผู้ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์เลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรักแบบพัปปีเลิฟ หรือคบหาแบบจริงจัง พูดง่ายๆ เลยก็คือ เธอไม่เคยมีแฟน!
ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนจะยิ้มให้ตัวเองอย่างค่อนขอด กำแพงที่เธอเพียรก่อไว้เสียดิบดีเริ่มทำลายตัวเองเมื่อวันหนึ่งเธอพบเจอเขาคนนั้น
เนื่องจากบริษัทที่เธอเพิ่งย้ายเข้ามาทำงานใหม่ๆ นั้นเป็นบริษัทเกี่ยวกับหลักทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศ...เขาทำงานอยู่ที่นี่มาก่อน อะไรไม่รู้ที่ดลใจให้ผู้หญิงที่ไม่เคยเฉียดกรายความรักแบบหนุ่มสาวเลยอย่างเธอเข้าไปพูดคุยทำความรู้จักกับเขาก่อน จนวันหนึ่งเธอกล้าพอที่จะเอ่ยปากขอคบเขาเป็นแฟน
ตลอดเวลาเกือบสองปีที่รู้จักกันมา เธอทุ่มเทและให้ความรักเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ราวกับคนหูหนวกตาบอด เธอไม่สนและไม่แคร์เรื่องอื่นเลยสักนิด แม้ว่าหลายๆ คนที่พอรู้เรื่องของเธอกับเขาจะไม่เห็นด้วย เมื่อเทพบุตรอย่างเขายอมลดตัวลงมาคบกับคนธรรมดาอย่างเธอที่มีเพียงแค่ตัวและหัวใจ ไม่ได้มีชื่อเสียงเงินทองหรือวงศ์ตระกูลที่สูงส่ง
‘ไม่เหมาะสม’ เป็นคำที่เธอได้ยินบ่อยที่สุด แต่เธอก็ทำเป็นเข้มแข็งและบอกว่าไม่แคร์ ขอแค่เธอและเขาไม่หวั่นไหวซะอย่าง...ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิม แต่ความจริงแล้วมันกลับไม่ใช่ ความรักไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่มันเป็นเรื่องของคนรอบข้างด้วย แม้ว่าเธอจะทำเป็นเข้มแข็งและไม่แคร์คำวิจารณ์...แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึก
เพียงแต่เธออยากจะลองพยายามดู พยายามจนถึงที่สุดว่าทำได้จริงๆ นะ แต่คงมีแค่เธอเท่านั้นที่คิดแบบนี้ เขาไม่ได้คิดแบบเดียวกับเธอเลยด้วยซ้ำ ยิ่งคิด ยิ่งนึก น้ำตาที่เธอพยายามห้ามไว้ก็ยิ่งไหลทะลักเป็นสายราวกับเขื่อนแตก ไหลรินลงมาเป็นทางหยดแล้วหยดเล่า ว่ากันว่ารักคือสุข และในขณะเดียวกันรักก็คือทุกข์ด้วย...มันคือเรื่องจริง
เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตดี การทำงานอยู่ที่เดียวกับแฟนบางทีก็เป็นเรื่องยากเมื่อเปลี่ยนสถานะ ความรู้สึกที่เคยมีหรืออะไรก็ตามที่เคยทำเมื่อก่อนก็จะไม่มีอีกแล้ว
หลังจากที่คุยกันเมื่อช่วงเย็น เธอไม่รู้ว่ามีเรี่ยวแรงพาสองขาเดินออกมาจากตรงหน้าเขาได้อย่างไร หัวใจที่บอบช้ำพาเธอเดินไปเรื่อยๆ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอขึ้นรถเมล์สายอะไรมา รู้ตัวอีกทีเธอก็ลงที่ป้ายสวนสาธารณะแห่งหนึ่งแล้ว
ไม่รู้ว่าเธอนั่งนิ่งบนพื้นหญ้าเขียวขจีตรงนี้นานเท่าไรแล้ว...กว่าจะรู้ตัวอีกทีรอบด้านก็มืดค่ำเสียแล้ว พอก้มดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือก็ต้องตกใจอีกรอบ เพราะมันสี่ทุ่มกว่าแล้ว
เธอลุกขึ้นปัดเศษหญ้าที่ติดตามชุดทำงานออก เสร็จแล้วก็ปล่อยให้สองเท้าก้าวเดินไปเรื่อยๆ ทว่าราวกับฟ้าจะกลั่นแกล้ง จู่ๆ ก็มีลมวูบใหญ่พัดพาเศษใบไม้ร่วงหล่น เศษดิน ฝุ่นละอองปลิวว่อนไปทั่ว จนเธอต้องยกมือขึ้นบังตา
ครู่ต่อมาฝนก็กระหน่ำเทลงมาแบบไม่มีสัญญาณเตือนทั้งสิ้น จนเธอแทบวิ่งหาที่หลบไม่ทัน...ฝนตกหนักและนานมาก จนเธอหนาวเย็นไปถึงกระดูก และดูท่าแล้ววันนี้อาจจะตกทั้งคืนก็เป็นได้
คิดแล้วก็เศร้า วันนี้เป็นวันที่เธอรู้สึกแย่มากจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้ ปกติแล้วเธอชอบพกร่มพับติดไว้ในกระเป๋าผ้าใบใหญ่เสมอ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคราวนี้เธอถึงลืมหยิบใส่กระเป๋ามาด้วย
ผ่านไปครู่ใหญ่ฝนก็ยังคงตกหนัก และดูท่าจะไม่ยอมซาลงง่ายๆ ขืนเธอยืนตากฝนต่อคงไม่พ้นได้เป็นปอดบวมแน่ๆ คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจเดินตากฝนไปเรื่อยๆ เผื่อเจอแท็กซี่สักคันจะได้เรียกกลับอะพาร์ตเมนต์ ยังไงก็คงจะดีกว่าทนยืนหนาวที่นี่ต่อไปแน่ๆ
ร่างบอบบางแต่สมส่วนพาสองเท้าวิ่งตรงไปยังทางออกของสวนสาธารณะ ก่อนจะเหลือบไปเห็นทางม้าลาย เธอจึงไม่รอช้า รีบวิ่งไปตรงจุดนั้น
หญิงสาวสอดส่ายสายตามองหารถแท็กซี่ และฉับพลันเธอก็เห็นแท็กซี่คันหนึ่งจอดส่งผู้โดยสารอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอรีบเรียกแท็กซี่คันนั้น แต่เสียงของเธอคงเบาเกินไป คนขับแท็กซี่จึงไม่ได้ยิน หญิงสาวรีบเดินกึ่งวิ่งข้ามทางม้าลายไปยังอีกฝั่ง โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีแสงไฟจากรถอีกคันสาดส่องมาจากทางถนนฝั่งของเธอ
กว่าจะรู้สึกตัวอีกที สองขาก็พาเธอก้าวมาถึงกลางถนนแล้ว...แต่ ณ เวลานั้น ขาของเธอไม่อาจวิ่งไปข้างหน้าหรือถอยหลังกลับได้เลย...
เอี๊ยดดด!!! โครม!!!
ความคิดเห็น |
---|