13

เผลอตัว

13

เผลอตัว

 

หลังจากรับประทานมื้อค่ำเสร็จ และกำลังจะเตรียมตัวขึ้นรถกลับนั้น พิมพ์พิสุทธิ์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ คุณหญิงชไมพรกับภูรินท์จึงยืนคอยที่ล็อบบีใกล้ๆ ห้องอาหารของโรงแรม

ภูรินท์หยิบมือถือขึ้นมาเช็กข่าวสารในแอปพลิเคชันต่างๆ อยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหา

“สวัสดีค่ะคุณน้า มาทานมื้อเย็นที่นี่หรือคะ” กิ่งกานดายกมือไหว้ทักทายคุณหญิงชไมพรเมื่อเห็นนางยืนอยู่ตรงนี้กับผู้ชายตัวสูง รูปร่างกำยำภายใต้เครื่องแต่งกายเรียบง่ายสะกดสายตาผู้หญิงหลายคนให้หยุดมองได้ รวมทั้งเธอด้วย

“อ้าวหนูกิ่ง! มาทานข้าวที่นี่เหมือนกันหรือจ๊ะ” นางชไมพรเอ่ยตอบบุตรสาวของเพื่อนที่นางเคยหมายตาไว้ให้บุตรชาย

“ค่ะ พอดีกิ่งนัดกับคุณแม่ไว้ที่นี่น่ะค่ะ แต่กิ่งมาก่อนเวลานิดหน่อยก็เลยกะว่าจะเข้าไปนั่งรอในร้าน แต่บังเอิญมาเจอคุณน้าเข้าพอดี กิ่งก็เลยแวะมาทักทายน่ะค่ะ” กิ่งกานดาตอบพร้อมยิ้มหวานประดับดวงหน้าสวยเผื่อแผ่ไปถึงคนข้างๆ คู่สนทนาด้วย ทั้งยังส่งสายตามองเขาผู้ชายตัวสูงๆ ข้างๆ นั้นเป็นใครกัน

“อ้อ! น้าลืมแนะนำไปเลย มัวแต่คุยกับหนูกิ่งเพลินเลย ขอโทษทีจ้ะ” คุณหญิงชไมพรบอกอย่างขำๆ

“นี่ภูรินท์ ลูกชายน้าเองจ้า ที่น้าเคยเล่าให้หนูกิ่งฟังบ่อยๆ ไงจ๊ะ ตาภูเพิ่งกลัแบจากเมืองนอกได้ไม่เท่าไหร่เองจ้ะ หนูกิ่งก็เลยอาจจะยังไม่คุ้นหน้าเท่าไหร่ เพราะงานสังคมอะไรลูกคนนี้ก็ไม่ยอมไปออกกับน้าเลย”

ได้ยินดังนั้นกิ่งกานดาก็ยิ้มกว้างอย่างยื่นไมตรีให้ ก่อนจะพนมมือไหว้ทักทายอีกฝ่าย เพราะเคยรู้มาจากแม่ของเขาว่าเขาอายุมากกว่าเธอสองสามปี 

“สวัสดีค่ะพี่ภูรินท์ ได้เจอตัวจริงเสียทีนะคะ กิ่งได้ยินคุณน้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับพี่ภูให้ฟังเยอะมากเลยค่ะ”

“ครับ สวัสดีครับ” ชายหนุ่มรับไว้ แล้วถือโอกาสพินิจมองคนตรงหน้า เดรสสวยหรูบนหุ่นบอบบาง แต่อวบอัดบางส่วน ทำให้เตะตาเป็นอย่างมาก 

“แล้วเป็นเรื่องดีหรือเปล่าล่ะครับที่ได้ยินมา” เขากล่าวติดตลก

“ก็หลายเรื่องเลยค่ะ มีดีบ้าง เกเรบ้างก็มี” รวมทั้งเรื่องที่เคยทาบทามเธอไว้ให้ไปเป็นลูกสะใภ้ด้วย พอมาเจอตัวจริงแบบนี้ค่อยน่าสนหน่อย กิ่งกานดาคิดในใจ

เมื่อได้พบเห็นก็อยากรู้จัก เมื่อได้รู้จักก็อยากคบหา ผู้ชายที่เพียบพร้อมและเหมาะสมกับเธอทั้งด้านฐานะ การศึกษา หน้าตาคงจะหาได้ไม่ง่ายเท่าไรนัก แบบนี้สิถึงจะเหมาะกับเธอ ฮึ! หญิงสาวยิ้มร้ายหมายมาดอย่างมั่นใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่เธออยากจะสานสัมพันธ์กับชายหนุ่มตรงหน้าให้มากกว่านี้ และเธอเองก็เชื่อว่าด้วยคุณสมบัติที่เธอมีอยู่ ผู้ชายร้อยทั้งร้อยปฏิเสธไม่ลงหรอก 

หลังจากคุยกับอีกฝ่ายอีกเล็กน้อย หญิงสาวก็เห็นว่าควรจะปลีกตัวออกมาได้แล้ว เพราะเดี๋ยวจะเป็นการเสียมารยาทเวลาที่เธอจะทำความรู้จักชายหนุ่มตรงหน้านั้นมีอีกมาก กิ่งกานดายิ้มสวยอย่างมั่นใจก่อนเอ่ยลาคนทั้งคู่ แล้วเดินเข้าห้องอาหารไป ประจวบกับที่หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนเรียบๆ ง่ายๆ กำลังเดินตรงมาที่สองแม่ลูก 

กิ่งกานดาเลยไม่ทันเห็นว่านอกจากสองแม่ลูกแล้ว ก็ยังมีบุคคลอีกหนึ่งคนที่มาด้วยในครั้งนี้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นว่าที่เจ้าสาว ของผู้ชายที่หมายตา หมายใจเอาไว้ซะดิบดีเสียด้วย

 

ขณะที่นั่งกินข้าวกับผู้เป็นมารดา กิ่งกานดาก็เอ่ยขึ้น “อ้อ! ตอนที่กิ่งเข้าห้องอาหารมาเดินสวนกับคุณน้าชไมพรด้วยนะคะ เห็นว่ามากับลูกชาย”

“หืม? จริงเหรอลูก เสียดายที่แม่ไม่ได้เจอ ไม่งั้นจะได้ชวนร่วมโต๊ะกันสักหน่อย นี่แม่ก็ไม่ได้เจอคุณหญิงร่วมสองเดือนเห็นจะได้” นางบุษบาเอ่ยกับบุตรสาว 

“ลูกบอกว่าเห็นคุณหญิงมากับลูกชายเหรอ”

“ค่ะ หน้าตาหล่อเหลา ดูภูมิฐานเชียวละค่ะ”

“หืม? พูดแบบนี้แสดงว่าลูกเริ่มสนใจลูกชายของคุณหญิงชไมพรขึ้นมาบ้างแล้วละสิ”

“ก็เมื่อก่อนได้ยินแต่คนยกยอสรรพคุณ มันก็เลยชวนทำให้ไม่น่าสนใจนี่คะ แต่พอมีโอกาสได้เจอตัวจริงเป็นๆ แบบนี้แล้ว ก็ค่อยน่าสนใจขึ้นมาหน่อย”

“ถ้าแม่จำไม่ผิด เคยได้ยินว่าเมื่อก่อนคุณหญิงเขาก็อยากได้ลูกไปเป็นลูกสะใภ้อยู่นา” นางบุษบาเอ่ยยิ้มๆ อย่างภูมิใจที่คุณหญิงชไมพรพูดจาราวกับอยากให้บุตรชายของตนมารู้จักคบหากับบุตรสาวผู้เพียบพร้อมของนาง

“โถ่ แม่ก็ นั่นมันเมื่อก่อนนี่คะ” หญิงสาวรับอย่างเขินนิดๆ มีจริตหน่อยๆ จะว่าไปกิริยาท่าทางของสองแม่ลูกถ่ายทอดโดยตรงถึงกันทางกรรมพันธุ์ 

 “เดี๋ยวนี้อาจจะไม่อยากได้แล้วก็ได้ เผลอๆ ลูกชายของคุณหญิงอาจจะมีคนรักแล้วก็ได้ค่ะ เพอร์เฟกต์ออกปานนั้น”

“เรื่องแบบนี้ก็ไม่แน่นะลูก ดูอย่างลูกแม่สิ ออกจะเพอร์เฟกต์ขนาดนี้ก็ไม่เห็นจะลงเอยกับใครสักที” นางเย้าบุตรสาวที่สวยเสน่ห์แรง แต่กลับยังไม่ถูกใจผู้ชายที่เข้ามาให้เลือกสรรอย่างมากหน้าหลายตา

“ก็ยังไม่เจอคนที่ถูกใจเลยนี่คะ เพราะฉะนั้นกิ่งก็ยังมีโอกาสเลือกอยู่”

“จ้า เอาเถอะ ลูกสาวแม่สวยเลือกได้อยู่แล้ว”

“อ้อ แม่คะ กิ่งว่าเราควรจะไปเยี่ยมคุณหญิงชไมพรที่บ้านบ้างนะคะ” หญิงสาวพูดยิ้มๆ อย่างมีเลศนัย และแน่นอนว่าผู้เป็นแม่ก็ย่อมเข้าใจความนัยนั้นดี 

“เอาสิลูก ก็ดีเหมือนกันนะ”

 

ราวสี่ทุ่มรถของคุณหญิงชไมพรก็มาส่งภูรินท์และว่าที่เจ้าสาวที่บ้านไร่ ทั้งเธอและเขาต่างเหนื่อยล้ากับการลองชุดและเตรียมงานแต่งกำมะลอ โดยเฉพาะพิมพ์พิสุทธิ์ที่รู้สึกเหนื่อยล้าราวกับกำลังแบกหินก้อนใหญ่เอาไว้ ไหนจะเรื่องที่กุขึ้นทั้งหมดที่ชายหนุ่มเป็นต้นคิด เรื่องราวเริ่มขมวดปมแน่นยากที่จะแกะออกได้ง่ายๆ ไม่เหมือนกับที่เคยคิดไว้สักนิด ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว 

“พริ้ม ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้วก็ลงมาเจอกันที่ข้างล่างหน่อยนะ” ชายหนุ่มรีบบอกหญิงสาวที่กำลังจะผละเข้าห้องของตัวเอง

หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“มีเรื่องจะคุยด้วยนั่นแหละ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จก็ลงมาแล้วกัน”

พิมพ์พิสุทธิ์เลิกคิ้วอย่างสงสัยยิ่งกว่าเดิม เขามีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกับเธอนะ

หญิงสาวใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่เกินยี่สิบนาทีก็ลงไปชั้นล่างตามที่ชายหนุ่มนัดหมายไว้ เขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวจึงนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา โดยมีโต๊ะตัวเล็กคั่นกลาง

“วันนี้พริ้มคงเห็นแล้วว่าเรื่องที่เรากำลังทำอยู่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไปแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นทันทีที่หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ 

หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย “ค่ะ”

“เรื่องมันเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ผมเองก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกันว่าแม่ผมจะบ้าจี้ตามไปด้วยแบบนี้ เพราะปกติผมก็คบผู้หญิงไปเรื่อยแบบไม่จริงจัง แต่ท่านก็ไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายอะไร แต่ไหงคราวนี้กลับดักทางผมซะแบบนี้ก็ไม่รู้ บางทีท่านอาจจะไม่เชื่อละมั้งว่าผมกับคุณเป็นคู่รักกันจริงๆ เลยหาทางแก้เผ็ดผมคืน” ชายหนุ่มแค่นยิ้มเล็กน้อย

พิมพ์พิสุทธิ์ฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มแหย ก็จะให้ดูเหมือนคู่รักกันจริงๆ ได้ยังไง ในเมื่อเธอและเขาเป็นแค่คนรู้จักกันเฉยๆ “พริ้มขอโทษค่ะ” เธอเอ่ยขอโทษเขาที่แสดงละครไม่แนบเนียนพอ

 “แต่ว่ายังไงพริ้มก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดีนะคะกับเรื่องนี้ เพราะเรื่องมันเริ่มบานปลายเข้าไปทุกทีแล้ว ถ้าจริงแบบที่คุณน้าว่า อีกสามอาทิตย์ก็ถึงวันแต่งงานแล้วนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเรื่องที่เธอเครียดและกังวลอยู่

“พริ้มว่าเราบอกความจริงกับท่านเถอะนะคะ ท่านอาจจะโกรธเราในตอนแรก แต่เชื่อเถอะค่ะว่าท่านต้องให้อภัยและหายโกรธแน่”

ภูรินท์ส่ายหน้าช้าๆ “มันสายเกินไปแล้วละพริ้ม เพราะทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว วันนี้คุณเองก็เห็น” วันนี้ทีมงานเวดดิงแพลนเนอร์สอบถามข้อมูลมากมายจากว่าที่บ่าวสาวเพื่อนำไปใช้ในการจัดเตรียมงานแต่ง

พิมพ์พิสุทธิ์หน้าเครียดหนักกว่าเดิมเมื่อชายหนุ่มพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่วายเอ่ย “แต่ว่า...เรายังหยุดมันได้นะคะ ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เพียงแค่คุณบอกความจริงกับคุณน้าท่านออกไป”

“เราโตๆ กันแล้วนะพริ้ม เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก สมมุติว่าบอกความจริงไปแล้ว แล้วงานแต่งที่เตรียมไปหมดแล้วล่ะ ผมเชื่อแน่ว่าแม่ผมไม่มีวันยอมให้จบเรื่องนี้ง่ายๆ แน่”

“แล้วทีนี้เราจะทำยังไงล่ะคะ งานแต่งก็กระชั้นเข้ามาทุกที” พิมพ์พิสุทธิ์จวนเจียนจะร่ำไห้พอฟังเขาพูดจบ ราวกับเด็กสาวที่โดนกดดันอย่างหนักเรื่องอนาคตและคณะที่อยากเรียนต่อ

“เราคงต้องแต่งงานกันจริงๆ”

“แต่งงาน!?”

พิมพ์พิสุทธิ์นิ่งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตากลมโตเบิกขึ้น เธออยากจะค้าน แต่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยกับความคิดของเธอ

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นมั้งคะ” เธอส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบเธอ เพียงแต่แย้งด้วยการส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วหรือคะ” เธอเอ่ยถามชายหนุ่มอย่างปลงตก 

ภูรินท์ส่ายหน้าช้าๆ “อ้อ! อีกอย่างคืออาทิตย์หน้าพวกเราต้องไปบ้านเกิดคุณนะ เพราะแม่ผมจะไปเจรจาสู่ขอพริ้มจากคุณแม่” 

ประโยคที่ได้ยินจากภูรินท์ทำเอาหญิงสาวอึ้งรอบสอง เพราะเธอเพิ่งจะติดต่อกลับไปหามารดาได้เมื่อไม่นานมานี้ แล้วมาหนนี้เธอจะต้องติดต่อกลับไปบอกข่าวท่านว่ากำลังจะพาครอบครัวฝ่ายชายไปหาเนื่องจากจะไปเจรจาสู่ขอเธอเนี่ยนะ ถ้าแม่เธอได้ยินข่าวแบบกะทันหันท่านจะไม่เป็นลมล้มพับไปหรอกหรือ

“ทำไมเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะคะ ทุกอย่างดูรวดเร็วไปหมด พริ้มเตรียมตัวไม่ทัน อีกทั้งพริ้มก็ยังไม่เคยเกริ่นเรื่องนี้กับแม่ด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้ท่านจะไม่ตกใจแย่หรือคะ”

ภูรินท์เห็นใบหน้านวลใสเคร่งเครียด คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นก็ใจไม่ดี “มันจำเป็นจริงๆ นะ พริ้มต้องเข้าใจ เรามาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว อีกทั้งฤกษ์แต่งก็กระชั้นชิดมาก”

“แต่เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ พริ้มเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าพริ้มจะช่วยพี่ภูได้หรือเปล่า”

“พริ้มอยากจำได้เร็วๆ พริ้มอยากกลับบ้าน ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” 

ความเครียดที่สะสมบวกกับถูกกดดันหลายเรื่องทำให้พิมพ์พิสุทธิ์ปวดหัวราวกับจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เธออยากจะกลับไปอยู่ในที่ที่เธอคุ้นเคย ที่ที่เธอเคยอยู่ ไม่ใช่พิมพ์พิสุทธิ์ที่จำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้ เลยต้องฝากชีวิตไว้กับคนอื่น

ภูรินท์เห็นอาการเครียดและเกร็งของหญิงสาวตรงหน้าก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง พิมพ์พิสุทธิ์เครียดจนเขากังวลว่าเธอจะไม่อยากอยู่ตรงนี้ และผลักไสเขาออกไปจากโลกของเธอ เพียงชั่วครู่ชายหนุ่มก็มายืนข้างกายหญิงสาวที่กำลังนั่งเครียดหลับตาแน่นสนิท มือกำแน่นทั้งสองข้าง ลำตัวเกร็งแน่นจนเขาต้องเอื้อมมือเขย่าตัวเธอเพื่อเอ่ยเรียกสติ “พริ้ม! พริ้ม!!”

“พริ้ม! ลืมตาสิพริ้ม!” เขาเขย่าร่างบางเพื่อเรียกสติและเรียกชื่อเธออยู่สองสามรอบ กว่าที่ร่างบางจะลืมตาขึ้นมามองเขา หน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของเธอทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อย สองแขนแกร่งโอบร่างบางเข้ามากอดปลอบประโลม มือหนาหยาบกระด้างแบบผู้ชายโลดโผนลูบศีรษะหญิงสาวขึ้นลงเบาๆ 

“เรื่องไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นเสียหน่อยนะพริ้ม พริ้มไม่เชื่อพี่หรือ พริ้มยังพึ่งพาพี่ได้นะ เราก็แค่แต่งงานกัน แต่งงานกันในนามเฉยๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เอง พอพริ้มความทรงจำกลับคืนมา เราก็แยกจากกันได้ เรื่องง่ายแค่นี้เอง พริ้มไม่ต้องกังวลเลยสักนิด เชื่อพี่นะครับ”

เสียงทุ้มนุ่มของเขาทำให้อาการเครียดและเกร็งของเธอค่อยๆ ดีขึ้น แต่ยังไม่วายแย้งออกไป “ไม่ มันเรื่องใหญ่ไป พริ้มทำไม่ได้หรอก”

“ไม่ใช่เรื่องยากเลยพริ้ม แค่แต่งงานกัน แค่จัดพิธีเฉยๆ”

“พริ้ม...” เสียงหวานเอ่ยแย้งอย่างคนหมดพลัง

“เชื่อพี่นะ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น”

“...”

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของพี่ เชื่อพี่ว่าทุกอย่างไม่ยุ่งยาก ทุกอย่างจะดีขึ้น”

“จริงหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ ดวงตากลมโตวาววับด้วยหยาดน้ำตา

“จริงสิครับ เชื่อพี่นะคนดี” ภูรินท์ยังคงกอดปลอบหญิงสาวอยู่ไม่ห่าง “พริ้มอย่าทำเหมือนเมื่อครู่อีกนะ สัญญากับพี่ได้มั้ย”

พิมพ์พิสุทธิ์พยักหน้ารับเบาๆ ทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่แสดงอาการอะไรออกไป ชายหนุ่มตรงหน้าถึงได้ตกอกตกใจขนาดนั้น

“เดี๋ยวพี่ไปหานมอุ่นๆ มาให้พริ้มดื่มก่อนนอนดีกว่าเนอะ จะได้หลับสบาย” ภูรินท์เอ่ยบอกก่อนจะเดินไปยังห้องครัว แต่พิมพ์พิสุทธิ์ก็เดินตามมาด้วย และนั่งมองชายหนุ่มหยิบนั่นจับนี่เพลินตา

“พี่ภูใจดีจัง” เธอยิ้มรับเมื่อเขาส่งแก้วนมที่อุ่นเสร็จมาให้

“อันนี้ก็แน่นอนอยู่แล้ว” ภูรินท์ยิ้มอย่างขันๆ รับคำชมจากคนตรงหน้าที่รับแก้วนมไป

“อย่าทำแบบเมื่อครู่อีกนะพริ้ม” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะมองหญิงสาวยกแก้วนมขึ้นดื่ม 

“พี่ตกใจมากที่เห็นพริ้มเป็นแบบนั้น เพราะเป็นความผิดของพี่ที่ขับรถชนพริ้มจนพริ้มความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้แบบนี้” ภูรินท์พูดอย่างเสียใจ

หลังจากดื่มนมหมดแก้วแล้ว พิมพ์พิสุทธิ์ก็วางแก้วเซรามิกลงตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างรู้สึกผิดไม่ต่างจากชายหนุ่มนัก “ค่ะ พริ้มขอโทษนะคะ”

ภูรินท์ยิ้มรับอย่างอ่อนโยนที่หญิงสาวรับปากเขา ครู่ต่อมาดวงตาดำขลับก็เหลือบไปเห็นคราบนมสีขาวที่เลอะติดมุมปากของหญิงสาว มือหนายื่นออกไปตรงหน้าก่อนจะใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบนมที่มุมปากเธอออก แม้พิมพ์พิสุทธิ์จะตกใจในตอนแรก แต่ก็ไม่ได้ลุกหนีหรือผละไป เนื่องเพราะจิตใต้สำนึกลึกๆ บอกเธอว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธอ

“กินเลอะเป็นเด็กๆ ไปได้นะเรา” ภูรินท์เอ่ยขำๆ ขณะเช็ดคราบนมจากริมฝีปากอิ่ม

หลังจากหายตกใจพิมพ์พิสุทธิ์ก็นิ่งค้างเพราะความอ่อนโยนที่ได้รับจากร่างสูงตรงหน้า หัวใจเต้นระส่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนจะรู้สึกว่าหน้าเธอร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า 

“ไม่ใช่สักหน่อย” เธอเถียงเสียงเบา

“นั่น! ยังไม่ยอมรับความจริงอีก” ภูรินท์พูดขึ้นเมื่อหญิงสาวตรงหน้าไม่ยอมรับความจริงที่เขากล่าวหา มือหนาจึงเอื้อมไปบิดจมูกโด่งเล็กที่รับกับดวงหน้างามพอดีอย่างมันเขี้ยว 

พิมพ์พิสุทธิ์รีบปัดมือหนาออกพัลวัน แต่ก็ไม่ง่ายเลยเพราะชายหนุ่มแรงเยอะกว่าเธออยู่มากโข สองมือบางปัดป้องแข่งกับมือหนาไปมา จนสุดท้ายมือหนาก็กุมชัยชนะ

สองมือบางถูกรวบไว้ในอุ้งมือหนาพร้อมกับใบหน้าของทั้งสองแทบจะชิดกันขนาดที่ว่ารับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ดวงตากลมโตเบิกโพลงขึ้นเมื่อรับรู้ว่าเธอใกล้ชิดกับเขามากเพียงใด

กลิ่นแชมพูอ่อนๆ จากผมยาวสลวยผนวกกับกลิ่นครีมอาบน้ำจากผิวกายสาวยิ่งกระตุ้นอารมณ์ความเป็นชายของภูรินท์ให้ตื่นขึ้น ดวงหน้านวลใสผุดผ่องแม้ปราศจากเครื่องสำอาง จมูกโด่งรั้นรับกับใบหน้าเรียวเล็ก อีกทั้งริมฝีกปากสีแดงระเรื่ออวบอิ่มนุ่มมือที่สัมผัสเมื่อครู่ก็เชื้อเชิญให้ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์อย่างเขาเข้าสัมผัสความงามนี้

ใบหน้าคมเข้มโน้มเข้าหาใบหน้างามเรื่อยๆ เป้าหมายอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มสีแดงระเรื่อแบบธรรมชาติ เมื่อไร้เสียงห้ามปราม ริมฝีปากบางก็ประทับลงบนเรียวปากอิ่มสีแดงระเรื่อ

ริมฝีปากบางขบเม้มกลีบปากอิ่มเล็กน้อย ก่อนจะใช้ปลายลิ้นไล้ไปตามริมฝีปากอวบอิ่ม ไม่นานก็เข้าไปควานหาความหวานจากคนตรงหน้า กวาดไล้ไล่สำรวจไปทั่ว ก่อนจะไล่ต้อนลิ้นเรียวเล็กที่คอยแต่จะถอยหนี มือหนาข้างหนึ่งล็อกท้ายทอยหญิงสาวให้อยู่นิ่ง เพื่อที่เขาจะได้สำรวจและดูดดื่มความหอมหวานรัญจวนใจได้อย่างเต็มอิ่ม

มือบางที่ผลักไสร่างสูงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนบัดนี้กลับเหลือจับยึดเสื้อชายหนุ่มไว้เป็นหลัก...เนิ่นนานกว่าที่ภูรินท์จะอิ่มหนำ ยิ่งได้ลองลิ้มก็ยิ่งเสพติด อยากจะกลืนกินให้มากกว่านี้

ไวเท่าใจคิด มือหนาอีกข้างที่เมื่อครู่ยึดมือบางไว้เปลี่ยนมาโอบกอดร่างบางเข้าไปแนบชิดเรือนกายแกร่งมากยิ่งขึ้น จนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกและความต้องการของเขาในขณะนี้

ชายหนุ่มลูบไล้ไปทั่วเอวบางก่อนจะวนกลับมาด้านหน้า และล่วงล้ำเข้าไปใต้ชายเสื้อยืดของหญิงสาว ผิวเนียนนุ่มละมุนมือของเธอยิ่งทำให้เขาเพลิดเพลินกับการตักตวงความหอมหวานในครั้งนี้จนเกือบสำลัก

ยิ่งเธอคล้อยตามการชักจูงแล้ว จูบครั้งนี้ยิ่งหอมหวานน่าหลงใหลเข้าไปอีก มือหนาที่สำรวจไปทั่วหน้าท้องแบนราบไร้ไขมันเลื่อนตำแหน่งขึ้นสูงไปยังเป้าหมายใหม่ คือทรวงอกงาม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น