ภูรินท์สังเกตเห็นว่าหญิงสาวยังไม่ได้หายโกรธเขาจริงๆ อย่างที่รับคำ ซึ่งข้อนี้เขาก็พยายามเข้าใจอยู่ ในเมื่อตัวเขาดันไปกระทำการจาบจ้วงแบบนั้น หล่อนไม่ตบเขาสักฉาดก็บุญโขแล้ว แต่เขาก็เพียรง้อมาสองสามวันแล้ว พยายามเอาอกเอาใจหญิงสาวสารพัด แต่เธอก็ยังใจแข็ง ไม่ยอมยิ้มให้เขาเลยสักครั้ง เพียงแค่พูดคุยด้วย แต่ไหงเวลาคุยกับคนอื่นถึงได้ยิ้มแย้มบ่อยนักก็ไม่รู้
เย็นวันนั้นหลังเลิกงานเขาจึงบังคับพาพิมพ์พิสุทธิ์ไปห้างในตัวเมืองด้วย ก่อนจะล่อหลอกหญิงสาวด้วยไอศกรีมเลิศรส และคงจะจริงที่เขาว่ากันว่าผู้หญิงชอบของหวาน เพราะหลังจากหญิงสาวกินเสร็จ คนที่หน้าบูดบึ้งเพราะโดนเขาลากมาเดินห้างด้วยก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นจนยิ้มออก ภูรินท์เห็นท่าทางเด็กๆ แบบนั้นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
อิ่มหนำจากไอศกรีมรสโปรดแล้วหญิงสาวก็รู้สึกถึงสายตาที่มองมา พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าภูรินท์นั่งยิ้มเท่อยู่ฝั่งตรงข้าม เธอมองเขาอย่างงงๆ จนเมื่อชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วคลี่ยิ้ม เธอก็เริ่มระแวงว่าเธอได้ทำอะไรเปิ่นๆ ออกไปหรือเปล่า
ภูรินท์เอ็นดูเธอยิ่งนัก อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วแต่ก็ยังกินเลอะอย่างกับเด็ก ชายหนุ่มค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะที่มุมปากของตนเพื่อแสดงให้พิมพ์พิสุทธิ์เห็นว่ามุมปากเธอเลอะ
แรกๆ หญิงสาวก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่พอมองดวงตาคมพราวระยับ เธอก็ยกมือขึ้นแตะมุมปากของตนเองแล้วก็พบว่ามันเปื้อนคราบไอศกรีม...มิน่าล่ะเขาถึงอมยิ้มแบบนั้น
พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นพิมพ์พิสุทธิ์ก็อดที่จะนึกไปเรื่องคืนนั้นไม่ได้ ก็ไม่ใช่เพราะคราบเลอะนมหรอกหรือ เธอกับเขาถึงได้จูบกันดูดดื่มแบบนั้น เพียงแค่นึกถึง พวงแก้มอิ่มก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ ลามไปทั่วดวงหน้างามอย่างห้ามไม่อยู่ จนคนตรงหน้าอดเย้าแหย่เธอไม่ได้
“หน้าแดงเชียว พริ้มแอบคิดเรื่องลามกอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
“บ้า! ไม่ใช่สักหน่อย” เธอขึงตาดุใส่เขา
“โกหกไม่เนียนเลยนะเราน่ะ” ภูรินท์ส่ายหน้าช้าๆ อย่างไม่เชื่อ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหน้าของพิมพ์พิสุทธิ์มากขึ้น เพื่อกระซิบถ้อยคำให้ได้ยินเพียงเขาและเธอ
“ลามกกว่าที่คิดนะเรา” กล่าวหาเสร็จ คนตัวสูงก็ยิ้มกว้างแล้วหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเดินไปชำระค่าไอศกรีมโดยไม่สนคนตัวบางที่ทำหน้ามุ่ยปากขมุบขมิบตามหลังเขา
ไม่นานภูรินท์ก็พาหญิงสาวมาเข้ามายืนในร้านเพชรแบรนด์ดัง ก่อนจะเอ่ยถามพนักงานว่า
“ผมอยากได้แหวนเพชรที่ใส่ได้ทุกวัน ไม่ใหญ่เทอะทะจนเว่อร์เกินไปครับ”
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนลูกค้าเชิญทางนี้ได้เลยค่ะ ทางร้านของเรามีหลากหลายรูปแบบให้เลือกนะคะ ฝั่งนี้จะเป็นสินค้าตัวใหม่ล่าสุดที่เพิ่งวางขายหน้าร้านเลยค่ะ” พนักงานของร้านแนะนำอย่างยิ้มแย้ม
“พริ้มว่าวงไหนสวย” ภูรินท์เอ่ยถามคนข้างกายเขาที่ยืนนิ่งเงียบอยู่
พิมพ์พิสุทธิ์เลิกคิ้วก่อนจะยกมือชี้ตัวเอง “ถามพริ้มหรือคะ”
“อืม ถามพริ้มนั่นแหละ จะให้ไปถามสาวที่ไหนอีกล่ะ” เขาเอ่ยย้ำ
พิมพ์พิสุทธิ์คิดว่าชายหนุ่มแค่ขอความเห็นเธอในการเลือกแหวนจึงไม่คิดอะไร และกวาดสายตามองแหวนมากมายที่วางเรียงรายกันอยู่ ก่อนจะไปสะดุดตาเข้ากับแหวนเพชรดีไซน์เรียบแต่แอบเก๋วงหนึ่งเข้า จึงชี้ให้ชายหนุ่มดู “พริ้มว่าวงนี้สวยดีค่ะ เรียบๆ แต่ก็เก๋ดี”
ชายหนุ่มมองตามก่อนจะเห็นด้วยกับที่หญิงสาวคิด แล้วจึงเอ่ยกับพนักงานขาย “งั้นผมขอดูแหวนวงนี้ไซซ์ผู้หญิงแล้วก็ไซซ์ผู้ชายอย่างละวงครับ”
พนักงานขายยิ้มรับ ก่อนจะนำแหวนมาให้ทั้งคู่ดู และเพียงไม่นานก็ปิดการขายได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะเอ่ยขอตัวไปจัดการกับสินค้า แล้วกลับมาพร้อมถุงเครื่องเพชรที่บรรจุแหวนเพชรสองวงที่แบบเหมือนกันเป๊ะ แต่แตกต่างกันที่ขนาด
“ยื่นมือมาสิ” ภูรินท์เอ่ยขอมือหญิงสาว
หญิงสาวงงๆ เบลอๆ จับต้นชนปลายยังไม่ถูก ภูรินท์จึงเอื้อมมือหนาไปยกมือบางขึ้นมา ก่อนจะหยิบกล่องแหวนไซซ์ของผู้หญิงขึ้นมา เปิดฝากล่องแล้วหยิบแหวนวงนั้นมาสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของพิมพ์พิสุทธิ์
“อีกไม่กี่วันก็ต้องไปพบคุณแม่พริ้มแล้ว สวมไว้ก่อนแล้วกัน ท่านจะได้ยอมยกพริ้มให้” ภูรินท์ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจนิดๆ ขณะบรรจงสวมแหวนให้หญิงสาว
พิมพ์พิสุทธิ์ตกใจตาโตที่จู่ๆ ชายหนุ่มก็มาสวมแหวนให้ “ให้พริ้มใส่ทำไมคะ”
“คนจะแต่งงานกันก็ต้องมีแหวนแต่งงานสิ” ภูรินท์อธิบาย “ส่วนนี่ก็แหวนของผม อ้ะ พริ้มช่วยใส่ให้หน่อยสิ” เขาว่าก่อนจะยื่นกล่องแหวนไปให้หญิงสาว
“เร็วๆ สิพริ้ม ให้คอยนานแบบนี้อายคนอื่นเขานะ” ภูรินท์เร่งขณะมองไปรอบๆ ร้านที่พนักงานและลูกค้าประปรายยืนมองมายิ้มๆ
หญิงสาวรีบข่มกลั้นความเขินอาย ก่อนจะหยิบแหวนมาสวมให้คนร่างสูงตรงหน้า
“ภารกิจเสร็จสิ้นไปอีกอย่าง”
ชายหนุ่มยิ้มร่าอย่างดีใจที่อะไรหลายๆ อย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น จากนั้นจึงจับจูงพาหญิงสาวไปยังชั้นที่มีโรงภาพยนตร์ และเลือกภาพยนตร์โดยไม่ถามความสมัครใจของเธอเลยสักนิดว่าอยากดูด้วยหรือเปล่า
ที่นั่งแบบฮันนีมูนซีตเป็นที่นั่งที่ชายหนุ่มเลือก เขาอ้างว่ากว้างและค่อนข้างเป็นส่วนตัว แม้ว่ารอบนี้คนดูไม่ค่อยเยอะเท่าไร แต่เขาบอกว่าไม่อยากนั่งที่แคบๆ แล้วคนเดินไปมา
ภาพยนตร์ที่ภูรินท์เลือกดูเป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวไซไฟ สร้างมาจากนวนิยายขายดีติดอันดับโลก แรกๆ เธอก็ไม่ได้อยากดูเท่าไร แต่พอได้ดูเท่านั้นละก็รู้สึกว่ามันสนุกมาก สนุกจนกระทั่งลืมกินป๊อปคอร์นกับเป๊ปซี่ที่ซื้อเข้ามา จนกระทั่งหนังจบและเดินออกจากโรงฉาย ชายหนุ่มก็เลยเอ่ยแซวเธอ
“ซื้อมา ไหงไม่กินล่ะ”
“ก็พริ้มดูหนังเพลินไปหน่อย ก็เลยลืมกิน”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกหญิงสาวให้ยืนคอยเขาสักครู่ เมื่อเขาพาเธอลงบันไดเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ชั้นโซนอุปกรณ์ไอที “พริ้มรออยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกันนะ แป๊บนึง เดี๋ยวพี่มา ไม่นานหรอก” ภูรินท์บอกแล้วปลีกตัวไปรับกล้องถ่ายรูปที่ส่งเข้าศูนย์ไป
“อ้อ ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำเขาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือสุดหรูออกมาเล่นเกมแก้เบื่อขณะรอภูรินท์ไปทำธุระ
สักพักพิมพ์พิสุทธิ์ก็รู้สึกว่ามีคนเดินมาหยุดยืนข้างๆ เธอ ซึ่งน่าจะเป็นภูรินท์ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นพร้อมถามว่า “ทำไมไปเร็วจัง...”
แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้น...ไม่ใช่ภูรินท์!
“พริ้ม”
ความคิดเห็น |
---|