บทที่ ๕
“มันกล้าทำกับลูกขนาดนี้เลยเหรอ”
เสียงพิสมัยที่ดังออกมาจากห้องนั่งเล่นทำให้จีรภาซึ่งเพิ่งกลับมาจากทำงานรีบเดินไปหา แม้ยังไม่เห็นตัวแต่ก็พอรู้ว่าน่าจะเกิดเรื่อง นานแล้วที่ไม่เห็นมารดาเสียงสูงปรี๊ดแตกแบบนี้
“ดูเหมือนไม่ใช่มันสักนิด นังเด็กนั่นน่ะเหรอจะกล้าลงไม้ลงมือกับใคร อย่างมากมันก็แค่นั่งร้องไห้”
“ถ้าภัคไม่เห็นกับตา ไม่เจอกับตัวเอง ภัคก็แทบไม่อยากเชื่อ” ภัคธิดาที่ปากบวมเป่งยังคงแค้น “แล้วนี่พี่ภีมอยู่ไหนคะ ภัคจะเอาหน้าไปให้พี่ภีมดู จะได้รู้ว่านังพะแพงนั่นร้ายแค่ไหน”
“ไม่อยู่แล้ว คุยกับทนายสุพลเสร็จก็ออกไปเลย บอกว่าจะไม่อยู่บ้านสักอาทิตย์ ดูสิ แม่อุตส่าห์นัดหนูแพรไหมให้ นี่คงต้องโทร. ไปขอโทษ ว่าแต่หนูแพรไหมอยู่ด้วยไหมตอนที่ลูกโดนนังพะแพงตบน่ะ”
“พะแพง...คุณแม่ว่าใครตบพี่ภัคนะคะ” จีรภายังคงจับต้นชนปลายบทสนทนาของมารดากับพี่สาวไม่ได้ “พี่ภัคไปเจอพี่พะแพงเหรอคะ เจอที่ไหนคะ แล้ว...”
“แกจะถามทำไม!” ภัคธิดาตวาดน้องสาวอย่างที่เคยทำ ยิ่งเห็นสีหน้าดีใจของอีกฝ่ายยิ่งทำให้หงุดหงิด เพราะรู้ว่าที่ผ่านมาจีรภาไม่เคยช่วยเธอและมารดาจัดการปัญหาของเจนสุดาสักนิด ออกแนวช่วยแก้ต่างให้ด้วยซ้ำ แต่เพราะเด็กสุดในบ้าน มีปากเสียงน้อยสุดจึงได้แต่เงียบ “แกอยากเจอมันงั้นเหรอ!”
“เปล่าค่ะ จีแค่แปลกใจที่ไม่มีใครเจอพี่พะแพงเลยตลอดห้าปี ไม่คิดว่าพี่ภัคจะไปเจอ แถมปากเจ่อกลับมา มันน่าตกใจนะคะที่พี่ภัคโดนคนอื่นเล่นงาน แล้วยิ่งบอกว่าเป็นฝีมือของพี่พะแพง จีแทบไม่อยากเชื่อ คิดว่าหูฝาดไปน่ะค่ะ”
จีรภาไม่ได้มีเจตนาจะเยาะเย้ยพี่สาว แต่คำพูดนั้นแทงใจภัคธิดา เธอทำท่าจะพุ่งมาเล่นงานน้องสาวที่เพิ่งขยับถอยอย่างเคยชิน แต่ก่อนที่พี่จะถึงตัว พิสมัยก็ห้ามไว้ก่อน
“ไม่เอาน่าลูก อย่าเปลืองมือกับยายจีเลย” บอกลูกสาวคนโปรด ก่อนจะหันมามองตาเขียวใส่ลูกสาวคนเล็กที่ไม่เคยได้รับความสนใจ “แกจะไปไหนก็ไป แล้วก็โทร. หาตาภีมด้วย ถามมาให้ได้ว่าพี่ชายแกอยู่ที่ไหน จะทำอะไร”
“ค่ะ” คนในบ้านนี้รู้ดีว่า ถ้าจะมีคนที่คุยกับอติรุจได้ดี ก็คงเป็นจีรภา
“ทำให้ได้ล่ะ แล้วก็ไม่ต้องเอาเรื่องที่ยายภัคเจอนังพะแพงไปบอกตาภีมล่ะ ไม่งั้นฉันเอาแกตาย ไปได้แล้ว!”
“ค่ะ” เมื่อเห็นมารดาเข้าไปโอ๋ลูกคนโปรด จีรภาจึงถอยออกไปเงียบๆ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พี่สาวเป็นคนไม่รู้จักโต เอาแต่ใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงน้อยใจที่ไม่เคยได้รับการปกป้อง แต่เมื่อโตขึ้นก็มองโลกได้กว้างขึ้น นึกย้อนไปแล้วก็รู้สึกดีเสียด้วยซ้ำที่ไม่ถูกเอาใจจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ
“ฮัลโหลค่ะ พี่ภีม” จีรภาโทรศัพท์หาอติรุจเมื่อขึ้นมาบนห้องนอน คู่สายรับสายเธอเสมอ
“ว่าไงจี โทร. หาพี่มีอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีจีเลิกงานกลับมาถึงบ้านแล้วไม่เจอพี่ภีมเลยโทร. หาค่ะ ว่าจะชวนออกไปหาอะไรกินข้างนอก” เธอโกหกไม่ค่อยแนบเนียนอย่างเคย และนั่นก็ทำให้อติรุจรู้ทัน “ตอนนี้พี่ภีมอยู่ไหนคะ”
“พี่ขับรถไปเขาใหญ่ นัดเพื่อนไปเดินป่ากันน่ะ” เขาให้คำตอบที่จะไม่ทำให้จีรภาโดนเล่นงานแม้ต้องโกหก “นัดกับเพื่อนไว้นานแล้วละ ขอโทษนะ ไว้กลับไปพี่จะชดเชยให้ ว่าแต่วันนี้เป็นไงบ้างไปทำงาน เริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานรึยัง”
“ก็ดีค่ะ ทำงานที่ห้องสมุดไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นหรอกค่ะ”
อติรุจจะใจดีกับจีรภาเสมอ ผิดกับภัคธิดาที่เขาจะแสดงออกต่างไป คือออกแนวต้องปรามมากกว่า
“ก็ดีแล้ว พี่คงหายไปสองสามวันนะ ในป่าคงไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์”
“ค่ะ ไว้จีจะบอกคุณแม่ให้นะคะ” น้ำเสียงที่ตอบเขากลับมามีความเศร้า คงเพราะใจหายที่พี่จะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ
“แต่ถ้าจีมีเรื่องด่วนก็โทร. มาได้นะ เผื่อมีสัญญาณ”
“ขอบคุณค่ะพี่ภีม” เสียงน้องสาวสดใสขึ้นทันที “ไว้จีโทร. หานะคะ ดูแลตัวเองด้วยค่ะ”
จีรภาวางสาย ดวงหน้ามีรอยยิ้ม เธอมองออกไปทางประตู แล้วนึกถึงเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่
“พี่พะแพงกลับมาเมืองไทยเหรอ...เราควรบอกพี่ภีมมั้ยนะ”
อติรุจบอกจีรภาว่าไปเดินป่าที่เขาใหญ่ แต่ความจริงขับรถกลับบ้านต้นลำพู ถึงแม้สุพลจะแนะนำให้เขาอยู่ห่างเจนสุดาและหวันยิหวาไว้ก่อน ไม่ควรทำอะไรไปตอนที่ยังไม่รู้ข้อมูลของอีกฝ่าย ทนายหนุ่มขอเวลาไม่เกินสามวัน เขาสัญญาว่าจะเอาข้อมูลที่เกี่ยวกับเจนสุดาในรอบห้าปีมาให้ได้ ถึงแม้จะรับปากไปแล้ว แต่สุดท้ายใบหน้าของหวันยิหวาก็ลอยขึ้นมากวนจิตใจให้ทนนิ่งเฉยไม่ไหว กว่าจะมาถึงบ้านเรือนไทยประยุกต์หลังใหญ่ก็ดึกมากแล้ว
นายชุมและนางนวลรู้สึกโล่งใจที่เห็นผู้เป็นนาย แม้จะถูกปลุกหลังเที่ยงคืน ทั้งคู่ก็ไม่ได้หงุดหงิดสักนิด นายชุมลุกขึ้นมาเปิดประตู ขณะที่นางนวลรีบไปต้มน้ำชงกาแฟให้ทันทีที่ผู้เป็นนายขอ กาแฟร้อนหอมฉุยถูกนำมาเสิร์ฟที่ห้องระเบียงฝั่งซ้ายซึ่งมองออกไปเห็นหลังคาข้างบ้านอยู่ท่ามกลางดงไม้สูง
“กลับไปนอนกันเถอะ ขอโทษนะที่ทำให้ตื่นกลางดึก” อติรุจหันมาบอกสองสามีภรรยา แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้ออกไปผู้เป็นนายก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “แตงหวานแวะมาบ้างมั้ย”
“วันนี้ไม่เห็นเลยค่ะ นังอ้อยคงพาไปเล่นที่สวนฝั่งโน้นค่ะ” นางนวลตอบ คอยสังเกตสีหน้าผิดหวังของผู้เป็นนาย ถึงมีเรื่องอยากถามมากมาย แต่สุดท้ายก็ได้แต่เก็บงำไว้ เดินออกไปพร้อมสามี
เมื่อถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง อติรุจลุกจากเก้าอี้ไปยืนพิงขอบระเบียง ทอดสายตาผ่านความมืดไปที่บ้านอีกหลัง แสงไฟที่กระจายอยู่รอบตัวบ้านทำให้เห็นหลังคาที่บางส่วนถูกบดบังด้วยต้นไม้สูง ห้าปีก่อนต้นไม้ไม่ได้สูงอย่างทุกวันนี้ ตอนนั้นเขายังสามารถเห็นระเบียงห้องนอนของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารักมาก...
ไม่ใช่สิ ตอนนี้เขาไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นแล้ว เธอก็เป็นแค่คนที่เขาเคยรักมาก
แล้วเขาเริ่มหมดรักเธอเมื่อไรกัน...นึกไม่ออก หรือความจริงแล้ว...เขาไม่เคยหมดรักเธอ
‘คุณยังอารมณ์เสียที่พูดถึงเธอ แสดงว่าคุณยังไม่ลืมเธอ คุณยังรักเธอ ไม่อย่างนั้นคุณก็คงยอมแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ ที่แม่คุณ น้องคุณพยายามจับคู่ให้ หรือไม่ก็ยอมขอริต้าแต่งงานไปแล้ว เรารู้จักกันมานานแล้วนี่ น่าจะแต่งกันได้แล้วนะ’
ใช่...เขาไม่เคยหมดรักผู้หญิงคนนั้น แต่เขาโตพอจะรู้ว่าใครมีค่าพอให้รัก
“เธอไม่มีค่าพอจะให้ฉันรักหรอกเจนสุดา ผู้หญิงเลือดเย็นอย่างเธอไม่สมควรที่ฉันจะรัก ที่ผ่านมาฉันทำถูกแล้ว ฉันมีชีวิตที่ดีได้โดยไม่มีเธอ แต่ไม่ใช่กับแตงหวาน ถ้าแตงหวานเป็นลูกฉัน ฉันควรได้ทำหน้าที่พ่อ เธอไม่มีสิทธิ์พรากความเป็นพ่อของฉันไปจากลูก แตงหวานมีสิทธิ์รู้ว่าพ่อของเขารักเขาแค่ไหน พ่อของเขาอยู่ตรงนี้ พ่อของเขาไม่ได้อยู่บนสวรรค์กับพระเจ้าอย่างที่แม่เลือดเย็นอย่างเธอพร่ำบอก”
อติรุจได้แต่เฝ้ามอง ตั้งคำถามมากมาย ย้อนถามตัวเองอยู่ซ้ำๆ โดยไม่รู้ว่าไกลออกไป บนระเบียงห้องที่เขาเคยเฝ้ามองเมื่อห้าปีก่อน ผู้หญิงคนเดิมยังคงออกมายืนอยู่ตรงนั้น เธอยังเฝ้าคิดถึงเรื่องของเขาอย่างที่เขาคิดเรื่องของเธอ เพราะการพบเจอภัคธิดาเมื่อกลางวันทำให้ความรู้สึกผูกติดที่มีต่อสามีเพียงคนเดียวหวนกลับมาเด่นชัด มันชัดเจนจนไม่อาจข่มตาหลับได้ แม้อยู่ต่อหน้าคนอื่นจะทำเป็นเข้มแข็ง แต่สุดท้ายก็อดหวั่นไหวไม่ได้ หวนนึกถึงเรื่องในวัยเยาว์...
สิบปีก่อน
เด็กหญิงเจนสุดามักออกมานั่งอ่านหนังสือที่ท่าน้ำเสมอยามที่ตายายไปทำงานในสวนผลไม้ แม้จะเป็นเด็กที่โตมากับบ้านริมน้ำ แต่เด็กหญิงว่ายน้ำไม่เป็นเพราะมีความทรงจำอันเลวร้ายเกี่ยวกับการเรียนว่ายน้ำครั้งแรกในชีวิต การเรียนที่ทำให้พ่อจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็กลายเป็นปมในใจที่ทำให้เธอไม่กล้าเรียนว่ายน้ำอีกเลย เธอยอมปั่นจักรยานไปเรียนวันละเกือบห้ากิโล แทนการนั่งเรือข้ามฟากเพราะกลัว
ด้วยความกลัวนี้ทำให้เธอไม่เคยย่างกรายเข้าใกล้ริมตลิ่ง อย่างมากก็มานั่งตรงศาลาอย่างที่ทำทุกๆ วัน เพราะลมที่โชยผ่านผิวน้ำทำให้เย็นสบาย เด็กสาวอ่านหนังสือตรงนี้ได้ทั้งวัน ด้วยความที่เป็นเด็กกำพร้า เจนสุดาจึงตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี ช่วยตายายทำงานบ้าน ทำงานเสร็จก็อ่านหนังสือ ไม่เคยออกไปวิ่งเล่นที่ไหน วันนี้ก็เช่นกัน หลังเสร็จงานบ้าน เธอออกมานั่งอ่านหนังสืออย่างสบายใจ กระทั่งการมาของเด็กผู้หญิงสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนชอบแกล้ง เจนสุดาจึงไม่ชอบ เมื่อเห็นก็คิดจะเดินเลี่ยงอย่างคนไม่ชอบมีปัญหาด้วย
‘เห็นฉันมาแล้วหนีเหรอ เอามานี่’ เด็กหญิงคนแรกเข้าไปกระชากสมุดการบ้านจากมือเจนสุดา เธอพยายามจะคว้าคืนแต่ไม่ทัน ได้สมุดไปก็ไม่เอาไปเปล่าๆ ยังเปิดดูข้างใน ทำให้รูปถ่ายใบหนึ่งตกลงพื้น ปลิวไปใกล้ท่าน้ำ
‘อย่าตกน้ำนะ’ เจนสุดารีบก้มลงไปคว้า แต่ช้าไปเมื่ออีกฝ่ายใช้เท้าเหยียบมือเธอเต็มแรง ‘โอ๊ย!’
ความเจ็บทำให้ดึงมือกลับ แต่เด็กหญิงช่างแกล้งก็แบะปากไม่ได้รู้สึกผิด ก่อนจะก้มลงหยิบรูปนั้นขึ้นมาดู
‘คืนรูปให้แพงเถอะค่ะ คุณภัค’ เธออ้อนวอนทั้งที่ยังลูบมือที่เจ็บ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีท่าทีจะคืนให้ ‘นั่นคือรูปครอบครัวใบเดียวที่แพงมี ขอเถอะนะคะ คืนให้แพงเถอะ’
‘คืนให้พี่พะแพงเถอะค่ะพี่ภัค’
‘อย่ายุ่งน่ายายจี! แล้วแกไปนับพี่น้องกับยายเด็กบ้านสวนนี่ทำไม หรืออยากให้ฉันตัดพี่ตัดน้องกับแก!’ ภัคธิดาตวาดน้องสาวก่อนจะหันมาทำหน้ายียวนใส่เจนสุดา ‘รูปนี้ฉันเก็บได้ ฉันจะทำอะไรก็ได้ จะทิ้งก็ได้ จะฉีกทิ้งก็ได้’
‘อย่านะคะ’ เจนสุดาทำท่าจะร้องไห้ จีรภาสงสารเลยช่วยพูด
‘พี่ภัคอย่าเกเรสิคะ รูปของพี่แพงคืนให้เขาไปเถอะค่ะ’
‘แกอย่ามาเสือกได้มั้ยยายจี อย่าริมาสั่งฉัน!’
‘ถ้าพี่ภัคไม่คืนให้พี่พะแพง จีจะฟ้องคุณพ่อ’
‘แกกล้าเหรอ ถ้าแกฟ้องคุณพ่อ ฉันจะให้คุณแม่หวดแกให้ยับเลย!’
คำขู่กลับเหมือนได้ผล จีรภาดูกลัวจึงก้มหน้า ในขณะที่เจนสุดาได้แต่ยกมือไหว้ แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจ เธอเดินถอยไปใกล้ท่าน้ำ แล้วปล่อยรูปนั้นตกลงไปในน้ำ
‘อยากได้ก็ลงไปเอา’
แม้จะห่วงรูปที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ แต่เจนสุดาก็รู้ว่าเธอว่ายน้ำไม่เป็น จึงมองหาไม้เพื่อเอาไปเขี่ยรูปใบนั้น ความที่มัวแต่ตั้งใจดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จึงไม่ทันเห็นว่าภัคธิดายกเท้าขึ้นถีบเธอเต็มแรง
ตูม!
เสียงน้ำแตกกระเซ็นดังขึ้นพร้อมเสียงกรีดร้องอย่างตกใจของเด็กหญิงสองคน มีเพียงอีกคนที่ไม่ได้ใส่ใจ ยังคงหัวเราะก่อนจะเดินสะบัดก้นออกไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้สนใจอาการตะเกียกตะกายของเจนสุดา
‘ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย คนจมน้ำ ช่วยด้วยค่ะ พี่พะแพงจมน้ำ’
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เจนสุดาได้ยิน เธอรู้สึกกลัว อึดอัด สำลักน้ำเข้าไป ร่างค่อยๆ จมดิ่ง ความทรงจำในวัยเด็กผุดขึ้นมาให้หวาดกลัว เธอกำลังจะตาย กำลังจะจมน้ำตาย กลัว กลัวเหลือเกิน...
พ่อขา แม่ขา คุณยาย ตาจ๋า ช่วยแพงด้วย ช่วยพะแพงด้วย แพงยังไม่อยากตาย...คำอ้อนวอนที่ไม่มีใครได้ยิน คนหวาดกลัวสิ้นหนทางไม่เหลือแรงตะเกียกตะกายขึ้นหายใจแล้ว ไม่ไหวแล้ว
ร่างเด็กน้อยเคราะห์ร้ายค่อยๆ ดำดิ่ง ผิวน้ำด้านบนเริ่มนิ่ง
‘ตรงนั้นค่ะ พี่ภีม พี่พะแพงจมลงตรงนั้น ตรงหน้าบันไดนั่น!’
สิ้นเสียง ผิวน้ำถูกรบกวนอย่างแรง เด็กผู้ชายวัยรุ่นร่างสูงโปร่งกระโจนลงน้ำ ดำหายไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นมาหายใจ แล้วดำลงไปใหม่ คราวนี้กลับขึ้นมาพร้อมร่างไร้สติของเจนสุดา
‘พี่พะแพงอย่าเป็นอะไรนะ พี่ภีม ทำไมพี่พะแพงนิ่งไปแล้ว พี่พะแพงไม่หายใจแล้ว’
‘พะแพง...จีถอยออกไปก่อน พี่จะช่วยผายปอด’
ในช่วงเวลาที่ความเย็นเกาะขั้วหัวใจของคนสิ้นหวัง สัมผัสจากริมฝีปากอุ่นพร้อมลมที่เป่าเข้าปอดทำให้รู้สึกตัว แรงกดที่หน้าอกทำให้รับรู้ว่าถ้าต้องการอยู่รอดต้องพยายาม...พยายามหายใจ หายใจด้วยตัวเอง
‘พี่พะ...แพง พี่พะแพงฟื้นแล้ว...พี่ภีม พี่พะแพงรู้สึกตัวแล้ว’
สิ่งแรกที่เจนสุดาเห็นเมื่อลืมตาขึ้น คือใบหน้าของรุ่นพี่คนหนึ่ง คนที่เธอเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก ใบหน้าที่เปียกน้ำของเขามีรอยยิ้มแสนใจดี ตัวเขาเปียกไปหมด
‘ปลอดภัยแล้วนะสาวน้อย ชื่อพะแพงใช่มั้ย เคยได้ยินยายจีพูดถึง ได้เจอตัวจริงก็วันนี้ พี่ชื่อภีมนะ’
‘พี่ภีม...พี่ช่วยแพงเหรอคะ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่ช่วยแพงแล้วพี่ไม่ตาย...’
เจนสุดาร้องไห้โฮ สร้างความตกใจให้คนมาช่วยอย่างอติรุจรวมถึงจีรภาไม่น้อย
‘ขอบคุณที่พี่ไม่ตายเหมือนพ่อ พ่อแพงช่วยแพงแล้วพ่อต้องตาย’
ในวันนั้นเจนสุดาไม่รู้ว่าทำไมรุ่นพี่คนนั้นจึงดึงเธอเข้าไปกอดพร้อมพูดปลอบประโลม คำพูดที่ทำให้เธอหัวเราะออกมาได้
‘พี่ไม่เป็นไรหรอก อย่าร้องเลยนะ ร้องแบบนี้เดี๋ยวคนขับเรือผ่านไปมาก็เข้าใจผิดว่าพี่แกล้งพะแพงหรอก’
นับตั้งแต่วันนั้นเจนสุดาก็ไม่เคยละสายตาไปจาก ‘พี่ภีม’ ได้อีกเลย แม้กระทั่งวันนี้ วันที่เขาทำให้เจ็บปวด เธอก็ไม่เคยรักใครได้อีก ไม่เคยอยากอยู่ใกล้ใครเหมือนพี่ชายคนนั้น ไม่เคยอยากให้ใครมาเป็นพ่อของลูกเท่ากับเขา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้คิดอย่างเธอ เขาไม่ต้องการเธอ ไม่ต้องการลูก
“พอได้แล้วแพง อย่าไปคิดถึงเขาอีก เขาไม่ใช่พี่ภีมคนเดิมคนนั้นอีกแล้ว” เจนสุดาบอกตัวเองอย่างขมขื่น ได้แต่ซุกหน้าสะอื้นไห้กับเข่าตัวเอง
แม้จะพยายามบอกตัวเองซ้ำๆ ให้ลืมสักเท่าไร
แต่ใจยังคงทำไม่ได้เลยสักครั้งเดียว
“แกว่าอะไรนะ” นางนวลไม่อยากเชื่อสิ่งที่น้ำอ้อยบอก “คุณหนูแตงหวานบอกว่าอยากมาหาคุณภีม ฉันได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย เธอจะมาชวนคุณภีมกินส้มโอด้วยกัน?”
ส้มโอที่ถูกเอ่ยถึงคือส้มโอเนื้อขาวที่แกะใส่จานมาเต็ม มีน้ำอ้อยถือ แล้วเด็กตัวจ้อยที่ถูกเอ่ยถึงก็ยืนเงยหน้ามองผู้ใหญ่สองคนคุยกัน ยิ้มแป้นเอียงคอไปมาเหมือนตุ๊กตาเด้งดึ๋งน่าเอ็นดู เข่าที่เปื้อนบ่งบอกว่าเพิ่งลอดรั้วตรงทางหมาผ่านมา น้ำอ้อยก็มีชะตากรรมเดียวกัน แต่เธอดูจะลำบากหน่อยเพราะตัวใหญ่กว่า ผมเผ้าจึงดูฟูๆ เพราะโดนกิ่งไม้เกี่ยว
“ใช่ป้า ฉันก็สงสัย น้องแตงหวานติดใจอะไรคุณลุงภีม ว่าแต่คุณลุงภีมนี่ใครเหรอป้า” น้ำอ้อยยังออกอาการงง “ฉันถามน้องแตงหวานก็บอกแต่ว่าเป็นคุณลุงใจดี”
“ก็เป็นคุณลุงใจดี แบ่งส้มโอให้แตงหวาน แตงหวานเลยเอาส้มโอมาฝากค่ะ”
“เหรอคะ” นางนวลยิ้มให้เด็กน้อย ก่อนจะหันมาถามน้ำอ้อย “หนูพะแพงรู้รึเปล่า”
“คุณแม่ขาอนุญาตค่ะ”
“ไม่จริงมั้งคะ” นางนวลเหวอ น้ำอ้อยก็ส่ายหน้าไม่แน่ใจ ในขณะที่คนตัวจ้อยผงกศีรษะ
“จริงค่ะ แล้วคุณลุงภีมอยู่มั้ยคะ หนูจะมาหาคุณลุงภีมค่ะ”
“เอ่อ...” นางนวลทำอะไรไม่ถูก “คุณภีม...ยังไม่ลงมาจากห้องเลยค่ะ”
พอบอกอย่างนี้หวันยิหวาก็ทำหน้ายุ่ง น้ำอ้อยเลยนั่งลงพูดด้วย
“พี่อ้อยว่าเรากลับก่อนดีกว่านะคะ ฝากส้มโอไว้กับป้านวลก็ได้ ไว้วันหลังค่อยมาใหม่”
“แต่แตงหวานอยากเจอคุณลุงภีมนี่นา”
นางนวลทำท่าครุ่นคิด จะไปปลุกเจ้านายดีไหม แต่ยังไม่ทันคิดได้ตก นายชุมก็โผล่หน้ามาเห็นเหตุการณ์เข้า สีหน้าแกตกใจไม่ต่างกัน นางนวลเลยถือโอกาสเข้าไปกระซิบถาม
“เอาไง เธอมาหาคุณภีม ไปปลุกคุณภีมมาเจอมั้ย”
“ขืนไปปลุกก็โดนเตะน่ะสิ คุณภีมเพิ่งจะนอนเมื่อรุ่งสางนี่เอง” นายชุมกระซิบกับภรรยา แต่ถึงอย่างไรคนอยู่ด้วยก็ได้ยิน โดยเฉพาะหวันยิหวา
“หนูไปปลุกเองค่ะ พาไปหน่อยสิคะ”
“ได้เหรอ” นางนวลถาม
นายชุมบอก “แกกล้าปฏิเสธมั้ยล่ะ”
ภรรยามองตาเขียว “งั้นแกก็พาไป ฉันจะอยู่คุยกับนังอ้อยหน่อย เผื่อรู้สถานการณ์ทางนั้น”
ถึงตอนนี้นายชุมก็คงมีทางเลือกไม่มากนัก หันมายิ้มแป้นให้หวันยิหวา
“ไปครับ คุณหนูแตงหวาน ตาชุมจะพาไปหาคุณพะ...” คำว่าพ่อเกือบหลุด แต่ยั้งปากได้ทัน “ตาชุมจะพาไปหาคุณภีมนะครับ”
“ค่ะ ไปปลุกคุณลุงภีมกันค่ะ”
หวันยิหวาเดินไปจับมือนายชุมให้จูงเธอเดินเข้าบ้านไป ปล่อยนางนวลไว้กับอาการเหวอ หน้าซีดแปลกๆ จนน้ำอ้อยต้องถาม
“มีอะไรกันรึเปล่าป้า สีหน้าลุงป้าแปลกๆ นะวันนี้”
“นังอ้อย หนูแพงยังไม่รู้ใช่มั้ยว่าคุณหนูแตงหวานมาบ้านนี้”
อ้อยคิดก่อนตอบ “ไม่แน่ใจ แต่ไม่น่าจะรู้ เพราะฉันบอกน้องแตงหวานแล้วว่าอย่าให้บอกใครว่าแอบมาบ้านนี้ พอเธอบอกว่าจะมาหาคุณลุงภีม ฉันบอกว่าไม่ได้ เธอก็บอกจะไปขอคุณแม่ ฉันกลัวเป็นเรื่องใหญ่ บวกกับคุณพะแพงก็ยุ่งอยู่กับการดูแลคุณยายฉวี ฉันเลยพามา”
“ว่าแล้ว...”
“ทำไมเหรอป้า พวกป้าดูแปลกๆ นะ แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงเรียกน้องแตงหวานว่าคุณหนูแตงหวานล่ะ” ดูเหมือนน้ำอ้อยจะเป็นคนช่างสังเกต “เล่ามาเลยนะ มีอะไรที่ฉันควรรู้มั้ย”
นางนวลทำท่าคิดหนัก มองหน้าน้ำอ้อยที่แสดงออกชัดเจนว่าจะเอาความจริง
“ความจริงคือ...” ลากเสียงยาว ยิ่งทำให้น้ำอ้อยอยากรู้ “ไปคุยกันในบ้านดีกว่านะ ไว้ฉันจะเล่าให้ฟัง”
เสียงเคาะประตูทำให้คนที่เพิ่งหลับพลิกตัวอย่างหงุดหงิด ชายหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงหนีเสียงรบกวน แต่ดูเหมือนเสียงเคาะจะยังไม่หยุด จึงผุดลุกหน้ายุ่งหัวยุ่ง เหลือบมองประตูเหมือนมองศัตรูคู่อาฆาต แต่ก่อนที่จะตวาดด่าออกไป เสียงเรียกใสๆ ที่ดังขึ้นก็ทำเอาคนเพิ่งตื่นตื่นเต็มตา
“ถึงกับหูแว่วได้ยินเสียงแตงหวานเลยเหรอ” เขาพึมพำ แต่การคิดอย่างนั้นก็ทำให้ความหงุดหงิดก่อนหน้านี้คลายลง พ่นลมหายใจก่อนจะตอบไป “มีอะไร”
“คุณลุงขา...คุณลุงขาตื่นรึยังคะ หนูมาเล่นเป็นเพื่อนคุณลุงค่ะ”
อติรุจได้ยินเสียงใสๆ นั้นเต็มหู แต่ก็ยังไม่เชื่อ หวันยิหวาจะขึ้นมาบนนี้ได้อย่างไร หรือนี่คือความฝัน งั้นต้องพิสูจน์ บิดแก้มตัวเองจนต้องร้อง
“โอ๊ย เจ็บชะมัด...ไม่ได้ฝัน”
“ก๊อกๆๆ อยู่มั้ยคะ” คราวนี้เจ้าตัวจ้อยทำเสียงเคาะประตูเอง “คุณลุงภีมขา”
“ขะ...ขา” คราวนี้ถึงกลับรีบลงจากเตียง ความรีบทำให้ผ้านวมเกี่ยวขาล้มโครม เสียงดังออกไปถึงข้างนอก
“นั่นเสียงอะไรคะ” เจ้าตัวน้อยถาม
แต่ยังไม่ทันที่นายชุมจะตอบ ประตูก็เปิดออก นายชุมมองไม่เห็นใครในระดับสายตา แต่หวันยิหวาก็ยิ้มแฉ่งให้คนในห้องที่ดูเหมือนจะกึ่งคลานกึ่งเดินมาให้ถึงประตูไวๆ
“อรุณซาหวัดค่ะ”
“แตงหวาน”
นายชุมขำผู้เป็นนายเล็กน้อยกับท่าทางเปิดประตู ไม่เคยเห็นผู้เป็นนายทำอะไรเปิ่นๆ แบบนี้ แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มทันควันเมื่อเห็นสายตาคมตวัดมองอย่างคาดโทษ ก่อนจะรีบฉีกยิ้มบอกความ
“คุณหนูแตงหวานมาหาครับ เธอขอขึ้นมาปลุกคุณภีม ผมก็เลย...”
“หนูเอาส้มโอมาฝากค่ะ แต่ต้องกินด้วยกันนะคะ”
“ค่ะ ไปกินกัน” อติรุจยังวางสีหน้าไม่ถูก แต่ดวงตาจับจ้องคนตัวน้อย
“เพิ่งตื่น ต้องแปรงฟันก่อนนะคะ”
“ค่ะ งั้นขอเวลาพ่อ...เอ่อ ขอเวลาลุงภีม...ห้านาทีนะคะ เอ่อ สามนาทีพอ รอสามนาทีก็พอค่ะ”
“ค่ะ หนูไปรอที่เดิมนะคะ เร็วๆ นะคะ”
“ค่ะ” อยากแทนตัวว่าพ่อ แต่ก็ต้องยั้งไว้ “ไว้ลุงภีมจะรีบตามไปค่ะ”
นายชุมมองผู้เป็นนายยิ้มๆ นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนนี้ รอยยิ้มที่เลือนหายไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน รอยยิ้มที่หวังว่านับจากนี้จะกลับมาพร้อมความสุขที่มาพร้อมโซ่ทองคล้องใจอย่างหวันยิหวา
“ไว้เจอกันค่ะ” เธอบอกแล้วจะหันไป แต่นึกอะไรได้ หันกลับมา ใช้สองมือจับไหล่คุณลุงภีมแล้วโน้มตัวเข้าไปหอมแก้มซ้ายทีขวาที สัมผัสที่ทำเอาคนถูกหอมอึ้ง
“เกือบลืมไป จุ๊บอรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณลุงภีม”
อติรุจเหมือนถูกแช่แข็งไปเกือบอึดใจ ก่อนจะตั้งตัวได้
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ...แตงหวาน”
ความคิดเห็น |
---|