2

บทที่ 2



บทที่ ๒

 

“ปี๊น ปี๊นนนน”

เสียงแตรยาวเตือนให้หลีกทางที่ดังมาจากรถด้านหลังทำเอาโสนสะดุ้งสุดตัว เธอต้องแทรกตัวเบียดเข้ากับกำแพงบ้านใครสักคนในซอยย่อยของย่านสุขุมวิท ถนนแคบแค่รถพอสวนกันได้ ไม่มีทางเท้าสำหรับคนเดิน มีแค่ร่องระบายน้ำขนาดไม่กว้างนักบริเวณไหล่ทางให้คนได้ใช้ยืนหลบรถและมอเตอร์ไซค์ ควันไอเสียลอยกระจายอยู่ในอากาศผสมปนเปกับกลิ่นน่าคลื่นเหียนของขยะเน่าจากถังที่วางอยู่เป็นระยะ นึกสงสารตัวเองและคนแถวนี้

‘อยู่กรุงเทพฯ ก็ลำบากหน่อยนะ’

กระเป๋าแนบลำตัวสั่นเป็นจังหวะ โสนก้มลงควานหาโทรศัพท์มือถือตัวต้นเหตุ บนจอปรากฏชื่อพี่ชายคนดี เธอยิ้มกว้างพร้อมกดรับ

“โทร. ไปไม่รับเลยนะ ประชุมเตรียมบินอยู่เหรอจ๊ะ” ทักทายหยอกเอินตามประสาพี่น้องแสนสนิท แต่บังเกิดความเงียบประหลาดจากปลายสาย ก่อนมีเสียงตอบกลับมา

“โสน นี่พี่เอง กระทิง”

เธอจำเสียงได้ ผู้กองกระทิง เพื่อนรักของพี่สิงห์ นักบินขับไล่ F5 ประจำการอยู่กองบินเดียวกัน โสนสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะได้เจอตั้งแต่เขาเรียนอยู่โรงเรียนนายเรืออากาศ ส่วนตัวเธอยังเรียนชั้นมัธยมต้น

“อ้าว พี่ทิง แล้วพี่สิงห์ไปไหนล่ะคะ”

“...”

‘ทำไมเงียบ’ โสนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ...เธอใจหายวาบ ลมหายใจสะดุด มือเท้าพลอยเย็นเยียบ

“มีอะไรเหรอพี่ทิง”

“คือ...เมื่อเช้าสิงห์ออกปฏิบัติการพิเศษ แต่มีวิทยุแจ้งกลับมายังหอบังคับการบินเมื่อสักครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาว่าเครื่องบิน F5 ตก เป็นเครื่องคอลซายน์๕ ‘เรดสกิน’ ของไอ้สิงห์”

คราวนี้เป็นเธอที่อึ้ง คำพูดหายไปในลำคอ แต่ในใจร่ำร้องคร่ำครวญ

‘ไม่ พี่สิงห์ห้ามเป็นอะไรนะ สัญญาแล้วว่าเราจะอยู่ดูแลกันไง’

“แต่น่าจะอีเจกต์ได้ทันใช่ไหมพี่ทิง เขาดีดตัวออกมาได้ใช่ไหมคะ”

กระทิงจับน้ำเสียงเข้มแข็งของผู้ตอบได้ แม้ปลายประโยคจะสั่นไหว

“ใช่ ไอ้ช้างพลายบินคู่ไปด้วยกันเห็นสิงห์อีเจกต์ออกมา ตอนนี้เฮลิคอปเตอร์ของหน่วยค้นหาและช่วยชีวิตกำลังเดินทางเข้าไปดูอยู่ แต่อีกสักพักกว่าจะรู้ว่าปลอดภัยไหม เพราะตำแหน่งเครื่องตกอยู่ค่อนข้างลึกเข้าไปในป่าแถวตะเข็บชายแดน” น้ำเสียงกระทิงวิตกกังวลอย่างปิดบังไม่อยู่ เสียงวิทยุติดต่อฉุกเฉินเข้ามายังศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศเมื่อตอนสายยังวนเวียนอยู่ในความคิด

‘เมย์เดย์ เมย์เดย์ เมย์เดย์! ‘ไซเฟอร์’ เรียกหอบังคับการ...เครื่อง ๔๑๑๐๑ ขัดข้อง ‘เรดสกิน’ อีเจกต์ที่ความสูงสองพันฟุต เรเดียล ๐๑๐ เก้าสิบสามไมล์จากเชียงใหม่ สังเกตเห็นร่มกางไม่สมบูรณ์ นักบินลงพื้นแล้วครับ ผมจะบินวนดูสถานที่เกิดเหตุจนกว่าน้ำมันถึงบิงโก๖แล้วจะบินกลับฐาน ใช้เวลาอีกประมาณยี่สิบนาที’

‘ใช่ ไอ้พลายบอกก็จริงว่าสิงห์ดีดตัวออกมาได้ แต่ในระดับความสูงต่ำกว่าระยะปลอดภัย ไม่แน่ใจว่าร่มชูชีพจะกางทันไหมน่ะสิ...เหี้-เอ๊ย’

“โสน ไปรอฟังข่าวอยู่บ้านคุณลุงนรสิงห์นะ มีอะไรคืบหน้าพี่จะรีบโทร. ไปบอก นี่พี่โทร. ไปแจ้งแกไว้ก่อนแล้ว”

เธอได้ยินเสียงสายเรียกซ้อน หน้าจอขึ้นชื่อ ‘ลุงนอ’

“ขอบคุณค่ะ พี่ทิง ลุงนอโทร. มาพอดีเลย โสนรับสายก่อนนะ”

“ทำใจดีๆ ไว้ ไอ้สิงห์คงไม่เป็นไรหรอก”

โสนกดรับสายเรียกเข้า “พี่ทิงโทร. บอกแล้วค่ะ โสนกำลังจะเข้าไปหาเดี๋ยวนี้”

‘พี่สิงห์ต้องปลอดภัยกลับมานะ’ คือประโยคย้ำคิดในสมองของโสนตลอดวันนั้น

 

ท้องฟ้าแสนกว้างวันนี้สว่างสดใสมองเห็นได้ในระยะไกล สายตาของโสนทอดผ่านรันเวย์ยาวไกลออกไปยังขอบฟ้า เธอจ้องมองความเวิ้งว้างว่างเปล่าจนจุดเล็กสีเทาปรากฏขึ้น...เครื่องบินลำที่พาพี่ชายเธอกลับบ้าน

หญิงสาวมาเฝ้ารอรับพี่ ณ สนามบินทหาร กองบิน ๖ ดอนเมืองด้วยตัวเองแต่เช้า ผู้คนขวักไขว่มากมายล้อมรอบตัว หลายคนพยายามจะสนทนาด้วยแต่เธอไม่สนใจ ไม่แม้กระทั่งจะได้ยิน ใจมัวแต่จดจ่อกับการมาถึงของบุคคลอันเป็นที่รัก และมีบางช่วงเวลาเธอจมลึกหายไปในห้วงความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อวาน...เมื่อเธอไปถึงบ้านลุงนรสิงห์ บ้านที่เธอเคยอาศัยอยู่ช่วงหนึ่งหลังการจากไปอย่างกะทันหันของแม่ คุณลุงนอ พี่ชายคนเดียวของมารดาเธอเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพบก มีคนรู้จักมากหน้าหลายตา เป็นเหตุให้โทรศัพท์ทั้งสายบ้านและมือถือต่างดังไม่หยุดหย่อน หลายคนเพิ่งได้ข่าวต่างห่วงใยและเป็นกังวล ชายสูงวัยซึ่งร่างกายเริ่มโรยราตามกาลเวลาแต่ยังเปี่ยมด้วยบุคลิกความเด็ดขาดเฉียบคมมีสีหน้าไม่สบายใจนัก แต่ยังเชื่อมั่นว่า ‘สิงห์’ หลานรักจะดีดตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย ถึงบาดเจ็บนิดหน่อย แขนขาหักก็ไม่เป็นไร ขอให้พาตัวกลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง

ชีวิตนักบินขับไล่เสี่ยงอันตรายอยู่ตลอดเวลา คนอยู่ข้างหลังต้องเข้าใจ แต่พอเอาเข้าจริง มันช่างไม่ง่ายเลยที่จะรับมือกับการเสี่ยงจะสูญเสียแบบนี้ เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์หมิ่นเหม่ ยามของสำคัญในชีวิตใกล้หลุดลอยจากไป ณ เวลานั้นเราจะได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งนั้นหรือใครคนนั้นสำคัญกับเรามากแค่ไหน สำหรับโสน เธอรู้ชัดแล้วว่าพี่ชายคือครึ่งหนึ่งของชีวิตเธอ นึกไม่ออกเลยว่าจะอยู่โดยไม่มีพี่ได้อย่างไร

‘กลับมานะพี่สิงห์’

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เป็นการรอคอยสุดแสนทรมาน หวังและกลัวที่สุดที่จะผิดหวัง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้พลเอกนรสิงห์รับสาย เงียบฟังนิ่งนาน

โสนจ้องมองร่างหนาไม่ละสายตา เธอรับรู้ได้ถึงความรวดร้าวแผ่กระจายในมวลอากาศ ความหวังหลุดลอยไปพร้อมกับหัวใจถูกกระชากออกจากอก ก่อนจะเห็นลุงเบือนหน้ามองเธอด้วยดวงตาแดงช้ำ ไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมา

นับจากวินาทีนั้น เธอเหมือนถูกผลักลงไปในหลุมดำลึกสุดจะหยั่งถึง มืดมิดราวกับค่ำคืนที่ไม่มีแสงดาวแม้เพียงสักดวง สมองของเธอหยุดคิด มันว่างเปล่า ปฏิเสธจะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกเหมือนเป็นความฝัน เหมือนไม่ใช่เรื่องจริง เธอนั่งมองนิ้วมือตัวเองสั่นเทาเกาะเกี่ยวประสานกันอยู่บนตัก มองมันอยู่อย่างนั้น มองเห็นแค่นิ้วกับพื้นพรมตรงที่เธอนั่งอยู่ คิดอะไรไม่ออก ไม่มีอะไรอยู่ในสมองของเธอเลย เธอไม่ได้คิดถึงพี่ ไม่ได้คิดถึงอดีต ไม่มีคำคร่ำครวญ ไม่ได้นึกถึงความจริงว่าชีวิตนี้จะไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว

ไม่มี มันมีแต่ความว่างเปล่า

เสียงผู้ประกาศข่าวหญิงจากโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ดังแทรกเข้าไปในสมอง

‘มีรายงานข่าวด่วนเข้ามาเมื่อสักครู่ เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศตกบริเวณเขตชายแดนไทยทางทิศเหนือของจังหวัดเชียงรายเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยเวลาประมาณ ๑๑:๔๐ น. ของวันนี้ เครื่องบินขับไล่ F5E แบบที่นั่งเดี่ยวของกองทัพอากาศ หมายเลขเครื่อง ๔๑๑๐๑ สังกัดฝูงบิน ๔๑๑ กองบิน ๔๑ จังหวัดเชียงใหม่ ตกใกล้บริเวณหมู่บ้านผาหมี ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขณะออกปฏิบัติภารกิจบินลาดตระเวนและรักษาเขตแดนเพื่อความมั่นคง โดยมีเรืออากาศเอก สิงห์ ปัญจสิงขร นักบินประจำหมวดบิน ๑ ฝ่ายยุทธการ กองบิน ๔๑ เป็นผู้บังคับเครื่อง

‘ผู้อยู่ในเหตุการณ์บอกกับทีมข่าวว่า เห็นเครื่องบินลดระดับต่ำลงอย่างผิดปกติ ก่อนเกิดเสียงระเบิด และเครื่องเสียการควบคุม ตกกระแทกพื้นอย่างแรง เสียงดังสนั่นและมีกลุ่มควันขนาดใหญ่ทั่วบริเวณ ขณะนี้เฮลิคอปเตอร์จากหน่วยค้นหาและช่วยชีวิตของกองทัพอากาศกำลังเข้าตรวจสอบสถานที่และช่วยเหลือนักบินอย่างเร่งด่วนแล้ว

‘สำหรับเรืออากาศเอกสิงห์ นักบินบังคับเครื่อง เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น ๔๓ นักเรียนนายเรืออากาศรุ่น ๕๐ เป็น

หลานชายคนเดียวของพลเอก นรสิงห์ ปัญจสิงขร อดีตเสนาธิการทหารบก และเป็นนักบินฝีมือดีของกองทัพอากาศ มีชั่วโมงบินมากกว่าแปดร้อยชั่วโมง’

‘พรุ่งนี้เช้าลุงจะขึ้นเครื่อง C130 ไปรับสิงห์จากเชียงใหม่กลับมาบ้านเราด้วยตัวเอง โสนรอรับอยู่ที่นี่ ช่วยเตรียมรูปที่จะใช้ในงานกับเครื่องแบบชุดขาวและกระบี่ให้พี่เขาด้วยนะลูก’

เธอพยักหน้ารับแต่โดยดี ทั้งที่ในใจอยากตามไปด้วยเหลือเกิน

‘วันนี้นอนบ้านลุงนะ’

เธอปรายตามองภรรยาใหม่ของลุงซึ่งนั่งห่างไปไม่ไกล ผู้หญิงคนนี้ทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ ไม่เคยทัก ไม่แม้แต่จะมอง ใครจะไปทนอยู่ใกล้คนแบบนี้ได้ คนขี้อิจฉากลัวจนขึ้นสมองฝ่อๆ ว่าลุงจะยกสมบัติให้เธอกับพี่ชาย

‘ไม่เป็นไรค่ะลุงนอ ยังไงโสนต้องกลับไปเอาของพี่สิงห์อยู่ดี เดี๋ยวโสนโทร. ให้น้ำมนต์มานอนเป็นเพื่อน ไม่ต้องห่วงนะคะ’ น้ำมนต์ ผู้ถูกอ้างถึงโดยเจ้าตัวไม่รู้เรื่องสักนิด คือเพื่อนสนิทคนเดียวของเธอที่ตอนนี้กำลังประชุมอยู่ภูเก็ตและอีกหลายวันกว่าจะกลับ...ป่านนี้ไม่รู้จะรู้ข่าวพี่สิงห์หรือยัง

 

ลมร้อนวูบใหญ่พัดผ่าน เปลวแดดร้อนแรงแผดเผาขณะเครื่องบินลำเลียง C130 ลำใหญ่ลดเพดานบินลงจนล้อแตะรันเวย์ วิ่งช้าๆ แล้วชะลอความเร็วจนมาหยุดหน้าอาคารรับรองท่าอากาศยานทหารตรงจุดที่เธอยืนรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ

ประตูเครื่องบานใหญ่ด้านท้ายลำเปิดออก จังหวะเดียวกับที่ทหารกองเกียรติยศทำความเคารพ เสียงแตรนอนแว่วดังขึ้นเป็นท่วงทำนองเศร้าโศกอาลัย กรีดหัวใจคนยืนรอรับ พระสงฆ์เดินนำหน้าลงมาจากเครื่อง ในมือถือสายสิญจน์ลากยาวไปด้านหลัง ผู้กองกระทิงถือกระถางธูปจุดนำทางพาพี่ชายเธอกลับบ้าน ติดตามมาด้วยผู้กองช้างพลายประคองรูปเรืออากาศเอกสิงห์ในกรอบใหญ่ไว้ในอ้อมอก เบื้องหลังเป็นหีบไม้ใบใหญ่สีขาวบริสุทธิ์ขนาดเท่าตัวคนคลุมทับด้วยธงชาติไทยผืนใหญ่ สัญลักษณ์ของการสละชีพขณะปฏิบัติหน้าที่ เกียรติสูงสุดที่ผู้รับราชการทหารพึงได้รับ

เมื่อภาพความจริงปรากฏตรงหน้า น้ำตาของความร้าวลึกภายในก็เอ่อคลอ โสนเงียบงัน ไม่มีแม้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา มีแต่น้ำตาไหลไม่ยอมหยุด เป็นครั้งแรกที่เธอร้องไห้นับตั้งแต่เกิดเรื่อง มันเหมือนกับว่าเธอหลุดจากเกราะกำบังของความว่างเปล่าที่เธอสร้างไว้ ได้มาเห็นและเข้าใจความเป็นจริงว่าพี่ชายอันเป็นที่รักของเธอกลับมาอย่างสงบ เพียงแต่ไม่ได้เดินมาหาพร้อมรอยยิ้มและไม่ได้โอบกอดเธอเหมือนทุกครั้งอีกแล้ว

วีรบุรุษผู้ยอมสละชีพเพื่อผืนแผ่นดินอันเป็นที่รัก...กลับมาพร้อมกับร่างไร้ลมหายใจ

พลเอกนรสิงห์ในชุดเครื่องแบบทหารบกเต็มยศเพื่อเป็นเกียรติแก่หลานชายคนเดียวเดินตามหลังต่อท้ายขบวนมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนผู้ร่วมงานจากกองบิน ส่งศพขึ้นรถประดับธงชาติอย่างสมเกียรติเพื่อเคลื่อนย้ายร่างผู้กองสิงห์ไปทำพิธียังวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร ชายสูงวัยโบกมือให้โสนเดินตามไปสมทบ จับจูงมือน้อยราวกับว่ากลัวเธอจะหายไปอีกคน เธอมองออกว่าลุงเศร้ามาก ถึงแม้จะไม่มีน้ำตาแต่ดวงตาช้ำแดง เศร้าหมองอย่างที่สุด หญิงสาวคิดถึงแม่ขึ้นมาจับใจ เธอแหงนมองฟ้า

‘แม่มารับพี่สิงห์ไปอยู่ด้วยกันนะคะ ลูกจะเฝ้ารอนับวันอยู่ทุกลมหายใจ จนกว่าเราจะได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง’


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น