5

บทที่ 5



 

บทที่ ๕

 

บูยา เด็กสาวชาวอาข่า ตัวเล็ก ผิวขาวนวล มุ่นมวยผมไว้กลางกระหม่อม กำลังยืนเท้าสะเอวมองกาโหยะนับสิบที่วางเรียงรายอยู่บนลานบ้านของตัวเอง แล้วถอนหายใจยาว

เธอปวดเมื่อยแขน ขา หลัง ไหล่ จากการก้มหน้าก้มตาเก็บผลกาแฟทุกลูกเมื่อเช้า บ่ายแก่ๆ แบบนี้งานก็ยังไม่จบไม่สิ้น เพราะต้องเริ่มกระบวนการแปรรูปผลสดที่เพิ่งเก็บมา เริ่มจากล้างให้สะอาดและลอกเปลือกออก เพื่อนำเมล็ดที่ได้ไปหมักในน้ำเย็น ทิ้งไว้สองสามวันจนกว่าเมือกเหนียวจะหลุดหาย ถึงค่อยนำไปตากแดดให้แห้งสนิท กว่าจะได้สารกาแฟพร้อมใส่กระสอบส่งขายนั้นไม่ง่ายเลย

ต้องรีบแล้ว ไม่อยากทำจนมืดค่ำ อากาศช่วงนี้เริ่มหนาวแล้วด้วย

หญิงสาวหน้าใสที่ตอนนี้พวงแก้มเป็นสีแดงจัดเพราะออกแรงมาทั้งวันก้มลงยกกาโหยะขึ้น แต่แล้วต้องสะดุ้งเมื่อมีมือใหญ่อุ่นจัดมายุดแขนเธอไว้

“มา พี่ช่วย”

เด็กสาวหันกลับไปเจอหน้าพี่ชายแสนดี คนที่แย่งภาชนะไปจากมือแล้วจัดการเทผลกาแฟทั้งหมดลงกะละมังที่ใส่น้ำไว้จนเต็มแทบทุกใบ เธอได้แต่ยืนยิ้ม

“เดินมาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะ พี่อาเช แวะมาหาพ่อหรือจ๊ะ”

“ใช่ พ่อหลวงไม่อยู่เหรอ”

“พ่อไปประชุมผู้ใหญ่บ้านในตัวเมือง ไปตั้งแต่เช้า น่าจะใกล้กลับแล้วละ มีธุระอะไรรึเปล่า”

“พี่เพิ่งเอาสารกาแฟของต้นฤดูนี้ไปให้ไอ้ขุนมันคั่ว เลยตั้งใจเอามาให้พ่อหลวง เผื่อประชุมหมู่บ้านอาทิตย์หน้าจะลองต้มให้คนบ้านเราชิม จะได้รู้ว่าผลผลิตที่พวกเราปลูกกันรสชาติเป็นยังไง ไอ้ขุนมันชมว่ากาแฟของเราดีนะ”

“เหรอ ก็ดีนะ จะว่าไปตั้งแต่ปลูกมาข้ายังไม่เคยกินเลย รสชาติเป็นยังไงก็ไม่รู้”

“ถ้าได้ชิมบ่อยๆ เราจะรู้ความแตกต่าง มันจะช่วยให้เราพัฒนาผลผลิตให้ดีขึ้นได้”

“โหย...หวังเยอะไปไหมพี่ ตอนนี้แค่ขายยังไม่ค่อยจะได้ราคาเล้ย คนปลูกไม่มีกำลังใจพัฒนาอะไรหรอก นี่เขาอยากตัดทิ้งหนีไปปลูกอย่างอื่นกันหมดแล้ว”

“ใครบอกเจ้า”

“ก็ลุงๆ ป้าๆ ในหมู่บ้านเขาบ่นกัน แต่จะหนีไปปลูกอย่างอื่นก็คงยากหน่อย เราอยู่เขตป่าสงวน มีแค่กาแฟกับต้นเมี่ยงที่พอขึ้นได้ดีใต้ร่มไม้ใหญ่แบบนี้”

คนพูดตรงไปตรงมาพล่ามเสียยาว ชายหนุ่มมีสีหน้าใคร่ครวญ

“ปีนี้พี่จะพยายามหาคนรับซื้อที่ให้ราคาดี จะลองช่วยพ่อหลวงดูอีกทาง”

สาวชาวดอยตัวน้อยแหงนหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ดวงตาเรียวเฉียงเพราะสายเลือดอาข่าเข้มข้นนั้นเปี่ยมด้วยแววชื่นชม

เจ้าน้องหน้าหวานแต่ท่าทางกระโดกกระเดกราวเด็กผู้ชายเดินไปหยิบเก้าอี้สตูลตัวเล็กเตี้ยเรี่ยพื้นจากใต้ถุนบ้านมาวางสองตัว

“จะรอไหม นั่งรอกับข้า”

“อืม อยู่รอสักพักก็ได้” ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง จุ่มมือลงในกะละมัง เริ่มล้างเมล็ดสีแดงก่ำ

“ไม่ต้อง พี่อาเชไม่ต้องทำ นั่งรอเฉยๆ ข้าทำเองได้”

“ล้างเมล็ดแค่นี้ไม่ได้ใช้แรงอะไรเลย”

“เหรอ...งั้นก็ได้” เธอหัวเราะร่าดีใจ มีคนช่วยงานแล้ว

ทั้งคู่ใช้กระชอนช้อนเมล็ดเสียที่ลอยน้ำทิ้งไป แล้วล้างเมล็ดสวยได้คุณภาพจนน้ำใสปราศจากสิ่งแปลกปลอมและฝุ่นผง ผลกาแฟสะอาดเอี่ยมพร้อมรอปอกเปลือก

“เครื่องสีเปลือกต่อกับแบตเตอรี่ไว้ยัง” อาเชเหลียวมองหาเครื่องที่ว่าซึ่งหน้าตาคล้ายเครื่องสีข้าวขนาดย่อมทำงานด้วยมอเตอร์ มันตั้งอยู่ถัดไปไม่ไกล หมู่บ้านนี้ยังไม่มีสาธารณูปโภคพื้นฐานมาถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือจึงต้องต่อกับแบตเตอรี่ซึ่งเก็บพลังไฟฟ้าจากแผงโซลาเซลล์

“เรียบร้อยแล้ว”

เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน เสียงมอเตอร์ดังกวนโสตประสาท ทั้งสองคนไม่รอช้า ทำงานเข้าขาอย่างรู้หน้าที่ คนพี่คอยเทกาแฟลงในช่องรับด้านบน คนน้องเปิดสายยางหล่อน้ำลงไปพร้อมเมล็ด น้ำจะช่วยให้เครื่องสีทำงานไหลลื่นขึ้น แล้วจะได้กาแฟกะลา๑๕สีนวลขาวไหลลงมานอนกองอยู่ในกะละมังที่วางรองไว้

กว่าจะทำเสร็จครบทั้งหมด พระอาทิตย์ก็เรี่ยลงมาใกล้ยอดไม้ อากาศเริ่มเย็น แต่ทั้งคู่เหงื่อออก ร้อนจนไม่รับรู้อุณหภูมิที่ลดต่ำลง เสียงรถดังใกล้เข้ามา รถกระบะคันเก่าเลี้ยวเข้าเขตบ้านแล้วจอดลงกลางลาน

“พ่อมาแล้ว!”

ผู้สูงวัยเปิดประตูก้าวลงจากรถ ทักชายหนุ่มก่อนเป็นคนแรก “อาเช ว่าไง มารออยู่เหรอ”

“ครับ พ่อหลวง”

“เลยโดนเจ้าบูยามันใช้งานเลยใช่ไหม”

“อ่าดา! ข้าไม่ได้ใช้ พี่อาเชเสนอตัวช่วยต่างหาก” เด็กสาวทำหน้ายู่ใส่พ่อ แต่แล้วเธอก็สังเกตเห็นความผิดปกติ “อ่าดาไม่สบายรึเปล่า ทำไมหน้าซีดจัง”

“คงแค่เหนื่อย วันนี้ออกตั้งแต่เช้ามืด แถมต้องประชุมทั้งวัน เจ้าลืมไปรึเปล่าว่าข้าแก่แล้ว”

“พ่อหลวงยังไม่แก่ซะหน่อย ยังแข็งแรงอยู่เลย ทำงานได้อีกนาน”

“ใช่ อ่าดายังไม่แก่ แค่ผมหงอกทั้งหัวแค่นั้นเอง” ลูกสาวแก่นกะโหลกหัวเราะดังลั่น สนุกที่ได้ล้อพ่อ “พี่คุยกับพ่อไปแล้วกัน ข้าจะทำงานต่อแล้ว”

“มา มา...นั่งก่อน”

เจ้าของบ้านเดินนำมายังม้านั่งตัวยาวต่อจากไม้ไผ่อย่างง่ายซึ่งอยู่ใต้ถุนบ้าน อาเชบอกเหตุผลที่เขามารอ พร้อมหยิบถุงกาแฟคั่วส่งให้ชายสูงอายุซึ่งดูใจดีและน่าเคารพ

“ข้ามีข่าวดีมาแจ้งด้วย” อาเชบอกหน้าชื่น “ไอ้ขุนมันว่าผลผลิตกาแฟของเราคุณภาพดี มันเลยสั่งซื้อสารกาแฟหนึ่งตัน ทยอยส่งเดือนละสองร้อยห้าสิบกิโล เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนนี้เลยครับ ให้ราคากิโลละร้อยแปดสิบบาท”

“อืม ได้ราคาดีนะ คนในหมู่บ้านคงดีใจกันน่าดู” ชายสูงวัยตบบ่าหลานชาย “ขอบใจเจ้ามาก ช่วยได้หลายเรื่องเลย อุตส่าห์เอาความรู้ที่เล่าเรียนมาแนะนำชาวบ้านเรื่องการปลูก การเก็บเกี่ยว นี่ยังช่วยขายอีก แล้วยังเรื่องอำนวยความสะดวกให้พวกทหารตอนเครื่องบินตก ถ้าไม่ได้เจ้า ข้าคงเหนื่อยกว่านี้อีกหลายเท่า”

“ไม่เป็นไร พ่อหลวง ข้าก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้”

“เจ้านี่มันดีจริงๆ เอาการเอางาน ขยัน ตั้งใจ ข้ายกไอ้บูยาให้เอาไหม มันก็ดูรักเจ้าดีนะ” คนพูดทำเสียงกระซิบให้พอได้ยินแค่สองคน ชายหนุ่มยิ้มค้าง

“พ่อหลวงล้อเล่นใช่ไหม!”

“พูดจริ๊ง! ทำไมทำหน้าเหมือนข้าโยนขี้ให้ยังงั้นแหละ” ว่าแล้วก็หัวเราะตบท้าย

“มันไม่ได้รักข้าแบบนั้นมั้ง รักกันเป็นพี่น้องมากกว่า”

“เฮ้ย อยู่ไปก็รักกันไปเองแหละ ข้าไม่อยากให้มันแต่งงานกับคนนอกหมู่บ้าน ไม่งั้นแต่งแล้วมันก็ต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอก คนอื่นเขาคงไม่เข้าใจเราเท่าพวกเรากันเอง อีกอย่างลูกข้ามันซนอย่างกับลิง ทำตัวทโมนเหมือนเด็กผู้ชาย มีแต่เจ้าที่เอ็นดูมัน ลองกลับไปคิดดูนะ บูยามันจะยี่สิบปีนี้แล้ว เจ้าก็อายุพอควร ข้ายังไม่เห็นเจ้ามีใครตั้งแต่เลิกกับคนรักเก่าไป”

สายตาของทั้งคู่มองไปยังบุคคลผู้ถูกกล่าวถึง เจ้าตัวความรู้สึกไว หันขวับมามองตาวาวจ้าท่าทางเอาเรื่อง

“นินทาอะไรข้า”

ส่ายหน้าปฏิเสธกันจ้าละหวั่น พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเหมือนสัญญาณช่วยชีวิต

“งั้นข้าไปก่อนนะพ่อหลวง” ไม่รอให้ชายเฒ่าพูดลา อาเชรีบเดินจากมาพร้อมกับรับสายเรียกเข้า “ครับ”

“อาเชรึเปล่าคะ ฉันชื่อโสน เป็นน้องสาวนักบินที่เครื่องตกค่ะ”

 

ท่ารถประจำทางในตัวเมืองเชียงราย

ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินไปมาขวักไขว่ สาวน้อยร่างบอบบางก้มหยิบของจากเป้สะพายหลังใบใหญ่ที่วางกองอยู่แทบเท้า ชุดเสื้อไหมพรมแขนสั้นสีน้ำเงินเข้มและกางเกงสีกากีขนาดพอดีตัวทำให้หญิงสาวยิ่งดูตัวผอมเก้งก้างเหมือนเด็กวัยรุ่นกำลังโต เธอดึงเอาเสื้อคาร์ดิแกนตัวยาวออกมาสวมทับ หยิบกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่นักออกมากอดแนบอกไว้ครู่หนึ่งก่อนเก็บคืนกระเป๋าเช่นเดิม

หญิงสาวยกเป้ขึ้นสะพายหลัง เดินก้มหน้าก้มตาตรงไปยังรถเมล์สีเขียวสภาพเก่าแก่ทรุดโทรมที่ด้านข้างเขียนตัวหนังสือตัวโตว่า ‘เชียงราย-แม่สาย’ หยุดถามคนขับสองสามประโยคแล้วก้าวขึ้นไปนั่งริมหน้าต่าง

รถเคลื่อนออกจากท่า วิวสองข้างทางเปลี่ยนจากร้านรวงห้องแถวริมถนนเป็นทุ่งนาและบ้านหลังเล็กกระจายเป็นระยะ ไอเสียรถยนต์ติดจมูกค่อยจางหายไปกลายเป็นกลิ่นฟางและกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า

ลมแรงพัดผ่านช่องหน้าต่างปะทะหน้าเธอจนเย็นเฉียบ โสนกระชับเสื้อตัวนอกให้แน่นขึ้น เริ่มเหลียวมองไปรอบตัว ผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างนั่งพูดคุยกัน เสียงหยอกล้ออื้ออึงผสมกันระหว่างคำเมืองที่เธอพอฟังออกกับภาษาชนเผ่าที่ฟังไม่เข้าใจ สาววัยรุ่นตาใสบริสุทธิ์นั่งเยื้องกับเธอหันมายิ้มให้อายๆ

โสนย้อนนึกไปถึงบรรยากาศบนรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ที่ทุกคนต่างก้มลงมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองหรือไม่ก็มองจ้องโทรทัศน์ที่มีแต่โฆษณาสินค้าอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่าว่าแต่ยิ้มให้เลย ไม่มีใครสักคนพูดคุยหรือแม้แต่มองหน้ากัน ช่างต่างกับบรรยากาศตอนนี้เสียเหลือเกิน

โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นเตือน เธอหยิบมันออกมาดู รอยยิ้มกว้างระบายทั่วหน้าเมื่อเห็นการแจ้งเตือนบนหน้าจอ

คุณได้รับข้อความใหม่ทางไลน์ (เอียง)

 

น้ำมนต์ : หายไปเลยแก ถึงไหนแล้ว

โสน : หายไปไหนอะไร เมื่อกี้ก่อนขึ้นเครื่องก็โทร. รายงานแล้วไง

น้ำมนต์ : แกไปคนเดียวก็ห่วงสิ อยากไปด้วยจะตาย ถ้าไม่ติดต้องทำงานแทนใคร

โสน : เออน่า พูดซะฉันรู้สึกผิด แต่ขอบใจล้านครั้งเลยที่ช่วยรับงานไปทำต่อให้

น้ำมนต์ : เข้าใจที่แกบ่นละ ลูกค้าแกโหดจริงว่ะ

โสน : ไง ส่งงานไปแล้วผ่านไหม

น้ำมนต์ : โลโก้ นามบัตร กับสเตชันเนรี๑๖ผ่านละ เหลือพรินต์แอด๑๗กับเว็บไซต์

โสน : เฮ้ยยย ไม่จริง!!!!

ตกลงฉันห่วยเองใช่ไหมที่ทำไม่ผ่าน

น้ำมนต์ : ไม่หรอก ‘ท่าน’ คงเบื่อที่แก้ไปมา เลยบอกดื้อๆ ‘อยากได้แบบนี้!’

โสน : อย่าบอกนะว่าแกลอกแบบที่เขาให้ดู

น้ำมนต์ : จะเหลือเหรอ ๕๕๕

เห็น ‘ท่าน’ ว่าให้แกดูตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว แกไม่ยอมทำตาม

โสน : ฉันมีจรรยาบรรณโว้ย ไม่ลอกใคร

น้ำมนต์ : แล้วไง ทำเองแล้วผ่าน?

โสน : T_T

น้ำมนต์ : นี่ก็ไม่ได้ลอกจนเหมือนนะ เอาแค่คล้ายๆ

แต่ก็บอกเขาไว้นะ อย่าไปบอกใครว่าฉันทำ

โสน : ๕๕๕ อายเป็นเหมือนกันเหรอจ๊ะ

น้ำมนต์ : -_-”

ว่าแต่เจอคนมารับยัง

โสน : ยัง ยังอยู่บนรถอยู่เลย แต่น่าจะใกล้ถึงละ

น้ำมนต์ : หมู่บ้านที่แกไปจะมีสัญญาณเปล่าวะ

โสน : ไม่แน่ใจ แต่น่าจะมี วันก่อนคุยกับเขาก็ยังโทร. ติดนะ

น้ำมนต์ : งั้นถึงแล้วไลน์บอกหน่อย จะได้ไม่ห่วง

โสน : ทำตัวเหมือนผัวมากกว่าเพื่อน

น้ำมนต์ : อย่างแกฉันไม่เอาทำเมียหรอก อีกอย่างเมียก็มีอยู่แล้ว ไปละ เมื่อยมือ

โสน : :p

น้ำมนต์ : อย่าลืมไลน์มาบอกนะ

โสน : อืม แล้วคุยกัน

 

“น้อง...ถึงแล้ว ที่น้องจะลงคือทางแยกข้างหน้านั่นน่ะ” กระเป๋ารถหญิงวัยกลางคนเดินมาบอก

“อ๋อ ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่” ถึงจะอยู่ในวัยเป็นพี่สาวแม่ได้ แต่ปลอดภัยกว่าถ้าเรียกพี่ไว้ก่อน

หญิงสาวกดโทรศัพท์หาคนมารับ

“ครับ” เสียงชายหนุ่มดังจากปลายสาย

“อาเชใช่มั้ยคะ เอ่อ...ฉันกำลังจะถึงแล้วค่ะ”

“ผมรออยู่หน้าร้านขายของชำ หาไม่ยาก ลงรถแล้วเดินข้ามถนนมาได้เลย”

“เอ้า ถึงแล้ว ตำบลเวียงพางคำ ทางแยกขึ้นหมู่บ้านผาหมี” คนขับรถตะโกนบอก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น