5

หากเจอกันอีกครั้ง


5

หากเจอกันอีกครั้ง

 

โลกไม่ได้มีแค่สีดำกับสีเทา แต่มีหลากสีสันที่แสนงดงาม เด็กหญิงและเด็กชายในชุดเครื่องแบบอนุบาลกางเกงกระโปรงลายสกอตสีแดง คาดทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีฟ้า วิ่งเล่นกันวุ่นวาย มันคงน่าปวดหัวมากถ้าไม่ดูน่ารักเหลือเกิน และลลนาก็ชอบที่จะได้เห็นมันเป็นอย่างนั้น เพราะมันช่วยเยียวยาจิตใจของเธอให้กลับมาเป็นปกติ

หลังจากหลายวันที่ลลนาเดินทางออกจากรีสอร์ตพันพนา เธออยู่ตามลำพังในห้องพักพร้อมด้วยความหดหู่อันไม่รู้ที่มา มีครั้งหนึ่งเธอตัดสินใจโทร. ไปหามารดา หวังว่าจะได้ยินประโยคแสดงความเป็นห่วงจากการหายตัวไปของเธอ แล้วลีลาก็จัดการให้เธอรู้ว่าเป็นความผิดพลาดที่กล้าคิดว่าระหว่างทั้งสองคนจะมีความผูกพัน อย่างน้อยก็จากฝั่งของคนเป็นแม่ที่มอบให้ได้เพียงแค่ความรำคาญผสมกับความเกลียดชัง

แม่ยังโกรธเธออยู่และบอกอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจด้วยว่าเธอจะไปตายที่ไหน ไม่รับฟังว่าเธอไปประสบอะไรมา อย่างเดียวที่ลีลาต้องการคือให้เธอกลับไปขอโทษวรุณเพราะความผิดที่เธอไม่ได้ก่อ ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริง หญิงสาวแน่ใจว่าเธอยอมตายเสียดีกว่ายอมก้มหัวให้ไอ้ชั่วนั่น

เวลาปิดเทอมหมดไปแล้ว วันนี้คือการฝึกงานในฐานะนักศึกษาคณะครุศาสตร์ปีสุดท้าย ไม่กี่วันก่อนลลนามารายงานตัวและรับข้อมูลการสอน รวมถึงหน้าที่ที่ต้องทำจากหัวหน้าฝ่ายวิชาการ ตอนนั้นเธอคิดด้วยซ้ำว่าการเลือกอาชีพครูเป็นความผิดพลาด

สามปีก่อนเธอเลือกเข้าเรียนคณะนี้เพียงเพราะพลลาภ บิดาของเธอเป็นศาสตราจารย์ที่ให้ความรู้แก่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดัง เธอสามารถสอบคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นได้ก่อนเขาจะเสียชีวิตไม่นาน แล้วก็ไม่แน่ใจสักนิดว่าเขาดีใจกับความสำเร็จของเธอ

ในห้องทำงานกลางมหาวิทยาลัย ลลนายิ้มกว้างขณะพลลาภเพียงพยักหน้ารับทราบแล้วบอกให้เธอแจ้งกับผู้ช่วยของเขา ว่าเขาจำเป็นต้องเซ็นเอกสารอะไรบ้าง และลูกสาวเพียงคนเดียวเช่นเธอควรออกไปจากห้อง แล้วไปแจกแจงกับคนนอกให้ละเอียดเพื่อที่จะไม่เสียเวลาอันมีค่าของเขา นั่นเป็นบทสนทนาสุดท้ายของทั้งคู่เพราะไม่กี่วันต่อมาเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์

ผลการชันสูตรบอกว่าเขาดื่มสุราเกินขนาดจากการไปเที่ยวสถานบันเทิง ที่น่าเศร้ากว่าคือเธอไม่แปลกใจ ส่วนลีลาก็ไม่เสียเวลาเสแสร้งว่าเสียใจด้วยซ้ำ มีเพียงความโกรธแค้นที่พบว่าทรัพย์สินของสามีถูกยกให้เป็นมรดกของบุตรสาวทั้งหมด ในฐานะผู้ปกครองทางกฎหมาย ลีลาจึงพยายามยักยอกให้มากที่สุด

ลลนายังไม่ว่างไปตรวจสอบว่านอกเหนือจากเงินกองทุน เธอยังมีอะไรเหลืออยู่บ้าง เพราะมันไม่สำคัญเลย หญิงสาวไม่อยากได้สิ่งที่ย้ำเตือนว่าเธอเกิดจากพ่อแม่ที่ไม่รักกันและไม่รักเธอ

เมื่อไม่มีครอบครัวชวนให้คิดถึง และก็ไม่นึกอยากทำตัวเหลวแหลกด้วยการใช้สารเสพติดหรือข้องเกี่ยวกับผู้ชาย เป้าหมายเดียวในแต่ละวันของเธอก็เหลือแค่เรียนให้จบ ก่อนหน้านี้เธอมักจะคิดถึงการไปฝึกงานในแง่การทำตามแผนการเรียน ซึ่งมีประโยชน์แค่ให้เธอเรียนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเท่านั้น

ถึงลลนาจะเคยเรียนหลักสูตรปฐมวัยและดูแลเด็กเล็กมาก่อน แต่เธอไม่รู้วิธีเชื่อมความสัมพันธ์กับใคร ไม่ว่ากับเด็กหรือผู้ใหญ่ ลีลาปล่อยเธอให้อยู่ในความดูแลของพี่เลี้ยงที่ต่างจากหุ่นยนต์นิดหน่อย พ้นจากเนิร์สเซอร์รี พลลาภก็โยนเธอเข้าโรงเรียนประจำตั้งแต่ชั้นอนุบาล แล้วนั่นก็เป็นบ้านหลังที่สองของเธอเรื่อยมา

แต่แทนที่จะทำความคุ้นเคยกับเพื่อนและครู เธอกลับหลบมุมอยู่ในโลกส่วนตัว ไม่ทำกิจกรรมร่วมกับใคร นอกเหนือจากตามระเบียบของสถานศึกษา ตลอดสี่ปีในมหาวิทยาลัย หญิงสาวพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยมีเพื่อนสนิทไปกินไปเที่ยวนอกรั้วมหาวิทยาลัย มีเพียงเพื่อนร่วมชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นไม่ต้องพูดเรื่องเชื่อมสัมพันธ์ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการมีปฏิสัมพันธ์เป็นอย่างไร

แต่กับเด็กตัวเล็กๆ มันต่างออกไป

พวกเขาแค่มองดูเธอด้วยดวงตากลมโตอย่างสนอกสนใจ ไม่เปิดโอกาสให้เธอเมินเฉย ไม่สำคัญว่าเธอจะมาในฐานะไหน แค่ใช้เวลาร่วมกัน เธอก็ถือเป็นเพื่อนตัวโตของพวกเขา

ต้องขอบคุณหลักสูตรการเรียนรู้ควบคู่กิจกรรมที่บังคับให้ครูพี่เลี้ยงทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ลลนาไม่รู้ว่าครูประจำชั้นมีมุมมองอย่างไรในแผนการสอนแบบนี้ แต่เธอเหมือนได้เรียนสิ่งต่างๆ ไปพร้อมกับเด็กๆ ด้วย เธอจึงกลายเป็นเพื่อนกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว

มือเล็กๆ หลายคู่ชอบดึงลลนาไปทางโน้นทีทางนี้ที ตั้งคำถามที่มีเพียงเด็กห้าหกขวบเท่านั้นที่จะสงสัย แล้วเธอก็ชอบที่จะได้อธิบายสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จัก ในเวลาไม่นานหญิงสาวก็กลายเป็นคนสำคัญที่พวกเขาขาดไม่ได้ จะว่าไปเด็กๆ ชอบลากเธอไปทุกที่ด้วยกันกับพวกเขาเพื่อคอยตอบคำถาม เพราะพวกเขามีความสนใจใคร่รู้ในทุกอย่าง เธอยังจำได้เลยว่าตอนแนะนำตัวเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ตอนยืนหน้าชั้นเรียน เธอบอกชื่อจริง ‘ลลนา’ ออกไป แล้วฟังเสียงเล็กๆ ออกเสียงตาม เมื่อเธอบอกชื่อเล่นก็มีการถามถึงความหมาย ซึ่งเธอเองก็ไม่เคยสนใจมาก่อน สาวิตรี ครูประจำชั้นใช้มันเป็นหัวข้อการเรียนการสอนทันที ด้วยการตั้งคำถามถึงความหมายของชื่อ

‘เอาละทุกคน ใครรู้บ้างว่า ‘ลัน’ แปลว่าอะไร’

รอยยิ้มอ่อนโยนของสาวิตรีเป็นอีกอย่างที่ทำให้ลลนาประทับใจห้องเรียนนี้ เพราะมันเสริมความมั่นใจให้เด็กๆ และเธอ

เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่เพิ่งเคยเข้าเรียนหลักสูตรนี้เป็นปีแรกจึงยังไม่ชินกับการเรียนการสอนในห้อง รออยู่นานจึงมีมือข้างหนึ่งชูขึ้นขอตอบคำถามด้วยคำถาม

‘ลันมาจากถั่วลันเตาใช่ไหมคะ’

ต่อจากนั้นก็มีการถามกันว่าถั่วลันเตาคืออะไร เด็กหญิงน้อยหน่า เจ้าของคำถามที่ว่าลันมาจากถั่วลันเตาเป็นคนบอกว่ามันเป็นผัก อยู่ในข้าวผัดอเมริกัน มีน้องลาเต้เถียงว่าอยู่ในสลัดทูน่า แล้วชื่ออาหารมากมายก็ผุดขึ้นมา ลลนาต้องค่อยๆ ตอบว่าอาหารพวกนั้นมีหรือไม่มีถั่วลันเตากันแน่

ผ่านไปพักใหญ่ ข้าวหอมเป็นคนเดียวที่ยังจำได้ว่าพวกเขาถกเถียงกันเรื่องชื่อของครูพี่เลี้ยง ไม่ใช่อาหาร แล้วดวงตาสิบกว่าคู่ก็หันมาจ้องมองลลนาจนเธอกระดากอายที่ไม่อาจหาคำตอบดีๆ ให้เด็กๆ โชคดีที่สาวิตรีมีประสบการณ์มากพอที่จะช่วยเหลือ

‘ลันไม่มีความหมายค่ะ แต่ถ้ารันในภาษาอังกฤษแปลว่า วิ่ง’

นั่นช่วยให้เด็กๆ มีเรื่องสนใจใหม่ กว่าจะหมดคาบเรียน ลลนากับเหล่าเด็กอนุบาลสามห้องสองก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ช่วงพักกลางวันเธอจึงรีบรับประทานอาหารแล้วมาผลัดเวรเฝ้าดูพวกเขาเล่นสนุกกันในสนาม โดยมีส่วนร่วมด้วยเหมือนเป็นเด็กโค่งคนหนึ่ง เธอมัวแต่ให้ความสนใจแก่มนุษย์ที่แสนบริสุทธิ์สดใส จนไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ในสายตาของใคร

“สวัสดีครับครูลลนา”

คนเอ่ยทักคือชายวัยสี่สิบ สวมแว่นกรอบบางและประดับรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้า เขามีลักษณะภูมิฐานแบบนักวิชาการมากกว่านักธุรกิจ ร่างสูงโปร่งค่อนไปทางผอมบาง ทว่าดูแข็งแรงเหมือนต้นไม้ใหญ่ นั่นช่วยเสริมให้เขาดูเป็นนักวิชาการมากขึ้น

ลลนาย่อมจำได้ว่าประจักษ์เป็นทั้งเจ้าของและผู้อำนวยการโรงเรียนเพาะกล้าแห่งนี้ จึงหันไปทักทายตอบอย่างสุภาพ แล้วพบว่าชายวัยกลางคนให้ความรู้สึกเป็นมิตรมากกว่าที่เธอเคยคิด เขาชวนเธอคุยเรื่องสัพเพเหระสร้างความคุ้นชินก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญ

“ผมดีใจมากที่เห็นครูลลนาเข้ากับเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี และก็ต้องขอโทษด้วยที่ตอนแรกผมแอบห่วงว่าครูลลนาจะเข้ากับที่นี่ไม่ได้” ประจักษ์กล่าวตรงไปตรงมาอย่างสุภาพ

หญิงสาวได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้จะกล่าวอะไรดี เธอรู้ว่าเจ้านายหมายถึงอะไร กิริยาท่าทางของเธอที่แสดงออกก่อนหน้านี้คงดูเหมือนนักศึกษาที่มาฝึกงานเพื่อให้จบๆ ไปมากกว่าคนที่มีอุดมการณ์อยากเป็นครูที่ดี แล้วเธอยังมีท่าทีไม่เห็นด้วยตอนทางหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมมาขอความร่วมมือ

เนื่องจากโรงเรียนเพาะกล้าเป็นโรงเรียนทางเลือกที่ตั้งอยู่ในอยุธยา จึงมีทั้งเด็กที่เดินทางไปกลับ และเด็กที่เข้าเรียนแบบกินนอน นอกจากเจ้าหน้าที่ที่ต้องเข้าเวรประจำ ก็จะมีการขอความร่วมมือครูในโรงเรียนให้ผลัดเวรมานอนเฝ้าหอนอนของเด็กๆ คนละหนึ่งวันต่อสัปดาห์ แต่กฎข้อนี้ไม่บังคับครูฝึกสอนเช่นลลนา

ในเมื่อเธอเลือกได้ว่าจะค้างหรือไม่เพราะไม่ได้อยู่ในระเบียบการฝึกสอน หญิงสาวจึงปฏิเสธอย่างชัดเจนที่จะมีส่วนร่วมพักแรมเพื่อดูแลเด็กๆ เธอชินกับการสร้างขอบเขตขีดคั่นให้คนอื่นถอยห่างไปไกลๆ การนอนพักร่วมห้องกับครูและเจ้าหน้าที่แปลกหน้าไม่ได้เป็นสิ่งที่เธออยากให้เกิดขึ้น

ครั้งสุดท้ายที่ลลนาแบ่งปันห้องนอนร่วมกับคนอื่นคือสมัยเรียนมัธยมในโรงเรียนประจำกลางกรุงเทพฯ ที่ห่างจากบ้านของเธอในระยะเดินทางไม่ถึงสิบห้านาที

เด็กสาวที่เคยอยู่ร่วมกันสมัยมัธยมพยายามผูกมิตรอย่างเสแสร้งเพราะพ่อของเธอเป็นผู้บริจาครายใหญ่ของโรงเรียน ลลนาจึงทำให้เพื่อนร่วมห้องคนนั้นรู้ว่าเธอเกลียดการรุกรานความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก โชคดีที่หนึ่งห้องมีนักเรียนนอนร่วมกันสี่คน และหลังจากปฏิเสธน้ำใจปลอมๆ หนึ่งคน อีกสองคนก็เลือกที่จะกีดกันเธอออกไปเป็นคนนอกในทุกๆ เรื่อง

ดังนั้นเมื่อหัวหน้าฝ่ายกิจการถามเรื่องเข้าเวร แม้จะได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษเพื่อจูงใจ ลลนาก็ไม่คิดจะตอบรับ เวลานี้เธอเริ่มนึกเสียดายแล้ว

“ถ้าดิฉันจะเปลี่ยนใจเข้าพักที่นี่สัปดาห์ละครั้งจะได้ไหมคะ” เธอพูดออกไปโดยไม่ทันคิดด้วยซ้ำ

“ครูลลนาไม่ต้องคิดมากครับ ผมไม่ได้พูดเพื่อให้คุณครูรู้สึกว่าจำเป็นต้องมา ครูฝึกสอนทุกคนลังเลที่จะมาเข้าเวรเหมือนกัน”

เมื่อประจักษ์เปิดทางให้เธอเปลี่ยนใจ ลลนาก็ไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว จะเป็นอย่างไรถ้าเธอมาพักรวมกับพวกครูและเด็กแล้วพบว่ามันเป็นฝันร้าย ใครๆ ก็พูดว่าเด็กเล็กไม่ได้น่ารักเสมอไป และยังจะครูกับเจ้าหน้าที่ที่เธอรู้จักเพียงชื่อ พวกนั้นอาจจะมีนิสัยบางอย่างที่เธอไม่ชอบ เช่น ซุบซิบนินทา จ้องจับผิด สุดท้ายเรื่องน่าอึดอัดก็อาจจะกลายเป็นปัญหาลุกลามจนเธอไม่ผ่านการฝึกงานก็เป็นได้

“ถ้าดิฉันจะขอลองดู แต่ไม่เข้าเวรประจำ จะรบกวนตารางของคนอื่นหรือเปล่าคะ”

ลลนาไม่แน่ใจว่าอะไรดลใจให้เธอสร้างความยุ่งยากให้ตัวเองและคนอื่นเช่นนี้ แต่เธอใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มของประจักษ์

“เอาอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันครับ ผมจะช่วยดูให้ ครูลลนาลองเข้าเวรวันศุกร์นี้ก่อน เรามีเด็กที่ไม่ได้กลับบ้านช่วงเสาร์-อาทิตย์ไม่กี่คน”

นั่นเป็นอะไรที่ดีมาก ลลนาเองก็เคยเป็นเด็กที่ไม่ได้กลับบ้านตลอดทั้งปีการศึกษา เธอจึงเข้าใจว่าเด็กประเภทนี้มักจะไม่งอแงหรือเรียกร้องอะไร ตอนเธอยังเด็ก เธอก็เรียนรู้ว่าควรอยู่เงียบๆ ในพื้นที่ที่ผู้ใหญ่จัดให้ เพราะจะไม่มีใครยอมตามใจให้เธอได้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นพ่อหรือแม่ก็จะพาเธอกลับบ้าน แล้วทิ้งให้เธออยู่กับคนแปลกหน้าพร้อมด้วยคำตำหนิยาวเหยียดจนเธอรู้สึกผิดที่เกิดมาบนโลกนี้

“ขอบคุณค่ะผู้อำนวยการ ดิฉันจะทำเต็มที่”

เธอหมายความตามที่พูด ลลนาตั้งใจจะใช้ช่วงค้างคืนสร้างความคุ้นเคยในการอยู่ร่วมกับเด็กๆ ให้มากขึ้น เพราะเธอเชื่อว่ายิ่งรู้จักพวกเขาจะยิ่งเข้าใจพวกเขา และความมุ่งมั่นของเธอก็เรียกรอยยิ้มเพิ่มมากขึ้นจากคู่สนทนา

“เช่นกันครับครูลลนา ผมแน่ใจว่าคุณจะเป็นครูฝึกสอนที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา”

สายตาชื่นชมที่เขามองตรงมาทำให้ลลนารู้สึกว่าประจักษ์เป็นคนแรกที่มองเห็นเธอจริงๆ แล้วจู่ๆ ภาพดวงตาสีดำลุ่มลึกของชายกึ่งแปลกหน้าที่คุ้นเคยทางกายก็แวบเข้ามาในความคิด เขาคนนั้นก็เคยมองเธอเช่นนี้ ทว่าภาพความทรงจำสุดท้ายที่เขามอบให้คือการหลบสายตาเบือนหน้าหนีเหมือนไม่ต้องการเห็นเธอ

ความทรงจำช่างเป็นเรื่องแปลกจริงๆ ลลนาสงสัยว่าทำไมเกมที่เริ่มต้นด้วยความสุขแสนเร่าร้อนถึงไม่ทำให้เธอจดจำได้เท่าตอนจบที่ขมฝาด

แต่อย่างไรก็ไม่สำคัญ เกมจบแล้ว และเธอต้องเดินหน้าต่อไป

 

เขาชินกับการเดินหน้าต่อโดยไม่หยุดยั้ง ดังนั้นชานนจึงค่อนข้างแปลกใจที่หลายวันมานี่เขานั่งๆ นอนๆ อยู่ในบ้านโดยไม่มีแผนการใดๆ เป็นพิเศษ บ่ายแก่ๆ ก็นอนเอนหลังหลับกลางวันในสวน

“เดี๋ยวนี้ขี้เกียจเหรอไอ้ลูกชาย” คนพูดอายุมากกว่าชานนสี่สิบเอ็ดปี แต่เขาเรียกได้ถูกต้อง

ชวลิตอายุเจ็ดสิบเอ็ดปีแล้ว แต่ยังดูหนุ่มกว่าความจริงสิบกว่าปี บางคนคิดว่าเขาห้าสิบกว่าๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาใช้ชีวิตหลังเกษียณจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดินทางท่องเที่ยวรอบโลกกับภรรยาอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องห่วงว่าลูกชายคนเดียวจะทำธุรกิจที่สืบทอดรุ่นต่อรุ่นพังทลายลงในเร็ววัน นั่นก็เพราะชานนเรียนรู้ทุกอย่างจากพ่อ รวมถึงการใช้ชีวิตให้เต็มที่ด้วย

ถึงทั้งคู่จะอายุห่างกันมาก แต่ก็ไม่เกิดอุปสรรคระหว่างวัย ชวลิตเป็นคนมีมุมมองเปิดกว้าง เข้าใจเรื่องราวต่างๆ และวางตัวเป็นกลางเสมอ ชานนแอบหวังว่าสักวันเขาจะเป็นได้อย่างบิดา เว้นเรื่องยอมตามใจภรรยาจนเพื่อนฝูงล้อเลียนว่าเป็นคนเกรงใจเมียบ่อยครั้ง

“แม่ของแกเขานึกว่าแกแอบไปหลงสาวแล้วอกหักหรือเปล่า ถึงได้มานั่งหงอยอยู่บ้านอย่างนี้”

รอยยิ้มขบขันผุดขึ้นมุมปากของชานนอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่เพียงเรื่องที่ชลดา แม่ของเขาสงสัยไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย เขายังอยากจะหัวเราะที่บิดามารดาทำเหมือนเขาเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีปัญหาหัวใจแล้วต้องมาเก็บตัวอยู่บ้านเงียบๆ แต่ความเป็นห่วงของทั้งสองไม่ใช่เรื่องที่เขาคิดจะปฏิเสธ

ชายหนุ่มนึกอยู่แล้วว่าการที่พ่อกับแม่อยู่บ้านเป็นเพื่อนเขาค่อนข้างเป็นเรื่องแปลก แต่ร้อยคิดพันคิด เขาก็ไม่คิดว่าจะว่าจะเป็นเรื่องนี้

“ผมก็แค่เบื่อๆ อยากพักผ่อนอยู่เฉยๆ บ้าง แม่กับพ่อล่ะครับ ไหนว่าจะไปหัดเต้นระบำฮูล่าที่ฮาวาย” ชานนขยับมานั่งตัวตรงเพราะรู้ว่าพ่อต้องมีเรื่องคุยกับเขายาว

“ก็แม่แกน่ะสิบอกว่าตัวเองไม่ใช่สาวๆ จะให้ไปใส่ชุดที่มีแต่ใบไม้กับกะลามะพร้าว เขาอายเด็กๆ พ่อเลยไม่อยากจะไปแล้ว”

ขณะพูดชวลิตก็นั่งลงข้างๆ ลูกชาย ปากอาจจะบ่น แต่ตาเหลือบมองไปทางครัวที่ชานนคาดว่าแม่ของเขาต้องกำลังอบขนมหรือทำอาหารว่างอะไรสักอย่างเตรียมไว้ให้สามีอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งเรื่องที่ชายหนุ่มคาดเดาว่าพ่ออยากจะพูดกับเขาก็ถูกเอ่ยออกมา

“แกก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะนนท์ จะมีครอบครัวก็ไม่แปลกอะไร อายุเท่าแก พ่อแต่งงานกับแม่แล้ว”

เห็นลูกชายแกล้งเบิกตากว้าง ทำหน้าราวกับเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แล้วยังไม่ยอมเข้าร่วมบทสนทนา ชวลิตจึงดึงเข้าประเด็น

“พ่อเห็นเพื่อนๆ แกมีลูกกันไปหลายคนแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ผมรอให้พ่อกับแม่หาให้”

“อย่ามาพูดไร้สาระ สมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่ต้องรอให้ผู้ใหญ่จับคู่ แล้วสายตาพ่อก็ไม่ได้ดีเหมือนปู่ย่าตายายของแก”

การแต่งงานของชวลิตกับชลดาเรียกได้ว่าเป็นการคลุมถุงชน แต่ผลลัพธ์ออกมาดีกว่าที่ใครๆ จะคาดคิด อยู่กินกันหลายปี แม้ฝ่ายหญิงจะไม่มีลูก แต่ฝ่ายชายก็ไม่ทำเหมือนคนไร้ความรับผิดชอบที่หาภรรยาน้อยโดยใช้คำอ้างว่าเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล

ชวลิตเสาะหาทุกวิธี ทำทุกทาง และรอจนเกือบจะหมดหวัง จวบจนอายุสี่สิบ ส่วนภรรยาอายุสามสิบกว่า พวกเขาถึงได้มีลูกตามที่ฝัน แล้วเขาก็ทุ่มเททุกอย่างเพื่อลูกชายคนเดียวนี้ และตลอดการแต่งงานเกือบห้าสิบปี เขารักและให้เกียรติคู่ชีวิตเสมอมา

ถ้ามีใครถามถึงนิยามของการแต่งงานด้วยความรักจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ชานนจะยกตัวอย่างพ่อกับแม่ของเขาขึ้นมา ทั้งสองคนอาจไม่ได้เริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยความรักของหนุ่มสาว แต่มันคงเกิดขึ้นในช่วงหลังจากนั้นไม่นาน และเพิ่มพูนอย่างไร้ขีดจำกัด

ความผูกพันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าของพ่อกับแม่ทำให้มาตรฐานทางด้านชีวิตคู่ของชานนสูงตาม จนเขาไม่แน่ใจว่าวันไหนตนเองจะคิดถึงเรื่องแต่งงานได้

“ตอนลงไปภูเก็ต ผมไปเจอใครคนหนึ่งมาครับ แต่เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”

อยู่ๆ ชานนก็เอ่ยขึ้นมาอย่างทื่อๆ จนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจ แต่คำพูดหลุดออกจากปากไปแล้วไม่อาจเรียกคืนได้ เขาจึงเลือกเงียบแล้วปล่อยให้พ่อซักไซ้

“แกอกหักจริงๆ สินะ” ชวลิตหัวเราะ

แต่ชานนรู้ว่าบิดาทำเพื่อให้เขาผ่อนคลาย จะได้สะดวกใจเล่าต่อ “ไม่รู้สิครับพ่อ เพราะยังไงเราก็คงไม่ได้เจอกันอีก”

โครงการรีสอร์ตพันพนาถูกพับเก็บชั่วคราวจนกว่าสิงขรจะยอมลดผลกำไรที่มากเกินไปลง ดังนั้นชานนจึงไม่มีอำนาจในการขอเข้าถึงข้อมูลชื่อผู้ที่เข้าออกรีสอร์ตช่วงเวลาที่เขาพักอยู่ที่นั่น แต่ถึงจะมีอำนาจดำเนินการ ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่าสมควรทำหรือไม่

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสาวนิรนามเป็นเหมือนความฝันที่งดงาม เขาไม่อยากจะทำลายมันด้วยการสืบหาว่าเธอเป็นใคร สิ่งหนึ่งที่ชานนมั่นใจก็คือเขายังไม่พร้อมกับความผูกพันระยะยาว โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เห็นได้ชัดว่าไม่หนักแน่นมั่นคงทางอารมณ์เหมือนแม่ของเขา

“นนท์ไปเจอใครมาเหรอ”

เสียงของชลดามาก่อนตัว ชานนต้องกัดกระพุ้งแก้มไม่ให้หัวเราะเยาะตัวเอง แค่เขาคิดถึงมารดาก็เดินเข้ามา และเชื่อได้เลยว่าอดีตครูประถมต้องซักฟอกเขาจนกว่าจะได้คำตอบที่เธอต้องการ แล้วก็เป็นตามคาด เพราะหลังจากวางถาดใส่ขนมไทยหลายอย่างกับชามะนาวเย็นสองแก้วให้สามีกับลูกชาย เธอก็จ้องเขม็งจนผู้ชายอายุเกือบสามสิบปีหมดความกล้าจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของแม่

“คนที่ผมบังเอิญเจอน่ะครับ แต่คงไม่มีโอกาสได้เจอกันแล้ว”

“โอกาสมันต้องสร้างขึ้นเองไม่ใช่เหรอลูก แม่เห็นเดี๋ยวนี้เขาฮิตสโลแกนนี้กัน” ชลดากล่าวอย่างจริงจัง

ชานนกลับทำเป็นเล่น “อย่าบอกนะครับว่าแม่จะไปทำงานขายตรง”

แล้วเขาก็โดนฝ่ามือหนึ่งตีเข้าที่ไหล่อย่างไม่หนักไม่เบา แต่เขาแสร้งโอดโอยเต็มที่

“โอ๊ย! แม่ตีผมทำไม”

“ก็สมควรโดนไหมล่ะ แล้วอย่าได้ดูถูกอาชีพคนอื่นอย่างนั้น จะบอกให้นะเจ้าตัวแสบ อาชีพพวกนี้ถือว่าเป็นกลไกขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่งเชียวนะ”

“ใช่ๆ พ่อเห็นด้วยกับแม่เขานะเรื่องนี้”

คนกลัวภรรยาหมายเลขหนึ่งรีบเข้าข้าง จนคนเป็นลูกอดที่จะแอบกลอกตาไม่ได้ แต่ไม่มีทางที่กิริยาเช่นนี้จะช่วยให้รอดตัว รวมถึงความพยายามในการเปลี่ยนเรื่องด้วย

“ดูทำตาเข้าสิ โตแล้วนะเรา แล้วตกลงว่ายังไง นนท์ไม่มีโอกาสหรือไม่ยอมสร้าง ทำแบบนี้เขาเรียกว่าปิดโอกาสตัวเอง”

ความเป็นครูในตัวชลดาฝังลึกมาก เธอไม่มีทางยอมปล่อยลูกศิษย์หรือในที่นี้คือลูกชายไปจากหัวข้อที่กำลังวิเคราะห์กันอยู่ง่ายๆ เธอถือเป็นหน้าที่ที่ต้องช่วยให้เขาเหล่านั้นได้ขบคิดแตกประเด็นจนกระจ่าง แต่เมื่อรวมเข้ากับความเป็นแม่ เมื่อเห็นชานนทำตัวผิดปกติหลายวัน เธอก็ยิ่งต้องซักฟอกจนกว่าจะรู้ว่าลูกมีปัญหาอะไร เพราะต่อให้เขาตัวโตสูงใหญ่แค่ไหน หรือต่อให้มีผมหงอกเต็มหัว ก็ยังเป็นลูกชายที่เธอห่วงใย

“ถ้าอย่างกรณีนี้ ผมคงต้องบอกว่าไม่มีโอกาสจริงๆ ครับ เพราะเธอไม่แม้แต่จะยอมบอกชื่อของเธอให้ผมรู้ด้วยซ้ำ”

หลังจากใคร่ครวญหาคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง ชานนก็กล่าวเข้าประเด็นสำคัญเพื่อปิดหัวข้อนี้ โดยไม่คิดว่ามีความจำเป็นต้องเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเสี่ยงให้มารดาหัวใจวายเพราะพฤติกรรมทางเพศของเขา วันไนต์สแตนด์อาจเป็นเรื่องที่คนยุคใหม่หลายคนถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่คงไม่ใช่กับคนหัวเก่าอย่างชลดา ต่อให้ชวลิตไม่มีนิสัยคร่ำครึก็คงอ้าปากค้างเพราะเกมที่ชานนไปร่วมเล่นถึงหกวันหกคืน มิหนำซ้ำยังไม่รู้แม้แต่ชื่อของคู่เล่น

สองสามีภรรยายังซักถามบุตรชายอีกสองสามเรื่อง หลังจากแน่ใจว่าไม่อาจดึงข้อมูลสำคัญอะไรออกมาได้อีกก็ยอมปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง เปิดโอกาสให้พิจารณาตัวเองว่าควรนั่งหงอยหรือเล่าปัญหาคาใจให้พ่อกับแม่ฟังเพื่อเดินหน้าต่อ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ชานนสงบใจได้เลย

ตะกอนความรู้สึกที่ผู้หญิงนิรนามทิ้งเอาไว้ และเขาพยายามกลบเกลื่อนว่าไม่มีอยู่จริง ยังนอนอยู่ในใจรอวันที่จะปั่นป่วน ชานนหวังว่าสักวันเขาจะไม่นึกย้อนถามตัวเองว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ถ้าเขารอให้เธอเอ่ยชื่อของตนให้เขาได้ยิน

ผ่านเวลาไปเนิ่นนาน ชายหนุ่มก็สั่งให้ตัวเองเลิกคิด เพราะไม่ว่าจะขบคิดแค่ไหน เกมก็จบแล้ว และเขาไม่อาจจะย้อนเวลากลับไปได้

 

มีเวลาที่เหนื่อยและเวลาที่สนุก แต่เมื่อเอามารวมกันก็จะเป็นเวลาที่คุ้มค่า ลลนาเพิ่งเลิกหายใจหอบเพราะความเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่อาจเลิกยิ้มกว้างจากความสนุกสนานขณะเดินเข้าไปในห้องของผู้อำนวยการ แค่เธอเปิดประตู ยังไม่ทันก้าวเข้าไปเต็มตัว ประจักษ์ก็ยิ้มกว้างผายมือแนะนำ

“นี่ไงครับพี่ดา ครูลลนา ครูคนใหม่ที่ผมบอกว่าไฟแรงมาก”

ลลนาไม่แน่ใจนักว่าหญิงวัยกลางคนที่มีรอยยิ้มอบอุ่นตรงหน้าเป็นใคร แต่จากท่าทีของประจักษ์ เธอมั่นใจว่าต้องเป็นคนที่เขาให้ความนับถือจึงยกมือไหว้ไว้ก่อน

“ครูดา ชลดาเป็นคนทำแผนการเรียนการสอนให้กับโรงเรียนเพาะกล้า แล้วก็เป็นครูสมัยยังเรียนประถมของผมมาก่อนด้วย”

ประจักษ์แนะนำคร่าวๆ แต่จากท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยที่เขามอบให้อีกฝ่าย ลลนาคาดว่าทั้งคู่น่าจะเป็นเพื่อน หรืออาจจะเป็นญาติกัน

“จักรก็พูดซะพี่ดูแก่เลย ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ครูลลนาเรียกพี่ว่าพี่ดาก็ได้ ไม่ดีกว่า อายุขนาดนี้เรียกน้าได้แล้ว แต่อย่าให้ถึงกับเรียกป้าเลยนะ”

“ขอบคุณค่ะน้าดา น้าดาก็เรียกลันเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”

มีบางอย่างที่ชวนให้ลลนารู้สึกสนิทชิดเชื้อกับชลดาอย่างประหลาด อาจเพราะว่าทั้งคู่เป็นครูเหมือนกันก็ได้ ถึงเธอจะไม่กล้าเอาตำแหน่งครูฝึกสอนของตนเองไปเทียบกับครูผู้มากประสบการณ์ตรงหน้า แต่สามเดือนที่ฝึกสอนในโรงเรียนเพาะกล้าก็ปลูกฝังสิ่งที่เรียกความเป็นแม่พิมพ์ในตัวหญิงสาวได้

ลลนาตั้งใจแน่วแน่ว่าต่อจากนี้ไปเธอจะยึดอาชีพครูอนุบาล ทำหน้าที่เป็นเรือจ้างลำแรกให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ที่จะเติบโตเป็นคนดี และการเริ่มต้นการทำงานที่นี่ก็เป็นก้าวแรกที่ดีสำหรับเธอ

โรงเรียนเพาะกล้าแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงโรงเรียนทางเลือกที่มีคุณภาพ ผู้บริหารอย่างประจักษ์ยังให้ความสำคัญแก่เยาวชนมากกว่าตัวเงิน มีเด็กหลายคนได้ทุนเรียนฟรี และเด็กบางคนที่พักในโรงเรียนในช่วงเสาร์-อาทิตย์ก็ได้รับการอนุเคราะห์เพื่อให้ตัวของเด็กเองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า เช่นน้อยหน่าที่ช่างพูดและน่ารัก

ลลนาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กหญิงอาศัยอยู่กับครอบครัวในชุมชนแออัดที่มีความเสี่ยงเรื่องยาเสพติด ยายของเด็กเคยทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดที่นี่ และได้มาขอทุนให้หลาน เมื่อประจักษ์รู้ถึงความเดือดร้อนของน้อยหน่าจึงเดินทางไปติดต่อกับพ่อแม่เด็กเพื่อให้เธอได้อยู่ห่างจากแหล่งอบายมุข หลังจากรู้เรื่องนี้หญิงสาวก็ยิ่งให้ความนับถือเจ้านายของเธอมากขึ้น

“อ้าว อย่างนี้ก็กันผมเป็นคนนอกสิ”

คำพูดเย้าๆ ของประจักษ์เกือบจะทำให้ลลนาหัวเราะถ้าไม่รู้สึกเย็นวาบตลอดแผ่นหลังเสียก่อน แบบเดียวกับการอยู่ใกล้สัตว์นักล่า เธอไม่ได้รับรู้ว่ามีคนเข้ามาเพิ่มเพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตู แต่เธอรู้สึกจากสังหรณ์อันตราย

หญิงสาวไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ว่ามีใครบางคนก้าวตามเธอเข้ามาในห้อง แล้วก็กำลังจับจ้องเธออย่างจริงจัง สัญชาตญาณบอกว่าเธอรู้จักความรู้สึกนี้ และสมควรวิ่งหนี

“กลับมาพอดี โครงการต่อเติมโรงเรียนของพี่เป็นยังไงบ้างล่ะ”

ประจักษ์เบี่ยงสายตาไปมองพร้อมทักทาย ลลนาจึงรู้ว่าฝ่ายนั้นก้าวเข้ามายืนข้างๆ เธอในระยะห่างที่ฉิวเฉียดกับคำว่าเหมาะสม

“ถ้าพี่จักรให้ผมทำสวนเพิ่มจะสวยขึ้นเยอะเลยครับ”

เธอต้องมองไปทางเขา ลลนารู้ว่าการนิ่งเฉยเป็นการเสียมารยาทอย่างหนึ่ง จึงข่มความกลัวกลั้นใจหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างกาย เพราะความสูงของทั้งคู่ที่แตกต่าง รวมถึงการยืนไม่ห่างทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้น และพบว่าเขากำลังก้มลงมองตรงมาเช่นกัน

“ครูลลนา ไม่สิครูลัน นี่ชานนลูกชายของพี่ดาครับ เขาจะมารับผิดชอบโครงการต่อเติมสร้างแผนกมัธยมให้กับเพาะกล้า”

ลมหายใจของเธอสะดุด สีสันใดๆ หายไปจากรอบตัว ราวกับคนตรงหน้าดูดกลืนแสงสีรวมถึงอากาศเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทของเขาจนหมดสิ้น เขายังหล่อเหลาเหมือนที่เธอจำได้ ความแตกต่างเดียวคือสีหน้าท่าทางว่างเปล่าแบบเดียวกับที่จะใช้ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้า ดังนั้นสิ่งที่เธอเลือกทำคือยกมือไหว้อย่างสุภาพ

“สวัสดีค่ะคุณชานน ดิฉันลลนาค่ะ”

ในจินตนาการของเธอเคยวาดภาพการโคจรมาพบเจอกันของทั้งคู่หลายต่อหลายครั้ง ว่าหากบังเอิญได้เห็นหน้า ได้รู้จักชื่อของเขา จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่มีอะไรเหมือนเช่นนี้

ขณะสบตากับชานน คนแปลกหน้าที่เธอรู้จักทุกส่วนบนกายของเขา เช่นเดียวกับที่เขารู้จักร่างกายของเธอ ลลนามั่นใจว่านับจากนี้ไปเธอจะไม่มีวันลืมวินาทีนี้ และชื่อของผู้ชายคนนี้ไปตลอดชีวิต

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น