7

สะกดใจ

7

สะกดใจ

 

กลับมาถึงบ้าน เหมือนมาลีก็เข้าไปทำความสะอาดห้องพักอีกห้องหนึ่ง เพราะจะมีแขกเข้ามาพักสองคน โดยปกติหากเป็นชายหญิงมาด้วยกันก็จะคาดเดาได้ว่าเป็นคู่รักอย่างแน่นอน สำเริงสำราญโฮมสเตย์ต้อนรับนักท่องเที่ยวหลายประเภท แต่น้อยคนนักจะมากับคู่รัก ส่วนมากเป็นเพื่อนที่รักในการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ มาเรียนรู้วัฒนธรรมของชุมชน ซึมซับบรรยากาศของบ้านเมือง 

ในเมื่อนานๆ ครั้งจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวคู่รัก เหมือนมาลีจึงจัดห้องใหม่ให้ดูโรแมนติกขึ้นด้วยการตั้งโคมสีแดงไว้ที่หัวเตียง และมีเทียนหอมช่วยกระตุ้นโลหิต 

“พรุ่งนี้จะมีแขกมาพักสองคนค่ะ เป็นผู้ชายหนึ่งผู้หญิงหนึ่ง” 

เหมือนมาลีเดินหอบผ้าห่มผืนใหม่ตรงไปยังทิศทางของห้องพักแขก พบชนกันต์ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงพอดีจึงแจ้งข่าวนี้ให้ทราบ

“อ่อ! ครับ” เขายิ้มให้ 

“อย่ายิ้มสิคะ” เหมือนมาลีบอก แต่รอยยิ้มของเขาก็ยังไม่จางหายไป “ยิ่งคุณยิ้ม ฉันยิ่งหวั่นไหวน่ะ” 

“เหรอครับ” เขาถามย้ำแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม 

คนแซวที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นด้วยหน้าแดงเถือกไปทั้งหน้า เมื่อเห็นว่าเขายังมองไม่เลิก เธอจึงซุกหน้าลงกับหมอนแล้วเดินหายเข้าไปจัดห้องพักลูกค้าต่อ 

‘ตายๆๆ ต้องตายแน่ๆ ทำไมใจเต้นแรงแบบนี้โว้ย!’

“คุณแยมครับ” 

“คะ” อยู่ดีๆ คนที่ทำให้เธอเสียอาการก็เดินมาหยุดตรงหน้าประตูห้อง เธอขานรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่เป็นปกติดี แต่ธุระของเขากลับทำให้ความอายหายไปกลายเป็นความฉงนเข้ามาแทนที่ 

“เย็นนี้กินหมูกระทะกันมั้ยครับ”

“หมูกระทะเหรอคะ” 

 

บรรยากาศยามเย็นของบ้านบนเนินเขางดงามราวภาพวาด ท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดงมีสีม่วงอมชมพูแทรกด้วยริ้วสีแดงอมส้มพาดยาวทั่วทั้งฟ้า

เตาถ่านถูกยกมาวางกลางลานกว้างบนชานบ้าน เหมือนมาลีชวนไข่หวานมาร่วมวงด้วยกันจะได้ดูครึกครื้นขึ้น สักเล็กน้อยก็ยังดี หมูกระทะเป็นอาหารที่มีมนตร์เสน่ห์คือ กินคนเดียวแล้วไม่อร่อย ต้องมีเพื่อนเยอะๆ ถึงจะดี

เธอจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้กินหมูกระทะในบรรยากาศที่ผ่อนคลายแบบนี้ อาจจะนับตั้งแต่ที่พ่อจากไป ในวัยเด็กอาหารธรรมดากลายเป็นมื้อพิเศษของคนฐานะเช่นเธอในเทศกาลปีใหม่ หรือพ่อเสี่ยงโชคถูกหวยเล็กๆ น้อยๆ ความสุขเรียบง่าย แต่เป็นความสุขเดียวที่เป็นของจริงสำหรับเหมือนมาลี 

วูบหนึ่งที่ลมหนาวพัดมากระทบใบหน้า เหมือนมาลีหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ เธอคิดถึงพ่อ เป็นความคิดถึงที่ไม่อาจจะไปพบกันได้ ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด 

“มาแล้วจ้า ผักจากสวนหลังบ้าน สดๆ เลยจ้า”

เสียงแปดหลอดอันเป็นเอกลักษณ์มาก่อนตัวเสียอีก เหมือนมาลีเงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าชนกันต์ละมือจากเตาถ่านลุกขึ้นไปหาเจ้าของเสียง 

ไข่หวานไม่ทันได้ตั้งตัว พอขึ้นบันไดบ้านมาก็พบว่าชนกันต์ยืนรออยู่ เด็กสาววัยแรกแย้มซึ่งอ่อนไหวต่อเพศตรงข้ามหัวใจเต้นแรงอย่างเก็บอาการไม่อยู่ 

“เดี๋ยวพี่เอาไปหั่นให้” 

เพราะมัวแต่เป็นปลื้มกับรอยยิ้มของชนกันต์ ไข่หวานจึงไม่ทันได้ตอบอะไร กระทั่งชายหนุ่มเดินหายเข้าไปหลังเคาน์เตอร์เล็กๆ ของครัวเล็กที่เหมือนมาลีตั้งแยกมาจากครัวไทยด้านล่าง มีไว้สำหรับประกอบอาหารง่ายๆ เด็กสาวยังคงยืนมองตามอยู่นั้น เหมือนมาลีเห็นอาการของเพื่อนรุ่นน้องแล้วต้องเดินมาสะกิด

“ไข่หวาน เป็นอะไร” 

“พี่แยม หนูว่าหนูตกหลุม” พูดไปมือไม้ก็บิดกันจนเกรงว่ากระดูกกระเดี้ยวจะหักเอาได้ 

“อย่าบอกนะว่าหลุมรัก” 

“เอ้า! พี่แยมต้องถามว่าตกหลุมอะไรสิ ถึงจะถูก” ไข่หวานทำหน้าเง้า ส่วนเหมือนมาลีทำหน้าเหนื่อยหน่าย 

“อะๆ ก็ได้ ตกหลุมอะไรเหรอ” 

“หลุมรักน่ะสิ”

“เฮ้อ!” เหมือนมาลีเป่าลมหายใจอย่างระอาใจ ก่อนเดินกลับไปจัดการเตรียมเครื่องดื่มที่ทำค้างไว้เมื่อครู่โดยไม่สนใจคนเพ้อเจ้ออีก ทว่าคนเพ้อเจ้อก็ยังเดินตามไปนั่งเพ้อต่อไม่เลิก 

“หล่อมากเลยเนอะพี่แยม ยิ้มทีฉันละลายเลยอะ พี่แยมอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ ไม่หวั่นไหวบ้างเลยเหรอ”

เหมือนมาลีทำเป็นยุ่งกับข้าวของบนโต๊ะเพื่อไม่ให้มีช่องว่างให้ไข่หวานได้เห็นว่าเธอนั้นไม่แค่หวั่นไหวธรรมดา แต่ ‘โคตรจะหวั่นไหว’ เลย 

“อย่าพูดแบบนั้น เดี๋ยวคุณกันต์เขาได้ยินจะไม่พอใจเอานะ” 

“งั้นพี่แยมก็แค่บอกมา ว่าหวั่นไม่หวั่น”

“นั่นลูกค้า”

“หวั่นไหวก็ยอมรับมาเถอะ ฉันมีแฟนแล้ว ฉันยกให้ ถึงจะเสียดายแค่ไหนก็เถอะนะ” ไข่หวานพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ซ้ำยังร้องเพลงออกมาด้วย “ฉ้านต้องอกหัก ก็เพราะรักแฟน...” 

เหมือนมาลีได้แต่หยุดมองอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี จริงอย่างที่ใครเขาว่าไว้ ‘ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบคิดไปเอง’ แล้วผู้หญิงที่ชื่อว่าไข่หวานก็คิดไปไกลกว่าผู้หญิงทั่วไปมากเลยทีเดียว 

“ใครอกหักเหรอครับ” ชนกันต์เดินมาได้ยินพอดี ในมือถือตะกร้าใส่ผักซึ่งหั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว 

เหมือนมาลีสบตากับไข่หวาน ก่อนจะบอกความจริงแค่ครึ่งเดียว 

“เด็กเพ้อเจ้อน่ะค่ะ อย่าไปสนใจเลย”

ชนกันต์ยักไหล่น้อยๆ แล้วเดินมานั่งร่วมวง 

“เหลืออะไรให้ผมช่วยอีกไหม”

“ทำไมคุณกันต์ไม่เรียกตัวเองกับแยมว่า ‘พี่’ บ้างล่ะคะ” เหมือนมาลีร้องขอ เพราะเห็นว่าชนกันต์ใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่า ‘พี่’ กับไข่หวาน 

ชายหนุ่มหนึ่งเดียวในที่นั้นมองหน้าสองสาวสลับกันไปมา 

“ไม่รู้สิครับ แค่คิดว่าไข่ว่าหวานน่าจะเด็กกว่าหลายปี” 

คนหน้าไม่เด็กดึงมุมปาก ดวงตากลมโตหรี่มองคนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ 

“ฉันอายุน้อยกว่าคุณกันต์ตั้งหลายปีนะคะ ฉันดูจากประวัติตอนคุณเช็กอินเข้าพัก”

“หน้าไปแล้วมั้ง พี่แยมอะ” ไข่หวานออกความคิด แต่ดันไปสะกิดต่อมความอ่อนไหวเรื่องอายุของเหมือนมาลีเข้า 

“ไข่หวาน จะกินมั้ย หมูกระทะเนี่ย เดี๋ยวหนีบลิ้นขาดให้พูดไม่ได้เลย” เหมือนมาลีถือที่คีบผลไม้อยู่พอดีจึงยกมันขึ้นขู่คนพูดแทงใจ 

“น่ากลัวจังเลย”

ชนกันต์เห็นแล้วหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องทะเลาะกัน ผมแก่สุด ผมเป็นพี่ให้ทุกคนเอง”

“โอเคเลยค่ะ พี่กันต์” เหมือนมาลีรอจังหวะอยู่แล้ว เมื่อเห็นโอกาสจึงรีบคว้าไว้ทันที 

อยู่ดีๆ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ก็กลายเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเธอ ก่อนหน้าเมื่อครั้งที่เธอยังวิ่งไล่ตามความฝันอยู่ในฐานะนักข่าวเบอร์หนึ่งของแซมบาร์เดียร์นิวส์ เธอไม่เคยสนใจมิตรภาพใดๆ ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นเงิน แต่มาวันนี้เธออยากเก็บเอาทุกความสัมพันธ์จากคนรอบข้าง ใส่ใจความรู้สึกของเขาเหล่านั้น และขอสิ่งตอบแทนเป็นความรักเล็กๆ น้อยๆ 

...เพียงเท่านั้นก็พอใจแล้ว 

แต่สำหรับชนกันต์ เหมือนมาลีอาจจะวาดฝันไปไกลกว่านั้นสักหน่อยกระมัง ความวาดฝันที่ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกได้

 

อากาศเริ่มเย็นลงทุกขณะ เหมือนมาลีหยิบเอาผ้าคลุมไหล่มาห่มโดยไม่ลืมส่งผ้าพันคอไหมพรมผืนที่เธอใช้เป็นประจำให้ชนกันต์ด้วย ไข่หวานกลับไปตั้งแต่หัวค่ำ มีเพียงเธอกับเขานั่งดื่มเหล้ากันต่อสองคน 

วันนี้เป็นคืนเดือนมืดทำให้ท้องฟ้ากระจ่างด้วยดวงดาวนับร้อยพัน 

“แยมดื่มเก่งเหมือนกันนะ ดื่มไปหลายแก้วแล้วดูยังไม่เมาเลย” 

เหมือนมาลีหันไปมองคนถามซึ่งตอนนี้ย้ายจากฝั่งตรงข้ามมานั่งข้างเธอแล้ว เตาหมูกระทะถูกเก็บไปไว้ในครัว เหลือแค่ชามสตรอว์เบอร์รีกับพริกเกลือเป็นกับแกล้ม เหล้าอีกครึ่งขวดและโซดาอีกครึ่งโหล 

“ทำไมคะ พี่กันต์คิดจะมอมเหล้าแยมหรือไง ถึงคิดว่าแยมต้องเมาเร็วๆ” คนมั่นใจว่าตัวเองดื่มเก่งเชิดหน้าขึ้น เธอไม่ได้เล่า ว่างานนักข่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ฝึกให้เธอดื่มเหล้าเก่ง เพราะบางครั้งมันช่วยในการแฝงตัวเข้าไปสืบบางเรื่อง  

ถึงจะไม่ได้เป็นนักข่าวแล้ว แต่ใช่ว่าเธอจะลืมวิธีการดื่มเหล้าไปเสียเมื่อไร 

แต่คนมั่นใจในตัวเองไม่รู้เลยว่าความเก่งที่เธอภาคภูมิใจหนักหนานั้นอยู่แค่ในระดับอนุบาล ส่วนชนกันต์...ปริญญาเอก 

เธอยักคิ้วให้คนถาม แอลกอฮอล์ทำให้เหมือนมาลีใจกล้าขึ้นมาอีกสองเท่าจากที่ใจกล้าอยู่แล้ว หญิงสาวส่งสายตาหวานหยดให้ชนกันต์อย่างท้าทาย

คนถูกท้าทายยกแก้วขึ้นดื่มปกปิดความรู้สึกในสีหน้า ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ต่างกับเธอ ทำเอาคนใจกล้าถึงกับชะงักงันราวกับต้องมนตร์สะกดก็มิปาน 

ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าไปใกล้ดวงหน้าใสที่แดงเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และกระแสโลหิตอันสูบฉีดด้วยความตื่นเต้น เขากระซิบบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า 

“คิดว่าคนแบบพี่ ถ้าอยากได้ใครสักคน ต้องมอมเหล้าด้วยเหรอ”

เหมือนมาลียิ้มในหน้า ทั้งที่อากาศหนาว แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าว 

“แหม! ทำเอาแยมไปไม่เป็นเลยนะคะ” เธอก้มหน้างุดซ่อนอาย พลางยกเหล้าขึ้นมาดื่มเพื่อกลบเกลื่อนบรรยากาศที่ชวนให้หวั่นไหว 

“ดาวที่นี่สวยมากเลยนะ” ชนกันต์แหงนมองดาวบนฟ้า 

เหมือนมาลีเงยหน้ามองตา แต่เวลาต่อมานั้นสายตาเธอกลับมาหยุดตรงที่เสี้ยวหน้าหล่อเหลา เพียงไม่กี่วินาทีนั้นเธอสำรวจทุกอณูตั้งแต่สันจมูกโด่ง เรื่อยมาจนถึงแนวคางได้รูป จนมาหยุดที่ลำคอยาวซึ่งเต็มไปด้วยเส้นเอ็นปูดโปน น่าแตะริมฝีปากลงไปอย่างไรไม่ทราบ 

ไม่ทันได้คิดอะไรต่อจากนั้น อยู่ๆ ริมฝีปากร้อนก็แนบลงมาบนเรียวปากอิ่มของเธออย่างรวดเร็ว เหมือนมาลีตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ดวงตาเธอเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อ ก่อนจะอ่อนระทวยเมื่อลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาในโพรงปาก ตวัดรัดลิ้นของเธออย่างช่ำชอง 

ชนกันต์จูบด้วยประสบการณ์ แต่สำหรับเหมือนมาลี หนนี้เป็นจูบแรกของเธอ จึงไม่แปลกเลยเมื่อร่างบางจะตกอยู่ใต้มนตร์จุมพิตอันช่ำชองนั้นอย่างไม่มีทางขัดขืนต่อต้านแต่อย่างใด 

มือหนาประคองใบหน้าหวานไว้เพื่อจะแนบจูบลงไปให้หนักหน่วงมากขึ้น ขณะที่ชนกันต์ใช้อีกมือกระหวัดรัดเอวบางให้แนบชิดเข้ามา จนกายเขาและเธอราวจะเป็นเนื้อเดียวกัน 

หัวใจของเหมือนมาลีสั่นระรัวราวจะขาดใจตายเสียให้ได้ แต่ต่อให้เธอต้องตาย เพราะเธอไม่คิดผลักไสจูบของเขาเลยแม้สักนิด 

สวรรค์จะโกรธไหม หากว่าเธอจะมอบใจให้ชายคนนี้ทั้งที่เพิ่งรู้จักได้ไม่กี่วัน และพร้อมจะมอบความรักให้เท่าที่คนที่ไม่เคยรู้จักคำว่ารักอย่างเธอจะรักใครได้สักคนได้ 

จูบร้อนแรงค่อยๆ ช้าลงจนกลายเป็นอ้อยอิ่ง เหมือนมาลีรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ กระทั่งชนกันต์ถอนจูบออกในที่สุด มือหนายังประคองดวงหน้าของเธอไว้ ประสานสายตา เมื่อดวงตาสีนิลมองลึกลงไปก็รู้ได้โดยง่ายว่าเหมือนมาลีมีใจให้เขาแล้ว 

ไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมให้ผู้ชายจูบโดยที่ไม่รู้สึกอะไร 

‘ใจง่าย’ เขาไม่ต้องทำอะไรเลยเธอก็พร้อมมอบกายมอบใจให้ง่ายๆ น่าตลกสิ้นดี ผู้หญิงคนนี้มีอะไรหลงเหลือให้เป็นความดีอยู่บ้างไหม 

แม้แต่คำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ เขาก็ไม่เห็นมันในตัวเธอเลย 

“ไปนอนเถอะ อากาศเย็นมากแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย” 

เหมือนมาลีเผลอเลียปากตัวเอง ก่อนจะรู้ตัวเมื่อเขาจับจ้องขณะที่เธอลากลิ้นเลียริมฝีปาก หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เธอก้มหน้างุดซ่อนความอายขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นโครมครามจนเธอต้องยกมือแนบอก ปลอบตัวเองว่าอย่าตื่นเต้นจนเกินไป 

“โอเคไหม” 

ยังมีหน้ามาถามอีกหรือว่าเธอโอเคไหม น่าอายจะตายไป “พี่จูบแยม” 

“ไม่ชอบเหรอ”

“ก็...” เหมือนมาลีทำหน้าเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะตอบอย่างไร คำถามของเขาทำเอาเธอยิ่งอายมากขึ้นไปอีก 

“หืม! ว่าไงล่ะ” 

“เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่คะ” 

“ใช่! เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่แยมชอบพี่” ชนกันต์วางมือบนศีรษะได้รูปของหญิงสาว โยกศีรษะเธอเบาๆ “อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนเมา พี่ไปนอนก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ ฝันดีครับ...น้องแยมคนดี”

ชนกันต์ทิ้งลมหายใจอุ่นและคำพูดชวนฝันไว้เบื้องหลัง คนที่ยังไม่ออกจากภวังค์ได้แต่นั่งนิ่งอยู่แบบนั้น เธอทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ขณะเดียวกันก็พยายามเรียกสติให้กลับคืนมา แต่ดูเหมือนจะเตลิดไปไกลเกินไปแล้ว 

ราวกับเธอกลายเป็นปลาที่ว่ายน้ำมากินเหยื่อด้วยความเต็มใจ เบ็ดกระตุกทีเดียวก็กินเบ็ดอยู่อย่างนั้นไปไหนไม่รอด 

แบบนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า ‘โดนตก’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น