บทที่ 2

 

ไร่พนารักษ์จดทะเบียนเป็นบริษัท โดยใช้ชื่อว่าบริษัท พนารักษ์ จำกัด มาเป็นเวลานานกว่ายี่สิบเก้าปี ตัวออฟฟิศทำการของบริษัทสร้างขึ้นมาใหม่ในรูปแบบอาคารสามชั้นที่สวยงามทันสมัยกว่าเดิมเมื่อสองปีก่อน และตั้งอยู่ห่างจากทางเข้าไร่ประมาณสามร้อยเมตร หากเดินทางเข้ามานอกจากเห็นไร่ลิ้นจี่แล้วก็จะเห็นออฟฟิศทำการเป็นอันดับแรก ซึ่งมองเผินๆ ไม่เหมือนออฟฟิศสักเท่าไร เหมือนบ้านสามชั้นหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นมากกว่า

“สวัสดีครับบอส สวัสดีค่าบอส” 

พนักงานทุกคนยกมือไหว้ทักทายเจ้านายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นปฐวีในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสุดเนี้ยบเดินเข้ามา โดยมีเลขาฯ คู่ใจอย่างเพลงพิณถือไอแพดกับหิ้วกระเป๋าแมคบุ๊กเดินตามหลัง ซึ่งเป็นภาพที่พนักงานทุกคนเห็นทุกวันจนชินตาแล้ว

ไอ้เรื่องราวของเจ้านายกับเลขาฯ ที่ทำงานด้วยกันมาเป็นทศวรรษ ไม่ว่าบริษัทจะมีพนักงานหมุนเปลี่ยนเวียนผันไปแล้วกี่คนต่อกี่คน สองคนนี้ก็ยังคงอยู่คู่กันเหมือนน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ ถือเป็นตำนานเล่าขานที่ยังมีลมหายใจ เอาไว้บอกลูกบอกหลานในภายภาคหน้าได้

“สวัสดีครับทุกคน ตั้งใจทำงานกันนะ” ปฐวีโค้งตัวเล็กน้อย แล้วกล่าวกับพนักงานที่สวัสดีเขาด้วยถ้อยคำเดิมๆ ทุกวันเหมือนตั้งโปรแกรมไว้ จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปยังห้องทำงานชั้นสามของตัวเองเมื่อถึงเวลาเริ่มงานแล้ว

ชายหนุ่มไม่ได้เป็นตัวของตัวเองนักหรอกในเวลาทำงานแบบนี้ คนเราย่อมมีหลายหัวโขน เขาจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์เคร่งขรึมไว้เพื่อความน่าเชื่อถือตามคำแนะนำ (เชิงบังคับ) ของเพลงพิณ ห้าปีที่แล้วมีข่าวลือไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเขานัก และเธอไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ต้องการให้เขามีภาพลักษณ์ใหม่ที่ดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วมันส่งผลดีกับทุกอย่าง กิจการไร่ดีขึ้น ตัวเขามีคนเข้าหามากยิ่งขึ้นในแง่ของธุรกิจ กระทั่งวงสังคมของคนใหญ่คนโต นับเป็นคอนเนกชันที่แข็งแรง

ร่างสูงใหญ่นั่งลงที่เก้าอี้ พักหายใจได้แค่ห้านาที ซูเปอร์เลขาฯ ก็ประเดิมงานแรกของวันโดยไม่รีรอ เธอหอบแมคบุ๊กด้วยแขนข้างหนึ่ง แล้วใช้มือข้างที่ว่างจัดแจงลากเก้าอี้จากโต๊ะทำงานของเธอที่อยู่มุมห้องมาตั้งตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของเขา ทำแบบนี้เป็นปกติเมื่อต้องหารือกันเรื่องงาน 

เพลงพิณนั่งลงได้ก็ร่ายยาวทันที ทำเอาปฐวีที่กำลังจะอ้าปากถามเธอเรื่องเมื่อคืนเงียบลงไปถนัด

“ภาพรวมผลผลิตทางการเกษตรของเราในไตรมาสนี้ มีผักกับผลไม้บางชนิดที่จำนวนผลผลิตลดลงไปถึง 15% ค่ะ แล้วคุณภาพผลผลิตก็ลดลงตามไปด้วยสาเหตุหลักๆ ที่เรารู้กันอยู่แล้วก็คือการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศหรือโลกร้อน”

“อืม ถึงผลผลิตจะลดลงแค่บางชนิด แต่ก็เป็นชนิดที่ตลาดมีความต้องการสูงตลอดทั้งปีเลยแฮะ” ชายหนุ่มลูบคาง ขณะจดจ่อสายตากับชุดข้อมูลบนแมคบุ๊กที่เธอเปิดให้ดู

“เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีการลงพื้นที่กับนักวิชาการเกษตร แล้วก็คุยกับทางทีมพัฒนาของเราค่ะ”

“เยี่ยมเลย แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่คาดหวังเท่าไร ปัญหาโลกร้อนน่ะใช่ว่าจะแก้ได้ง่ายๆ ที่ไหน ทั่วโลกโดนผลกระทบเหมือนกันหมด เพราะเราควบคุมดินฟ้าอากาศไม่ได้” 

“ก็จริงของคุณปัดค่ะ แต่อย่างน้อยเราก็ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าปัญหามันจะแก้ได้หรือไม่ได้ก็ตาม จริงมั้ยคะ” เพลงพิณคลี่ยิ้มน้อยๆ พลางเลิกคิ้ว

แม้ว่าธุรกิจหลักของไร่พนารักษ์จะไม่ใช่การเกษตร 100% และเน้นขายการท่องเที่ยวมากกว่าก็จริง แต่ถึงอย่างไร พืชผักผลไม้ในไร่ยังคงส่งออกสร้างรายได้มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงต้องผลักดันและพัฒนามันต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดย่ำอยู่กับที่เหมือนเมื่อห้าปีก่อน

“คุณปัดพักเบรกก่อนสักครึ่งชั่วโมงก็ได้นะคะ เดี๋ยวค่อยเริ่มงานต่อตอนสิบโมงครึ่ง เมื่อคืนเพลงอบบราวนีด้วย เลยเอามาเผื่อคุณปัด” 

ร่างอวบอิ่มลุกขึ้นเดินกลับไปที่โต๊ะงานของตน ล้วงกล่องพลาสติกใบกลมๆ เล็กๆ ลายดอกไม้ออกมาจากกระเป๋าสะพาย นำกลับมาวางตรงหน้าปฐวี พร้อมเปิดฝาให้เสร็จสรรพ

“หืม” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย มองบราวนีหน้าอัลมอนด์ที่ตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำดูน่ารับประทานสลับกับมองหน้าเลขาฯ คู่ใจ

“ทำไมทำหน้าคอมเมนต์แบบนั้นล่ะคะ ดูไม่น่าทานเหรอ” 

“ไม่ๆ ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่กำลังสงสัยว่าคุณเอาเวลาไหนไปทำขนม”

“ก็เมื่อคืนไงคะ เพลงเพิ่งบอกคุณปัดไปเมื่อกี้”

“เมื่อคืนน่ะใช่ แต่ที่ผมหมายถึงคืองานประมูลภาพวาดเมื่อคืนเลิกดึก แล้วคุณก็ต้องกลับมาเตรียมงานอะไรยิบย่อยสารพัด คุณยังเอาแรงเอาเวลาที่ไหนไปอบขนมอีก แถมคุณยังตื่นเช้าออกไปวิ่ง” 

ท่าทีประหลาดใจแกมทึ่งทำให้เพลงพิณหลุดขำ ปฐวีคงไม่เชื่อแน่ว่าเธอสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นในคืนเดียว ระยะเวลาสิบสองปีกับการทำงานเป็นเลขาฯ ทำให้เธอมีความสามารถในการบริหารจัดการงานกับเวลาได้เกินมนุษย์มนา

“เพลงแค่นอนไม่หลับน่ะค่ะ ก็เลยหาอะไรทำเพลินๆ ไปเรื่อยเปื่อย” 

“พักผ่อนบ้างเถอะ ทีผมคุณเอาแต่บอกให้พักผ่อน แค่ผมบอกว่านอนไม่หลับ คุณก็เครียดแล้ว แต่ทีคุณบ้าง...” เสียงบ่นของปฐวีหายไปในลำคอ เพราะมีบราวนีเนื้อหวานนุ่มละมุน ละลายในปากเข้ามาแทนที่

“คุณปัดทานไปเถอะค่ะ บ่นเป็นคนแก่ไปได้” เธอว่าอย่างไม่จริงจังนัก หอบแมคบุ๊กพลางลากเก้าอี้ของตัวเองกลับไปที่โต๊ะทำงานตามเดิมเพื่อจัดการงานเอกสารต่างๆ ต่อ

ปฐวีเหลือบมองหญิงสาวที่จดจ่อกับงานด้วยสายตาเยาะหยัน

หึ เพลงพิณบ่นเขาได้เช้าเย็น พอเขาบ่นนิดบ่นหน่อย เธอว่าเขาเป็นคนแก่ซะงั้น หงุดหงิดนัก ทำไมเธอต้องข่มเหงรังแกเขาอยู่เรื่อย!

นั่งหงุดหงิดไปหงุดหงิดมา บราวนีในกล่องก็หมดเกลี้ยง ปฐวีลุกไปเปิดตู้เย็น เทน้ำดื่มใส่แก้วสองใบ ใบหนึ่งดื่มเอง ส่วนอีกใบนำไปให้เพลงพิณที่โต๊ะทำงานของเธอ

เพราะออฟฟิศทำการไม่ได้มีแม่บ้านคอยบริการตลอดเวลา นอกเหนือจากเรื่องทำความสะอาดแล้ว เรื่องอื่นก็ต้องพึ่งพาบริการตัวเอง ปฐวีไม่ใช่คนถือตัวขนาดที่ว่าจะบริการเลขาฯ ตัวเองในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้างไม่ได้ เขากับเธอทำงานด้วยกัน เห็นหน้ากันตลอด แถมไม่ได้แยกห้องทำงานด้วยเนื่องจากชินกับการทำงานที่มีเธออยู่ใกล้ตัวไปแล้ว เพราะเพลงพิณไม่ใช่แค่เลขาฯ ธรรมดา เธอเป็นทั้งคู่หู คู่คิด บางทีเขาอยากขอความเห็นอะไร หรืออยากปรึกษาอะไรก็คุยกับเธอได้เลยทันที สะดวกกว่า ไม่ต้องมากพิธีรีตอง

“ขอบคุณค่ะ” เพลงพิณกล่าวเสียงเรียบ รับแก้วน้ำจากเจ้านายมาดื่ม พอเห็นเขายังยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเธอจึงเอ่ยถาม

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ผมมีเรื่องจะถามหน่อย” 

“ว่ามาค่ะ”

“เมื่อคืนที่งานประมูลคุณเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมคุณดู...แปลกๆ” 

“แปลกยังไงเหรอคะ” 

“ก็ดูเศร้าๆ ดูเหม่อๆ ตอนที่คุณกลับมาจากห้องน้ำไง” ปฐวีทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนให้เธอฟัง 

“เพลงไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยค่ะ คุณปัดคิดไปเองแล้ว เพลงปกติดี” เพลงพิณแสร้งทำเย็นชากลบเกลื่อน

“อืม ถ้าคุณไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ปฐวีถอนหายใจ “แต่ถ้าเป็นอะไรคุณก็บอกผมได้ รู้ใช่ไหม”

น้ำเสียงเจือความเป็นห่วงเล่นเอาคนฟังแปลกใจโข แต่ก็พยักหน้ารับเบาๆ 

“ค่ะ ขอบคุณคุณปัดมาก” 

เพลงพิณรู้ว่าปฐวีไม่ใช่คนประเภทที่จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยพร่ำเพรื่อ ครั้งนี้อาการของเธอคงดูผิดแผกน่าเป็นห่วงจนเขาเฉลียวใจ

แต่เรื่องของเธอไม่ได้สลักสำคัญอะไร บอกปฐวีไปก็เท่านั้น หนำซ้ำเขาอาจจะหัวเราะเยาะเธอ เมื่อรู้ว่าเธอโดนแฟนเก่าที่รักกันมากทิ้งไปอย่างไร้สาเหตุเมื่อสิบกว่าปีก่อน

รถมินิคูเปอร์สีเหลืองมาจอดหน้าบ้านพนารักษ์ในเช้าตรู่วันเสาร์ ร่างอวบอิ่มในชุดเดรสสายเดี่ยวสีดำตัวยาว คลุมทับด้วยเสื้อคาดิแกนสีตุ่นก้าวเท้าลงมาจากรถ หอบช่อดอกบัวตูมสีชมพูสีขาวในห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ไว้ในอ้อมแขน ในมือยังห้อยถุงข้าวของอีกจำนวนหนึ่งเดินเข้าไปในตัวบ้านอย่างทุลักทุเล

“สวัสดีค่ะคุณเพลง มาแต่เช้าเลย”

‘รุ้งกาญจน์’ แม่บ้านคนเก่าแก่ของครอบครัวพนารักษ์เอ่ยทักทายหญิงสาวที่ตนคุ้นเคยเป็นอย่างดีด้วยรอยยิ้มสดใส

“พอดีเพลงไปตลาดเช้ามาค่ะ เลยซื้อน้ำเต้าหู้เจ้าโปรดกับขนมปังสังขยามาฝากคุณท่าน มีของป้ารุ้งด้วยนะคะ” เพลงพิณยื่นถุงในมือให้แม่บ้านวัยห้าสิบเศษ 

“ตายจริง ขอบคุณมากๆ ค่ะ คุณเพลงมีน้ำใจตลอดเลย เดี๋ยวป้าให้เด็กจัดใส่จานเอาไปเสิร์ฟคุณท่านที่ห้องหนังสือนะคะ”

“ได้เลยค่ะ”

“แล้วนั่นห่ออะไรเหรอคะ” รุ้งกาญจน์บุ้ยปากไปทางห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ในอ้อมแขนของสาวสวย

“อ๋อ ดอกบัวค่ะ พอดีมีคนเอามาขายที่ตลาด สวยมากเลยเพลงก็เลยซื้อมา กะว่าจะพับใส่แจกันให้คุณท่าน คุณท่านชอบค่ะ” 

“โธ่ เพราะแบบนี้ป้าเลยไม่แปลกใจเลยที่คุณท่านจะรักคุณเหมือนลูกสาวแท้ๆ คนหนึ่ง” แม่บ้านผู้มากวัยทอดเสียงอ่อน ดวงตาที่ผ่านโลกมามากมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเอ็นดู

“เพลงไม่อาจเอื้อมหรอกค่ะ ขืนไปเป็นลูกสาวคุณท่านคงได้หารสมบัติกับคุณปัดครึ่งต่อครึ่ง เป็นแบบนั้นคุณปัดไม่ยอมแน่”

เพลงพิณพูดติดตลก หลายครั้งที่ปฐวีมักค่อนขอดว่าเธอคือลูกรักของบิดาเขา เพราะรู้ใจไปหมดเสียทุกอย่าง ในขณะที่เขาไม่รู้อะไรเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาไม่พยายามและไม่ต้องการเรียนรู้เองมากกว่า

ปฐวียังคงมีอคติต่อบิดาของเขา แม้ว่าเหตุการณ์วุ่นๆ ของสองไร่เมื่อห้าปีก่อนจะลงตัวแล้ว และเขาได้ปรับความเข้าใจกับบิดาในบางเรื่อง แต่ก็ใช่ว่าความรู้สึกที่เป็นผลพวงจากอดีตจะลบเลือนไปง่ายๆ

เพราะวิมลรัตน์...มารดาผู้ล่วงลับของปฐวียังคงเป็นปมฝังใจของเขาตลอดกาล

“งั้นเดี๋ยวเพลงขอตัวไปหาคุณท่านก่อนนะคะ” เพลงพิณค้อมศีรษะลารุ้งกาญจน์ จากนั้นจึงเดินขึ้นบันไดไป

“คุณปัดกับพี่เพลงเขาจะแต่งงานกันเมื่อไหร่อะป้า” เดหลี หลานสาววัยยี่สิบปีเดินเข้ามากระซิบกับผู้เป็นป้าแท้ๆ 

“แต่งอะไร เขาแค่ทำงานด้วยกัน ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย” 

รุ้งกาญจน์ว่า แม้ลึกๆ ในใจจะแอบคิดว่าปฐวีกับเพลงพิณเหมาะสมกันมากๆ ควรแต่งงานแต่งการกันไปตั้งนานแล้วก็ตาม เพราะเท่าที่เคยถามหญิงสาวมาก็ยังไม่มีคนรัก ปฐวีเองก็ยังไม่มี 

“โห แต่เหมือนแฟนมากเลยนะ ยิ่งกว่าแฟนอีก แถมอยู่ด้วยกันมาน้านนาน เขาไม่นึกชอบๆ กันบ้างเลยหรือไงน้อ” เดหลีตั้งคำถามต่ออย่างใคร่รู้ ดวงตาของเด็กสาววิบวับแวววาวราวกับกำลังดูซีรีส์แนวโรแมนซ์

“แหม ถ้าเขาชอบๆ กันจริงคงแต่งไปนานแล้วแหละมั้ง ไม่ปล่อยเวลายืดเยื้อมาเป็นทศวรรษแบบนี้หรอก” 

“โธ่ เสียดายเนอะ หนูชอบคู่นี้เวลาเขาเถียงกันจริงๆ ยังกับพระเอกนางเอกละครแน่ะ” 

“แล้วไปฟังเขาเถียงกันตอนไหนฮึไอ้เดย์ ไปๆ จัดน้ำเต้าหู้กับขนมปังสังขยาให้คุณท่าน เดี๋ยวป้าจะไปเตรียมน้ำผลไม้กับขนมให้คุณเพลงเอง” รุ้งกาญจน์ยื่นถุงน้ำเต้าหู้กับขนมปังสังขยาให้หลานสาวแล้วโบกมือไล่

“รับทราบจ้า” เดหลีรับคำ รีบจัดการทุกอย่างตามคำสั่งของผู้เป็นป้าด้วยความคล่องแคล่วว่องไว เพราะเธอเติบโตที่นี่และช่วยหยิบจับงานมาตั้งแต่เด็ก คุณท่านของบ้านหลังนี้จึงช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาให้เธอได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของจังหวัด เธอพักหอพักในตัวเมือง พอช่วงเสาร์อาทิตย์ก็กลับไร่มาช่วยงานบ้านตามปกติ

ระหว่างเทน้ำเต้าหู้ใส่แก้ว เดหลีก็ครุ่นคิดถึงเรื่องของเพลงพิณไปด้วย หญิงสาวเข้ามาทำงานที่ไร่พนารักษ์ตอนเดหลีแปดขวบ จวบจนตอนนี้อายุยี่สิบแล้วเพลงพิณก็ยังอยู่ เดหลีจึงกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ปฐวีกับเพลงพิณชอบต่อล้อต่อเถียงกันให้เห็นตั้งแต่เท้าเธอเท่าฝาหอย ตอนนั้นเพลงพิณดูไม่ค่อยกล้ามากนัก ความกล้าดูจะเพิ่มตามวันเวลาและอายุที่มากขึ้น สวนทางกับปฐวีที่เหมือนความกล้าจะลดลง ไม่หือไม่อือ เพลงพิณว่าอะไรก็ว่าตามนั้นหากเป็นเรื่องงานกับเรื่องสำคัญ

เรื่องเดียวที่ชายหนุ่มจะกล้าต่อปากต่อคำด้วยได้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไร้สาระไม่จริงจังเท่านั้น เช่น เมื่อสองเดือนก่อนปฐวีกับเพลงพิณออกไปตีแบดด้วยกันที่หลังบ้าน คนใช้ในบ้านก็ไปช่วยกันเป็นกองเชียร์ พอเพลงพิณชนะ ปฐวีก็โอดครวญเป็นการใหญ่

“คุณเอาลูกแบดพลาสติกมาตีอะ ผมไม่ถนัดก็เลยแพ้ ลองเป็นลูกขนไก่สิ คุณไม่ได้แอ้มผมหรอก”

“คุณปัดอย่ามาโวหน่อยเลย ถ้าคนมันเก่งใช้ลูกแบดแบบไหนก็เก่งหมดนั่นแหละ”

“ไม่ๆ มันไม่เหมือนกัน ผมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้จนกว่าจะได้ตีลูกขนไก่”

“คุณปัดนี่ทำตัวเป็นคนพาล ก็ได้ แต่ถ้าคุณปัดแพ้เพลงอีกต้องโดนลงโทษนะคะ”

“ลงโทษอะไร”

“ต้องวิ่งรอบบ้านแล้วตะโกนว่า ‘ผมตีแบดกากมาก’ สามรอบ ให้ทุกคนในที่นี้เป็นพยานเลย”

“เกินไปแล้วนะเพลง! ผมเป็นเจ้านายคุณนะ มาสั่งให้ผมทำอะไรแบบนี้ได้ไง ไหนว่าเป็นห่วงภาพลักษณ์ผม”

“ไม่มีใครเห็นนอกจากคนกันเองที่อยู่ตรงนี้หรอกค่ะ ถ้าไม่งั้นคุณปัดก็ยอมรับความพ่ายแพ้ไปซะ เพลงจะไม่ยอมแข่งด้วยอีกรอบแน่”

และแล้วศึกตีแบดด้วยลูกขนไก่รอบที่สองก็เริ่มขึ้น ก่อนจะจบลงด้วยการที่ปฐวีต้องวิ่งรอบบ้าน ป่าวประกาศความพ่ายแพ้ของตนด้วยความเจ็บแค้น ส่วนเพลงพิณกับคนอื่นๆ หัวเราะจนตัวงอก่องอขิง เสร็จแล้วปฐวีก็ฮึดฮัด กลับเข้าบ้านไป เพลงพิณต้องไปตามง้อทีหลัง

ดูยังไงสองคนนี้ก็เหมือนคู่แต่งงานที่อยู่ด้วยกันมานานจนแก่หงำเหงือก...เดหลีคิดในใจ นำของที่จัดเสร็จแล้วทั้งหมดขึ้นไปเสิร์ฟตามคำสั่งของผู้เป็นป้า

ยามเช้าตรู่ของทุกวัน เปรมทัตนั่งอ่านหนังสือที่มุมโปรดมุมเดิมในห้องหนังสือ เขาคือบุรุษร่างสูงใหญ่วัยห้าสิบเจ็ดปีผู้ผ่านเรื่องราวมากมายในชีวิตอันแสนวุ่นวาย ดวงตาคู่คมที่กำลังกวาดตัวอักษรบนหน้ากระดาษมีร่องรอยของความสงบและปล่อยวางอยู่ในนั้น 

ชีวิตของเขา...นอกจากหนังสือกับหลานสาวตัวน้อยๆ ที่ทำให้ใจเป็นสุขก็ไม่มีสิ่งใดให้ห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว กิจการในไร่เขาส่งมอบให้ลูกชายดูแลทั้งหมดมานานหลายปี

อันที่จริง หากจะว่าเปรมทัตไม่มีห่วงเลยก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เขายังมีห่วงอยู่เรื่องหนึ่ง

ก๊อกๆ 

เสียงเคาะประตูดังขึ้น เปรมทัตเงยหน้าจากหนังสือก่อนจะตะโกนออกไป

“เข้ามาได้เลย”

“เพลงเองค่ะคุณท่าน อรุณสวัสดิ์นะคะ” 

ร่างระหงก้าวเท้าเข้ามาในห้องพร้อมกับน้ำเสียงเย็นใส ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มที่ทำเอาทั้งห้องแทบจะสว่างโดยแสงออร่าจากตัวเธอ

“อ้าวหนูเพลง มาแต่เช้าเชียว หอบอะไรมาด้วยน่ะฮึ” เขาทักทายกลับด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี เหลือบมองห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ในอ้อมแขนเธอ 

“ดอกบัวค่ะ เพลงซื้อมาจากตลาด เอามาเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันให้คุณท่าน”

เพลงพิณจัดแจงนำช่อดอกบัววางไว้บนชุดโต๊ะไม้สักกลางห้อง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเก้าอี้ไม้โยกตัวโปรดของเปรมทัตเท่าใดนัก เธอยอบกายนั่งลงบนเก้าอี้ แกะห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ นำดอกบัวตูมออกมาพับกลีบ

“ขอบใจนะหนูเพลง” บุรุษผู้มากวัยทอดเสียงอ่อน 

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เพลงซื้อน้ำเต้าหู้กับขนมปังสังขยาที่ครั้งก่อนคุณท่านบอกว่าอร่อยมาให้ด้วยนะคะ บอกให้ป้ารุ้งจัดใส่จานแล้ว อีกเดี๋ยวน่าจะขึ้นมา” หญิงสาวบอกเรื่อยๆ มือเรียวสวยพับกลีบดอกอย่างตั้งใจ

“เฮ้อ หนูเพลงคงเบื่อคำนี้แล้ว แต่ฉันจะพูดอีกครั้ง...ขอบใจนะ”

เปรมทัตไม่รู้ว่าจะกล่าวคำใดแล้วจริงๆ แม้รู้อยู่แก่ใจว่าความแสนดี ความใส่ใจ ความห่วงใยที่เลขาฯ ลูกชายมอบให้เขาประหนึ่งคนในครอบครัวตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่อาจแทนค่าด้วยคำขอบคุณแค่คำเดียว

“คุณท่านก็คงจะเบื่อคำนี้แล้วเหมือนกัน แต่เพลงจะพูดอีกครั้ง...ไม่เป็นไรค่ะ” เสียงหวานหัวเราะร่วน

“ภาพวาดที่หนูเพลงเลือกประมูลมาสวยมากเลย ฉันนั่งมองทุกวันตั้งแต่ได้มา” 

เขาเหลือบมองไปทางภาพวาดที่นำมาติดฝาผนังห้องหนังสือ เป็นภาพของเหล่านางกินรีโฉมสะคราญ สิ่งมีชีวิตในวรรณคดีที่อาศัยในป่าหิมพานต์ กำลังร่ายรำอยู่เหนือสระอโนดาตด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยงดงามราวกับภาพวาดนี้มีชีวิตจริงๆ

“คุณท่านรู้ได้ไงคะว่าเพลงเป็นคนเลือก” เพลงพิณเลิกคิ้วมอง

“โอย ไม่เห็นต้องถาม จะมีใครรู้ใจฉันไปมากกว่านี้ ถ้าลูกชายฉันเลือกน่ะโลกกลับตาลปัตรพอดี” เปรมทัตหัวเราะพลันส่ายหน้า

“แต่คุณปัดก็ถือว่ารู้ใจคุณท่านในระดับหนึ่งนะคะ เพราะคุณปัดโยนให้เพลงเลือกอีกที” เลขาฯ สาวอมยิ้มกริ่ม

“ช่างรายนั้นเถอะ มาคุยเรื่องหนูเพลงบ้างดีกว่า ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างละ”

“สบายดีนะคะ งานก็เรื่อยๆ ค่ะ ช่วงนี้มันอยู่ตัวแล้ว ไม่ได้มีอะไรมาก เพลงว่าช่วงวันหยุดยาวจะลากลับบ้านที่สมุทรสงคราม ไปเยี่ยมพ่อกับน้องๆ”

“ดีๆ เอ้อ แล้วพ่อหนูเพลงกับน้องๆ สบายดีมั้ย” 

เปรมทัตพอจะทราบเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวและภูมิลำเนาคร่าวๆ ของเพลงพิณอยู่บ้าง เธอมีบิดาวัยไล่เลี่ยกันกับเขา ทำสวนมะพร้าวกับส้มโออยู่ที่สมุทรสงคราม มีน้องชายน้องสาวอีกสองคน ส่วนเธอเป็นลูกคนโต

“สบายดีค่ะ พ่อของเพลงเขาก็แข็งแรงดี เพลงกับน้องขอร้องให้เขาเกษียณได้แล้วเขาก็ไม่ยอม บอกว่าอยากทำงาน ให้อยู่เฉยๆ นั่งๆ นอนๆ มันอึดอัด ก็เลยตามใจเขา ปล่อยให้เขาทำไร่ทำสวนต่อไป แต่ให้จ้างคนงานมาช่วยเพิ่ม”

“พ่อหนูเพลงเขาคงผูกพันกับไร่สวนเหมือนคุณพ่อของฉันนี่แหละ รักมากเหลือเกิน ทำทั้งชีวิตตั้งแต่หนุ่มยันแก่ตาย ต่างกับฉันที่ไม่ได้รักมากมายอะไร ถนัดทำธุรกิจค้าขายมากกว่า ให้คนงานที่เขาเก่งๆ มีความรู้ทำไป”

“ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ คนเราก็ถนัดไม่เหมือนกัน เพลงเองก็ไม่ได้ชอบทำไร่ทำสวนที่บ้านขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ก็มีความรู้พอทำเป็นอยู่บ้างเพราะโตมากับที่นั่น ยิ่งพัดด้วยแล้วยิ่งไม่ชอบใหญ่ คงมีแค่พ่อกับเพชรเท่านั้นแหละที่มีแพสชันกับสิ่งนี้ ถึงขนาดที่เพชรตั้งใจสอบเข้าคณะเกษตรศาสตร์เพื่อกลับมาพัฒนาไร่สวนที่บ้าน” 

เพลงพิณเล่ากลั้วหัวเราะ สามพี่น้องประกอบด้วยเธอผู้เป็นพี่สาวคนโต พรพัฒน์ น้องชายคนกลาง และพิมพ์เพชร น้องนุชสุดท้องของครอบครัว พรพัฒน์อายุ 27 ปี เป็นพนักงานออฟฟิศเต็มตัว กำลังไปได้ดีกับตำแหน่ง Marketing Executive ในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ส่วนพิมพ์เพชรอายุ 20 ปีแล้ว เรียนอยู่ปี 2 ที่มหาวิทยาลัยมีชื่อของจังหวัดนครปฐม 

“แล้วหนูเพลงล่ะ รู้จักกันมาเป็นสิบๆ ปี ฉันยังไม่รู้เลยว่าหนูเพลงชอบทำอะไร มีความฝันอยากทำอะไร” 

เปรมทัตปิดหนังสือลง กอดอกรอฟังคำตอบจากหญิงสาวรุ่นลูกอย่างตั้งใจ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มจางๆ

“ความฝันของเพลงเหรอคะ...” เสียงหวานครวญในลำคอ ละฝ่ามือจากดอกบัวตูมสีชมพูที่พับเสร็จเพียงครึ่งเดียว ใบหน้าสวยแหงนเงยขึ้นเล็กน้อยระหว่างครุ่นคิด

“เอาจริงๆ เพลงก็แทบจะจำไม่ได้แล้วละค่ะว่าความฝันของเพลงคืออะไร”

ฟังดูน่าเศร้า แต่มันเป็นเช่นนั้น ความฝันของเธอถูกฝังกลบไปตั้งแต่ตอนอายุสิบเจ็ดปีหลังจากสูญเสียมารดาไปด้วยอุบัติเหตุรถชน ภาระหน้าที่รับผิดชอบครอบครัวตกมาเป็นของเธอในฐานะพี่คนโตร่วมกับบิดาตั้งแต่บัดนั้น

“...” 

“เพลงน่าจะ...อ๋อ ใช่ค่ะ เพลงนึกออกแล้ว เพลงเคยอยากเป็นเชฟ เพลงชอบทำขนมมาก มีความฝันว่าอยากไปเรียนทำขนมจริงจังแล้วกลับมาเปิดร้านของตัวเอง แต่ก็นั่นแหละค่ะ เรียนทำขนมก็ใช้เงินเยอะ ไม่มีอะไรการันตีว่าจบมาแล้วจะได้งาน หรือทำธุรกิจของตัวเองก็ไม่มีเงินทุน ทำแล้วไม่รู้จะไปรอดมั้ย เพลงเลยเลือกเรียนอะไรที่มันมั่นคงมากกว่า จบมาแล้วมีงานทำ ช่วยส่งเงินให้น้องๆ เรียนได้แน่ๆ”

“หนูเพลงคงเหนื่อยมามาก เสียสละความฝันของตัวเองเพื่อครอบครัว” เปรมทัตผ่อนลมหายใจเบาๆ รู้สึกเห็นใจหญิงสาวนัก

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เพลงพิณฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี แทบไม่มีร่องรอยของความเศร้าอยู่ในดวงหน้างดงามเลย 

“ความฝันของเพลงก็คือเห็นน้องๆ ได้เรียนจบ มีชีวิตที่ดี แล้วพ่อก็ไม่ต้องเหนื่อยเกินไปสำหรับลูกสามคน วิญญาณแม่เพลงเขาก็จะได้ไปสบาย ไม่มีห่วงพะวงครอบครัว”

“แม่หนูเพลงเขาต้องภูมิใจในตัวหนูแน่ๆ เชื่อฉันเถอะ ฉันยังภูมิใจในตัวหนูเลย หนูเป็นเด็กดี สมควรได้รับแต่สิ่งดีๆ นะ” 

เปรมทัตกล่าวเสียงนุ่มนวล ชื่นชมและเอ็นดูเพลงพิณเหลือเกิน ถ้าเธอมาเป็นลูกสาวของเขาได้ก็คงดี แค่ทุกวันนี้เธอปฏิบัติกับเขาไม่ต่างจากพ่อแท้ๆ ของเธอเอง เขาก็ซาบซึ้งมากแล้ว

“ชีวิตนี้เพลงได้รับสิ่งดีๆ เยอะแล้วค่ะ ตั้งแต่ที่คุณปัดให้โอกาสเพลงได้มาทำงานจนตั้งตัวได้ มีเงินส่งน้องๆ เรียน ส่งเงินจุนเจือครอบครัว แถมคุณท่านเองก็หยิบยื่นน้ำใจให้เพลงนับครั้งไม่ถ้วน เพลงมีความสุขเหมือนไร่นี้เป็นบ้านหลังที่สองของเพลงเลยละค่ะ”

“เพราะหนูเพลงดีกับฉันมาก จะไม่ให้หยิบยื่นน้ำใจตอบแทนได้ยังไงกันล่ะ อ้อ แล้วที่จริงน่ะ ฉันว่าเป็นโชคดีของเจ้าปัดมากกว่าที่หนูเพลงมาสมัครงานที่นี่ ไม่งั้นคงไม่เป็นผู้เป็นคนเหมือนอย่างทุกวันนี้หรอก”

“คุณท่านก็พูดเกินไปค่ะ” เพลงพิณส่ายหน้าพร้อมอมยิ้ม หยิบก้านดอกบัวบนโต๊ะมาพับกลีบต่อ

“หนูเพลงอยากเปิดร้านขนมอยู่หรือเปล่า ฉันจะสนับสนุนเงินทุนให้หนูเอง หนูไม่ต้องคืนฉัน ถือว่าเป็นการตอบแทนที่หนูดูแลฉันมาตลอดสิบกว่าปี” 

ข้อเสนอแสนล้ำค่านาทีทองเช่นนี้ ใครไม่รับไว้ก็คงเสียสติเต็มทน งั้นเพลงพิณคงเป็นคนเสียสติแล้วแหงๆ

“เพลงรับไว้ไม่ได้ค่ะคุณท่าน มันมากเกินไป อีกอย่างหนึ่งเพลงไม่ได้อยากทำขนาดนั้นแล้ว มันเป็นความฝันที่เลือนราง ทุกวันนี้เพลงทำงานประจำก็โอเคดี ได้ทำขนมเล่นๆ แบบไม่กดดันก็มีความสุข”

“ตามใจหนู อะไรก็ได้ที่หนูเพลงทำแล้วมีความสุขมันดีทั้งนั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่หนูเพลงหมดไฟกับงานที่บริษัทเราแล้ว เปลี่ยนใจอยากไปมีธุรกิจของตัวเองก็มาบอกฉันได้เสมอ ฉันยังยืนยันคำเดิมว่าจะสนับสนุนทุนให้หนู” 

เปรมทัตยังคงหนักแน่นในเจตจำนง แม้จะรู้อยู่ลึกๆ ว่าเพลงพิณมิอาจเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ หรืออาจมิเปลี่ยนใจเลย เธอเป็นคนรักศักดิ์ศรี ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเสมอมา เธอไม่มีวันรับเงินก้อนใหญ่จากเขาฟรีๆ แน่ อีกประการหนึ่ง...เธอผูกพันกับงานของเธอมากเกินกว่าจะละทิ้ง จะพูดว่าเป็นงานคงไม่ถูกเสียทีเดียว ต้องพูดว่าเป็นที่ตัวบุคคลต่างหากที่ทำให้เธอมิอาจละทิ้งได้ 

ลูกชายของเขา...เป็นพันธนาการเหนียวแน่นของหญิงสาว

“ขอบพระคุณคุณท่านมากค่ะที่หวังดีกับเพลง” 

เพลงพิณยกมือประณมไหว้ขอบคุณอย่างอ่อนน้อม ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เธอลุกขึ้นนำแจกันอันเก่าไปเปลี่ยนน้ำที่ห้องน้ำด้านนอก จากนั้นกลับเข้ามาพร้อมแจกันสะอาดบรรจุน้ำครึ่งหนึ่งพร้อมใส่ดอกบัว เธอจับก้านดอกบัวแต่ละดอกมาปักใส่แจกัน บรรจงจัดสลับสี จัดก้านยาวสั้นให้เป็นพุ่มสวยงาม

“อย่าหาว่าฉันเจ้ากี้เจ้าการเลยนะหนูเพลง ฉันเห็นหนูเพลงเป็นเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ฉันเลยอยากให้หนูเพลงได้เจอสิ่งดีๆ” เปรมทัตว่าต่อ 

“สิ่งดีๆ นี่หมายถึงอะไรเหรอคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วยิ้มๆ

“ฉันมีคนที่อยากแนะนำให้หนูเพลงรู้จัก เป็นลูกชายของเพื่อนสนิทภรรยาฉันน่ะ เขาจะมาทานข้าวกลางวันพรุ่งนี้ หนูเพลงมาทานด้วยกันนะ”

“อ้อ ได้เลยค่ะ” 

เพลงพิณตัดสินใจตอบรับทันที เดาทางออกได้ไม่ยาก คุณท่านคงอยากแนะนำให้เธอรู้จักกับชายหนุ่มสักคน อยากให้เธอได้เจอกับความรัก เธอไม่ได้คาดหวังเรื่องนี้อยู่แล้ว ถ้าเป็นความตั้งใจของคุณท่านเธอก็ยินดีจะทำตาม คงไม่ได้เสียหายอะไร

“ลูกชายเพื่อนคนนี้ยังหนุ่มยังแน่น หน้าตาดี อายุไล่ๆ กับหนูเพลงเลย เรียนจบโทจากสวีเดนเชียวนา” เปรมทัตบอกอย่างอารมณ์ดี

“ฟังดูแล้วโพรไฟล์ดีจังนะคะ เขาไม่มีแฟนแล้วเหรอ” หญิงสาวพูดติดตลก

“ยังไม่มีหรอก ยังโสด ฉันสืบมาดีแล้ว อยากแนะนำให้รู้จักกับหนูเพลง เผื่อจะได้เป็นเพื่อนกัน”

“ใครจะเป็นเพื่อนใครเหรอครับคุณพ่อ”

น้ำเสียงเข้มอันแสนคุ้นหูดังมาจากตรงกรอบประตูห้องโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาเพลงพิณที่ได้ยินถึงกับสะดุ้งโหยง ดอกบัวที่ถือไว้ในมือร่วงลงสู่พื้น

“คุณปัด”

ปฐวีก้าวเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทีไม่อนาทรร้อนใจ เขาวางถาดที่เดหลีจัดมาให้ลงบนโต๊ะตัวเดียวกับที่เพลงพิณนั่งจัดดอกไม้อยู่ ในถาดมีน้ำเต้าหู้ น้ำผลไม้กับชุดขนมปังสังขยาและลูกชุบ ซึ่งเขาอาสาเอาเข้ามาให้เองหลังพบว่าประตูห้องหนังสือเปิดอยู่ และเพลงพิณกำลังสนทนาอยู่กับบิดาของเขา

“ว่าไงครับ สรุปใครจะเป็นเพื่อนใคร” ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง ดึงเก้าอี้ที่ว่างอยู่ออกมาแล้วนั่งลงข้างเลขาฯ ของตน 

“ไม่มีอะไร พ่อแค่จะแนะนำคนดีๆ ให้หนูเพลงเขาได้ทำความรู้จักเฉยๆ” เปรมทัตมีท่าทีสงบนิ่งระหว่างตอบคำถาม เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ม้าโยกเดินมาหยิบแก้วน้ำเต้าหู้ไปดื่ม 

“ถ้างั้นก็ดีครับ เผื่อเลขาฯ ผมจะได้มีแฟนกับเขาบ้าง” ปฐวีไหวไหล่ หยิบก้านดอกบัวที่ยังเหลือในห่อหนังสือพิมพ์มาพับหน้าตาเฉย ไม่สนใจคนข้างกายที่หันมามองค้อนตาเขียวใส่

“คุณท่านก็น่าจะแนะนำผู้หญิงดีๆ ให้คุณปัดสักคนเหมือนกันนะคะ เผื่อจะได้แต่งงานแต่งการไปให้เมียดัดนิสัยเสียบ้าง” เพลงพิณว่าให้อย่างเจ็บแสบ

“โอย” ทว่าชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายกลับหัวเราะ 

“ผมยังต้องให้ใครดัดนิสัยอีกเหรอ สิบสองปีที่ผมทำงานกับคุณก็เหมือนอยู่โรงเรียนดัดสันดานแล้ว”

“คุณปัดพูดเว่อร์อะ”

“หรือคุณจะเถียงว่าไม่จริง” เขาเลิกคิ้วพลางยิ้มยั่ว

“จริงแค่ครึ่งเดียวค่ะ มันไม่ใช่การดัดนิสัย แต่คือการดูแลบุคลิกภาพของคุณปัดให้ดูดีมีสง่าอยู่เสมอ มันเป็นหน้าที่ของเพลงตั้งแต่คุณรับเพลงเข้าทำงานต่างหาก” เพลงพิณทำปากยื่น แย่งก้านดอกบัวที่พับไม่สวยเท่าไหร่นักในมือของปฐวีมาพับใหม่เสียเอง

“เอ้า พาลละ” ปฐวีเอาไหล่ของตนกระทบไหล่ของหญิงสาวเบาๆ เป็นการเอาคืน

“เอาละ สองคนอย่าทะเลาะกันเลย ถือว่าสงสารคนแก่อย่างพ่อเถอะ หัวใจจะวาย” 

เปรมทัตแสร้งพูดไปอย่างนั้นเอง ทั้งที่ตอนนี้เขาแทบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ 

สนุกทุกครั้งยามได้ฟังสองหนุ่มสาวโต้เถียงกัน มวยถูกคู่แท้ๆ เพลงพิณคือคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อแล้วสำหรับลูกชายหัวดื้อของเขา

“แล้วเพื่อนสนิทของภรรยาคุณท่านเป็นใครเหรอคะ”

หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุย เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำผลไม้ในถาดมาดื่มหลังจัดดอกไม้เสร็จเรียบร้อย เธอสังเกตเห็นปฐวีนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะบทสนทนาเกี่ยวข้องกับมารดาของเขานิดหน่อย

“เขาชื่ออ้อม เป็นเจ้าของไร่ทานตะวันที่อยู่อีกอำเภอหนึ่ง เป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของเจ้าปัดเขาตั้งแต่สมัยสาวๆ พรุ่งนี้เขาจะมาเที่ยวหา มากับลูกๆ เขา ฉันก็เลยเชิญเขาทานข้าวกลางวันด้วยกันที่นี่เลย แกก็เตรียมตัวให้พร้อมนะปัด พรุ่งนี้ต้องต้อนรับแขกคนสำคัญของแม่แก” ประโยคสุดท้าย เปรมทัตหันมาย้ำกับลูกชาย

“ครับ” ปฐวีพยักหน้ารับ หยิบลูกชุบในจานมารับประทาน

“เขาเคยมาเยี่ยมแกตอนเด็กๆ หลายหนจำได้มั้ย” คนเป็นบิดาถามต่อ

“พอจำได้บ้างครับ แต่ครั้งสุดท้ายที่มาเยี่ยมน่าจะตอนผมสิบห้า คุณน้าอ้อมชอบพาลูกสาวมาด้วย ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้”

“ชื่อหนูงาม” เปรมทัตบอกยิ้มๆ

“อ้อ งามนั่นเอง ก็ว่าอยู่ทำไมคุ้นๆ”

จริงๆ ไม่ใช่แค่ปฐวีเท่านั้นที่คุ้น เพลงพิณเองก็รู้สึกคุ้นหูชื่อนี้อย่างน่าประหลาด ตั้งแต่ชื่อไร่ทานตะวันจนถึงชื่ออ้อมกับงาม ทว่านึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

“แล้วทำไมคุณอ้อมเขาถึงไม่ได้มาเยี่ยมอีกเลยล่ะคะ”

“อืม เหมือนเขาก็คงวุ่นๆ กับงานที่ไร่เขานั่นแหละ ไร่เขาไม่ใหญ่มาก แต่ก็ทำเงินได้ดีพอสมควรเลยนะ สามีเขาก็เป็นเจ้าของบริษัทค้าไม้ เอ...แล้วเหมือนจะมีช่วงหนึ่งที่เขาไปอยู่สวีเดนหลายเดือนเลยละ พาลูกชายไปรักษา”

“ไม่ยักรู้ว่าคุณน้าอ้อมมีลูกชายด้วย” ปฐวีพึมพำออกมา

“มีๆ แต่เขาไม่เคยพามา เป็นลูกติดสามีเก่า” 

“แล้วลูกชายเขาเป็นอะไรเหรอคะถึงต้องไปรักษาที่ต่างประเทศ” เพลงพิณสงสัย

“เหมือนจะเป็นเนื้องอกในสมองมั้งเท่าที่จำได้แล้วเคยโทร. คุยกันอยู่ สามีของคุณอ้อมเขารู้จักหมอเก่งๆ อยู่ที่นั่น ก็เลยติดต่อให้คุณอ้อมพาลูกชายไปรักษา จนกระทั่งหายดีนั่นแหละ” เปรมทัตเล่าเรื่อยๆ ดื่มน้ำเต้าหู้จนหมดแก้ว แล้วจึงมาหยิบจานขนมปังสังขยาไปรับประทานบ้าง

“โชคดีจังนะคะ” 

สำหรับคนมีฐานะ อะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น โรคร้ายที่ว่าถึงตายก็สามารถหายเป็นปลิดทิ้งได้

“หมั่นตรวจเช็กสุขภาพกันนะ ทั้งเจ้าปัดทั้งหนูเพลงเลย อย่ามัวแต่พาคนแก่อย่างพ่อไปตรวจสุขภาพ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณพ่อ เลขาฯ ผมบังคับตรวจสุขภาพประจำทุกปี ไม่รู้สุขภาพตัวเองได้ตรวจบ้างหรือเปล่า” ปฐวีมิวายวกกลับมาสัพยอกเพลงพิณ 

“ถ้าไม่แข็งแรงคงอยู่ให้คุณปัดใช้งานไม่ได้จนถึงตอนนี้หรอกค่ะ”

“ก็ดี๊ แข็งแรงแบบนี้ก็ดี”

“แต่ปีหน้าก็ไม่แน่หรอกนะคะ สุขภาพอาจจะทรุดโทรมลงก็ได้ ถึงตอนนั้นคงถึงวาระหาเลขาฯ ใหม่ให้คุณปัดพอดี”

เพลงพิณกล่าวสีหน้าเรียบเฉย คำพูดทีเล่นทีจริงนั้นทำเอาปฐวีถึงกับใบ้กินพูดไม่ออก เหมือนโดนหมัดน็อกกลางอากาศ

“เดี๋ยวเพลงขอตัวกลับก่อนนะคะคุณท่าน พอดีมีงานหลายอย่างต้องกลับไปทำ”

“เอ้อ ไปเถอะหนูเพลง ขอบคุณมากสำหรับดอกไม้แล้วก็น้ำเต้าหู้ขนมปังสังขยานี่นะ” เปรมทัตส่งยิ้มให้หญิงสาว ดวงตามีประกายของความสุข

“สวัสดีค่ะ” ร่างอวบอิ่มยกมือไหว้ลา ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องหนังสือไป ทิ้งให้ปฐวีนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิมด้วยความสับสนมึนงง สักพักหนึ่งจึงได้เอ่ยขอตัวบ้าง

“งั้นผมไปละ มีงานต้องทำเหมือนกัน” 

“อืม” 

เปรมทัตพยักหน้าให้ รู้ดีว่ามันคงน่าอึดอัดเกินไปสำหรับการอยู่สนทนากันเพียงลำพัง ในอดีตที่ผ่านมาเขากับลูกชายมีปากเสียงกันบ่อย ต้องมีเพลงพิณคอยเป็นตัวกลางทำให้บรรยากาศไม่ขุ่นมัว แม้หลายปีมานี้เขากับลูกชายจะปรับความเข้าใจ ไม่ได้มีปากเสียงกันแล้ว แต่ก็ต้องอาศัยหญิงสาวเป็นตัวกลางเพื่อให้การพูดคุยไม่อึดอัดอยู่ดี

 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น