บทที่ 5

 

 

เพลงพิณขับรถมาถึงโรงแรมที่จัดงานพร้อมกับนิชาภัทรในเวลาสองทุ่ม สองสาวแต่งองค์ทรงเครื่องสวยพริ้ง สลัดคราบพนักงานออฟฟิศออกเกลี้ยง ด้วยโจทย์ของทั้งสองคนคือต้องการมาในลุคไฮโซ แม้จะมีสไตล์แตกต่างกัน นิชาภัทรเป็นสาวร่างเล็ก แต่งตัวเซ็กซี่ปนหวานด้วยเดรสสั้นปาดไหล่ผ้าลูกไม้สีขาวมีระบายเข้ากับรองเท้าส้นสูง ดัดผมลอนประบ่า ส่วนเพลงพิณยังคงความเรียบหรูกึ่งทางการ เธอสวมชุดกระโปรงเกาะอกสีดำคลุมไหล่ด้วยเบลเซอร์สีขาว ที่สะดุดตาคือกระเป๋าถือแบรนด์หรูสัญชาติฝรั่งเศส

“เลดี้ ดิออร์! นี่แกซื้อมาใหม่เหรอ ไม่เคยเห็นแกใช้ใบนี้เลย สวยมาก” นิชาภัทรเอ่ยทักด้วยดวงตาเป็นประกาย เพิ่งเห็นเต็มๆ ก็ตอนขึ้นลิฟต์ ก่อนหน้านี้เพลงพิณขับรถมารับเธอที่บ้านก็มืดแล้ว จึงไม่ทันได้สังเกต

“ซื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ฉันเพิ่งใช้ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามเอง” เพลงพิณยิ้ม ไม่ได้บอกเพื่อนตามตรงว่าปฐวีซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด เพราะเกรงว่าจะเป็นการโอ้อวด และถ้าเกิดคนฟังไม่เข้าใจก็อาจตีความว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมได้ 

เธอทำงานเป็นเลขาฯ คนสนิทของปฐวีและเปรมทัต สองพ่อลูกมีวัฒนธรรมที่เหมือนกันคือชอบซื้อของขวัญให้ในทุกโอกาส ทั้งโอกาสพิเศษ โอกาสไม่พิเศษ หรือโอกาสอยากจะให้ และข้าวของเหล่านั้นก็ล้วนเป็นสิ่งหรูหราราคาแพงที่เพลงพิณไม่คิดอยากซื้อเอง แรกๆ เธอไม่อยากรับเพราะรู้สึกเกรงใจ แต่พออยู่กับทั้งสองคนนานเข้าก็ชินไปเองในที่สุด เข้าใจธรรมชาติว่าพวกเขาสบายใจจะให้ ส่วนเธอก็ทำใจให้สบายแล้วรับไว้

“ดีอะ ฉันอยากได้รุ่นนี้อยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้กำลังทรัพย์ฉันไม่พร้อมมากเว่อร์” 

นิชาภัทรลากเสียงเนือย พลางกลอกตามองบน เรียกเสียงหัวเราะน้อยๆ ของเพลงพิณ

“หลุยส์วิตตองของแกก็เลิศนะใบเนี้ย เข้ากับทุกลุคที่แกแต่งตัวเลย สะพายไปทำงานก็เก๋” เลขาฯ สาวบุ้ยปากไปที่กระเป๋าหลุยส์วิตตองของเพื่อน

“รุ่นนี้มันนานตั้งแต่ปีมะโว้ละ แต่ดีนะ ฉันซื้อตอนที่มันยังราคาโอเคอยู่ ตอนนี้ราคาขึ้นหืด”

ลิฟต์โดยสารใหม่เอี่ยมเคลื่อนตัวมาถึงชั้นที่หมาย สองสาวก้าวเท้าออกมาจากลิฟต์ เดินไปแสดงหลักฐานการลงทะเบียนหน้าห้องจัดเลี้ยง เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน

เพลงพิณผู้ไม่เคยสัมผัสบรรยากาศงานเลี้ยงรุ่นเลยสักครั้งรู้สึกประหม่านัก ระยะเวลาสิบกว่าปีที่จบมหาวิทยาลัยมา เธอมีนัดรับประทานข้าวกับกลุ่มเพื่อนกลุ่มเล็กๆ บ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก มาครานี้ ต้องมาเจอเพื่อนร่วมรุ่นมากหน้าหลายตา เธอแอบทำตัวไม่ถูก...

“ไอ้เพลง!” 

เสียงทักทายห้าวๆ ของชายหนุ่มดังขึ้น ตามด้วยฝ่ามือหนักๆ ที่ตบลงบนแผ่นหลังของเพลงพิณ ชนิดไม่เกรงใจลุคสาวไฮโซสุดมั่นของเธอเลย

“อ้าว ไง...เต้” คนถูกทักแรงโบกมือให้เพื่อนเก่า ยิ้มเจื่อนๆ เพราะยังรู้สึกชาๆ ที่หลังไม่หาย อยากจะตกใจที่โดนทักปุบปับ แต่ก็ตกใจไม่ทันเสียแล้ว ธราธิปก็ยังคงเป็นธราธิปคนเดิมสินะ

“ดีใจว่ะ แกยังจำหน้าฉันได้” หนุ่มขี้เล่นยิ้มกว้าง “ไม่เจอกันตั้งนานแน่ะ”

“จำได้ดิ คนดังของรุ่น ใครจะจำไม่ได้บ้าง”

ธราธิปเป็นหนุ่มสายเอนเตอร์เทนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ด้วยบุคลิกเป็นคนสนุกสนานขี้เล่น ชอบทำนู่นทำนี่ ทั้งพิธีกร แสดงละครเวที เป็นดีเจจัดรายการ ปัจจุบันเจ้าตัวเป็นยูทูบเบอร์ชื่อดัง ยอดผู้ติดตามสิบล้าน 

“แล้วแกได้ติดตามช่องยูทูบฉันเปล่า” 

“เปล่าอะ”

“โธ่ จบละ กดติดตามเลยๆ เอาโทรศัพท์ขึ้นมา”

“อะแฮ่ม” นิชาภัทรที่ถูกเพิกเฉยมาสักพักกระแอมเสียงดัง

“ฉันยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ ไม่เห็นแกทักทายบ้างเลยนะไอ้เต้” 

“โอย เห็นหน้าทุกปีจนเบื่อแล้วแกอะ ต้องทักทายอะไรอีกฮึ” ธราธิปเท้าเอวว่า

“จ้าาา ไม่ทักก็ได้จ้าาา” นิชาภัทรพูดประชดประชัน ก่อนจะหันมาถามเพื่อนสาว

“เพลง ฉันจะไปคุยกับพวกส้มจี๊ดหน่อย จะไปด้วยกันไหม หรือจะอยู่คุยกับไอ้เต้ก่อน”

“เดี๋ยวฉันอยู่คุยกับเต้แป๊บนึงก็ได้ เดี๋ยวตามไปแล้วกัน”

“โอเค”

นิชาภัทรตบบ่าเพลงพิณเบาๆ แล้วเดินไปหาเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่อีกมุมห้อง ปล่อยให้เพลงพิณพูดคุยกับธราธิปตามลำพัง

“หิวยัง เดี๋ยวฉันพาแกไปเอาของกิน โรงแรมนี้ของกินอร่อยทุกอย่างเลย” ชายหนุ่มไม่รอให้เพื่อนสาวตอบรับ จูงแขนเรียวไปทางโต๊ะอาหารที่จัดเอาไว้แบบบุฟเฟต์

“แกเป็นหัวหอกงานนี้เหรอเต้” เพลงพิณเอ่ยถาม ระหว่างตักเลมอนพายใส่จานสีขาวใบเล็ก

“เออ ฉันก็เป็นหัวหอกจัดงานนี้ทุกปีแหละ จะว่าไปฉันก็เสียใจนะเนี่ยที่แกไม่มาเลยสักปี” ธราธิปแสร้งเบะปาก ตีหน้าเศร้า 

“ฉันงานยุ่งช่วงสองสามปีแรกน่ะ พอปีหลังๆ งานไม่ยุ่งแล้ว ฉันก็รู้สึกเขินๆ ไม่กล้ามา คงเพราะไม่ได้เจอเพื่อนนานมั้ง” 

“หึๆ ไม่เป็นไร ไม่ใช่แกคนเดียวหรอกที่ไม่มางานเลี้ยงรุ่น มีเพื่อนหลายคนก็ไม่ได้มาสักปี ต่างคนต่างมีภาระหน้าที่ มีชีวิตของตัวเอง อ้อ แล้วอดีตของแกก็เพิ่งจะมางานเลี้ยงรุ่นปีนี้เหมือนกันนะ”

“อดีตของฉัน ใครวะ” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ จ้องมองอีกฝ่ายที่ยิ้มขำ

“ก็แฟนเก่าแกไง ไอ้ก้องอะ” 

“อ่อ” 

“เฮ้ย หน้าซีดเลย อย่าบอกนะว่าแกยังเจ็บอยู่”

“เปล่า ฉันแค่ทำหน้าไม่ถูก แกจะให้ยิ้มดีใจ กระโดดโลดเต้นหรือไงวะเต้ ประสาท” 

ธราธิปหัวเราะท้องแข็งเมื่อได้ฟัง สนทนากันมาตั้งนาน เพื่อนสาวผู้เรียบร้อยของเขาเปิดการ์ดด่าเสียแล้ว

“ต้องงี้ดิวะ ไอ้เพลงตัวจริง พูดน้อยด่าหนัก แต่แกยังน่ารักเหมือนเดิมนะตอนด่าใครสักคนเนี่ย”

“หึ ไม่ต้องมาชมเลย แกรู้มั้ยฉันไม่ได้ด่าใครมานานมากแล้ว แกนี่เอาจนได้นะ” 

“ดีๆ ด่าอีก สนุก เสียดายฉันน่าจะถ่าย Vlog วันเลี้ยงรุ่นลงยูทูบ อ้าว นั่นไงไอ้ก้อง” เขาบุ้ยปากไปทางด้านหลังของเพลงพิณ

“งั้นฉันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นก่อนนะ เชิญแกตามสบาย” เพลงพิณถือจานขนมกับแก้วเครื่องดื่ม เดินเลี่ยงออกไปทันที 

ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่หนี... แต่มันทำใจลำบากกว่าที่คิดแฮะ

ทำใจลำบากที่จะหันกลับไปยิ้มให้ 

ทำใจลำบากที่จะทักทายคนที่ทิ้งเธอไปแบบไม่มีเหตุผล 

“อ้าวเพลง! มางานนี้ด้วยเหรอ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งร้องทักขึ้น เพลงพิณเหลียวหลังกลับไปมอง

“อ้าว หวัดดีปุ้ย” 

“คิดถึงจังเลย” ประภาภัสยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอดเธอแน่น

“คิดถึงเหมือนกัน” เพลงพิณบอกกลั้วหัวเราะ ไม่ได้กอดตอบอีกฝ่ายเพราะสองมือไม่ว่าง แต่ต่อให้มือว่าง เธอก็ไม่อยากกอดตอบอยู่ดี

ไม่ใช่จะไม่รู้ ว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่การแสดงฉากหนึ่งของอดีตดาวคณะบริหารธุรกิจ

“ไม่เจอกันตั้งนาน เพลงหายไปไหนมาตั้งหลายปี ไม่มางานเลี้ยงรุ่นเลย เพื่อนๆ คนอื่นบ่นคิดถึงกันเยอะแยะเลยนะ”

“เรางานยุ่งอะ เพิ่งจะมาได้ปีนี้แหละ แล้วปุ้ยเป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย” 

“สบายดีๆ ตอนนี้เราทำงานเป็นผู้จัดการสื่อสารการตลาดของโรงพยาบาลอะ เดี๋ยวต้นปีหน้าก็จะแต่งงานแล้วนะ เพลงว่าเราแต่งงานช้าไปป้ะ” 

ประภาภัสแสดงสีหน้าเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ หลุบตามองแหวนเพชรเม็ดงามบนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง ซึ่งกำลังเกี่ยวกระเป๋าแอร์เมสเบอร์กิ้นสีน้ำตาลอ่อนเอาไว้

เพลงพิณได้แต่กลั้นขำขณะเฝ้ามองการแสดงของสาวสวย โธ่...สาธยายชีวิตสุดเพอร์เฟกต์มาขนาดนี้แล้ว ยังไม่มั่นใจอีกหรือปุ้ย

“ไม่หรอก เราก็ยังไม่มีแฟนสักคน” 

“เพลงเนี่ยนะไม่มีแฟน เราไม่เชื่อหรอก เพลงสวยขนาดนี้ไม่มีคนมาจีบได้ไง” 

“ไม่มีจริงๆ เราทำแต่งานอะ” 

“เราก็ทำแต่งานเหมือนกัน ตอนแรกแอบคิดว่าจะไม่ได้แต่งงานเสียแล้ว” 

“ยินดีด้วยนะ” เพลงพิณส่งยิ้มกว้าง ตรงข้ามกับแววตาแสนเย็นชา 

“อ๋อนี่ เราให้ คลินิกของแฟนเราเอง ถ้าอยากทำสวยก็ไปได้นะ ยื่นคูปองให้พนักงานดู ได้ลด 10% ทำครั้งแรก เราไม่ได้แจกเพื่อนทุกคน แต่เราอยากให้เพลง” 

ประภาภัสยื่นนามบัตรสีทองกับคูปองที่ล้วงออกมาจากกระเป๋าให้เพลงพิณ

“ขอบคุณนะ น่าสนใจ กำลังอยากทำเลเซอร์รักแร้อยู่พอดีเลย” 

“ว่าแต่ กระเป๋าเพลงสวยดีนะรุ่นนี้ เราไม่ค่อยได้ซื้อของดิออร์เลยอะ เข้าวงการแอร์เมสแล้วออกยาก” 

“อ๋อ ก็ดีนะ”

อดีตดาวคณะเริ่มหน้าเสีย เมื่อคนที่ตั้งใจจะข่มแสดงท่าทีออกมาแค่นั้น

และเพลงพิณรู้ดีว่าประภาภัสตั้งใจข่มเธอในทุกประโยคของบทสนทนา ต้องมีเรื่องโยงเข้าตัวเองตลอด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องกระเป๋า แอร์เมสเบอร์กิ้นของอีกฝ่ายราคาเหยียบห้าแสน ส่วนกระเป๋าเลดี้ ดิออร์ของเธอแค่หลักแสนต้นๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ชอบกระเป๋าตัวเอง พร้อมกับมองว่ามันก็ราคาแพงมากแล้ว แอร์เมสไม่ต้องพูดถึง เธอไม่ได้สนใจ

“เอ้อ แล้ววันนี้เพลงไม่ได้มากับก้องเหรอ” ประภาภัสทิ้งไพ่ใบสุดท้ายในมือ ด้วยการถามในสิ่งที่ตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว

“เลิกกันนานแล้วอะตั้งแต่เรียนจบ” เพลงพิณแค่นยิ้ม รอดูการแสดงฉากต่อไป 

“อุ๊ย ขอโทษนะเพลง เราไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเพลงเลิกกับก้องแล้ว นึกว่ายังคบกันเสียอีก เพราะสมัยมหา’ลัยก้องกับเพลงดูรักกันมาก ขอโทษจริงๆ นะ”

“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็เคยรักกันช่วงหนึ่ง เลิกไปก็ไม่ได้เสียดาย” 

เพราะเรื่องของก้องเกียรติ ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประภาภัสคอยชิงดีชิงเด่นกับเพลงพิณในทุกเรื่อง ด้วยว่าตอนปีหนึ่ง ประภาภัสชอบก้องเกียรติ และมักจะพยายามเข้าหาชายหนุ่มเสมอ แต่เมื่อเรื่องราวมันหักมุมว่าก้องเกียรติมาจีบเธอ ก็สร้างความไม่พอใจให้ประภาภัสเป็นอย่างมาก จนไปพูดว่าร้ายเธอลับหลังเสียๆ หายๆ แต่ต่อหน้าก็ยังทำเป็นดีด้วย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หารู้ไม่ว่าเพลงพิณรู้ทุกอย่าง เพียงแต่ไม่คิดอยากสนใจ

“เพลงๆ!” เสียงนิชาภัทรตะโกนเรียก เหมือนเสียงนาฬิกาแจ้งเตือนว่าหมดเวลาสงครามประสาท

“ขอตัวก่อนนะปุ้ย นุ่นเรียกเราแล้วอะ” 

“ยายปุ้ยเอาอีกแล้วเหรอ โอ๊ย! จะทำตัวประสาทไปถึงไหน”

นิชาภัทรนิ่วหน้า หันไปมองอสรพิษเรียกแม่ที่ตอนนี้กำลังร่วมวงสนทนากับเพื่อนกลุ่มอื่นอย่างครื้นเครง

“เออ ยังกับมาสมัครงาน สาธยายคุณสมบัติยิบ” เพลงพิณหัวเราะขัน สั่นศีรษะเป็นเชิงเวทนา

“แล้วแกโอเคมั้ยเนี่ย”

“โอเคดิ สามสิบกว่ากันแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เสียเวลาเปล่าถ้าไปสู้กับคนแบบนั้น”

“ก็นั่นสิ โตๆ กันแล้วยายปุ้ยยังคิดไม่ได้อีกเหรอ ไม่รู้หรือไงว่าคนเอือมนางกันขนาดไหน” 

“เอือมจริง” บุคคลที่สามทะลุกลางปล้องเข้ามา หลังแอบฟังสองสาวอยู่นาน

“ไอ้เต้! ตกใจหมด” นิชาภัทรตวาดแหว

“ยายนั่นก็เป็นแบบนี้ทุกทีที่มางานเลี้ยงรุ่นแหละ คงคิดว่าตัวเองเป็นดาวคณะอยู่มั้ง” ธราธิปว่า ก่อนจะหันมาทางเพลงพิณ

“ยายปุ้ยถามหาแกตลอดเลยนะไอ้เพลง คงรอการมาของแกแทบไม่ไหว พอรู้ว่าปีนี้แกมาก็เลยจัดเต็ม”

“ขนลุกชะมัด” นิชาภัทรลูบแขนตัวเอง

แต่คนที่เพลงพิณกังวลจริงๆ กลับไม่ใช่ประภาภัสเนี่ยสิ

“เดี๋ยวฉันต้องขึ้นไปจัดกิจกรรมบนเวทีละ” ธราธิปจัดเสื้อแสงของตัวเองให้เรียบร้อย เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มครึ่ง

“ปีนี้มีกิจกรรมอะไรบ้าง” 

“เยอะ แต่ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ เล่นคาฮูต ใบ้คำ ตอบคำถามชิงรางวัล อ้อ ปีนี้เพิ่มกิจกรรมพิเศษ มีฉายคลิปตลกๆ ที่ถ่ายสมัยมหา’ลัย รอดูเลยไอ้นุ่น ฉันมีคลิปตอนแกทำตัวเป๋อๆ เพียบ”  

“อ้าว! ไอ้เต้ ไอ้เวร” นิชาภัทรเตรียมจะทุบหลังเพื่อนชาย แต่ช้าไปเมื่ออีกฝ่ายปรี่ไปขึ้นเวทีแล้ว 

กิจกรรมต่างๆ ในงานดำเนินไปอย่างสนุกสนาน เพราะมีตัวพ่อตัวแม่สายเอนเตอร์เทนของรุ่นมาเป็นพิธีกรคู่กัน ธราธิปกับปารมีตบมุกกันจังหวะโบ๊ะบ๊ะ เพื่อนๆ วัยเลขสามทั้งหลายที่เริ่มเมาก็ตะโกนเชียร์เสียงดังราวกับว่ากลับไปเป็นนิสิตกันอีกครั้ง เพลงพิณก็อดมีความสุขไปด้วยไม่ได้ เมื่อได้กลับมาอยู่ในบรรยากาศอบอุ่นอันรายล้อมไปด้วยความทรงจำดีๆ ช่วงเวลาที่ได้มาเรียนที่เชียงใหม่ มาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็ถือเป็นช่วงชีวิตที่เพลงพิณไม่มีวันลืม 

เพียงแต่...ปริมาณความสุขของเพลงพิณไม่สามารถไปถึงขีดสุด เพราะความหวาดระแวงใครบางคนในงานฉุดรั้งเอาไว้

“แกไม่ต้องห่วงนะเพลง ฉันคอยกันไอ้ก้องให้ถ้ามันมา” นิชาภัทรลูบหลังเพื่อนเบาๆ รับรู้ถึงความกังวลของอีกฝ่าย เพราะได้คุยกันมาก่อนหน้านี้แล้ว

“อืม” เพลงพิณยิ้มฝืนๆ ให้เพื่อน เบนสายตากลับไปทางเวที

“เอาละ! มาถึงช่วงเวลาสนุกๆ กับคลิปทางบ้านที่ส่งกันเข้ามาแล้วนะครับผม พร้อมจะพบกับยุคมืดกันหรือยัง!”

“กูไม่มียุคมืดค่าอีเต้” เพื่อนสาวคนหนึ่งตะโกนสวนธราธิป เรียกเสียงหัวเราะครืน

“มั่นมากนะครับคุณฝน เอาเป็นว่าให้เพื่อนๆ ตัดสินกันเองดีกว่าว่ามืด หรือไม่มืด”

ไฟในห้องจัดงานหรี่ลง ภาพบนโพรเจกเตอร์เด่นชัดขึ้น เสียงดนตรีจังหวะเร้าใจช่วยบิลด์อารมณ์ของทุกคน เสียงดนตรีเงียบลง คลิปวิดีโอขนาดสั้นที่บันทึกความทรงจำอันงดงามถูกแรนดอมฉายทีละคลิป ส่วนมากเป็นคลิปตลกๆ ไร้แก่นสาร ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงเฝ้าดูวันวานของตนเองกับเพื่อนด้วยความตื้นตันใจ บางคนเปลี่ยนไปจากเมื่อสิบปีก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ หรือบางคนก็แทบไม่เปลี่ยนไปเลย

กำลังสนุกกันอยู่ดีๆ ทุกคนก็พลันเงียบกริบเมื่อหนึ่งในคลิปตลก กลายเป็นคลิปของคู่รักคู่หนึ่งในรุ่น ซึ่งตอนนี้กลายเป็นอดีตกันไปแล้ว และเกิน 90% ในห้องจัดงานทราบเรื่องนั้นดี 

‘เพลงเป็นแฟนกับก้องนะ’

หนุ่มหล่อในชุดนิสิตยื่นช่อดอกกุหลาบให้หญิงสาว 

‘ฮะ ขอเป็นแฟนแล้วต้องถ่ายคลิปด้วยเหรอ’ เพลงพิณในวัยสิบเก้าปียิ้มเขิน

‘ก้องอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ อะ’

‘แล้วถ้าเพลงไม่ตกลง ก้องจะทำไง กลายเป็นความทรงจำไม่ดีเลยนะ’

‘ก็ไม่เป็นไร ยังไงก้องก็ชอบเพลง ถึงไม่ได้เป็นแฟนกันก็ชอบเพลงคนเดียว’

‘อืม ยอมให้ถ่ายเป็นความทรงจำดีๆ ก็ได้ เพราะเพลงชอบก้องเหมือนกันหรอกนะ’ 

เพลงพิณยอมรับดอกกุหลาบจากก้องเกียรติ จากนั้นทั้งสองก็สวมกอดกัน พร้อมเสียงเฮฮาจากเพื่อนผู้ถ่ายคลิปและกองเชียร์

“ฉิบหายแล้วไงไอ้ปาน” ธราธิปเดินไปกระซิบข้างหูปารมี “ทำไมมีคลิปไอ้เพลงกับไอ้ก้องวะ ตอนเรารีเช็กก็ไม่มีนี่นา”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาได้ยังไง แล้วใครมีคลิปนี้” ปารมีขมวดคิ้วมุ่น “แล้วเราจะทำยังไงกันดีอะ”

“ทำอะไรไม่ได้ เพื่อนๆ เงียบกริบกันขนาดนี้คงรู้แหละ ไว้ค่อยไปคุยกับไอ้เพลงหลังจบงานแล้วกัน เฮ้อ ไอ้เพลงนะไอ้เพลง มางานเลี้ยงรุ่นปีแรกก็เจอดีเลย”

ร่างอวบอิ่มในชุดสวยเดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องจัดเลี้ยงอย่างเร่งรีบ รู้สึกคล้ายจะเป็นลม มันอึดอัดเหมือนอกจะแตกให้ได้ ไม่รู้ทำไมเธอถึงเสียศูนย์ขนาดนี้ตอนที่คลิปนั่นฉายบนจอใหญ่ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมรุ่น 

ตอนนี้เธอแค่อยากอยู่คนเดียว จึงสั่งกำชับไม่ให้นิชาภัทรตามมา

เพลงพิณเดินไปตามทางเดินของชั้นนี้เรื่อยๆ พยายามออกห่างจากห้องจัดเลี้ยงมากที่สุด ก่อนจะนั่งพักลงบนชุดโซฟานั่งเล่นตรงโถงใกล้ลิฟต์อีกฝั่ง

พักหายใจได้ไม่เท่าไร ก็มีใครคนหนึ่งยื่นแก้วน้ำเย็นๆ มาให้เธอ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ใจหายวาบ 

คนที่เธอหลบเลี่ยงมาตลอด ในที่สุดก็ต้องปะทะกันจนได้สินะ

“เพลง โอเคมั้ย”

ก้องเกียรติ ชายหนุ่มผิวขาวแบบคนเหนือ ทว่าเครื่องหน้ามีความคมเข้ม ซึ่งถอดแบบมาจากบิดาผู้มีเชื้อสายมลายู ทั้งหมดหลอมรวมกันเป็นความหล่อเหลาชนิดที่ใครได้เห็นต้องใจละลาย

แต่ไม่ใช่กับเพลงพิณอีกต่อไปแล้ว เธอผุดลุกขึ้นประจันหน้ากับอีกฝ่าย 

“ก้องอย่ามายุ่งกับเพลงอีกได้ป้ะ”

“เพลง ขอโอกาสก้องอธิบายก่อนได้มั้ย” ก้องเกียรติอ้อนวอน เขาวางแก้วน้ำลง ยื่นมือไปจับแขนของอดีตคนรัก 

“อย่ามาจับ” เพลงพิณพูดชัดถ้อยชัดคำ สะบัดแขนออกจากมือของชายหนุ่มอย่างโกรธแค้น

“มีอะไรต้องคุยอีกอะ มันจบแล้วทุกอย่างเว้ย เพลงแค่อยากขอให้ก้องไปไกลๆ ได้มั้ย หายไปจากชีวิตของเพลงเลยได้ยิ่งดี เหมือนวันนั้นที่ก้องโทร. มาบอกเลิกแล้วหายหัวไปเป็นสิบๆ ปีไง โผล่หน้ากลับมาทำไมอีก”

“ก้องขอโทษ ก้องรู้ว่าก้องผิด แต่ที่ก้องทำไปเพราะก้องมีเหตุผล...”

“จะเหตุผลบ้าบออะไรเพลงก็ไม่อยากฟัง มันจบแล้ว เพลงไม่อยากรับรู้ อย่ามาให้เพลงเห็นหน้าอีก” หญิงสาวจ้องหน้าแฟนเก่าด้วยสายตาเอาเรื่องแม้ว่าหยาดน้ำตาจะเริ่มคลอเบ้า หันเตรียมจะเดินกลับไปยังห้องจัดเลี้ยง 

“ตอนนั้นก้องเป็นเนื้องอกในสมอง”

รองเท้าส้นสูงของเพลงพิณหยุดชะงัก เสียงก้องเกียรติที่บอกเธอจากด้านหลังช่างแผ่วเบา

“แล้วก้องก็เป็นโรคซึมเศร้าด้วย ก้องสาบานได้เลย ก้องไม่ได้โกหกเพลง”

“...”

“ตอนที่ตรวจเจอว่าเป็นเนื้องอกในสมอง ก้องคิดว่าก้องไม่รอดแน่ แล้วก้องคงทำตามความฝันที่เราสองคนวาดไว้ไม่ได้แล้ว ก้องไม่อยากให้เพลงมาจมอยู่กับก้อง ก้องก็เลย...” ชายหนุ่มหายใจติดขัด ยากจะเอื้อนเอ่ยประโยคต่อไป เมื่อภาพแผ่นหลังอันแสนเย็นชาของหญิงสาวที่เขารักได้ตอกย้ำถึงการกระทำของเขาในอดีตทั้งหมดแล้ว

“พูดจบหรือยัง”

“เพลง”

“อุตส่าห์มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็ไปใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีเถอะ อย่ามายุ่งกันอีกเลย ถ้าอยากชดใช้ความผิดนักก็ออกไปจากชีวิตของเพลงซะ แล้วจะยกโทษให้”

นั่นคือความปรานีครั้งสุดท้ายแล้วที่เพลงพิณจะสามารถให้ก้องเกียรติได้ในฐานะคนเคยรักกัน

วันพักผ่อนของเหล่าคนทำงานจบสิ้นลง วันจันทร์แสนน่าเบื่อเวียนมาบรรจบอีกแล้ว ปฐวีเข้าออฟฟิศมาพร้อมกับเพลงพิณเช่นเคย ทักทายพูดคุยกับพนักงานของตนเองเสร็จก็ขึ้นไปบนห้องทำงาน

“ชาค่ะคุณปัด” เพลงพิณวางถ้วยชาชงร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นของดอกคาโมมายล์ลงบนโต๊ะของเจ้านาย

“ขอบคุณนะ วันนี้ไม่มีขนมมาให้ชิมเหรอ” ปฐวีถามยิ้มๆ 

“คุณปัดอยากทานเหรอคะ” เลขาฯ คนสนิทเลิกคิ้ว

“ก็เห็นทุกทีคุณชอบทำอะไรมาให้ชิมตลอด วันนี้ไม่เห็นก็เลยแปลกใจ” 

“เมื่อวานเพลงหลับเป็นตายเลยค่ะ ไม่ได้ลงครัวทำอะไรเลย ซื้อทานอย่างเดียว” 

“ดีแล้ว คุณควรได้พักผ่อนบ้าง”

หัวใจแห้งแล้งของเพลงพิณชุ่มชื้นขึ้นมาถนัด เมื่อเห็นปฐวีกลับมาเป็นปกติ ไม่ตึงใส่เธอแล้ว

“คุณปัดอยากทานขนมอะไรเป็นพิเศษคะ เดี๋ยวถ้าว่างแล้วเพลงจะทำมาให้ทานอีก”

“อะไรก็ได้ คุณทำอร่อยหมดทุกอย่าง” ปฐวีประคองถ้วยชาขึ้นจิบ ก่อนจะเอ่ยถาม

“งานเลี้ยงรุ่นเป็นยังไงบ้าง”

“สนุกดีค่ะ เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง” เพลงพิณคลี่ยิ้มบาง

“แต่งตัวดีหรือเปล่า ไม่อยากให้เสียชื่อเลขาฯ ผม”

“เพลงแต่งตัวดีอยู่แล้วละค่ะ แหม เสื้อผ้ากับเครื่องประดับที่คุณปัดใส่ออกงานเพลงก็เป็นคนคิดให้ตลอดนะคะ” 

เพลงพิณค้อนคนเป็นเจ้านายอย่างไม่จริงจังนัก เดินกลับไปนั่งโต๊ะทำงานของตนเองพร้อมกาแฟร้อนยี่ห้อโปรด

“แล้วกระเป๋าที่ผมซื้อให้ ได้ใช้บ้างมั้ย สงสารมันจะแย่ ป่านนี้คงนอนฝุ่นจับอยู่ในห้องคุณแล้วมั้ง” ปฐวีเริ่มยียวนเลขาฯ คนสนิทเพราะนึกสนุก วันไหนเจอหน้ากันแล้วไม่ได้หาเรื่องแหย่คล้ายจะนอนไม่หลับ 

“คุณปัดไม่ต้องมาพูดเลย กระเป๋าราคาไม่ใช่ถูกนะคะ เพลงเก็บใส่กล่องใส่ถุงอย่างดี วันไปงานเลี้ยงรุ่น เพลงก็เอาไปใช้อยู่”

“ดีมาก ต้องแบบนี้สิ” 

น่าแปลก...เพลงพิณคิด ปกติคนไล่บี้เรื่องจุกจิกต้องเป็นเธอไม่ใช่หรือ ทำไมปฐวีถึงได้กลายมาเป็นฝ่ายไล่บี้เธอแทน วันนี้เขาดูมีความสุขแปลกๆ หน้าตาหล่อเหลาดูผ่องใสขึ้นเป็นกอง 

มีอะไรหรือเปล่านะ

“ทานข้าวกับน้องงามเป็นไงบ้างคะ” เธอเอ่ยถามบ้าง

“ก็ปกติดี”

“ปกติ?”

“ก็มีพางามไปดูรอบๆ ไร่ ลองหัดยิงปืน ขี่ม้า เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยด้วย” ปฐวีเล่าระหว่างพลิกดูเอกสารไปด้วย

“อุบัติเหตุอะไรเหรอคะ คุณปัดกับน้องงามเป็นอะไรหรือเปล่า” เพลงพิณเบิกตากว้าง 

“อย่างที่เห็นผมปกติดี” ชายหนุ่มไหวไหล่ “เอ้อ พรุ่งนี้ลางานครึ่งเช้า ไปทำบุญที่วัดเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ พรุ่งนี้วันเกิดคุณแม่”

“ได้ค่ะ อยากให้เพลงขับรถไปรับกี่โมงดีคะ” 

“สักเจ็ดโมงก็แล้วกัน”

“รับทราบค่ะ”

วันเกิดมารดาผู้ล่วงลับของปฐวีถือเป็นวันสำคัญมาก ทุกปีเขาจะชวนเธอไปทำบุญด้วยกันที่วัด แล้วซื้อดอกกุหลาบสีขาวอันเป็นดอกไม้ที่มารดาของเขาโปรดปรานกลับมาวางไว้ที่เจดีย์บรรจุอัฐิตรงแนวป่าท้ายไร่ จากนั้นก็จะใช้เวลาพูดคุย เล่าเรื่องราวต่างๆ ระบายทุกข์สุขเสมือนตอนมารดายังมีชีวิตอยู่ และเพลงพิณจะคอยอยู่ห่างๆ ให้เขาได้ใช้ช่วงเวลาสำคัญอย่างเต็มที่

เสียงแจ้งเตือนแอปพลิเคชันไลน์ในโทรศัพท์ของเพลงพิณดังขึ้นรัวๆ เธอหยิบมันขึ้นมาเปิดดู พบว่าเป็นข้อความจากปานตะวัน

Pantawan : พี่เพลงคะ วันนี้งามไม่ได้ไปทำงานนะคะ ขอโทษที่มาแจ้งช้าไปหน่อย พอดีว่าวันเสาร์งามเกิดข้อเท้าพลิกตอนไปขี่ม้า (ซุ่มซ่ามมาก) โชคดีพี่ปัดพางามไปหาหมอ 

Pantawan : ตอนนี้อาการยังไม่ดีขึ้นเท่าไร อาจจะไปทำงานได้อีกทีวันพุธค่ะ

Pantawan : ฮือออ พี่เพลงคะ ตอนนี้งามชอบพี่ปัดมากๆ ยิ่งได้เห็นมุมใจดีที่พี่ปัดช่วยงาม งามยิ่งประทับใจเลย

 

อ่านข้อความทั้งหมดจบ เพลงพิณก็เงยหน้าขึ้นมองคนเป็นเจ้านาย ซึ่งตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาเซ็นเอกสาร หรือว่าเรื่องของปานตะวัน จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาดูมีความสุขแปลกๆ ในวันนี้นะ

คิดแบบนั้นแล้ว เพลงพิณก็เกิดอาการหนักอึ้งในทรวงอกอีกครั้ง เธอกำลังรู้สึกอะไรกันแน่ก็ไม่ทราบ ควรยินดี...แต่ก็ทำไม่ได้

ความทรงจำเกี่ยวกับมารดาไม่เคยลบเลือนไปจากหัวใจของปฐวี ต่อให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน เขายังคงจดจำทุกรายละเอียดเท่าที่ประสิทธิภาพของสมองจะทำได้ ภาพสุดท้ายที่มารดาส่งยิ้มอบอุ่น มือซูบซีดยังคงลูบศีรษะของเขากระทั่งหมดลมหายใจในวาระสุดท้ายด้วยโรคร้าย กึ่งตรอมใจ เพราะไม่ได้รับความรักความใส่ใจจากบิดาของเขาเท่าที่ต้องการ 

ภาพนั้นยังคงชัดเจนแจ่มแจ้ง ปฐวีในวัยสิบขวบหัวใจสลายตั้งแต่บัดนั้น ด้วยความที่เขาไม่เคยสนิทกับบิดา และมีเพียงมารดาเป็นที่ยึดเหนี่ยว เสมือนกับว่าโลกทั้งใบของเขาถล่มลง 

นั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ปฐวีไม่เคยสนิทใจกับบิดาได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อให้บิดาจะสำนึกผิดในภายหลัง ขอโทษปรับความเข้าใจกันแล้ว แต่ความรู้สึกที่เสียไปของเขามิอาจเรียกกลับมาได้

น้ำใสสะอาดไหลรินจากที่กรวดน้ำด้วยมือของปฐวีกับเพลงพิณจนหยดสุดท้าย หลังจากนั้นก็ประนมมือรับพรจากพระภิกษุวัยชราจนจบ กราบสามครั้งเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี

กลายเป็นธรรมเนียม เมื่อถึงวันเกิดมารดา ปฐวีจะมาทำบุญถวายสังฆทาน กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลและแผ่เมตตาตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชน อันที่จริง เขาไม่ได้เป็นคนชอบเข้าวัดทำบุญสักเท่าไหร่ แต่การได้ทำแบบนี้ในวันเกิดของมารดาก็ทำให้เขาสบายใจ 

ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีเบจเดินนำเอาน้ำที่กรวดเสร็จไปเทบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ภายในวัด โดยใช้ใบไม้รองน้ำอีกที 

เพลงพิณใช้เวลาระหว่างนี้ นำเอาซองขนมแมวเลียไปป้อนให้เหล่าบรรดาแมวจรเหมือนเคย ส่วนสุนัขจรในวัด เธอบริจาคอาหารเม็ดสองกระสอบมอบให้แก่ทางวัดเรียบร้อยแล้ว

“เหมียว เหมียว~”

“เป็นยังไง อร่อยใช่มั้ย ให้เพื่อนกินบ้าง”

ปฐวีหันไปมองคนที่กำลังสนทนากับแมวอย่างมีความสุข เจ้าพวกนั้นมีประมาณสี่ห้าตัว เข้ามารุมเพลงพิณกันยกใหญ่ จนเขาอดยิ้มตามไม่ได้

“มา ผมช่วย” 

ปฐวีเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินตัวเดียวกับเพลงพิณ หยิบซองขนมแมวเลียในถุงร้านสะดวกซื้อมาฉีกป้อนให้แก่แมวตัวที่ยังไม่ได้ลิ้มรสชาติของสวรรค์

“คุณอยากเลี้ยงแมวของตัวเองบ้างมั้ย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามขึ้น

“คิดอยู่ค่ะ ถ้าเลี้ยงคงมีเพื่อนแก้เหงา” เลขาฯ สาวยิ้มละมุน ทอดสายตามองบรรดาแมวจรอย่างเอ็นดู

“เอามั้ย ผมซื้อแมวให้” 

ข้อเสนอดังกล่าวของเขาทำเธอหันขวับ 

“ถามจริง?”

“ก็จริงน่ะสิ คุณอยากเลี้ยงแมวพันธุ์อะไรบอกผมได้เลย เดี๋ยวผมพาไปเลือกที่ฟาร์มแมว” 

“คุณปัดไม่ต้องซื้อทุกอย่างให้เพลงก็ได้นะคะ ซื้อให้เพลงแทบทุกอย่างแล้ว เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง นี่จะซื้อแมวให้ด้วยเหรอคะ”

“ทำไมอะ ไม่ดีเหรอ” ปฐวีเลิกคิ้ว ดวงตาใสซื่อที่แสดงออกถึงความไม่รู้ทำเอาเลขาฯ คนสนิทปวดศีรษะ

“ไม่ใช่ไม่ดีค่ะ แต่บางทีคุณปัดซื้อของให้มากเกินไป เพลงอึดอัดแล้วก็เกรงใจด้วย”

“ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ก็ผมอยากซื้อให้คุณ ไม่งั้นก็คิดเสียว่าเป็นการขอบคุณที่คุณมาทำบุญเป็นเพื่อนผมไง”

“คุณปัดขอบคุณเพลงด้วยของขวัญทุกเทศกาลแล้วค่ะ ไหนจะเงินโบนัสอีก แล้วอีกอย่าง...อะไรที่เพลงพอจะทำให้คุณปัดมีความสุข สบายใจ ไม่เป็นทุกข์ใจได้ เพลงเต็มใจทำให้ทุกอย่างค่ะ ไม่จำเป็นต้องมีของขอบคุณ” 

จบคำพูดของเพลงพิณ ปฐวีก็นิ่งอึ้งไป สายลมเย็นๆ พัดมาระลอกใหญ่ พาใบไม้เล็กๆ หลุดร่วงจากต้นลงสู่พื้น

ทั้งสองหยุดสนทนากันพักหนึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาให้ขนมแมวเลียแก่บรรดาแมวจรจนหมด

“คุณเพลง” 

“คะ?”  

“ขอบคุณนะ” ปฐวีเอ่ยเสียงแผ่ว “สำหรับทุกอย่าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วย ผมจะผ่านเรื่องยากๆ มาได้ยังไง”

เพลงพิณสบตาชายหนุ่ม รู้สึกถึงจังหวะหัวใจของตัวเองที่เต้นผิดแปลกไป ไม่บ่อยนักที่ปฐวีจะพูดอะไรซึ้งๆ เธอทำตัวไม่ถูก

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เอ่อ... คุณปัดมีใบไม้ติดที่ผม อยู่นิ่งๆ นะคะ” เพลงพิณยื่นมือไปจับเศษใบไม้เล็กๆ บนเส้นผมของปฐวี แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเขายื่นมือมาสัมผัสเส้นผมของเธอเช่นกัน

“คุณปัด...”

“คุณก็มีใบไม้ติดเหมือนกัน”

เขาหัวเราะในลำคอ ปัดที่เส้นผมของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา กับใบไม้ที่ไม่มีอยู่จริง

                                     

                                                                        


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น