2

ตอนที่ ๒



 

ใครๆ ก็รู้ดี มีเพียงชื่นจิตเท่านั้นที่รับมืออาทิตย์ได้ 

ข้าวของของชื่นจิตมีไม่มาก ดังนั้นเก็บจริงๆ ไม่ถึงสองชั่วโมงเธอก็นำทุกอย่างลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่มีล้อลากสองใบได้หมด

หญิงสาววัยสามสิบห้ามองกระเป๋าสีเข้มสองใบของตนเองนิ่ง ไม่ใช่ด้วยความเสียใจหรือเสียดายที่ถูกไล่ออก แต่เธออาลัย อาลัยที่ต้องพรากจากเด็กซึ่งเธอเลี้ยงดูและให้ความรักราวกับลูกของตัวเอง

ในชีวิตของชื่นจิต หากให้นับผู้ชายที่เธอรักก็นับง่ายมาก ใช้นิ้วมือข้างเดียวก็นับครบถ้วน เพราะเธอรักผู้ชายอยู่สามคน สองคนตอนนี้กลายเป็นคนเคยรัก ส่วนคนสุดท้ายซึ่งก็คืออาทิตย์ เป็นชายคนสุดท้ายที่เธอยังรักอยู่

ชื่นจิตโตมาในแบบลูกสาวของบ้านเล็ก บ้านเล็กที่เป็นอันดับเท่าไรก็ไม่รู้ในสารบบของพ่อซึ่งเป็นคหบดีแสนอู้ฟู่ในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ

วัยอนุบาลของเธอเรียกได้ว่าโตมาอย่างราบรื่น แม่ให้ความรักและความเอาใจใส่เธออย่างเต็มที่ ในขณะที่พ่อมักจะมาๆ หายๆ เท่าที่จำได้ เธอไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อในวันสำคัญ เนื่องจากวันสำคัญต่างๆ เช่นในวันปีใหม่ หรือวันพ่อ พ่อซึ่งมีลูกเมียมากมายจะแวะเวียนไปบ้านที่กำลังขึ้นหม้อในขณะนั้นก่อน จากนั้นบ้านเล็กๆ ที่ไม่สำคัญแบบเธอกับแม่จึงได้รับเวลาเหลือๆ ที่พ่อเจียดมาให้ด้วยความเวทนา

ตอนเธอยังเล็กแม่เลือกที่จะประคับประคองจิตใจเธอด้วยการบอกว่าพ่อมีงานมาก ต้องไปทำงานเลยไม่ค่อยเยี่ยมหน้ามาหา แต่พ่อก็ดูแลรับผิดชอบเธอกับแม่เป็นอย่างดีด้วยการให้เงินไม่เคยขาด ดังนั้นแม่จึงไม่ต้องทำงานหนัก วันหนึ่งของแม่จะหมดไปกับการทำงานบ้าน ทำกับข้าว ปลูกผักปลูกหญ้าตามประสาลูกสาวชาวสวน โดยงานที่สำคัญที่สุดของแม่คือการดูแลเธอนั่นเอง

ชื่นจิตมารู้สถานะของตนเองตอนอายุเจ็ดขวบ เมื่อเธอโตพอจะรับรู้อะไรแล้ว พ่อจึงสั่งให้แม่พาเธอไปร่วมงานวันเกิดพ่อที่บ้านใหญ่

จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมา ชื่นจิตไม่เคยเห็นอะไรที่ใหญ่โตและสวยงามแบบนี้มาก่อนเลย บ้านของพ่อซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนใหญ่โตราวกับวังเจ้า คฤหาสน์สีขาวหลังนั้นตั้งเด่นอยู่กลางสวนสวยแบบอังกฤษ มองไปทางไหนล้วนเต็มไปด้วยผู้คนแต่งตัวสวยงาม บรรยากาศครึกครื้น มีเด็กชายหญิงวิ่งเล่นกันอยู่ที่มุมหนึ่ง พวกผู้ใหญ่หากไม่ยืนคุยกันก็นั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะทรงกลมซึ่งมีอาหารจีนหรูหราวางตั้งเอาไว้หลายสิบโต๊ะ

ชื่นจิตถูกแม่พาไปไหว้พ่อ แม่ใหญ่ แม่รอง แม่สาม สี่ ห้า หก...วันนั้นมีผู้หญิงที่เธอต้องเรียกว่าแม่ไม่ต่ำกว่าสิบคน เพราะยังเด็ก พ่อสั่งให้เรียกเธอก็เรียก แม่สั่งให้ไหว้เธอก็ไหว้ ก่อนที่แม่ใหญ่จะชี้ไปยังโต๊ะท้ายๆ ซึ่งเป็นที่สำหรับเธอกับแม่ สำหรับเมียน้อยและลูกเมียน้อยที่ไม่สำคัญอะไร

ชื่นจิตเคยภูมิใจที่ตัวเองเป็นเด็กฉลาด แต่วันนั้นเธออยากให้ตัวเองโง่ โง่เสียจนไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าตนเองไร้ความสำคัญแค่ไหนในครอบครัวใหญ่นี้

ชื่นจิตไม่อยากจำ แต่กลับจำได้แม่นถึงสายตาของผู้หญิงหลายคนที่มองแม่และเธออย่างดูถูก จำได้ถึงน้ำเสียงประชดประชัน ถ้อยคำถากถางที่ทุกคนผลัดกันกดแม่กับเธอให้จมดิน

งานเลี้ยงใหญ่โตหรูหราที่จัดในบ้านใหญ่กลายเป็นนรกสำหรับเด็กผู้หญิงอายุเจ็ดขวบ เธอได้แต่กอดแม่ร้องไห้ โดยแม่เลือกบอกใครต่อใครว่าที่เธอร้องไห้ก็เพราะกลัวคนแปลกหน้า

แม่โกหก! แต่นั่นไม่ใช่การโกหกครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของแม่ เพราะหลังจากนั้นแม่ก็ต้องโกหกอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากเธอไม่ยอมไปร่วมงานสำคัญใดๆ ที่บ้านใหญ่อีก

แม้ที่นั่นจะงดงามและเต็มไปด้วยผู้คนคึกคัก แต่ภายใต้ความงามคือความโสมมของมนุษย์ที่คิดจะชิงดีชิงเด่นกันจนทำร้ายได้แม้กระทั่งจิตใจของเด็กตัวเล็กๆ

ตอนนั้นเองที่ชื่นจิตรู้ว่าทำไมแม่จึงส่งเธอไปเรียนโรงเรียนรัฐบาลธรรมดา ทั้งที่พ่ออยากให้เธอเรียนโรงเรียนเอกชน โรงเรียนที่พี่ๆ และน้องๆ ของเธอร่ำเรียน

แม่ต้องการปกป้องจิตใจเธอ ไม่ต้องการให้เธอถูกพี่น้องซึ่งเป็นลูกของบรรดาแม่ๆ คนอื่นข่มเหง แต่แม่ลืมปกป้องเธอจากพ่อ พ่อซึ่งควรเป็นต้นแบบของสามีที่ดี พ่อที่ดี ค่อยๆ ถูกความจริงกัดกร่อนจนกลายเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง ซึ่งหากไม่จำเป็นชื่นจิตจะไม่เข้าไปพูดคุยกับพ่อเลย

เธอรู้ เธอเข้าใจว่าพ่อไม่ใช่คนเลว พ่อรับผิดชอบเมียและลูกทุกคน พ่อแค่เป็นคนไม่เคยพอ

พ่อมีความรักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ แต่ไม่สามารถแจกจ่ายความรักได้เพียงพอ ดังนั้นพ่อจึงใจกว้าง หากบ้านเล็กคนไหนอยากแยกตัวไปมีชีวิตของตัวเองพ่อก็ไม่รั้ง ก็จะรั้งเอาไว้ทำไม ในเมื่อพ่อหาบ้านเล็กที่อายุต่ำกว่าคนที่จะจากไปมาทดแทนได้เสมอ

ตอนนี้จึงอาจเรียกได้ว่าแม่เป็นบ้านเล็กที่อายุมากที่สุดของพ่อเลยก็ว่าได้ ชื่นจิตเคยบอกให้แม่เลิกกับพ่อแล้วย้ายมามีชีวิตใหม่ที่กรุงเทพฯ ด้วยกัน ทิ้งอดีตที่เคยกินน้ำใต้ศอกคนอื่นเขา ที่เคยทำผิดศีลก็เปลี่ยนเป็นเริ่มต้นใหม่ แต่แม่กลับบอกเธอว่าการทำเช่นนั้นเท่ากับอกตัญญู แม้ว่าตอนนี้พ่อจะไม่มาค้างกับแม่อีกแล้ว ทว่าแม่ยังสำนึกเสมอว่าหากวันที่แม่ตกต่ำที่สุดแล้วไม่มีพ่อ แม่อาจตายไปแล้ว หรืออาจมีชะตากรรมที่แย่เสียยิ่งกว่าความตายเป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นแม้แม่จะไม่รักพ่อ ไม่เคยรักพ่อ แต่แม่ก็ยังจะซื่อสัตย์ต่อพ่อไปจนตาย

ชื่นจิตบอกไม่ได้ว่าวิธีคิดของแม่เป็นเรื่องโง่หรือเรื่องน่าชื่นชม แต่ในเมื่อเธอถูกแม่เลี้ยงดู เห็นความซื่อสัตย์และกตัญญูของแม่ เธอก็รับเอาสองสิ่งนี้มาเป็นสมบัติโดยไม่รู้ตัว เธออาจไม่รักและไม่เคารพพ่อเท่าลูกคนอื่นๆ เธออาจคิดหนีไปจากท่าน ทว่าสุดท้ายแล้วเธอก็ไม่อาจหนีพ้น มิหนำซ้ำเมื่อโตขึ้นและมีอาชีพเป็นพยาบาล เธอยังกลายเป็นผู้คอยดูแลสุขภาพของพ่อไปโดยปริยาย ซึ่งเธอก็บอกตนเองเสมอว่า นี่เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูของเธอ

กตัญญู...เมื่อคิดถึงคำนี้ หญิงซึ่งนั่งอยู่บนเตียงก็ยิ้มออกมา เพราะหลังจากเธอผิดหวังจากความรักจนตัดใจไม่คิดแต่งงานแล้ว เธอก็หนีเรื่องราวแต่หนหลัง ทิ้งความรักที่เจ็บช้ำมาพบรักใหม่ซึ่งเป็นรักบริสุทธิ์ รักที่ไม่ได้เกี่ยวพันกับความใคร่หรือความรู้สึกฝ่ายต่ำใดๆ

อาทิตย์กับอาทิวัชร เด็กชายฝาแฝดซึ่งน่ารักไปคนละแบบ เป็นรักที่ชื่นจิตตั้งใจว่าจะเป็นรักสุดท้ายของเธอ แรกทีเดียวชื่นจิตรักเด็กทั้งสองเท่าๆ กัน จริงๆ แล้วหากสารภาพตามตรง ตอนแรกเธอค่อนข้างเอียงไปทางน้องสองอาทิวัชรมากกว่า เพราะน้องสองเป็นเด็กน่ารัก ไม่ดื้อ ติดจะขี้อ้อน ในขณะที่อาทิตย์ดื้อรั้น เอาแต่ใจกว่า

แต่พอเลี้ยงดูกันไปนานเข้า เธอก็ค่อยๆ เอียงมาทางอาทิตย์ เด็กที่มักจะถูกแม่ทิ้งให้รอ เป็นที่สองผิดกับชื่อของเขาตลอด

เพราะทุกครั้งที่รักใคร ชื่นจิตมักต้องเป็นฝ่ายรอให้คนที่เธอรักเจียดความรักมาให้เสมอ ดังนั้นเธอจึงเข้าใจหัวอกคนรอ คนที่ได้แต่มองผู้ได้รับความรักก่อนอย่างอิจฉาดี เมื่อเห็นแววตาอิจฉาของอาทิตย์ยามมองน้องชายตอนอยู่กับแม่ เธอก็อดที่จะก้าวเข้าไปหาอาทิตย์เพื่อมอบความรักให้เขาไม่ได้ รักที่เขาจะได้รับจากเธอเป็นคนแรก ได้ไปอย่างเต็มเปี่ยมโดยไม่ต้องร้องขอหรือรอคอย

อาทิตย์เป็นเด็กดื้อรั้น เอาแต่ใจ ดูแลค่อนข้างยาก เพราะต้องใช้ทั้งความรักทั้งเหตุผลในการตะล่อมให้เด็กหัวดื้อเข้ารูปเข้ารอย ดังนั้นจึงอาจเรียกได้ว่า ในโลกนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่อาทิตย์ยอมเชื่อ ยอมฟัง และยังเอ่ยคำสัญญาเอาไว้อีกด้วยว่า

‘หนึ่งจะกตัญญู จะดูแลน้าชื่นตลอดไป น้าชื่นไม่ได้แต่งงานก็ไม่ต้องกลัว อยู่กับหนึ่งนี่แหละ’

ความผูกพันระหว่างเด็กกับพี่เลี้ยงทำให้ณฤดี แม่แท้ๆ ของอาทิตย์เอ่ยปากเสมอว่า น้องหนึ่งเหมือนเป็นลูกของเธอเสียมากกว่า ซึ่งถ้าน้องหนึ่งเป็นลูกของเธอจริงๆ วันที่ต้องพรากจากก็คงไม่มาถึง

ชื่นจิตถอนหายใจยาวก่อนพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา เที่ยงคืนแล้ว แต่เด็กหนุ่มยังไม่กลับบ้าน เธอหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางเอาไว้ข้างกายขึ้นมาแล้วเปิดโปรแกรมแชตดูก็พบว่า อาทิตย์ยังไม่ได้อ่านข้อความที่เธอส่งไปถึงเขาเลย

เวลาเหลืออีกไม่มาก ชื่นจิตจึงตัดสินใจพิมพ์ข้อความลาเอาไว้ในโปรแกรมนั้น เธอพิมพ์ข้อความทิ้งไว้ให้เด็กที่ตนรักเหมือนลูกยืดยาว ทั้งสั่งสอน ตักเตือน และทิ้งที่อยู่ของเธอที่ต่างจังหวัดเอาไว้ให้เขาด้วย เผื่อว่าอาทิตย์จะหนีไปหาเธอ

มุมปากหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเธอมั่นใจอย่างมากว่า อีกไม่นานอาทิตย์ต้องหนีพ่อไปหาเธอแน่ เด็กหัวดื้อกับพ่อหัวรั้นอยู่ด้วยกันได้ไม่เกินหนึ่งเดือนหรอก ดังนั้นวันใดที่อาทิตย์เหลืออด ชื่นจิตอยากให้เขารู้ว่าเขายังมีเธอ เธอคือที่หลบภัยของเขา เธอพร้อมโอบกอดและปลอบประโลมเขาทุกเมื่อ เธอไม่ต้องการให้เด็กที่ตนเลี้ยงดูมาเคว้งคว้างอยู่ในโลกเพียงลำพัง

ส่วนความไม่พอใจของพ่อเด็กน่ะหรือ...พอนึกถึงนายดามพ์ผู้เย่อหยิ่งและเผด็จการคนนั้นแล้วชื่นจิตก็แบะปาก

“คุณรู้จักลูกของตัวเองน้อยเกินไป รักลูกน้อยเกินไป คนแบบคุณมันไม่สมควรเป็นพ่อของใคร อย่าหาว่าฉันใจร้ายคิดแย่งลูกไปจากคุณเลยนะ แต่คุณไม่สมควรได้เลี้ยงน้องหนึ่งจริงๆ”

 

กว่าอาทิตย์จะรู้ว่าพี่เลี้ยงของเขาถูกไล่ออกไปแล้ว ชื่นจิตก็ออกจากบ้านไปเกือบสิบหกชั่วโมง

เด็กหนุ่มกลับบ้านโดยคิดว่าคืนนี้ทั้งคืนต้องถูกน้าชื่นเทศน์ยกใหญ่แน่ที่วันก่อนเขาไม่ได้กลับบ้าน แต่ทุกอย่างผิดคาดไปหมด เรือนเล็กของเขามีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีน้าชื่นยืนกอดอกทำหน้าเข้มรออยู่หน้าบ้าน ไม่มีน้ำหวาน ของว่างที่เขาชอบเตรียมเอาไว้ให้เหมือนเคย

แรกทีเดียวอาทิตย์หลงคิดว่านี่เป็นแผนลงโทษเขาให้รู้สำนึกของน้าชื่น จึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจ เพราะเขารู้ดีว่าน้าชื่นรักเขาจะตาย หากเขาไม่ไปง้อ เดี๋ยวน้าชื่นก็ต้องมาง้อเขาเอง

แต่เขารอแล้วรอเล่า จากหกโมงเย็นจนไปจนถึงสามทุ่ม น้าชื่นก็ยังไม่โผล่มาง้อ เขารอ เขาหิวจนท้องกิ่ว จนทนไม่ไหว จึงยกหูโทรศัพท์สายในไปสั่งห้องครัวให้ทำอาหารให้เขา

รออีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าสาวใช้จะนำสำรับอาหารมายังเรือนเล็ก ตอนนั้นเองอาทิตย์ได้โอกาสถามถึงชื่นจิต และได้รับคำตอบว่า พ่อเขาไล่คนที่เขารักออกจากบ้านไปแล้ว

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่เพียงแค่อึดใจก็ร้องตะโกนออกมา จากนั้นสิ่งแรกที่อาทิตย์ทำลายเพื่อระบายความโกรธก็คืออาหารค่ำของตนเอง เมื่อสำรับอาหารถูกขว้างปาจนหมดสิ้นแต่อารมณ์เขายังไม่ทุเลา เด็กหนุ่มก็วิ่งตรงไปยังบ้านใหญ่ ปากตะโกนเรียกพ่อไป มือก็กวาดข้าวของที่อยู่ใกล้มือไป อารมณ์รุนแรงนี้ไม่หยุด ไม่เพลาลงเลย แม้แม่บ้านจะออกมาห้ามปรามและบอกเขาว่าพ่อยังไม่กลับมาจากที่ทำงาน

ในเมื่อพ่อพรากสิ่งที่เขารักไป อาทิตย์ก็มุ่งมั่นจะเอาคืน เขาลากแม่บ้านวัยห้าสิบขึ้นไปบนบ้าน สั่งให้เธอเปิดประตูห้องนอนพ่อ จากนั้นการทำลายล้างก็ต้นเริ่มขึ้นอีกครั้ง

เด็กหนุ่มไม่รู้จักพ่อ ไม่เคยรู้ว่าพ่อรักอะไร ดังนั้นเขาจึงทำลายมันทุกอย่าง เสื้อผ้า...รื้อออกมาจากตู้แล้วนำมาเหยียบย่ำ ข้าวของในห้องน้ำถูกกวาดลงโถชักโครก ลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งถูกดึงออกมา นาฬิกาที่วางเรียงเอาไว้บนถาดอย่างเป็นระเบียบในลิ้นชักถูกขว้างลงกับพื้น เตียงนอนยับเยินเพราะอาทิตย์เปิดลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงแล้วพบคัตเตอร์ เขาจึงใช้กรีดหัวเตียง กรีดฟูก จนแม่บ้านร้องห้ามเสียงหลง

แต่เด็กหนุ่มไม่ฟังใคร ก็เหมือนพ่อนั่นแหละ...ที่ไม่เคยฟังใคร

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

เสียงตวาดดังราวฟ้าผ่าทำให้คนที่กำลังระบายอารมณ์ด้วยการกรีดฟูกหันไปมองเจ้าของห้องซึ่งเพิ่งกลับมาถึงบ้าน หน้าตาของพ่อตอนนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง น่ากลัวจนแม่บ้านซึ่งอายุมากแล้วถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น ก่อนอธิบายเสียงสั่น

“อิฉันไม่ทราบค่ะ อยู่ๆ คุณหนึ่งก็มาอาละวาด อิฉันไม่รู้จะห้ามยังไง คุณหนึ่ง...คุณหนึ่งมีมีดด้วยค่ะ” ที่ฉลวยแม่บ้านวัยห้าสิบปีเลือกพูดประโยคสุดท้ายออกไปก็เพื่อปกป้องตัวเอง ใครๆ ก็รู้ว่าดามพ์โหดขนาดไหน ถ้าไม่บอกว่าลูกชายเขามีมีดทำให้เธอไม่กล้าเข้าไปห้าม มีหวังความพังพินาศของห้องนอนนี้อาจเป็นเหตุให้เธอและครอบครัวถูกไล่ออกก็เป็นได้

อาทิตย์ได้ยินคำฟ้องของแม่บ้าน เขาก็ยกคัตเตอร์ในมือขึ้นมาชี้หน้าพ่อตนแล้วทำหน้าโหด “บอกมาว่าทำไมไล่น้าชื่นไป พ่อต้องไปตามน้าชื่นกลับมาเดี๋ยวนี้!”

จริงๆ แล้วดามพ์แทบจะเดาได้ทันทีว่าทำไมลูกชายถึงได้มาอาละวาดที่นี่ และลูกก็ทำให้เขาไม่ผิดหวัง มันอ่านง่ายเหมือนหนังสือนิทาน ไอ้ลูกปัญญาอ่อน

“ตามงั้นเหรอ จะให้ตามน่ะตามได้ แต่คิดหรือว่ายายน้าชื่นของแกจะกลับมา” เพราะอยากให้ลูกเลิกติดพี่เลี้ยงเป็นเด็กๆ เสียที ดามพ์จึงเลือกที่จะโกหก “แกรู้ไหมว่ายายน้าชื่นของแกมาขอลาออกกับฉันเอง เหตุผลในการลาออกก็คือเขาทนความเลวของแกไม่ไหวแล้วยังไงล่ะ”

“ไม่จริง!”

ดามพ์ไม่ขยับตัวแม้จะเห็นลูกชายถือคัตเตอร์วิ่งเข้ามาหาเขา แต่แม่บ้านที่นั่งกองอยู่กับพื้นนั้น เธอกลัว...กลัวจนคลานเร็วๆ ออกจากห้องไปเลยทีเดียว

“น้าชื่นไม่มีวันทิ้งผม ไม่มีวัน!”

สีหน้าดามพ์เต็มไปด้วยความสะใจ สะใจที่เห็นลูกชายเสียใจ สะใจเพราะคิดว่าบางทีเรื่องนี้อาจทำให้เด็กเหลือขอคนนี้คิดได้ กลับตัวได้

สำหรับคนบางคน จุดเปลี่ยนของชีวิตมันต้องหักแรงๆ

“ชื่นจิตมาบอกฉันเองว่าขอลาออก แล้วก็ขอเงินฉันไปมาก มากพอที่จะตั้งตัวได้”

“ไม่จริง! น้าชื่นไม่ใช่คนหิวเงิน ใช่แล้ว พ่อต้องเอาเงินฟาดหัวน้าชื่นเพื่อให้น้าชื่นออกแน่ๆ”

ดามพ์ยักไหล่ ไม่แคร์ที่ลูกชายเดาถูก “แล้วไง สุดท้ายแล้วยายไร้คิ้วนั่นก็ทิ้งแกแล้วหันไปคว้าเงิน มันไม่แตกต่างกันหรอกว่าฉันเป็นฝ่ายให้หรือยายนั่นเป็นฝ่ายขอ ที่แน่ๆ ก็คือยายนั่นรักเงินมากกว่ารักแก ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจ แกมันน่ารักนักนี่”

ผู้เป็นพ่อไม่ได้รู้เลยว่าถ้อยคำที่เขาเพิ่งพูดออกมานั้นแทงใจดำลูกชายอย่างแรง อาทิตย์มีปมเรื่องไม่มีใครรักอยู่แล้ว พอพ่อใส่ร้ายชื่นจิตให้ฟังแบบนี้ จิตใจเด็กหนุ่มก็หวั่นไหว ความหวั่นไหวกลั่นน้ำตาให้ไหลลงมาจากดวงตา ความหวั่นไหวทำให้เขาหมดแรงถือคัตเตอร์ หมด...เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ขนาดคนสุดท้ายที่เขาคิดว่ารักเขา สุดท้ายก็ทิ้งเขาไปเพราะเงิน...เพราะพ่อ

ดวงตาฉ่ำน้ำตาจ้องหน้าพ่อตนเอง ใบหน้าที่เหมือนเขาอย่างยิ่ง ก่อนพุ่งเข้าไปหาบุพการีแล้วผลักสุดแรงเกิด ดามพ์กำลังยืนกระหยิ่ม ไม่ทันได้ตั้งตัว จึงล้มก้นกระแทกพื้นอย่างแรง

ความเจ็บทำให้ผู้เป็นพ่อฉิวจัด ตะโกนด่าลูกอย่างไม่ถนอมน้ำใจ “ไอ้หนึ่ง ไอ้ทรพี นี่แกคิดจะฆ่าฉันรึไง ไอ้ลูกเลว ไอ้ลูกหมา!”

เสียงก่นด่าที่ดังไล่หลังมาไม่ได้เข้าหูของอาทิตย์เลยสักนิด เด็กหนุ่มวิ่งลงจากบันไดอย่างไม่กลัวว่าจะสะดุดล้มคอหัก เขาตรงไปยังโรงจอดรถแล้วเลือกรถสปอร์ตสีดำคันที่พ่อรักที่สุดก่อนขับออกจากบ้านไป

บ้าน...บ้านอย่างนั้นหรือ ที่ที่ไร้ซึ่งความรักจะเรียกว่าบ้านได้อย่างไร

 

เพราะห้องนอนถูกทำลายยับเยิน ดามพ์จึงจำต้องย้ายมาอยู่ที่ห้องข้างๆ ห้องที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ลูก แต่อาทิตย์กลับไม่เคยมานอน หนุ่มใหญ่วัยสามสิบเก้าค่อยๆ หย่อนก้นลงบนเตียง แม้เตียงจะนุ่ม แต่ก้นที่กำลังระบมก็ทำให้เจ็บ

“ไอ้เด็กเปรต” ผู้เป็นพ่อยัง ‘สรรเสริญ’ ลูกไม่หยุด มือข้างหนึ่งนวดก้นตัวเอง ส่วนอีกข้างก็กดโทรศัพท์มือถือเพื่อสั่งการ “สมประสงค์เหรอ ฉันดามพ์นะ ลูกฉันเพิ่งเอารถสปอร์ตของฉันออกไปเมื่อครู่นี้เอง ฉันอยากให้ตาม”

ก่อนนี้สมประสงค์คือทนายของบริษัท แต่หลังจากดามพ์รับอาทิตย์มาดูแล สมประสงค์ก็กลายเป็นคนที่คอยจัดการเรื่องยุ่งๆ ที่ลูกเขาก่อขึ้น นับตั้งแต่หนีเรียนไปชกต่อยกับนักเรียนคนละโรงเรียน ชกต่อยกับเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกันเอง เที่ยวสถานบันเทิงทั้งที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ เอารถออกไปขับโดยไม่มีใบอนุญาตขับรถ เรื่องดีๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่อาทิตย์ทำนั้นถูกส่งต่อให้สมประสงค์เป็นคนไปเคลียร์กับคู่กรณีหรือตำรวจทั้งสิ้น

“ใช้สมองคิดบ้างสิ นั่นมันลูกฉันนะ ตามมาทั้งคนทั้งรถสิวะ”

แม้เขากับลูกจะไม่ลงรอยกันนัก จริงๆ แล้วต้องเรียกว่าไม่ลงรอยกันอย่างมาก พูดกันไม่ถึงห้าประโยคเป็นต้องทะเลาะ แต่ถึงอย่างไรอาทิตย์ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไข เป็นทายาทคนเดียว ลูกคนเดียว ญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้นถึงจะเข้ากันไม่ได้ ทะเลาะกันตลอด แต่คนเป็นพ่อก็ยังคงห่วงใยลูก

ดามพ์เป็นเด็กกำพร้า โตขึ้นมาด้วยการอุปการะของวัดแห่งหนึ่ง เพราะความเป็นเด็กฉลาด รักดี จึงได้ทั้งทุนการศึกษาจากโรงเรียนและการสนับสนุนจากหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ ผลักดันให้เด็กกำพร้าเช่นเขาปีนป่ายมาได้จนถึงทุกวันนี้

ทุกครั้งที่ดามพ์มองย้อนกลับไปในอดีต เขาจะขื่นขมระคนภูมิใจไปพร้อมๆ กัน จากความยากไร้ ไม่มีไปเสียทุกสิ่ง วันนี้เขากลับมีทุกอย่าง มีอย่างที่ไม่เคยคาดฝันว่าจะมีได้เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจลูกชายตัวเอง ไม่เข้าใจว่าเด็กที่เกิดมาท่ามกลางความเพียบพร้อมไฉนจึงเอาดีไม่ได้

เมื่อคิดถึงไอ้ลูกไม่รักดีขึ้นมาอีก หนุ่มใหญ่ก็ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ เด็กอายุสิบหกมันจะขับรถได้ดีแค่ไหน ยิ่งออกจากบ้านไปพร้อมอารมณ์แบบนั้น ดีไม่ดีมันจะไปเกิดอุบัติเหตุเอา

‘เฮ้อ...’ ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลจนดามพ์นั่งไม่ติด เรื่องอาหารมื้อเย็นวันนี้คงไม่ต้องกินมันละ เฝ้ารอแต่ข่าวของลูกนี่แหละ

‘ไอ้ลูกทรพี มันคิดจะฆ่าพ่อให้ตายเพราะความเป็นห่วงใช่ไหมวะ’

 

ทนายหน้าจืดนามสมประสงค์นำรถสุดหรูกลับมาคืนดามพ์ตอนตีสองของคืนวันนั้น ส่วน ‘ไอ้ลูกทรพี’ ที่ควรกลับมาด้วย สมประสงค์บอกว่าไม่ยอมกลับ

“ไม่ยอมกลับงั้นเหรอ” ดามพ์ซึ่งอยู่ในชุดนอนแต่ยังไม่ได้นอนสักนาทีเหลือบมองทนายของบริษัทซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาภายในห้องรับแขก และนั่งข้างเจ้าของบ้าน “แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”

“ที่คอนโดของเพื่อนครับ”

“ไปลากมันกลับมา”

สีหน้าสมประสงค์ไม่ค่อยดีนักเมื่อได้รับคำสั่งนั้น “คือ...คุณอาทิตย์ไม่ได้อยู่กับเพื่อนแค่สองคนครับ แต่อยู่กันเป็นฝูง...เอ๊ย เป็นกลุ่ม แต่ละคนดูจัดการยาก ถ้าคุณอาทิตย์ไม่ยอมกลับมาเองแล้วผมใช้กำลังยื้อยุดออกมา ผมว่า...ผมคงโดนแน่” โดนที่ว่านั้น สมประสงค์หมายถึงโดนสหบาทาของอาทิตย์และกลุ่มเพื่อนนั่นเอง

เด็กสมัยนี้มันห้าว มันห่าม มันไม่กลัวว่าการกระทำในวันนี้จะส่งผลถึงอนาคตของตัวเองอย่างไร แต่สมประสงค์กลัว อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเขาก็จะแต่งงานแล้ว เขาไม่อยากให้คนรักต้องเป็นม่ายขันหมาก หรือต้องดูแลสามีพิการไปตลอดชีวิต

“โง่ไปได้ มันมีพวกคุณก็จ้างคนไปคุ้มกันสิ หาพวกตำรวจ นักกล้าม หรือนักเลงก็ได้ ผมจ่ายไม่อั้น”

ทนายหนุ่มวัยยี่สิบแปดยิ้มเจื่อนให้เจ้านาย “ผมว่าเราควรจะให้คุณอาทิตย์กลับมาเองดีกว่าครับ เพราะหากใช้กำลัง นอกจากจะเจ็บกันทั้งสองฝ่ายแล้วยังอาจเป็นข่าว เป็นความ เพื่อนๆ คุณอาทิตย์ก็ลูกท่านหลานเธอทั้งนั้นนะครับ ไม่ใช่เด็กที่ไหนก็ไม่รู้”

“ไอ้พวกลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน!”

นายตวาดดังลั่นจนสมประสงค์สะดุ้ง เนื่องจากเสียงนายเหมือนเสียงพ่อเขาไม่มีผิด ฉะนั้นพอได้ยินเสียงนายดุทีไร ฉี่เขาเหมือนจะราดทุกทีสิน่า

“พ่อแม่มันใหญ่แล้วยังไง คงเอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาเลี้ยงลูกสินะ ถึงได้ปล่อยให้ลูกไปมั่วสุมกันอยู่ที่คอนโด”

สมประสงค์ต้องกัดฟันแน่น จะได้ไม่เผลอยิ้มออกมา นายเขาด่าว่าพ่อแม่คนอื่นได้คล่องปาก แต่ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าลูกนายก็เป็นหนึ่งในเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอนจนหนีออกจากบ้านไปมั่วสุมกับเพื่อนๆ เหมือนกัน

“ผมคิดว่าถ้าคุณอาทิตย์เงินหมดก็คงกลับมาเองครับ”

“ถ้าหมดเงินมันคงคลานกลับมาแน่ แต่แน่ใจเหรอว่ามันจะไม่กลับมาในสภาพดูไม่ได้ ไปมั่วสุมเป็นกลุ่มแบบนั้นอาจมีเรื่องยาเสพติด เรื่องผู้หญิงมาทำให้ฉันต้องปวดหัวซ้ำอีกก็ได้” ดามพ์หยุดคิดไปนิดราวชั่งใจ ก่อนสั่ง “แจ้งตำรวจ”

“อะไรนะครับ ผมว่าเรา...”

“ฉันบอกให้แจ้งตำรวจ บอกว่ามีการเปิดเพลงเสียงดังรบกวนชาวบ้านหรืออะไรก็ได้ เอาข้อหาที่มันไม่หนักหนานัก ทีนี้พอตำรวจไปถึงพวกมันก็กระเจิงออกมาเอง”

“เอ่อ...” สมประสงค์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขาไม่กล้าบอกนายว่าตอนที่เขาไปตามอาทิตย์นั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งประกาศตัวว่าเป็นลูกของนายตำรวจยศใหญ่โตเป็นคนผลักอกเขา สั่งให้เขาไสหัวออกไป

ลูกยังกร่างขนาดนี้ แล้วพ่อจะขนาดไหน หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรไปกระตุกหนวดเสือมิใช่หรือ

“ผมว่าให้เวลาคุณอาทิตย์สักสองสามวันก่อนดีกว่าไหมครับ ขืนตีให้แตกตอนนี้ก็รังแต่จะทำให้คุณอาทิตย์ยิ่งโกรธ พอโกรธแล้วก็ไม่มีสติ พอไม่มีสติอาจหนีเตลิดไปไกล หรือถ้ายอมกลับบ้านก็คงจะกลับมามีปากเสียงกับคุณอีก รอให้ใจเย็นๆ อีกนิดแล้วผมค่อยเข้าไปพูดกับคุณอาทิตย์ด้วยเหตุผลดีกว่า บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่นนะครับ”

“ไอ้เด็กนั่นมันไม่มีเหตุผลหรอก มันทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ฉันร้อนใจ แต่ก็เอาเถอะ ฉันจะรอสักวันสองวันก็ได้ แต่ฉันยอมรอแค่นั้นนะ ถ้ามันยังไม่กลับ แจ้งตำรวจ”

“ครับๆ แจ้งครับแจ้ง” สมประสงค์ทำเป็นยอมคล้อยตามเพื่อให้เรื่องราวจบลงเพียงเท่านี้ก่อน ในฐานะทนาย เขาต้องหาทางที่ดีที่สุดสำหรับนายจ้าง และทางที่ดีในความคิดเขาไม่ใช่การแจ้งความแน่ แต่จะเป็นทางไหนเขาคิดว่าคงต้องพึ่งชื่นจิต พี่เลี้ยงของอาทิตย์อีกครั้ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น