6

ยุแยงตะแคงรั่ว


6

ยุแยงตะแคงรั่ว

แม่เลี้ยงศรีดาราเดินทางไปสิงห์บุรีตั้งแต่ตีห้า คำมูลรับหน้าที่เป็นสารถีขับรถตู้บริการเธอกับเพื่อนๆ ทั้งขาไปขากลับ

ทุกๆ วันเสาร์แก้วกุดั่นจะทำงานแค่ครึ่งวันเช้า ช่วงบ่ายแทนที่จะได้พักพิริตาก็แล่นมาหาถึงบ้าน เสี้ยมสอนยุยงประดุจว่าเป็นศิราณีผู้รอบรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความรักอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำหัวใจที่ไม่ค่อยสุขสงบเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายอันฟุ้งซ่าน

“มันคงหน้าบานเป็นกะโล่ พี่สิงห์ก็กระไร ลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับเด็กสกปรก”

“พี่สิงห์คงแค่เอ็นดู”

“ย่ะ! มองโลกในแง่ดีเข้าเหอะ อีกหน่อยนังเด็กแก่แดดขึ้นแท่นเป็นเมียเก็บพี่สิงห์ เธอนั่นแหละน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า จะเฉยอะไรนักหนาฮะ วีนบ้างก็ได้ เหวี่ยงบ้างก็ได้ มันก็แค่เด็กในบ้าน”

“ฉัน...” แก้วกุดั่นพูดไม่ออก ว่ากันตามจริงหล่อนก็เป็นผู้อาศัยเช่นกัน เป็นหลานกำพร้าของแม่เลี้ยงศรีดารา ไม่ใช่ลูกสาว มีศักดิ์เป็นน้องของสิขเรศแต่ก็เพียงลูกพี่ลูกน้อง ยิ่งได้รับความอารียิ่งต้องรู้จักสงบเสงี่ยม สโรชาเป็นเด็กในปกครองของพี่ชาย จะกลั่นแกล้งรังแกผู้เยาว์ก็เป็นเรื่องไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง

“เสื้อผ้าพวกนั้นอยู่ที่ไหน”

“เด็กบัวซักตากเอาไว้ตรงราวตากผ้าหลังบ้าน”

“พาฉันไปดูหน่อยสิ” นัยน์ตาที่มีแววหมั่นไส้เต้นระริก ไม่ได้ขุ่นเคืองแทนเพื่อน แต่ที่ไม่ถูกชะตากับเด็กสิบหกก็เพราะเด็กมันบังอาจตีสนิทกับผู้ชายที่หล่อนแอบชอบ ถึงขั้นหอบผ้ามาขออยู่ร่วมชายคา ผิวพรรณกระดำกระด่างก็จริง รูปร่างผอมแห้งเป็นไม้เสียบผีก็ใช่ แต่เรื่องราวพลิกล็อกไม่ใช่ไม่เคยเกิด ผู้ชายวัยฉกรรจ์ยังไม่มีคู่ครองเป็นตัวตนเอาไว้ระบายความใคร่ เจอลูกยั่วก็อาจจะหน้ามืดพลาดพลั้งเสียท่าเข้าจนได้ ถึงตอนนั้นคงเจ็บใจน่าดู

คนงานทำงานบ้านจะซักชุดใหม่ให้สาวน้อยจากโป่งชะง่อนด้วยเครื่องซักผ้ามันก็ไม่ยอม ลงทุนจับใส่กะละมังพลาสติกนั่งซักด้วยมืออย่างตั้งใจ ซักเองตากเองเสร็จสรรพ รอให้ผ้าโดนแดดจนแห้งสนิทมันจะรีบมาเก็บไปแขวนไว้ในตู้ให้เป็นระเบียบ ออกปากกับสิงหราชเอาไว้แล้วว่าจะใส่อย่างถนอมก็ต้องรักษาสัญญา

“โห เต็มราวไปหมด พี่สิงห์ของเธอใจป้ำเกินเหตุนะยายกวาง ไม่ได้กลิ่นทะแม่งๆ บ้างรึไง”

“พี่สิงห์รวยนะตาล เดือนๆ นึงหาเงินได้เยอะ ซื้อเสื้อผ้าแค่นี้เล็กน้อยสำหรับเขา”

“ใช่ เงินเล็กน้อย แต่ปกติผู้ชายไม่ซื้อเสื้อผ้าให้ผู้หญิงที่ไม่สนิทหรอกนะ ถ้าไม่หวังฟัน”

“ตาล!”

“มันคงออดอ้อนนั่นแหละ นิ่งๆ ขรึมๆ อย่างพี่สิงห์อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นทำตัวเป็นป๋า ไม่ทันไรก็ซื้อข้าวของพะนอมันแล้ว ไม่ได้การละเธอต้องดัดนิสัยมันบ้าง อย่าให้มันเหลิง กล้าเผยอชูคอเอาตัวมาเปรียบ ริเป็นคู่แข่ง”

คนฟังหน้าเซียว เอนเอียงไขว้เขวไปตามลมปากให้ร้าย ลับหลังผู้ปกครองสโรชาอาจไม่ใสซื่อบริสุทธิ์นัก สาวน้อยอ่อนเดียงสาฤๅจะกล้าหาญชาญชัยบุกเดี่ยวมาไร่พันดาว วันแรกที่มาถึงมันเอ่ยอ้างเต็มปากว่าเป็นเมียเจ้าของไร่ เห็นสิขเรศเหมือนเห็นขนมหวาน กระโดดกอดแขนลอยหน้าลอยตาฉอเลาะ

ลูกสาวเสี่ยโรงงานน้ำตาลเอื้อมมือไปดึงทึ้งเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมออกจากราวเหล็กทั้งไม้แขวน หอบพะรุงพะรังเอาไปโยนผลุงลงบนพื้นดินซึ่งห่างจากจุดตากผ้าเกือบสองร้อยเมตร

“จะทำอะไรน่ะ”

“สั่งสอนนังเด็กเมื่อวานซืนให้มันสลด”

“อย่านะตาล!” แก้วกุดั่นร้องห้ามเสียงหลง เบิกตาโตเมื่อพิริตาแบมือออกเพื่อโชว์ไฟแช็กสีทองซึ่งออกแบบเป็นพวงกุญแจขนาดน่ารัก

“อย่าขี้ขลาดนักเลยน่า คุณป้าไม่อยู่บ้านก็ดีแล้ว ทางสะดวก”

ช่วงเวลาที่เพื่อนสาวมุ่งมั่นอยู่กับการจุดไฟเผาทำลายกองเสื้อกางเกงซึ่งซักเอาไว้สะอาดจนเริ่มแห้ง แก้วกุดั่นขาสั่นพั่บๆ จะเป็นลม ถ้าหล่อนจะขัดขวางก็ย่อมทำได้ แต่ไม่ได้ทำ ตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดโดยปริยาย

“ไปจากตรงนี้กันเถอะ” สาวเปรี้ยวกระตุกข้อมือคนที่ยืนตื่นตระหนกให้เดินตามมานั่งคุยกันต่อในศาลาไม้ทรงโดมข้างบ่อเลี้ยงปลาสวยงามขนาดใหญ่ ปล่อยให้เปลวไฟลามเลียเนื้อผ้าเกรดดีจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังในตัวจังหวัดอย่างไม่สะทกสะท้าน ในสายตาของหล่อนสโรชาก็แค่เศษสวะ กำจัดให้พ้นไปเสีย หนทางหัวใจจะได้โล่งเตียน

พิริตารับประทานขนมเบื้องญวนอย่างสบายใจ ของว่างที่แม่ครัวใช้คนงานร่างท้วมยกมาเสิร์ฟพร้อมน้ำอัญชันใส่น้ำแข็งถูกปากเหมือนเคย เจริญอาหารไม่ทุกข์ร้อน

ในขณะที่แก้วกุดั่นใจคอไม่ดี เด็กบัวของพี่เสือมีดวงตาเด็ดเดี่ยวฉายแววสู้คน ถ้าเพื่อนผิดหล่อนก็ผิดด้วยกึ่งหนึ่งเช่นกัน ผิดที่ไม่ห้ามปรามจนสุดกำลังความสามารถ ปล่อยให้คนนอกบ้านรังแกคนในบ้าน วิธีที่ใช้ก็เป็นวิธีลอบกัด หรือว่าลึกๆ ก้นบึ้งหัวใจหล่อนอิจฉาเด็กขบเผาะ ริษยาแววตาอ่อนโยนที่มันได้รับจากสิงหราช

“เลิกจ๋องเสียทีได้ไหมยายกวาง คนที่ฉันอยากให้สลดไม่ใช่เธอ โน่น อีนังเด็กเวรตะไลโน่น”

“ตาล เธอกลับบ้านไปก่อนดีไหม ฉันกลัวจะมีเรื่อง”

“เฮอะ! มีก็มีสิ ฉันเป็นใคร มันเป็นใคร แค่เด็กอนาถาไม่มีสกุลรุนชาติแค่นี้เธอก็หงอ ลองมันแตะฉันแค่ปลายก้อย ฉันจะเอาลูกน้องของปะป๊ามารุมกระทืบมันให้หน้าเละ”

“ฉันรู้ว่าปะป๊าเธอกว้างขวาง แต่พี่เสือก็มีเขี้ยวเล็บ ไหนจะพี่สิงห์อีกล่ะ ไร่พันดาวกับไร่เรืองสิงห์เป็นพันธมิตรกันเหนียวแน่น พี่เสือกับพี่สิงห์ว่าไงว่าตามกันอยู่แล้ว ปะป๊าเธอคงไม่อยากสร้างศัตรูทีเดียวสองทาง”

“ก็อย่าให้พี่เสือจับได้ไล่ทันสิ แค่เธออยู่ข้างฉัน เป็นพวกฉัน รูดซิปปิดปากให้เงียบเข้าไว้ แค่นี้ก็สบายบรื๋อ จะทำอะไรกับนังเด็กหย็องกรอดก็ย่อมทำได้ ที่ฉันเล่นงานมันก็เพราะฉันรักเธอ หวังดีต่อเธอ ไม่ได้ทำเพื่อตัวฉันเองเสียหน่อย” เอาความดีใส่ตัวคืองานถนัด ยอมอดทนกับนิสัยอ่อนแอน่ารำคาญของแก้วกุดั่นก็เพราะมุ่งหวังอยากเป็นลูกสะใภ้แม่เลี้ยงศรีดารา สิขเรศน่าอิงแอบแนบชิดเป็นที่สุด

เมื่อคู่สนทนาพูดเสียงแข็ง น้องสาวเจ้าของไร่จำเป็นก็ต้องเก็บกลืนถ้อยคำที่อยากพูด คนอย่างหล่อนจะมีปัญญางัดข้อกับใครได้ ยิ่งลูกสาวเสี่ยโต้งด้วยแล้ว บทจะแรงหล่อนก็แรงแบบหัวชนฝา ถือตนว่าเกิดมารวย บิดาเป็นเจ้าของกิจการน้ำตาลทรายผู้ล่ำซำ สองพ่อลูกคิดเห็นตรงกันว่าอำนาจเงินเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่คับเมืองตาก

ไอ้ครั้นจะเซ้าซี้ก็เกรงจะแตกคอกันบานปลายด้วยเรื่องของเด็กบัว เด็กสาวแรกผลิที่อยู่ๆ ก็โผล่มาเรียกร้องความสนใจจากสิงหราชได้อย่างน่าฉงน ทำให้เขาเอ็นดูกระทั่งได้รับของกำนัลเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เพิ่งถูกเผาทิ้งก่อนจะทันได้ใส่

รู้เต็มอกว่าเพื่อนกระทำการร้ายกาจ แต่แก้วกุดั่นน้ำท่วมปาก ปล่อยเลยตามเลยเท่ากับนิ่งดูดาย เสียแรงที่แม่เลี้ยงศรีดาราฝากฝังให้ดูแลบ้านระหว่างที่เธอไม่อยู่ สิขเรศก็ไว้วางใจน้องสาวว่าหล่อนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ได้รับการศึกษาและการอบรมที่ดี คงไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ทว่าคบคนพาลพาลพาไปหาผิด โดนเป่าหูมากๆ หัวใจหวั่นไหวบางมุมก็แอบเอนเอียงไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง

 

สิขเรศเพิ่งกลับถึงบ้าน จอดรถในที่ประจำเสร็จจะเดินขึ้นเรือนก็ต้องมีอันสะดุ้ง เสียงร้องหวีดแหลมของผู้หญิงดังมาจากศาลานั่งเล่นซึ่งเป็นศาลาไม้ทรงโดมสั่งทำพิเศษตามลักษณะที่เขาออกแบบเองตามความต้องการ ตามติดด้วยเสียงแตกฮือของกลุ่มคนงานที่

กำลังมุงดูเหตุการณ์บางอย่างกันหน้าสลอน พวกคนงานรีบสลายตัวก็เพราะสะกิดบอกต่อกันเป็นทอดๆ ว่านายเสือมา ให้รีบเผ่นเป็นการด่วน ตัวใครตัวมัน

ร่างสูงมุ่งตรงดิ่งเข้าหาต้นตอของเสียง ไม่แปลกใจที่เจอพิริตา หล่อนเข้าๆ ออกๆ ไร่พันดาวเป็นว่าเล่น เช้าถึงเย็นถึงประสาคนว่างงานไม่มีภาระหน้าที่รับผิดชอบ ที่ประหลาดใจจนต้องเลิกคิ้วเข้มก็คือสภาพเหมือนถูกหมาบ้าฟัดของคนเป็นแขก เดรสกระโปรงบานตัดเย็บด้วยผ้าไหมเกาหลียับย่นและหลุดลุ่ย ลูกไม้สีขาวประดับคอเสื้อห้อยต่องแต่งระอยู่กับทรวงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงถี่ยิบ ผมสั้นดัดลอนใหญ่ตามเทรนด์นิยมยุ่งกระเซอะกระเซิง ที่สำคัญหล่อนไม่สวมรองเท้า ส้นสูงคู่ละหลายหมื่นข้างหนึ่งตกตะแคงแอ้งแม้งอยู่บนพื้นศาลา อีกข้างไม่รู้อยู่ไหน

“นี่มัน...”

“พี่เสือ! พี่เสือขา ช่วยตาลด้วย” ทันทีที่เห็นพี่ชายเพื่อน ลูกสาวเสี่ยโต้งก็โผเข้ากอดแขนยาวพร้อมๆ กับบีบน้ำตา เด็กบ้านป่าเหิมเกริมนัก มันกล้าสู้รบตบมือกับหล่อนซึ่งได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหิน

“พี่เสือต้องจัดการให้ตาลนะคะ จัดการให้สาสม ถ้าพี่เสือไม่ลงโทษเด็กในปกครองของพี่เสือ ตาลจะฟ้องปะป๊า ให้ปะป๊าพาตำรวจมาลากคอมันเข้าตะราง” หล่อนชี้หน้าสโรชาด้วยอารมณ์โกรธเคืองถึงขีดสุด

เด็กสาวร่างผอมก็ไม่กลัวเกรงสีหน้าถมึงทึง เชิดคางขึ้นตอบโต้ว่ามีมือมีเท้าและพร้อมจะสู้ยิบตา

“กวาง” ชายหนุ่มเรียกน้องสาวเสียงหนัก ต้องการความกระจ่างจากคนที่พอจะเชื่อถือได้

“เอ่อ...คือ...” แก้วกุดั่นหลบตาวูบ รู้สึกกดดันก็เพราะพิริตาคาดหวังจะให้หล่อนเข้าข้าง เปลี่ยนผิดเป็นถูก พลิกขาวเป็นดำ

“ตาลกับกวางนั่งคุยกันอยู่ดีๆ นังเด็กป่าเถื่อนมันก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาหาเรื่อง กล่าวหาตาล หาว่าตาลทำลายข้าวของของมัน คนอย่างตาลเนี่ยนะจะเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ เอาทองไปรู่กระเบื้อง เสื้อผ้าแต่ละชุดของตาลราคาไม่ต่ำกว่าหลักพัน ชุดละสองสามหมื่นถ้าถูกใจตาลก็ซื้อ ตาลจะสนใจอะไรกับเสื้อยืดกางเกงยีนที่ปกติก็ไม่ชอบใส่ ปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีกจนปากจะฉีกถึงรูหูมันก็ไม่เชื่อ อาละวาดด่าทอหยาบๆ คายๆ มันท้าตาลตบด้วยนะคะ”

“ไม่จริง!” สโรชาตวาดเสียงเขียว ดวงตางดงามก็เขียวปัด

“บัวซักเสื้อผ้าที่นายสิงห์ซื้อให้แต่เช้า ซักเสร็จก็ตากแดดเอาไว้ มาดูอีกทีมันหายไปหมดทั้งราว ตามหาจนทั่วก็เจอแต่กองขี้เถ้ากับชิ้นส่วนกางเกงยีนที่โดนไฟไหม้แต่ไหม้ไม่หมด บัวอยากรู้ว่าไอ้อีคนไหนที่ใจระยำก็เลยไปถามพี่ๆ คนงาน ไล่ถามทีละคนว่าเห็นใครมาป้วนเปี้ยนแถวราวตากผ้าบ้าง ถึงรู้ว่าน้องนายพาเพื่อนหน้าวอกไปทำลับๆ ล่อๆ กันอยู่ตรงนั้น”

“ไหนยะ! คนงานคนไหนที่เห็นฉันเผาเสื้อผ้าแก เอาตัวมายันเลยสิ อย่ามาพูดพล่อยๆ ใส่ร้ายฉันนะ”

“คนงานชื่ออะไร” สิขเรศถามบ้าง หนวกหูเสียงแปร๋นของสาวเปรี้ยวที่เกาะแขนเขาแจไม่ยอมปล่อย

“บัวบอกไม่ได้ ถ้าบัวบอกพี่คนงานก็ต้องเดือดร้อน เรื่องนี้มีน้องนายเอี่ยวอยู่ด้วย คนงานคนไหนก็ไม่กล้ายุ่ง”

“ถ้ามีคนเห็นจริงๆ ก็บอกชื่อมาเลย ฉันจะเรียกตัวมาสอบสวน ผิดก็ว่ากันไปตามผิด”

เด็กสาวปิดปากเงียบ คนงานปริศนาหวั่นเกรงจะเข้าหน้าแก้วกุดั่นไม่ติด ร้ายแรงกว่านั้นก็ถูกหมายหัว เขาออกตัวเอาไว้แต่แรกว่าไม่พร้อมจะเป็นพยาน

“เห็นไหมคะ หลักฐานไม่มีสักชิ้นมันยังกล้าทุบตีตาลไม่ยั้งมือ ระบมไปหมดทั้งตัว”

“บัวไม่ได้ทุบตี”

“ถ้าแกไม่ได้ทุบตีฉันจะอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไงฮะ ฉันไม่ได้เป็นบ้า จะได้ฉีกทึ้งชุดตัวเองแล้วร้องกรี๊ดๆ เรียกร้องความสนใจ พี่เสือขา ดูสิคะ เดรสสวยๆ แพงๆ ฉีกขาดยับเยินหมดแล้ว”

“บัวก็แค่ค้นตัว ถ้าไม่ค้นก็คงไม่เจอไอ้นี่” เด็กสาวส่งไฟแช็กให้แก่สิขเรศ คาดหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้รับความเป็นธรรม

“มันเป็นพวงกุญแจค่ะพี่เสือ ปะป๊าเจอที่เมืองจีน เห็นว่าน่ารักดีก็เลยซื้อมาฝาก ตาลพกติดตัวมาตั้งนานแล้ว ไม่เชื่อถามยายกวางดูก็ได้”

“กวาง” สิขเรศจ้องมองน้องสาว เชื่อมั่นว่าหล่อนมีจิตใจที่เป็นกลาง

“ไอ้บัวมันบอกว่าเสื้อผ้าของมันโดนเผา น้องรู้ตัวคนเผาหรือเปล่า”

“กวาง...กวางไม่รู้ค่ะ”

พิริตาแสยะยิ้ม กระดูกของหล่อนกับเด็กขบเผาะมันคนละเบอร์

“โกหก! น้องนายโกหกหน้าด้านๆ” สโรชากำหมัดแน่น แววตาที่มองแก้วกุดั่นเป็นแววตาที่ไม่เหลือศรัทธา ถ้าไม่ใช่ญาติสนิทของนายมันจะโผนไปต่อยปาก เอาให้เลือดกระเซ็น

“เงียบ!” เจ้าของไร่กระชากเสียงเข้ม ดึงแขนออกจากการเกาะกุมของผู้หญิงที่พยายามทอดสะพาน

“เล่าให้ละเอียด พี่อยากรู้ว่ามันเกิดเรื่องห่าเหวอะไรขึ้น”

“คือ...คือว่า...” อาการอึกอักเหมือนคนติดอ่างสร้างความรำคาญแก่ผู้ไต่สวนไม่น้อย

“ไอ้บัวมันทุบตีคุณตาลต่อหน้าน้อง ใช่หรือไม่ใช่”

“ชะ...ใช่ ใช่ค่ะ” หล่อนอ้อมแอ้มออกมาในที่สุด อยากร้องไห้เต็มแก่ ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองดวงหน้าเล็กเรียว กระดำกระด่าง

สาวน้อยจากโป่งชะง่อนยืนตะลึงอยู่ท่ามกลางบัณฑิตมีการศึกษาสูง กุลสตรีท่าทางเรียบร้อย แต่งตัวสวยงามประณีต เสื้อผ้าสะอาดเอี่ยมเอย ผิวพรรณนวลลออเอย ภาพลักษณ์ดูดี แต่จิตใจของน้องนายกลับโสมมอย่างคาดไม่ถึง เข้าข้างพวกพ้อง ปกปิดความผิดให้กันโดยไม่ละอาย

“ได้ยินชัดแล้วนะคะ ถ้าพี่เสือได้ยินชัดเจนดีแล้วก็ต้องทำโทษเด็กคนนี้ให้หลาบจำ ถ้าเรื่องถึงหูปะป๊าองค์ลงแน่นอนค่ะ ใครจะยอมให้ลูกสาวสุดที่รักถูกเด็กในบ้านของพี่เสือทุบตีเล่นเป็นกระสอบทราย ตาลเป็นลูกมีพ่อมีแม่ ไม่ใช่เด็กชาวเขาไร้หัวนอนปลายเท้า”

สิขเรศตวัดสายตามองเด็กในปกครอง เห็นแววตาแข็งกร้าวก็สุดแสนจะหนักใจ เขาเป็นเจ้าบ้าน พิริตาเป็นแขก เกิดเรื่องวิวาทขึ้นในเขตรั้วไร่พันดาวจะนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนย่อมไม่เหมาะ พวงกุญแจไฟแช็กใครๆ ก็พกติดตัวได้ จะฟันธงว่าเพื่อนน้องสาวเป็นมือดีฉกเสื้อผ้าของไอ้บัวไปเผาก็ขาดหลักฐานพยานที่จะชี้ชัด หล่อนเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย มีความผิดหรือไม่มียังต้องพิสูจน์ให้รู้แจ้งเสียก่อน คนงานในบ้านทุกคนจะต้องถูกเรียกตัวมาสอบถามเค้นหาความจริง

แต่ที่แน่ๆ ไอ้บัวมันทำร้ายลูกสาวเสี่ยโรงงานน้ำตาลไปแล้ว แก้วกุดั่นคือพยานปากเอก

“บัว ขอโทษคุณตาลซะ”

“ขอโทษ?” สโรชาแค่นยิ้มหยัน จ้องมองนายเสือด้วยแววตาที่เขาไม่เคยเห็น

“ขอโทษเรื่องอะไร บัวทำอะไรผิด”

“ฟังนะ คนไหนก็ตามที่มันมือบอนเผาเสื้อผ้าของเธอ ฉันจะสืบหาตัวมันเอง จะหาจนกว่าจะเจอ ที่ฉันให้เธอขอโทษคุณตาลก็เพราะเธอไปทุบตีเขา เธอไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น”

“นายหูหนวกรึไงฮะ บัวบอกนายแล้วทำไมนายไม่ฟัง บัวไม่ได้ทุบตีผู้หญิงปากแดงคนนี้เลยสักแปะ บัวแค่ค้นตัวจะหาของกลางแล้วบัวก็หาเจอ ตอนบัวค้นเขาดิ้นกระแด่วๆ เป็นไส้เดือนโดนขี้เถ้าเสื้อผ้าถึงหลุดลุ่ย รองเท้าถึงกระเด็น”

“ฉันน่วมขนาดนี้แกยังบอกไม่ได้ทุบตี เด็กเลี้ยงแกะ ปากแข็งไม่ยอมรับความผิด ญาติโกโหติกาไม่เคยอบรมสั่งสอนสินะ ถึงดื้อด้านเป็นเด็กเหลือขอไม่มีสัมมาคารวะ” พิริตาจีบปากจีบคอลอยหน้าด่า ถ้าไม่มีชายหนุ่มที่แอบชอบยืนอยู่ด้วย หล่อนจะใช้ภาษายุคพ่อขุนรามคำแหงพ่นใส่ศัตรู

“ถ้าแบบนั้นเรียกว่าทุบตี แล้วแบบนี้ล่ะ” ไวเท่าความคิด หมัดน้อยลอยละลิ่วเข้าหาดวงหน้ายั่วยุ ผลลัพธ์คือมีคนทรุดฮวบลงราวกับปิดสวิตช์ ล้มทั้งยืน เลือดกบปาก

“ตาล!” แก้วกุดั่นผวาเข้าหาเพื่อน ตื่นตระหนกสุดขีด

“คนอย่างไอ้บัวไม่เคยขี้ขลาดตาขาว ถ้าทำก็จะบอกว่าทำ ถ้าไม่ได้ทำแล้วมาบังคับข่มเหงเป็นต้องเจอดี เห็นแก่นายหรอกนะ ถ้าไม่เห็นแก่นายจะกระทืบเต็มตีนเอาให้ม้ามแตก”

“บัว!” มือหนาเอื้อมไปตะครุบแขนเล็กแต่คว้าไม่ทัน

สโรชาวิ่งปรู๊ดออกจากศาลาไม้ทรงโดมด้วยใบหน้าบึ้งตึง โกรธสองสาวที่รวมหัวกันกลั่นแกล้ง งอนนายที่ฟังคนอื่นแต่ไม่ฟังตนพูด ปู่อุตส่าห์ไว้ใจนาย ให้นายดูแลปกป้องมันจากภัยอันตราย

สาวเรียบร้อยมองโลหิตสีเข้มที่ไหลออกจากมุมปากและรูจมูกของพิริตา ใจสั่น มือสั่น พลังหมัดของสาวสิบหกมหาศาลเกินตัว รูปลักษณ์ผ่ายผอมแทบจะปลิวลม แต่ต่อยศัตรูเปรี้ยงเดียวจอด

หล่อนจะทำอย่างไรดี เรื่องราวบานปลายใหญ่โตก็เพราะยอมเออออตามน้ำไปกับเพื่อน ไม่กล้าขัดแย้งหรือแม้แต่ขัดใจ ถ้าสิขเรศจับได้ว่าน้องสาวริอ่านพูดเท็จ เขาย่อมผิดหวังและเสียความรู้สึก ไหนจะแม่เลี้ยงศรีดาราซึ่งเป็นคุณป้าผู้แสนใจดี ท่านคอยอบรมขัดเกลาให้หล่อนประพฤติตนอยู่ในหนทางถูกควร เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ในยามที่กำลังสับสนหัวใจยุ่งเหยิงเต้นกระหน่ำรัวเร็วจนเกือบสติแตก สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

 

แก้วกุดั่นรับประทานอาหารเย็นคนเดียวอย่างหงอยๆ ฝืนกลืนข้าวได้แค่ไม่กี่คำหล่อนก็วางช้อน หลังปล่อยหมัดตรงเข้าใส่พิริตาจนคู่กรณีต้องได้รับการปฐมพยาบาล เด็กบัวก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ใช้คนงานไปเรียกมานั่งร่วมโต๊ะก็ไม่มา ที่ยอมหิวไส้กิ่วคงเพราะเหม็นหน้าคนที่หยิบยื่นความอยุติธรรมให้แก่ตน

สิขเรศจำต้องขับรถไปส่งพิริตาที่บ้าน หล่อนพูดถูกว่าตัวเองเป็นลูกมีพ่อมีแม่ ลูกสาวสุดที่รักโดนชกครึ่งปากครึ่งจมูกจนเลือดตกยางออก เสี่ยโต้งก็แทบจะเต้นเป็นงิ้ว เขาเป็นผู้ปกครองของไอ้บัวก็ต้องเจรจาไกล่เกลี่ยและขอโทษอย่างละมุนละม่อม

เสี่ยโรงงานน้ำตาลฮึดฮัดอยู่บ้าง แต่ถามว่าอยากงัดข้อกับบุรุษรุ่นใหม่ไฟแรงไหมก็ไม่ ไร่พันดาวเป็นไร่ที่มีชื่อเสียง อาณาจักรทางการเกษตรกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เจ้าของไร่เงินหนา อุทิศแรงกายและทุนทรัพย์เพื่อประโยชน์สาธารณะไม่เคยว่างเว้น ย่อมเป็นที่รักใคร่ชอบพอของคนในพื้นที่ พันธมิตรทางการค้ามีมากกว่าโรงงานน้ำตาลของเขาเสียอีก

ชายหนุ่มกลับถึงบ้านเกือบห้าทุ่ม กว่าจะอาบน้ำทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จก็ดึกดื่นเต็มที น้องสาวเข้านอนแล้ว สโรชาก็หลบหน้า มันเป็นคืนที่ดวงตาครุ่นคิดคอยแต่จะมองไปที่ประตูกระจกบานเลื่อน เงี่ยหูฟังเสียงกุกกักจากระเบียงหลังห้องแต่ไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงร้องเซ็งแซ่ของเหล่าแมลงกลางคืนหลายชนิด ไอ้บัวไม่ปีนหน้าต่างมาหาเหมือนอย่างเคย มันงอน ถ้าไม่งอนป่านนี้คงโผล่หน้ามาทำท่าทางทะเล้นให้เขาออกปากไล่แล้วไล่อีก

 

เช้าวันใหม่ จอมพยศประท้วงสองพี่น้องด้วยการอดข้าวต่ออีกมื้อ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ สิขเรศไปลากตัวเด็กในปกครองออกมาจากห้อง บังคับให้กินโจ๊กใส่ไข่กับปาท่องโก๋จนหมดถ้วย จากนั้นก็เริ่มต้นเทศนามันที่บ้าบิ่นชกหน้าพิริตาซึ่งเป็นแขกของแก้วกุดั่น วัยวุฒิก็สูงกว่าหลายปี เอะอะก็ใช้กำลังเข้าชกต่อยไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ยิ่งใจร้อนวู่วามข้อขัดแย้งจะยิ่งบานปลาย มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จะอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขก็ต้องรู้จักปรับตัว

เด็กสาวที่เคยช่างพูด ชอบอมยิ้มแก้มตุ่ยยั่วยวนกวนประสาทไม่เถียงเลยสักคำ มีแค่แววตาที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อเต้นเร่า คิดถึงปู่จับใจ อยู่เมืองดัดจริตต้องดัดจริตตามจึงจะอยู่ได้ ผู้หญิงปากแดงคนนั้นโกหกเก่งไฟแลบ น้องนายก็อีกคน สมคบคิดกับเพื่อนนิสัยเลวฉกเสื้อผ้าของมันเอาไปเผาไฟ

“ฉันจะออกไปข้างนอก ต้องไปร่วมพิธีเปิดงานเกษตรยั่งยืนตามรอยพ่อที่ลานอเนกประสงค์หน้าอำเภอ อย่าก่อเรื่องอีกนะบัว อยู่นิ่งๆ สงบเสงี่ยมเข้าไว้ โดยเฉพาะกับคุณกวาง อย่าทำตัวดื้อด้านหัวแข็ง เธอเป็นเด็ก เขาเป็นผู้ใหญ่ บ้านก็อยู่หลังเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน อะไรที่พอจะลดราวาศอกได้ก็หัดผ่อนปรนบ้าง”

สโรชาไม่หือไม่อือทำหูทวนลม มันไม่ผิด คนผิดมีสองคน หนึ่งในสองเป็นน้องสาวที่นายรัก

“ตอนบ่ายฉันจะกลับมาสะสางคดีเมื่อวาน ต่อให้ต้องง้างปากคนงานในบ้านทีละคนเพื่อเค้นความจริงฉันก็จะทำ ถ้ามีหลักฐานว่าคุณตาลเป็นคนเผาเสื้อผ้าของเธออย่างที่เธอสงสัย ฉันจะจัดการให้เอง”

ดวงตาคู่คมทอดมองดวงหน้างอง้ำ ไอ้บัวมันโกรธเคืองอะไรเขานักหนา ปั้นปึ่งมึนตึง กระฟัดกระเฟียดทำคอแข็ง สบตาก็สบอย่างหมางเมิน เขาไม่เหลาไม้เรียวหวดก้นมันลายพร้อยโทษฐานก่อเรื่องขึ้นในบ้านก็บุญโขแล้ว

เด็กหนอเด็ก วันหนึ่งเติบโตขึ้นมันจะรู้เองว่าเป็นผู้ใหญ่วางตัวไม่ง่าย ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าตามอำเภอใจได้ที่ไหน ไม่ใช่ว่าเขาแคร์เสี่ยโต้งกับลูกสาว แต่อยากให้แก้วกุดั่นคิดทบทวนด้วยซ้ำว่าเพื่อนประเภทไหนควรคบ ประเภทไหนควรถอยออกห่าง

“วันจันทร์จะให้คนพาเข้าเมืองไปซื้อเสื้อผ้า จะซื้อกี่ชุดก็เลือกเอา ฉันจะจ่ายให้เอง”

“ไม่ต้อง! ไม่เห็นจะอยากได้”

“อย่าจองหอง! เอาไว้ปีกกล้าขาแข็งกว่านี้ก่อนแล้วค่อยมาอวดดีใส่ฉัน”

“ตบหัวเสร็จจะลูบหลัง ไอ้บัวไม่หายเจ็บใจง่ายๆ หรอกนะนาย จะรอดูว่านายจะจัดการยังไงกับคนพวกนั้น”

“คนพวกนั้น” ชายหนุ่มหรี่ตา แก้วกุดั่นถูกดึงให้มีเอี่ยวต่อความผิด

“ใช่! คนพวกนั้น ถ้านายแน่จริงก็ทำให้ข้าเห็นว่านายเสือที่ใครต่อใครยกมือไหว้เป็นฝักถั่วเป็นคนเที่ยงธรรม” สโรชากลับไปใช้สรรพนามเดิมที่เคยใช้ เดินหนีร่างสูงลิ่วๆ หาที่สงบซุกตัว

สิขเรศไม่อยากถือสาหาความกับเด็กอายุแค่สิบหก มันคิดว่ามันเป็นใครจึงกล้างอนตุ๊บป่องใส่เขาแต่เช้า เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม ไม่ทันถึงสัปดาห์ก็เกิดเรื่องปวดกบาลขึ้นแล้ว อีกหน่อยมันได้ศึกษาเล่าเรียน ผ่านการอบรมกิริยามารยาทจากแม่เลี้ยงศรีดารา นิสัยเฮี้ยวๆ ห่ามๆ คงสลายไปบ้าง มันอาจเป็นเพชรจากป่าที่รอการเจียระไน เจอช่างอัญมณีที่มีฝีมือหน่อยคงมีโอกาสเปล่งประกายเกิดแสงเจิดจรัส

ก่อนลงจากเรือนชายหนุ่มกำชับน้องสาวให้ช่วยดูแลสโรชาระหว่างที่เขาไม่อยู่บ้าน มื้อกลางวันถ้าเด็กสาวงอแงไม่ยอมมานั่งกินร่วมโต๊ะ หรือต่างคนต่างรู้สึกประดักประเดิด ก็ให้แม่ครัวจัดสำรับยกไปให้ในห้อง เด็กกำลังเจริญเติบโตต้องรับประทานอาหารให้ครบสามมื้อในหนึ่งวัน

“ไอ้บัวมันยังเด็ก ไม่เคยไปโรงเรียน ไม่เคยเข้าสังคม กฎระเบียบอะไรมันก็ยังไม่ค่อยรู้ ต้องใช้เวลาบอกสอนกันอีกนาน ถ้ามันทำอะไรที่ขัดหูขัดตาน้อง พี่ขอโทษแทนเด็กของพี่ก็แล้วกัน”

“โธ่พี่เสือ ไม่ต้องขอโทษกวางหรอกค่ะ กวางเองที่...ที่...เอ่อ...” แก้วกุดั่นไม่รู้จะพูดคำไหนจึงจะเหมาะสม รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสโรชาไม่ใช่คนก่อเรื่อง

“เปิดอกกันเลยนะ พี่อยากให้กวางเอ็นดูไอ้บัวอย่างน้อง เป็นสมาชิกคนนึงของบ้าน ถ้ามันดื้อกวางดุมันได้ จะตีก็ตีได้ แต่อย่าพาคนนอกมาทำร้ายมัน หรือแม้แต่ยอมให้ใครยืมมือทำเรื่องสกปรก”

“พี่เสือ” หญิงสาวครางเสียงแห้ง สิขเรศชัดเจนขนาดนี้แล้ว ใครพูดจริงพูดเท็จพี่ชายของหล่อนดูออก ที่ยังไม่ลงดาบก็เพราะรอหลักฐานพยานที่เขาแน่ใจว่าหาได้แน่

“กวางโตแล้ว ไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่พี่ต้องจูงมือพาเดิน พี่ไว้ใจกวางได้ใช่ไหม”

แก้วกุดั่นน้ำตารื้น ทำได้แค่พยักหน้าในยามที่ก้อนแข็งๆ แล่นมาจุกแน่นอยู่ที่คอหอย

“ดีแล้ว”

ร่างสูงเดินลงบันไดไปที่รถ ขับออกไปที่ลานอเนกประสงค์หน้าอำเภอเพื่อร่วมกิจกรรมส่งเสริมการเกษตร

น้องสาวมองเหม่อเลื่อนลอยอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างหน้าต่าง ละอายใจที่ไม่อาจขัดขืนการชักจูงของพิริตาได้ รู้ว่าผิดแต่ยอมตามน้ำ หล่อนเป็นคนคุยไม่เก่ง เข้าสังคมไม่เก่ง คบเพื่อนน้อย เพื่อนสนิทแทบไม่มี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น