3

บทที่ 3


3

 

หลังจากอามีนสร้างความอับอายให้เธอด้วยความบังเอิญแล้ว รินดาก็พยายามหลบหน้าหลบตาผู้พันขาโหด ด้วยการขลุกอยู่กับกองเอกสารที่ได้รับมอบหมายให้จัดเก็บข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับประวัติคนไข้หรือประวัติการรักษาพยาบาลลงคอมพิวเตอร์ อันเป็นหนึ่งในหน้าที่ที่นอกเหนือจากการปฏิบัติภารกิจดูแลผู้ป่วยที่ห้องพยาบาล

“ความจริงฉันเป็นหมอ ฉันน่าจะได้ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่กับพวกเธอบ้างนะ” หญิงสาวพูดกับนูรีน หมอทหารอีกคนที่เธอรู้สึกถูกชะตา

นูรีนเป็นหนึ่งในทหารหญิงที่มาปฏิบัติหน้าที่ที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษเหยี่ยวทะเลทราย หน้าที่ของเธอนอกเหนือจากให้การพยาบาลแล้ว นูรีนยังให้ความคุ้มครองหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่ออกบริการให้แก่ชนเผ่าพื้นเมืองและชนเผ่าเร่ร่อนตามทะเลทรายเดือนละครั้งสองครั้งหรือตามแต่พันโทมาลิกจะเห็นสมควร

“แล้วแต่ผู้พันฮอว์ค”

“แล้วคนอื่นๆ ก่อนหน้าฉันที่แลกเปลี่ยนมาล่ะคะ เขาได้ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บ้างไหม”

“ไม่ได้ออกนะ เพราะเราเกรงว่าร่างกายของพวกเธอจะทนอากาศและความร้อนของทะเลทรายไม่ไหว อีกอย่าง การนั่งรถผ่านทะเลทรายไม่ใช่เรื่องสนุก”

“ฉันพอรู้มาบ้าง” รินดานึกถึงการนั่งรถตะลุยทะเลทราย ที่บางคนถึงกับขย้อนข้าวปลาอาหารออกมาเลยทีเดียว

“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเธออยากไปก็ลองขอผู้พันดูนะ เพราะที่นี่นอกเหนือจากหัวหน้าหน่วยแล้ว ผู้พันฮอว์คคือกฏระเบียบของที่นี่เช่นกัน”

“โห...” รินดาทำคอย่น ผู้พันขาโหดนี่นะ

“เธอกลัวหรือ” นูรีนหัวเราะ

“ก็แหงละ” ก็เธอโดนผู้พันต่อว่ามาแล้วนี่

“ที่เธอกับหมวดอามีนโดนนั่น มันยังน้อยไปนะผู้กอง”

“โห...มีดุกว่านี้อีกหรือคะ”

“มี!” เสียงที่ตอบหนักแน่น

“เฉพาะคนที่ไม่ทำตามกฎระเบียบ โดยเฉพาะเวลางาน ผู้พันจะจริงจังมากเพราะไม่อยากให้เกิดการบาดเจ็บหรือสูญเสีย ที่เธอเห็นพวกทหารใหม่ฝึกวิ่งกันท่ามกลางอากาศร้อนๆ วันละหลายๆ รอบนั่น ก็เพราะผู้พันรู้ว่าในชีวิตจริงเมื่อคุณตกอยู่ในทะเลทรายอันร้อนระอุ คุณจะได้แกร่งและมีความอดทน ต่อสู้กับความร้อนความกระหายน้ำได้จนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นก็ตาย คนแกร่งและอดทนเท่านั้นจึงจะมีชีวิตอยู่รอดได้ในทะเลทรายอย่างนี้”

“แล้วผู้พันเขามีครอบครัวหรือยังคะ” เมื่อได้ทีรินดาก็เจาะลึก

“ยัง...โสดสนิท แต่เนื้อหอมเป็นบ้า” นูรีนขยับเข้ามาใกล้ นัยน์ตาพราวระยับเวลาพูดถึงผู้พันหนุ่ม

“รู้ไหม ผู้พันเป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ทำให้ฉันยอมมาทำงานอยู่ที่นี่” นูรีนหัวเราะ

“อย่าบอกนะว่าเธอแอบชอบผู้พัน”

“แหงละ ฉันชอบ แต่อารมณ์และความรู้สึกมันไม่ใช่ชอบแบบแฟนหรือคู่รัก ประมาณว่าชอบดาราหรือคนดังที่หล่อๆ อย่างนั้น เธอเข้าใจไหม”

รินดาได้แต่พยักหน้า อารมณ์ที่ว่าเธอเองยังไม่รู้จัก เพราะในชีวิตไม่เคยคิดคลั่งไคล้ผู้ชายคนใด จะมีก็แต่ณัฐพลที่ทำให้หัวใจของรินดาหวั่นไหวและเจ็บช้ำในคราวเดียวกัน

“อย่างฉัน อย่างเธอ แค่ได้มาอยู่ใกล้ๆ ได้ทำงานด้วย แค่นี้ก็บุญแล้ว รู้ไหมว่าผู้พันเราเป็นที่หมายปองของสาวๆ และบรรดาเจ้าเมืองต่างๆ ก็อยากได้เป็นราชบุตรเขย เท่ากับว่ายิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะริยาร์เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ใครๆ ก็อยากรวมประเทศกับริยาร์ โดยเฉพาะผู้พันที่เป็นถึงลูกชายของท่านผู้นำแห่งริยาร์”

“เรื่องนี้ฉันเองก็เพิ่งรู้” เป็นเพราะรินดาไม่ได้หาข้อมูลของริยาร์มามากพอนั่นเอง

“แล้วทำไมผู้พันถึงเลือกมาเป็นทหารอยู่ในหน่วยเสี่ยงตายแบบนี้ด้วยล่ะนูรีน”

“เรื่องมันยาว” นูรีนป้องปาก

“แม่ของผู้พันเป็นภรรยาคนที่สองน่ะ การกันตัวเองออกให้ไกลจากทำเนียบท่านผู้นำเป็นการลดแรงปะทะระหว่างผู้พันกับท่านอัสวาน พี่ชายผู้พันที่เกิดจากภรรยาคนแรก มีเพียงสองคนนี้แหละที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำต่อจากท่านพ่อที่นอนแบ็บอยู่อย่างนั้น เพราะลำดับทายาททางการเมืองถูกวางไว้แล้ว อีกอย่างผู้พันของเราคงคิดว่าตัวเองเป็นลูกเมียรองด้วยมั้ง จึงต้องปล่อยให้พี่ชายมีอำนาจในเมืองไป ส่วนตัวเองขอออกมาอยู่นอกเมืองอย่างนี้”

“โห...นี่เธอรู้ละเอียดจัง”

“เขาลือกันให้แซ่ด” นูรีนหัวเราะ

“ความจริงคือ ฉันอ่านบทความวิเคราะห์วิจารณ์ทางการเมืองน่ะ พวกนั้นยังวิเคราะห์อีกว่า การที่ผู้พันออกมาอยู่อย่างนี้เพราะท่านอัสวานเกรงว่าผู้พันจะคุมกองกำลังในริยาร์ แล้วอาจปฏิวัติพ่อตัวเองก็เป็นได้ จะว่าไป ประวัติและรูปของผู้พันหาได้ตามแผงหนังสือทั่วไป ฮอตยิ่งกว่าดาราฮอลลีวูดบางคนเสียอีก”

“จริงน่ะ” รินดาทำเป็นไม่เชื่อ แต่ความจริงเธอเชื่อเพราะประจักษ์ด้วยสายตามาแล้ว นี่ถ้าพี่อรหรือกินรี เพื่อนของเธอที่เมืองไทยรู้คงกรี๊ดมาตามสาย และคงจะอิจฉาตาร้อนเธอแน่ๆ

รินดาอมยิ้มพลางเก็บเรื่องของพันโทมาลิกเข้าลิ้นชักหัวใจ ดึงสติให้มาจดจ่อกับงานตรงหน้า นี่ต่างหากที่เธอต้องรีบทำให้เสร็จ หากว่าอยากไปหาประสบการณ์ในการขี่อูฐในทะเลทรายอย่างที่วาดฝันไว้

 

ลูกไฟสีส้มค่อยๆ ลดแรงแห่งแสงลงอย่างช้าๆ ก่อนจะลาลับขอบฟ้า ลมร้อนและทรายที่ปลิวมาทำให้รินดาต้องรีบหลับตา เตือนว่าเธอยืนอยู่บนผืนแผ่นดินของริยาร์ หญิงสาวถอนหายใจ เบื้องหน้าของเธอคือเหล่าทหารช่างที่กำลังจัดการดูแลและซ่อมบำรุงเครื่องบินหลายลำที่จอดนิ่งอยู่บนลานบินอย่างสงบ ฉากหลังที่เธอเริ่มชินตา

เมื่อครั้งที่มาถึงหน่วยปฏิบัติการพิเศษเหยี่ยวทะเลทรายใหม่ๆ เธอยอมรับว่าคิดถึงบ้านและกลิ่นของความเป็นไทย คิดถึงน้ำเสียง รอยยิ้ม และทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่เป็นไทย แต่ด้วยภาระหน้าที่และเป็นเธอเองที่ตัดสินใจมาหาประสบการณ์ที่นี่ ทำให้เธอต้องยิ้มรับในโชคชะตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รินดาถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะดึงสติให้วิ่งจ็อกกิงต่อไป

“ผู้กอง” อามีนร้องเรียก ก่อนที่รถจี๊ปของเขาจะจอดข้างๆ หญิงสาว “มีธุระอะไรกับฉันหรือคะหมวด”

“ผมไม่มีหรอกครับ แต่คนมีคือผู้พันฮอว์ค”

“ผู้พันฮอว์ค?” รินดาขมวดคิ้ว เวลาเช่นนี้นี่นะที่ผู้พันขาโหดจะมีธุระกับเธอ

“ครับ ผู้พันให้ผู้กองไปพบที่ห้องทำงานภายในสิบนาทีนี้ครับ”

“มีเรื่องด่วนอะไรหรือคะ”

“ผมว่าผู้กองรีบไปดีกว่าครับ ไปถึงแล้วก็คงรู้เองแหละว่าเรื่องอะไร”

รินดายักไหล่ให้แก่คำตอบของอามีน ผู้พันฮอว์คจะมีเรื่องอะไรกับเธอในเวลาเช่นนี้ คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ รินดารีบเช็ดหน้าตาที่เต็มไปด้วยเหงื่อก่อนจะตามอามีนไป

 

“ฉันให้เธอเอาไปอ่าน”

หนังสือเล่มหนาถูกวางตรงหน้าผู้กองสาวชาวไทย ที่สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัยยิ่งนัก

มาลิกยังไม่กลับ ผู้พันหนุ่มยังอยู่ในห้องทำงาน แม้จะอยู่ภายในแคมป์ แต่ก็โอ่อ่าและดูมีมนตร์ขลัง เพราะข้าวของและเฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งล้วนทำด้วยไม้ สร้างพลังความแข็งแกร่งให้แก่มาลิกยิ่งนัก

“หนังสืออะไรคะผู้พัน”

“ริยาร์ ดินแดนแห่งความฝัน” มาลิกเอนหลังลงประสานสายตากับหญิงสาว เบื้องหลังของพนักเก้าอี้เป็นดาบโบราณที่แขวนประดับไว้บนผนังห้อง

“ฉันอยากให้เธอเอาไปอ่านและทำความรู้จักประเทศของฉัน ดีกว่าที่เธอจะได้ข้อมูลมาจากอินเทอร์เน็ตหรือคำบอกเล่าของคนอื่น”

“โห...เล่มใหญ่จังนะคะ” รินดาหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกดูผ่านๆ

“ก็เพราะมันอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวและข้อมูลมากมายเกี่ยวกับริยาร์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เธอจะได้รู้ว่าริยาร์ไม่ใช่แค่ประเทศที่ไม่ติดทะเลเพียงอย่างเดียว”

“ผู้พัน...” รินดายิ้มเหยๆ นี่ใจคอผู้พันจะเล่นจำทุกคำพูดของเธอเลยหรืออย่างไร “ก็ฉันไม่เคยรู้หรือ...”

“นั่นไม่ใช่ประเด็น ฉันไม่ได้เรียกเธอมาพบเพื่อฟังคำแก้ตัวของเธอหรอกนะผู้กอง หนังสือเล่มนี้คือภารกิจใหม่ของเธอต่างหาก”

“ภารกิจใหม่?”

“ถูกต้อง อ่านมันซะ แล้วก็มาเล่าให้ฉันฟังทุกวันจนกว่าฉันจะแน่ใจว่าผู้กองรู้จักประเทศของฉันดีพอ”

“รับทราบค่ะ”

รินดามองหนังสือเจ้ากรรมอีกครั้ง...ภารกิจที่เธอจะต้องอ่านและจำก่อนจะนำมาถ่ายทอดให้เจ้าของประเทศอย่างมาลิกฟัง

“อ้อ! อีกอย่าง” มาลิกนึกขึ้นได้

“คืนนี้ฉันมีธุระต้องเข้าเมือง ถ้าเธออยากจะไปเปลี่ยนของอะไรบางอย่างที่คนขายเขาสลับถุงมาให้เธอก็ได้นะ”

รินดาทำคอย่น กลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากเมื่อนึกถึงอันเดอร์แวร์ลายเสือดาว

“ไปที่ห้างเดิมน่ะหรือคะ”

มาลิกพยักหน้ารับคำ “ฉันมีธุระที่ต้องไปพอดี ถ้าเธอสนใจ”

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ เอาไปเปลี่ยนคืนดีกว่าทิ้งไปเปล่าๆ ขอบคุณผู้พันมากค่ะ”

“สามทุ่ม”

“ได้ค่ะ” รินดารับคำ ก่อนจะหอบหนังสือเล่มหนาเดินตัวปลิวออกมา

 

แล้วก็เหมือนฉายหนังซ้ำ เพราะทันทีที่ขบวนรถของมาลิกมาถึง เสียงกรีดร้องด้วยความดีใจของสาวๆ ที่ออกันเต็มหน้าห้างสรรพสินค้าก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับแสงแฟลชที่แข่งกันสาดใส่ไม่ยั้ง การได้เห็นหนุ่มโสดเนื้อหอมซ้ำยังเป็นถึงลูกชายของท่านผู้นำแห่งริยาร์มันคงเป็นอะไรที่ดีต่อใจของสาวๆ

รินดาอมยิ้มให้แก่ภาพที่เห็น เธอเองก็คงจะกรี๊ดไปกับพวกผู้หญิงเหล่านั้นเหมือนกัน หากว่าเธอไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องทำตัวให้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยและอยู่ในระเบียบวินัย

“ฉันให้เวลาเธอ...”

“หนึ่งชั่วโมง”

“เปล่า ครั้งนี้ฉันมีเวลาอยู่ที่นี่สองชั่วโมง”

“สองชั่วโมง?” รินดาทำตาโตด้วยความดีใจ

“ขอบคุณผู้พันค่ะ”

“แล้วมารอฉันที่นี่เหมือนเดิม”

“รับทราบค่ะ” รินดารับคำด้วยความลิงโลด สองชั่วโมงกับการเดินห้าง แม้ไม่คิดจะซื้อหาข้าวของอื่นใดอีก แต่การได้เดินเที่ยวชมสิ่งใหม่ๆ และสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ทำให้หญิงสาวตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

 

รินดาใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงเธอก็มารอมาลิก สังเกตเห็นว่าอามีนและนายทหารติดตามหลายคนถือถุงข้าวของเครื่องใช้พะรุงพะรังเดินตามหลังผู้เป็นนาย

“ฉันก็มีบางเวลาที่อยากจะมาชอปปิงเหมือนกัน” มาลิกเหมือนจะเดาความคิดของผู้กองสาวออก

“และบังเอิญว่าห้างนี้เป็นของญาติของฉันคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นฉันแค่แวะมา เสียเวลานิดๆ หน่อยๆ ฉันก็ได้ข้าวของที่ฉันต้องการครบถ้วนอย่างไม่ต้องเสียเวลาเดิน”

“มิน่า ผู้พันถึงมีลิฟต์ส่วนตัว”

“แล้วเธอล่ะ ได้ของที่ต้องการเรียบร้อยแล้วนะ”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ” รินดาชูถุงขึ้น ส่งยิ้มจนตาหยี ครั้งนี้เธอจะไม่ยอมลืมหรือสลับถุงกับผู้พันเด็ดขาด เพราะความใจดีของผู้พันคงไม่มีครั้งที่สามอย่างแน่นอน

 

ขบวนรถยนต์ของมาลิกเคลื่อนออกจากห้างสรรพสินค้า แต่ไม่ได้มุ่งหน้ากลับหน่วยที่ตั้ง ได้ยินเสียงสั่งการเป็นภาษาริยาร์เบาๆ รินดาจึงรู้ว่าพลขับกำลังขับรถพาเธอและผู้พันของเขาชมแสงสีและตึกรามบ้านช่องที่ทันสมัยของริยาร์อีกครั้งหนึ่ง

“ถือว่าชดเชยครั้งที่แล้วก็แล้วกัน”

“ครั้งที่แล้ว...” นึกขึ้นมาแล้วผู้กองสาวก็อยากจะมีเวทมนตร์ดูดตัวเธอให้จมหายไปกับเบาะของรถยนต์ เพราะภารกิจอีตัวที่ทำให้เธอต้องหน้าแตกยับเยิน

“ปฏิบัติการไร้เงา...เงาหัวของไอ้พวกนี้”

มีเสียงกระแอมและขยับตัวเล็กน้อยจากไอ้พวกนี้ของผู้พัน

“ถ้าไม่เจอผู้พัน พวกผมก็คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ” อามีนเอียงหน้ามาแย้ง คืนนี้เขาไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพลขับ แต่นั่งตอนหน้าเคียงข้างพลขับคอยอารักขารักษาความปลอดภัยผู้บังคับบัญชาหนุ่ม

“ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ ฉันถือว่าพวกนายประมาท ดีนะที่ผู้กองไม่เป็นอะไร ไม่งั้นงานนี้มีกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับริยาร์เป็นแน่”

‘ถึงไม่เป็นอะไร แต่ผู้กองก็ถูกจูบค่ะ’ รินดาได้แต่เถียงอยู่ในใจ

“ตรงนี้เป็นจัตุรัสกลางกรุงริยาร์” เสียงทุ้มลึกของพันโทมาลิกดังขึ้น บอกถึงความภาคภูมิใจในมาตุภูมิ เมื่อรถยนต์เคลื่อนตัวผ่านจัตุรัสทรายแดงอันสวยงาม จัตุรัสที่สร้างขึ้นคล้ายพีระมิด ทำด้วยทรายสีแดง ตรงกลางเป็นน้ำพุที่ขึ้นลงด้วยลูกเล่นสลับไปมารับแสงสีที่ทำให้ม่านน้ำนั้นเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ อย่างตระการตา

“โห...น้ำพุสวยจังเลยค่ะ”

“มันเต้นระบำได้ด้วยนะ”

“จริงหรือคะ เราจอดดูได้ไหมคะผู้พัน”

“ยังหรอก” มาลิกระบายยิ้ม ท่าทางของผู้กองสาวเหมือนเด็กเล็กๆ ที่รบเร้าอยากได้ของเล่น นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายแวววับอย่างตื่นเต้น

“ไว้รอให้ถึงวันชาติของริยาร์ก่อน เราจะมีการแสดงระบำหน้าท้องที่นี่”

“กับน้ำพุนี่หรือคะ”

“ใช่ กับน้ำพุนี่แหละ นางระบำหน้าท้องจะเต้นแข่งกับน้ำพุ”

“ผู้พันพูดซะฉันอยากให้ถึงวันชาติของริยาร์พรุ่งนี้เลยละค่ะ”

รินดายังคงตื่นตาตื่นใจกับความทันสมัยของริยาร์ แม้จะอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าทะเลทราย แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมีความเจริญเทียบเท่าอารยประเทศทั้งหลาย

“ตรงนี้เป็นรัฐสภา และตรงโน้น...ตัวตึกที่มียอดโดมปักธงชาติของริยาร์นั่นคือทำเนียบของผู้นำประเทศ” พูดมาถึงตอนนี้ เสียงของมาลิกก็แผ่วเบา ดวงตาคมกริบที่เคยทอแสงแรงกล้าหม่นลงเพราะ ชีคอัสฟาน บิน ฟาอิส ซัมมาล ผู้นำของประเทศต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่หลายปี ก่อนจะอาการทรุดหนักไม่กี่วันหลังจากที่เขากลับมาจากลาพักร้อน

แต่รินดาก็ไม่ได้สังเกต เพราะยังตื่นเต้นกับบ้านเมืองของเขา รวมทั้งผู้คนที่เริ่มออกมาใช้ชีวิตหลังพระอาทิตย์ตกดิน

“แล้วด้านนี้ล่ะคะ”

“ตรงนี้คือพิพิธภัณฑ์ของเรา” มาลิกยังทำตัวเป็นไกด์กิตติมศักดิ์

“แล้วบ้านของผู้พันล่ะคะ”

“ผ่านมาแล้ว”

“อ้าว! แล้วก็ไม่บอก” รินดาเผลอตัวส่งค้อน กิริยาที่ทำให้ผู้พันหนุ่มเอ็นดูในความน่ารัก

“ก็ไม่คิดว่าจะถาม”

“ก็เพิ่งนึกขึ้นได้นี่คะ” หญิงสาวเม้มปาก

“อยากเห็นจริงอ้ะ”

“ค่ะ” หญิงสาวผงกศีรษะ ทำตาโตขึ้นอย่างมีความหวัง

“ฉันไม่มีบ้านหรอกนะ ยังไม่คิดจะสร้าง” เพราะยังไม่คิดจะมีครอบครัว เขายังสนุกที่ได้ใช้ชีวิตด้วยการรับอาชีพทหาร ยังสนุกที่จะออกปฏิบัติการไล่ล่าคนร้าย และยังมีความสุขที่จะไม่ผูกมัดตัวเองกับผู้หญิงคนไหน จะมีก็แต่เจ้าหญิงไลลาที่ถูกวางตัวให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายอย่างไม่เป็นทางการจากแม่ของเขาเท่านั้น

“โน่นไง บ้านของฉัน”

“ไหนคะ” รินดาชะเง้อมองออกไปนอกรถ “ไม่เห็นมีเลย มีแต่ตึก...อย่าบอกนะว่าผู้พัน...”

“ฉันอยู่นั่นละ บนชั้นที่สูงที่สุดของตึกนี้”

ขาดคำของพันโทหนุ่ม รินดาก็แหงนหน้าคอตั้งบ่ามองตึกสูงที่หรูหราและดีไซน์ที่ล้ำสมัย

“งั้นฉันขอเดาว่าตัวเอ็มตัวใหญ่ๆ ที่อยู่บนปลายแหลมของตึกก็คือชื่อของผู้พัน ฉันเดาถูกไหมคะ”

มาลิกระบายยิ้มที่มุมปากแทนคำตอบ เขาหัวเราะเบาๆ ให้แก่กิริยาท่าทางเหมือนเด็กที่ไร้เดียงสาของผู้ใต้บังคับบัญชาสาว ความรู้สึกที่เขาเองก็ตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขามองผู้หญิงคนนี้ต่างไปจากเจ้าหญิงไลลา แม้ว่าเขากับเธอจะเพิ่งได้เจอและได้รู้จักกัน รู้เพียงว่าเขาจะต้องปฏิบัติต่อเธออย่างผู้บังคับบัญชา และควรจะมองเธออย่างผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเท่านั้น

“และฉันก็ขอเดาอีกว่าตึกนี้มีผู้พันเป็นเจ้าของ”

“ส่วนใหญ่คนที่อาศัยในตึกนี้เป็นเศรษฐีกันทั้งนั้นครับ มีแต่เจ้าของตึกที่อยู่บนชั้นสูงสุดเท่านั้นที่เลือกเป็นทหารปฏิบัติการอยู่ตามชายแดน”

อามีนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมเจ้านายหนุ่ม จะมีใครสักคนที่ทิ้งความหรูหราและความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะหยิบจับหรือไปที่ไหนใครๆ ในริยาร์ก็ล้วนแล้วแต่เปิดทางหรืออำนวยความสะดวกให้แก่คนในตระกูลซัมมาล แต่เจ้านายหนุ่มของเขากลับเลือกที่จะมาเป็นทหารทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกน้องด้วยความตั้งใจ

“ถ้าฉันมีบ้านอยู่บนตึกสูงๆ แบบนี้ ฉันจะตื่นแต่เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นทุกวันเลย”

รินดาเงยหน้ามองไปยังแสงไฟที่สว่างไสวไปตลอดตึกเอ็ม ข้างนอกที่ว่าหรูหราแล้ว ข้างในจะเป็นอย่างไรนะ รินดาได้แต่คิดและหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมภายในตึกเอ็มของพันโทมาลิกสักครั้ง


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น