สำนักงานใหม่ของเบอร์รีแบ็กเปิดทำงานเป็นที่เรียบร้อยหลังตกแต่งภายในเสร็จเพียงหนึ่งสัปดาห์ พนักงานฝ่ายธุรการและบัญชีเริ่มเข้ามานั่งทำงานเป็นแผนกแรกบริเวณชั้นล่าง ตามด้วยฝ่ายออกแบบและการตลาดที่ประจำอยู่บนชั้นสอง วังธาดาจึงดูคึกคักมากขึ้นในแต่ละวัน แต่ยังคงเป็นสถานที่ที่เงียบสงบเหมาะแก่การทำงานด้านออกแบบและวางแผนงานต่างๆ
พราวรัมภาและอรอินทุ์ทำงานบนชั้นสองร่วมกับฝ่ายการตลาดซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักของบริษัท จัสตินไม่ได้มานั่งทำงาน แต่ก็แวะเวียนมาที่วังธาดาแทบไม่ได้ขาดในระยะสองสัปดาห์แรกหลังเปิดสำนักงานใหม่ จนกลายเป็นแขกประจำที่ทางวังต้องต้อนรับ รวมไปถึงเพื่อนสนิทของเขาที่อยู่ในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัว เพราะจัสตินยังใหม่กับทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศไทย จึงจำเป็นต้องมีพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษาที่ไว้ใจกันได้ทุกเรื่อง และดูเหมือนจะไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับรอนอีกแล้ว
หลังจากซื้อและโอนที่ดินย่านบางนาเรียบร้อยแล้ว สี่หนุ่มสาวจึงนัดวิศวกรและสถาปนิกจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างไปดูที่ดินสำหรับสร้างโรงงาน เพื่อเริ่มต้นเขียนแบบแปลนโดยใช้ภาพร่างของพราวรัมภาเป็นต้นแบบ ในช่วงบ่ายอรอินทุ์เชิญหุ้นส่วนใหม่และที่ปรึกษาไปดูร้านสาขาแรกในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง นับตั้งแต่ร่วมงานกันมาจัสตินยังไม่เคยเห็นร้านจำหน่ายสินค้าของเบอร์รีแบ็กเลยสักแห่ง
ร้านตกแต่งอย่างสวยงามและทันสมัย ทำให้ผู้ถือหุ้นคนใหม่พอใจ ที่สำคัญภายในร้านยังมีภาพขนาดใหญ่ของพรีเซนเตอร์ติดอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง
คุณหญิงพราวรัมภาโดดเด่นและงดงามอย่างที่ทำให้คนยืนดูตกตะลึง
รอนเห็นจัสตินยืนจ้องรูปบนผนังอยู่นาน จึงเดินเข้ามาใช้ข้อศอกกระทุ้งสีข้างเพื่อนซี้แล้วกระซิบแค่พอได้ยินกันสองคน
“มองตาไม่กะพริบเลยนะ”
ส่วนสองสาวเดินไปคุยกับพนักงานขายที่เคาน์เตอร์เก็บเงินด้านในร้าน
“นายตกหลุมแล้วละเพื่อนเอ๋ย” รอนทำเสียงเยาะ
จัสตินเหลือบตามองคนที่กำลังเยาะหยัน ไม่เพียงแค่เสียงเท่านั้น หน้าตายังกวนอารมณ์จนนึกอยากยันให้สักโครมหนึ่งถ้าเป็นไปได้ แต่ตอนนี้อยู่กลางห้างหรูและต่อหน้าสาวๆ เขาจึงทำได้เพียงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามกลับเท่านั้น
“ช่วยหุบปากแล้วยุ่งแต่เรื่องตัวเองจะดีกว่าไหม คนที่ตกหลุมคือนายต่างหาก” จัสตินตอกกลับ
“แน่นอน ฉันยอมรับความจริงนี่หว่า ไม่เหมือนใครบางคน อ้างโน่นอ้างนี่ ทำเพื่อพ่อบ้างละ”
“รอน...คนอย่างฉันไม่เคยตกหลุมใคร แล้วนายจะได้เห็น” จัสตินยื่นหน้าเข้าไปบอกเพื่อนใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ตามปกติเขาไม่เคยทำท่าทางอย่างนี้ให้ใครเห็นยกเว้นเพื่อนสนิทอย่างรอนเท่านั้น ที่ไม่จำเป็นต้องปั้นหน้าหรือวางท่าเป็นนักบริหารอยู่ตลอดเวลาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้ผู้คนที่ได้พบเห็น
“เอาเหอะ จะคอยดู” รอนว่าแล้วเหลือบตามองไปที่ภาพบนผนังซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าตัวจริง
“คอยดูอะไรกันคะ”
อรอินทุ์เดินเข้ามาหาหนุ่มๆ ทั้งสองคนที่ยืนคุยกันอยู่กลางร้าน ทันได้ยินตอนท้ายๆ
“ดูคนปากแข็งน่ะครับ” รอนหันมาตอบพร้อมส่งยิ้มให้หญิงสาวคนสวยที่ตนหมายปอง
“ปากแข็ง?” หญิงสาวทวนคำ
“พวกปากไม่ตรงกับใจ”
“แหม...นี่คุยอะไรกันอยู่คะเนี่ย” อรอินทุ์มองคนนั้นทีคนนี้ทีแล้วยิ้มกริ่มคล้ายกับจะเดาได้ว่าสองหนุ่มกำลังคุยกันเรื่องใด “ฟังดูคล้ายๆ เป็นเรื่องหัวใจ”
รอนไม่ตอบแต่ทำหน้ามีนัยบางอย่าง ส่วนหนุ่มอีกคนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“คุณหนูอินจะกลับแล้วหรือครับ” รอนเปลี่ยนเรื่อง
“อินยังไม่กลับค่ะ อีกสักพักฝ่ายการตลาดจะมาเจอกันที่นี่ แต่หญิงพราวจะขอตัวแวะไปดูโรงเรียน อยู่แถวๆ นี้แหละค่ะ คุณสองคนจะกลับกันก่อนก็ได้นะคะ วันนี้เสียเวลามาเยอะแล้ว” อรอินทุ์รีบบอกด้วยความเกรงใจ เพราะทั้งคู่มีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบอีกหลายด้าน
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่างทั้งวัน” รอนรีบบอกหญิงสาวทันที
พราวรัมภาเดินจากด้านในร้านออกมาสมทบอีกคนพร้อมกระเป๋าสะพายไหล่เตรียมตัวออกจากร้าน
“วันนี้พราวขอตัวก่อนนะคะ”
“คุณหญิงไม่ได้ขับรถมาแล้วไปยังไงครับ” รอนถามด้วยความเป็นห่วงตามนิสัยของเขาที่มักจะเป็นห่วงเป็นใยและถามไถ่คนรอบข้างอยู่เสมอ
“ไปรถไฟฟ้าค่ะ ขึ้นตรงหน้าห้างนี่เอง แป๊บเดียวก็ถึง” พราวรัมภาบอกเหมือนเป็นเรื่องปกติแบบชาวกรุงทั่วไป
“คุณหญิงขึ้นรถไฟฟ้าด้วยหรือครับ” จัสตินถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ
“ทำไมคะ ใครๆ เขาก็ใช้รถไฟฟ้ากันทั้งนั้น แท็กซี่ก็ขึ้นค่ะ พราวไม่ค่อยชอบขับรถเอง”
“นั่งแท็กซี่ต้องระวังหน่อยนะครับ ผมได้ยินว่าเกิดเรื่องกันบ่อยๆ” รอนรีบบอกอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไร” จัสตินถามทันทีแบบคนไม่รู้เรื่อง
ตั้งแต่กลับมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ราวหนึ่งปี เขาแทบไม่เคยนั่งแท็กซี่หรือรถไฟฟ้า แถมยังไม่เคยดูหรืออ่านข่าวภาษาไทยอีกด้วย และส่วนใหญ่เขาสนใจแต่ข่าวเศรษฐกิจเท่านั้น
“ไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับผู้หญิง เมืองไทยใครๆ ก็เป็นแท็กซี่ได้ ไม่เหมือนเมืองนอก” รอนตอบเพื่อนแบบไม่อ้อมค้อม เพราะจัสตินเคยอยู่กรุงเทพฯ แค่ช่วงวัยเด็ก จึงอาจไม่ทันรับรู้เรื่องเหล่านี้
“แล้วคุณหญิงรู้รึเปล่า” จัสตินหันไปถามเจ้าตัวทันที
“เอ่อ...รู้ค่ะ แต่...” พราวรัมภาตอบไม่เต็มเสียงนักเพราะนานๆ จะขึ้นแท็กซี่สักครั้ง
“วันนี้ให้ผมไปส่งก็ได้” จัสตินรีบเสนอตัว
“จากที่นี่ไปที่โรงเรียนขึ้นรถไฟฟ้าไปสะดวกกว่าค่ะ”
“ผมจะไปด้วย”
หนุ่มสาวสองคนที่ยืนฟังอยู่ต่างก็ลอบยิ้มแล้วแอบสบตากันขำๆ ที่หนุ่มอเมริกันยืนกรานจะตามพราวรัมภาไปให้ได้
“คุณหญิงให้ไปด้วยเถอะครับ ไม่อย่างนั้นคืนนี้อาจมีคนนอนไม่หลับ”
พราวรัมภาจึงต้องเดินออกจากร้านไปพร้อมบอดีการ์ดตัวโตๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้ ส่วนสองคนที่เหลืออยู่ต่างก็หันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย
“คุณหนูอินมีอะไรจะคุยกับผมรึเปล่าครับ” รอนถามเมื่อเห็นว่าดวงตาคมโตคู่นั้นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“มีค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเน้นหนัก
“เสียงแบบนี้สงสัยจะเยอะ” รอนว่ายิ้มๆ แบบคนอารมณ์ดี
“อินเป็นคนเยอะทุกเรื่องอยู่แล้วค่ะ”
รอนได้ยินน้ำเสียงติดประชดแล้วเลิกคิ้วอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ผมว่าเราน่าจะออกไปหาอะไรเย็นๆ ดื่มกันหน่อย” รอนเริ่มวางเงื่อนไขเพื่อไปสู่การสนทนาเรื่องที่หญิงสาวอยากรู้ “ดีไหมครับ”
“ก็ได้ค่ะ” อรอินทุ์จำต้องโอนอ่อนตามถ้าอยากได้เรื่องจากปากเขา
ทั้งสองคนเดินไปที่ร้านกาแฟภายในห้างซึ่งมีโต๊ะในมุมสงบว่างอยู่พอดี
“เค้กร้านนี้น่าอร่อยนะครับ ผมว่าเราสั่งมาลองชิมดีไหม” รอนบอกอย่างเอาใจตามประสาคนที่คุ้นเคยกับการให้บริการในฐานะเจ้าของกิจการโรงแรม
“คุณรอนชอบทานเค้กหรือคะ”
“เปล่าครับ แต่เดาว่าคุณหนูอินน่าจะชอบ”
“ดูเหมือนคุณรู้ใจสาวๆ ดีจังเลยนะคะ” อรอินทุ์จับผิด
“ไม่ดีหรือครับ”
“ไม่รู้สิคะ อยากสั่งเค้กก็สั่งสิ อินรอชิมอยู่” สุดท้ายอรอินทุ์ก็ต้องยอม เพราะเริ่มอยากชิมเค้กที่เห็นอยู่ในตู้หน้าร้าน
“คุณหนูอินอยากทานเค้กอะไรล่ะครับ” เขาถามขณะเปิดเมนู
“ไดเรกเตอร์โรงแรมดังอย่างคุณรอนน่าจะถนัดเรื่องอาหารหรือของว่างมากกว่าคนทำกระเป๋ากับรองเท้าอย่างอินนะคะ”
รอนจึงเรียกพนักงานมาสั่งกาแฟเย็นสำหรับหญิงสาวและกาแฟร้อนสำหรับตนเอง แล้วสั่งเค้กมาสองชิ้นโดยเลือกจากเมนูอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับคนทำงานโรงแรมมานานหลายปี
ไม่นานนักกาแฟกับเค้กก็มาเสิร์ฟ เขาสั่งเลมอนชีสเค้กสำหรับเธอและมูสชาเขียวสำหรับตนเอง แล้วก็เห็นว่าหญิงสาวมองเค้กที่เขาสั่งให้ด้วยความพึงพอใจ แต่ไม่วายเหลือบมองมาด้วยสายตาระแวงปนสงสัย
“ดีไหมครับที่ผมรู้ใจ จะได้เอาใจถูก”
“บอกแล้วไงคะว่าไม่รู้” อรอินทุ์ไม่กล้าบอกว่ากลัวเขาจะรู้ใจสาวๆ ไปทั่ว แล้วไม่ได้เอาใจแค่เธอคนเดียวน่ะสิ
“คุณมีอะไรจะถามผมใช่ไหม” เขาเริ่มเข้าเรื่อง
“เรื่องเพื่อนคุณนั่นแหละ”
“เขาสนใจคุณหญิง” รอนตอบอย่างรู้ใจคนถาม
“อินมองไม่ผิดใช่ไหมคะ ที่จริงเห็นมาหลายวันแล้วค่ะ ตั้งแต่ย้ายออฟฟิศเข้ามาก็เห็นคุณจัสตินไปที่วังแทบทุกวันทั้งที่ไม่มีงานอะไรต้องทำ”
“เขาก็ไม่ได้บอกอะไรผมหรอกนะ จัสตินเป็นคนปากแข็ง อารมณ์ซับซ้อนนิดหน่อย” รอนบอกได้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่กับการกระทำของเพื่อน เขาก็ไม่อาจหักหลังโดยการนำความลับของเพื่อนมาเล่าให้คนอื่นฟัง
“ซับซ้อนยังไงคะ อินก็เห็นว่าเขาแสดงออกกับหญิงพราวชัดเจนขนาดนั้น”
“ผมหมายความว่าเขาไม่ยอมรับน่ะครับ ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็มองออก”
“ที่ไม่ยอมรับเพราะกลัวเสียฟอร์มรึเปล่าคะ แล้วตอนนี้ท่าทางหม่อมแม่จะรู้เรื่องแล้วด้วยน่ะสิ”
“หม่อมแม่คุณหญิงรู้เรื่องจัสตินหรือครับ แล้ว...ท่านว่ายังไงบ้าง”
“ไม่แน่ใจค่ะว่าหม่อมป้าว่ายังไง แต่เห็นหญิงพราวบอกว่าแม่ถามเรื่องคุณจัสติน คงเพราะเห็นว่าแวะไปที่วังบ่อยๆ ตั้งแต่ออฟฟิศยังไม่เสร็จ แถมไม่พอ ยังไปฝากท้องกับครัววังธาดาแทบทุกครั้งด้วยค่ะ หม่อมป้าคงผิดสังเกต”
รอนสูดลมหายใจลึกกับข้อมูลล่าสุด เขาเริ่มเป็นห่วงว่าแผนการ ‘เด็ดปีกหงส์’ ของเพื่อนน่าจะเริ่มมีปัญหาแล้วในตอนนี้
ถ้าหม่อมสุภัสสรผิดสังเกตแล้วเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับมิสเตอร์บราวน์ผู้เป็นบิดาของเพื่อนวันไหน แผนคงแตกวันนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ดูเหมือนคุณรอนวิตกแทนคุณจัสตินมากเลยนะคะ”
“เอ่อ...ผมเกรงใจผู้ใหญ่น่ะครับ มันเป็นไอเดียของพวกเราที่ต้องการย้ายออฟฟิศเข้าไปในวังธาดา แล้วสุดท้ายก็ต้องไปรบกวนคนในวังอีกหลายเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน”
“เรื่องนั้นคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ หม่อมป้าคงไม่ได้คิดอะไร”
“แต่เรื่องคุณหญิง หม่อมคงคิดแน่นอน”
“แหม...ก็ลูกสาวทั้งคน มีใครเข้ามาสนิทสนมก็ต้องคิดกันบ้างละค่ะ แล้วคุณจัสตินก็ไม่ได้ทำท่าเหนียมๆ เสียด้วย เห็นกันชัดเจนออกขนาดนั้น”
“แล้วคุณหนูอินมีความเห็นยังไงบ้างครับ”
“อินไม่มีความเห็นหรอกค่ะ เพียงแต่เป็นห่วงหญิงพราว”
รอนเห็นว่าสีหน้าและแววตาของหญิงสาวมีความกังวลอย่างที่พูดจริงๆ นั่นหมายความว่าการกระทำของจัสตินเป็นเรื่องที่ทำให้ใครๆ ที่อยู่รอบตัวพราวรัมภาต่างรู้สึกเป็นห่วง หรืออาจเรียกได้ว่าเพื่อนของเขาเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจก็เป็นได้
“ดูเหมือนคุณหนูอินกับหม่อมไม่ค่อยไว้ใจจัสติน”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่ว่า...เอ่อ...หญิงพราวอาจไม่เหมือนสาวๆ คนอื่นที่...พวกคุณเคยรู้จัก” อรอินทุ์พยายามเลือกใช้คำพูดที่นุ่มนวลที่สุด โดยคาดว่าคนฟังน่าจะตีความได้ว่าเธอหมายความว่าอะไร
ผู้หญิงไทยที่ชายหนุ่มทั้งสองคนเคยคบหามาบ้างนั้นอาจมีชีวิตและเงื่อนไขที่ต่างไปจากพราวรัมภา ซึ่งอรอินทุ์ไม่แน่ใจว่าทั้งสองคนจะมองเห็นและเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่
“ผมเข้าใจ” รอนพยักหน้าหลังจากคิดใคร่ครวญไม่นาน
“อินก็หวังว่าคุณจัสตินจะเข้าใจเหมือนคุณรอนนะคะ”
“จัสตินเป็นคนฉลาดมาก ผมคิดว่าเขาคงมองออก” รอนบอกเพื่อให้หญิงสาวสบายใจขึ้น แม้ว่าในใจตอนนี้จะเต็มไปด้วยความกังวลก็ตาม
“เรามาชิมเค้กกันเถอะค่ะ เดี๋ยวต้องกลับไปที่ร้านแล้วนะคะ อินมีเวลาไม่มาก”
“เชิญเลยครับ”
“เค้กที่นี่รสชาติใช้ได้นะคะ” เธอบอกหลังจากชิมไปแล้วหนึ่งคำ
“ผมอยากลองชิมเลมอนชีสเค้กบ้างครับ”
“อืม...” อรอินทุ์ทำท่าลังเล ไม่แน่ใจว่าเขาหมายความว่าอะไร อยากชิมเค้กของเธออย่างนั้นหรือ
“ได้ไหมครับ” รอนถามย้ำอีกครั้ง แต่หญิงสาวยังนิ่งเหมือนคิดตามไม่ทัน จนเขาเผลอยิ้มขำสาวมั่นผู้บุกเบิกธุรกิจกระเป๋าและรองเท้าชื่อดัง
“ได้ค่ะ แต่ว่า...”
“เอาอย่างนี้ ผมให้ชิมมูสชาเขียวของผมก่อนก็ได้” เขาใช้ช้อนของตนเองที่ยังไม่ได้ตักเค้กขึ้นมากินเลยสักคำ ตักมูสเค้กแล้วยื่นไปตรงหน้าหญิงสาวที่ยังตัดสินใจไม่ได้จนถึงตอนนี้
“อิน...เอ้อ...” อรอินทุ์ตั้งรับไม่ทัน เพราะคิดไม่ถึงว่าจะโดนจู่โจมแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยวิธีนี้
ท่าทางสองหนุ่มจะไม่ธรรมดาพอกัน เพียงแต่วางมาดคนละแบบเท่านั้นเอง ครั้งแรกๆ ที่ได้พบหน้ากัน เธอรู้สึกว่าชายหนุ่มทายาทเจ้าของโรงแรมดังเป็นหนุ่มอารมณ์ดีไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครจากอัธยาศัยไมตรีที่เห็นภายนอก แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจว่าตนเองเข้าใจผิดไปหรือไม่
“ลองดูสิครับ” รอนยังคงยื่นช้อนมาจ่อถึงปากอย่างกึ่งกดดัน
“เอ่อ...” สุดท้ายอรอินทุ์ก็ต้องยอมอ้าปากชิมมูสเค้กของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เป็นไงครับ”
“อร่อยค่ะ” หญิงสาวตอบทั้งที่แทบไม่รู้รส
“อื้อ...อร่อยจริงๆ ด้วย” เขาใช้ช้อนคันนั้นตักมูสเค้กขึ้นมาชิมดูบ้างแล้วทำเสียงพออกพอใจ ก่อนจะบอกอีกว่า “ขอผมชิมของคุณหนูอินบ้างสิครับ”
“เชิญค่ะ” เธอเลื่อนจานเค้กไปให้เขาตักเอง
“อ้าว...ให้ผมตักเองเหรอ”
“เคยได้ยินว่าฝรั่งเขาหัดให้ลูกตักข้าวกินเองตั้งแต่เพิ่งอายุได้ขวบเดียวนี่คะ”
“ดูเหมือนผมจะช้ากว่านั้น คุณแม่ผมเป็นคนไทยน่ะครับ” รอนตอบพร้อมกับยิ้มขำ ขณะสบตาคนที่กำลังทำหน้าทั้งบึ้งและเขินไปพร้อมๆ กัน
“ถ้าจะชิมก็ตักเองค่ะ” อรอินทุ์ตัดบท
“ใจร้ายจัง” เขาว่าแล้วตักเลมอนชีสเค้กของเธอไปชิมคำหนึ่ง
อรอินทุ์อดหมั่นไส้ไม่ได้จนต้องแอบมองค้อน แต่เขาก็เงยหน้าขึ้นมาทันเห็นเข้าพอดี
“คงจะเคยเจอแต่สาวๆ ใจดีใช่ไหมคะ” แล้วสุดท้ายคนอย่างอรอินทุ์ก็ทนไม่ได้ ต้องเหน็บกลับเสียหน่อย
“ผมจะไปเจอใครที่ไหนล่ะครับ” รอนตีหน้าซื่อได้อย่างแนบเนียน
“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าในกรุงเทพฯ นี่จะไม่มีผู้หญิงให้คุณรอนได้เจอเลยสักคน”
“มีครับ พักนี้เจอกันบ่อยมาก” เขาตอบแล้วยิ้มกวนๆ เล็กน้อย เพราะเริ่มรู้ว่าสาวคู่สนทนาไม่ใช่คนชอบอะไรราบเรียบจนเกินไป การวางมาดเป็นคุณชายแสนดีอาจไม่เกิดประโยชน์มากนัก
อรอินทุ์ได้ยินแล้วหุบปากเงียบ เพราะขืนต่อปากต่อคำไปอาจเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเอง
พราวรัมภาขึ้นรถไฟฟ้ามาหลายหน เพราะรู้สึกว่าประหยัดเวลากว่าการขับรถยนต์เอง จึงไม่อึดอัดมากนักเมื่อต้องยืนอยู่ในตู้โดยสารที่มีผู้คนจำนวนมาก ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งตามมาเป็นบอดีการ์ดกลับมีท่าทีไม่คุ้นเคย แต่เขาก็ไม่ปริปากบ่นใดๆ
“ขอโทษนะคะที่พามาลำบาก” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นบอกคนที่ยืนอยู่เกือบชิดเพราะมีที่ว่างอยู่ไม่มากนัก
“ผมไม่ได้ลำบากอะไรนี่ครับ ได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็สนุกดี”
“สนุกเหรอคะ” พราวรัมภาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“ครับ แต่ผมยังไม่อยากเชื่อว่าคุณหญิงจะชอบขึ้นรถไฟฟ้า”
“ไม่ได้ชอบหรอกค่ะ แต่เพราะสะดวกกว่าวิธีอื่น”
“คุณหญิงใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไปเลยนะครับ”
“พราวก็เป็นคนธรรมดานี่คะ เผลอๆ อาจจะแย่กว่าเสียด้วยซ้ำ”
“แย่ยังไงครับ”
จัสตินถามกลับทันทีซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ใครได้ยินพราวรัมภาพูดอย่างนี้ก็คงสงสัยกันทั้งนั้น แต่เธอยังไม่ทันได้ตอบรถไฟฟ้าก็เคลื่อนเข้าสู่สถานีที่เป็นจุดหมาย การสนทนาจึงหยุดลงเพียงเท่านั้น
ทั้งคู่ออกจากสถานีรถไฟฟ้า แล้วเดินจากถนนใหญ่เข้าไปในซอย เพื่อไปยังโรงเรียนสอนดนตรีที่อยู่ช่วงต้นซอย ใช้เวลาเดินไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงที่หมาย
จัสตินเข้าไปนั่งรอในห้องรับรองแขกด้านหน้า ขณะที่พราวรัมภาไปทักทายลูกศิษย์หลายคนรวมถึงพนักงานและครูท่านอื่นๆ วันนี้หม่อมสุภัสสรไม่ได้เข้ามาดูแลกิจการเพราะติดธุระส่วนตัว หญิงสาวใช้เวลาอยู่นานร่วมชั่วโมงจึงลาทุกคนแล้วขอตัวกลับ
“ปกติคุณหญิงอยู่ที่นี่ทุกวันหรือครับ” เขาถามระหว่างทางขากลับ
“ค่ะ ทั้งสอนและดูแลเองทั้งหมด”
“ท่าทางคุณหญิงรักงานนี้มาก”
“ก็เริ่มต้นทำมาเองกับมือนี่คะ พราวว่าเราเรียกแท็กซี่กลับไปที่ห้างดีไหม” เธอบอกเขาด้วยความเกรงใจที่ต้องให้คนระดับผู้ถือหุ้นโครงการใหญ่มายืนโหนรถไฟฟ้า
“แล้วแต่คุณหญิงครับ”
สองหนุ่มสาวจึงโดยสารแท็กซี่กลับไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นซึ่งรถยนต์คันหรูของเขาจอดอยู่ในลานจอดรถ และเขาก็ขอไปส่งเธอกลับอย่างที่ตั้งใจไว้
“คุณหญิงยังไม่ได้ตอบผมเลยนะครับว่าแย่กว่าคนธรรมดายังไง” เขาถามขณะอยู่ในรถแท็กซี่
“พราวมีเรื่องต้องรับผิดชอบเยอะค่ะ บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อย” เธอบอกเสียงเบา
จัสตินได้ยินเสียงแล้วรู้ได้ทันทีว่าคนพูดรู้สึกอย่างไร จึงหันมามองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวซึ่งกำลังมองออกไปนอกรถ
วันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้ออกมากับพราวรัมภาตามลำพัง ปกติเขามักได้พบกับเธอในวังธาดาเท่านั้น และความสัมพันธ์ก็ยังเป็นไปในแบบกึ่งธุรกิจ เพราะเขาไปที่วังโดยมีเรื่องเบอร์รีแบ็กเป็นสาเหตุหลักซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แม้แต่น้อย เขากับเธอจึงไม่ได้คุยเรื่องส่วนตัวกันมากนัก โดยเฉพาะเรื่องความในใจอย่างลึกซึ้ง
“คุณหญิงพูดเหมือนกำลังมีปัญหา”
คนถูกถามถอนหายใจเบาๆ แล้วเหลือบมาสบตาเพียงแวบเดียวเท่านั้น เขาเห็นเธอพยายามปรับสีหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกราวกับว่าคำถามของเขาไปจี้ถูกจุดบางอย่าง
จัสตินรอว่าเธอจะเล่าอะไรให้เขาฟังหรือไม่ แม้จะรู้เรื่องของเธออยู่แล้วพอสมควรแต่ก็ยังอยากได้ยินจากปากของเจ้าตัว เขาอยากรู้ว่าเธอจะเล่าชีวิตความเป็นไปของตนเองอย่างไร
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” พราวรัมภาตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ
“แต่ผมรู้สึกเหมือนคุณหญิงกำลังหนักใจกับอะไรสักเรื่อง เอ่อ...ผมรู้สึกตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน”
“พราวดูเป็นคนวิตกกังวลขนาดที่คุณดูออกเลยหรือคะ”
“ครับ แล้วคุณหญิงไม่คิดจะแชร์กับผมบ้างเหรอ”
“อย่าเลยค่ะ คุยกันเรื่องที่สบายใจดีกว่า” เธอบอกปัดหลังจากคิดอยู่หลายอึดใจ
“ดูเหมือนคุณหญิงไม่กล้าคุยกับผม”
“เราเพิ่งรู้จักกันนี่คะ” เธอหันมาบอกเขาตามตรง
“โอเค แต่ถ้าวันไหนอยากเล่าอะไรให้ผมฟังบ้างก็ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
จัสตินเห็นเธอมีสีหน้าผ่อนคลายลงคล้ายกับโล่งใจ ซึ่งทำให้เขาผิดคาดเพราะหวังว่าจะได้เห็นพราวรัมภาพรรณนาชีวิตอันรันทดหรือเรื่องหนี้สินที่ต้องแบกไว้บนไหล่เล็กๆ ของเธอเสียอีก แต่เปล่าเลย...เธอกลับเลี่ยงไม่เอ่ยถึง แถมยังทำหน้าโล่งใจอีกด้วยที่เขาเลิกเซ้าซี้
หรือว่านี่เป็นวิธีการง่ายๆ ที่เธอรู้ดีว่ายิ่งไม่ยอมพูดคนฟังก็ยิ่งอยากรู้ โดยเฉพาะคนรอฟังซึ่งเป็นชายหนุ่มที่กำลังมีท่าทีกับเธอแบบไม่คิดปิดบังอย่างที่เขาจงใจแสดงออกมาตั้งแต่ต้น
“อยากไปทานอาหารอร่อยๆ นอกวังธาดาบ้างไหมครับ”
เขาต้องหาหนทางทำให้เธอยอมเปิดปากให้ได้ ถ้าอยู่ในบรรยากาศที่ดีกว่านี้อาจได้ฟังเรื่องราวต่างๆ จากปากเธอได้ไม่ยาก ที่สำคัญเขาต้องรีบสานต่อความสัมพันธ์โดยเร็วที่สุดเพราะเหลือเวลาไม่มากแล้ว
“หมายถึงเย็นนี้หรือคะ”
“ครับ”
แท็กซี่แล่นมาจอดหน้าห้างสรรพสินค้า ทั้งสองคนจึงลงจากรถแล้วเดินเข้าห้าง ตรงไปที่ลิฟต์ทันทีเพื่อขึ้นไปยังชั้นที่จอดรถ
“ว่ายังไงครับ” เขาถามระหว่างอยู่ในลิฟต์กันตามลำพัง
“ก็ได้ค่ะ แต่พราวไม่รู้นะคะว่าจะไปทานที่ไหนดี”
“คุณหญิงเป็นคนกรุงเทพฯ น่าจะรู้ดีกว่าผมว่าที่ไหนอาหารอร่อยบ้าง”
“ปกติพราวไม่ค่อยทานอาหารนอกบ้านค่ะ” พราวรัมภาบอกไปตามจริง
ระยะหลายปีมานี้ครอบครัวของเธอไม่ได้ร่ำรวยหรืออยู่ในยุคเฟื่องฟูเช่นอดีต ทางใดที่ประหยัดได้ก็ต้องทำเพื่อประคับประคองให้คนในวังมีชีวิตต่อไปได้ ไม่เฉพาะแค่เจ้านาย แต่หมายรวมถึงบริวารที่เหลืออยู่อีกหลายคน
“ถ้าบ้านผมมีแม่ครัวฝีมือดีอย่างวังธาดา ผมก็อาจจะไม่ออกไปกินข้าวที่ไหนเหมือนกัน” เขาพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อนึกไปถึงแม่ช้อง แม่ครัวเอกที่ทำให้เขาติดใจรสมือได้ตั้งแต่หนแรกที่ได้ชิมอาหารชาววัง
“แล้วเย็นนี้คุณจัสตินอยากทานอะไรคะ”
“เราน่าจะไปทานอาหารฝรั่งหรืออาหารชาติอื่นบ้างดีไหม ปกติคุณหญิงก็ทานแต่อาหารไทยอยู่แล้ว”
“ก็ดีค่ะ”
เย็นนี้พราวรัมภาจึงได้นั่งรถเบนท์ลีย์ออกจากห้างสรรพสินค้าหรูย่านสยาม เขาพาเธอไปยังร้านอาหารริมน้ำใกล้สะพานแขวน เป็นร้านอาหารอิตาลีเล็กๆ ที่ไม่หรูหรามากนัก แต่มีบรรยากาศสบายๆ ด้วยวิวแม่น้ำและสะพานแขวนที่เต็มไปด้วยแสงไฟประดับประดาน่าตื่นตาในยามค่ำ
จัสตินเลือกนั่งโต๊ะริมแม่น้ำภายในร้านซึ่งเป็นผนังกระจกใส เขาเป็นคนสั่งอาหารเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะพราวรัมภาสั่งเพียงจานเดียวแล้วไม่ยอมเลือกเมนูอื่นอีก
“คุณมาที่นี่บ่อยๆ หรือคะ”
“เคยมากับเพื่อนๆ หนเดียวครับ เพื่อนเก่าตั้งแต่ตอนเรียนเกรดสิบ ผมกับรอนเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน”
“ค่ะ หนูอินเคยเล่าให้ฟังแล้ว”
“น่าจะรู้มาจากรอน” เขาเลิกคิ้วนิดๆ คล้ายประหลาดใจเล็กน้อยที่เรื่องราวของตนถูกกล่าวถึง “ดูท่าทางสองคนนั้นสนิทกันเร็วนะครับ”
“คงเพราะคุยเก่งทั้งคู่” คุณหญิงยิ้มขำๆ สองคนที่กำลังพูดถึง
“ไม่เหมือนคู่เราใช่ไหม”
ปากที่ยิ้มๆ อยู่หุบทันทีแบบไม่แน่ใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
“ผมรู้สึกว่าคู่นั้นเขากำลังจับคู่กันอยู่น่ะครับ” จัสตินว่ายิ้มๆ แต่เห็นคนฟังยิ้มตอบแบบฝืนๆ
“คุณรอนน่ะเหรอ” พราวรัมภาไพล่คิดไปว่าเพื่อนของเขากำลังสนใจญาติสาวของตนอยู่ เพราะเธอเองก็รู้สึกเช่นนั้นตั้งแต่ที่ได้พบกันคราวแรก
“คงไม่ใช่แต่รอน ผมคิดว่าคุณอินก็น่าจะให้ความร่วมมือด้วย” จัสตินพูดตรงๆ สไตล์ฝรั่งและเรื่องทำนองนี้ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับหนุ่มสาวในโลกตะวันตก
“พูดแบบนี้หนูอินอาจจะเคืองเอานะคะ” พราวรัมภาต้องรีบปรามและจำเป็นต้องเข้าข้างฝ่ายหญิงซึ่งเป็นญาติของตนเองไว้ก่อน
“คนไทยมีเรื่องแปลกๆ บางทีผมก็ไม่เข้าใจ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็อย่างเช่นรักชอบกันก็พูดไม่ได้ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกมาก”
“ถ้ารักจริงๆ ก็พูดได้ค่ะ” คนไทยอย่างพราวรัมภาโต้กลับทันทีด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง “เพราะเราไม่บอกรักกันแบบพล่อยๆ”
“ครับ” ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปชั่วขณะกับท่าทีและคำพูดของเธอ เขาพอฟังออกว่าเธอกำลังเหน็บแนมฝรั่งอย่างเขาที่บอกรักกันได้วันละร้อยหนโดยบางครั้งก็แทบไม่มีความหมายอะไร
“ขอโทษค่ะที่พูดตรงๆ” พราวรัมภาเพิ่งนึกได้ว่าเขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทตนเอง จึงหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย เพราะไม่แน่ใจว่าเขาเงียบไปด้วยความไม่พอใจหรือไม่
“ไม่เป็นไรครับ ปกติผมก็พูดตรงเหมือนกัน อย่างเช่น...” จัสตินหยุดสูดลมหายใจเหมือนกำลังตัดสินใจจะบอกอะไรสักอย่าง
เขาลอบยิ้มเมื่อเห็นว่าหญิงสาวรอฟังอยู่ ดวงหน้าสวยอ่อนหวานแบบไทยๆ มีความสงสัยใคร่รู้อย่างไม่ปิดบัง ทำให้เขารู้ว่าเธอสนใจว่าเขากำลังคิดและกำลังจะพูดอะไรออกมา
“ถ้าผมรู้สึกยังไงกับใคร ผมก็จะบอกกับคนคนนั้น”
พราวรัมภาเผลอจ้องดวงตาคมสีฟ้าแกมเทาที่กำลังมองมาด้วยสายตาเปิดเผยความรู้สึก เขาไม่ได้บอกอะไร แต่เธอกลับรับรู้บางอย่างผ่านดวงตาคู่นั้น
“แต่เรื่องหนูอิน...” หญิงสาวเลิกมองตาเขาแล้ววกกลับไปเรื่องเดิม
“ผมแค่พูดเล่นน่ะครับ แต่ถ้า...เขาจะรักกันจริงๆ ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือครับคุณหญิง”
“ค่ะ”
“แล้วคู่เราล่ะ” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้จนใบหน้าอยู่ห่างจากเธอไม่มากนัก
พราวรัมภาจ้องตาเขาอยู่ชั่วขณะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะหลบตาลงมองโต๊ะเมื่อสังเกตเห็นว่านัยน์ตาสีฟ้าแกมเทาส่งประกายแพรวพราวขึ้นมาทันใด
“ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า” เขาถามเมื่อเธอนิ่งไป
“ผิดไปเยอะเลยค่ะ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครพูดเล่นกันหรอก” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก
แต่พอเหลือบมองตาสีฟ้าๆ คู่นั้นกลับเห็นแววยั่วเย้า แถมริมฝีปากบางได้รูปยังยิ้มนิดๆ อีกด้วย แทนที่โดนต่อว่าแล้วจะสลด
“เหรอครับ”
พราวรัมภาได้ยินแล้วถอนใจเบาๆ โดยไม่คิดตอบโต้ ‘อยากจะพูดอะไรก็พูดไป...เชิญตามสบาย’
“ถ้าผมบอกว่าผมไม่ได้พูดเล่นล่ะ” จัสตินยังคงชะโงกหน้าข้ามโต๊ะไปหาอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะเชื่อว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล
ผู้ชายวัยใกล้เกษียณอย่างพ่อ ต่อให้คารมหรือลีลาแพรวพราวแค่ไหนก็เทียบไม่ได้กับหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ อย่างเขาแน่นอน แล้วพราวรัมภาเพิ่งอายุยี่สิบหก คงต้องคิดหนักในเมื่อมีตัวเลือกโผล่ขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน
พนักงานนำอาหารและเครื่องดื่มเดินตรงมาที่โต๊ะ สองหนุ่มสาวจึงต้องหยุดการสนทนากันชั่วขณะ จากนั้นพนักงานสองคนก็ทยอยเสิร์ฟอาหาร พราวรัมภาสนใจแต่อาหารบนโต๊ะโดยพยายามไม่เหลือบมองหน้าคนตรงข้าม กระทั่งพนักงานเดินจากไป
“ทานกันเถอะครับ” เขาเอ่ยเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงร่าเริงกว่าปกติ
พราวรัมภาไม่สบตาเขาอีก เธอรีบลงมือรับประทานอาหารเงียบๆ ไม่คิดจะสนทนาใดๆ ตั้งใจว่าอิ่มแล้วจะรีบกลับ เพราะไม่อยากฟังใครพูดจาลดเลี้ยวมากไปกว่านี้
“คุณหญิงยังไม่ได้ตอบผมเลยนะ” จัสตินทวงคำตอบหลังรับประทานกันเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นว่าหญิงสาวนิ่งเงียบทำราวกับว่านั่งอยู่ตามลำพัง
“ไม่รู้จะตอบว่ายังไงนี่คะ” พราวรัมภาบอกตามจริง เพราะไม่เข้าใจว่าเขาถามแบบนั้นเพื่ออะไร แล้วถ้าหากเขาคิดจะล้อเล่น เธอก็คิดว่าตนเองไม่ควรตอบเป็นอย่างยิ่ง
“ผมพูดจริง ไม่ได้ล้อเล่นอย่างที่คุณหญิงคิดนะครับ” เขาย้ำอีกครั้ง
“คุณจัสตินคะ พราวว่าเราอย่าคุยกันเรื่องนี้อีกดีกว่า”
“ทำไม ผมก็บอกแล้วไงว่าผมรู้สึกยังไงก็จะพูดอย่างนั้น”
“ไม่คิดบ้างหรือคะว่าคนฟังอยากฟังรึเปล่า” พราวรัมภาถามกลับรวนๆ นิดหน่อย ทั้งที่ตามปกติเธอแทบไม่เคยใช้คำพูดแบบนี้กับใคร
แต่เขากลับยิ้มเหมือนขำ...แทนที่จะรู้สึกหน้าม้านหรือประดักประเดิดที่โดนศอกกลับแบบเบาะๆ เธอจึงต้องเป็นฝ่ายถอนหายใจอย่างหนักอกเสียเอง
“ขำอะไรคะ” ว่าจะไม่ต่อปากต่อคำด้วยแล้ว แต่สุดท้ายพราวรัมภาก็ทนไม่ได้
“ขำคนที่กำลังโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้” เขาว่าแล้วตักอาหารเข้าปากเคี้ยวอย่างสบายใจ
คนฟังที่เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังโมโหได้แต่เม้มปากเพราะทำอะไรไม่ได้จริงๆ นอกจากพยายามเก็บอาการ แต่คงไม่ทันเพราะเขารู้แล้ว
“ผมน่าจะเป็นคนแรกใช่ไหมที่ทำให้คุณหญิงโกรธ”
“พราวไม่ได้โกรธค่ะ” เธอจำต้องปฏิเสธ เพราะไม่อยากกลายเป็นตัวตลกให้เขาหัวเราะไม่เลิก
ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาแบบฝรั่งยังคงเปื้อนยิ้ม ดวงตาสีฟ้าแกมเทาพราวระยับ
“ถ้าโกรธหรือไม่พอใจใคร พูดออกมาบ้างก็ได้นะครับ เก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจคนเดียวคงไม่ดีเท่าไหร่” เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมขอโทษด้วยนะครับถ้าทำให้คุณไม่พอใจ”
“ถ้าชอบล้อคนอื่นเล่นแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะค่ะ” พราวรัมภาตอบแล้วถอนหายใจเบาๆ
“สงสัยคุณหญิงจะเข้าใจผิดแล้วครับ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้ล้อเล่น” เขาย้ำอีกหนแล้วรอฟังคำตอบ
“คุณจัสติน...” พราวรัมภาถึงกับพูดไม่ออก เพราะตอนนี้เขาจ้องหน้าเธอด้วยสายตาจริงจัง
เขาต้องการอะไรกันแน่ถึงได้พูดแบบนี้!
ความคิดเห็น |
---|