ดวงตาโตดำขลับเบิกค้างด้วยความตกใจ เสียงที่กำลังจะลอดออกมาเพื่อเรียกหาคนช่วยถูกกลืนหายไป
พราวรัมภายืนนิ่งตัวแข็งทื่อเหมือนตุ๊กตาหินอ่อน ขณะที่ริมฝีปากถูกประกบแนบชิด เธอแทบหยุดหายใจไปแล้วโดยที่เขายังเพลิดเพลินอยู่บนกลีบปากนุ่มเนียนโดยไม่สนใจว่าเจ้าของจะยินยอมหรือไม่
ฝ่ามือที่เริ่มเลื่อนไล้จากบั้นเอวขึ้นมากลางแผ่นหลังทำให้หญิงสาวเริ่มได้สติจากอาการตกตะลึงไปชั่วขณะ จึงรีบยกมือขึ้นผลักอกเขาให้ออกห่างทันที
จัสตินยอมหยุด เขาถอนริมฝีปากออกทั้งที่ใจยังแสนเสียดาย ไม่ยอมปล่อยมือที่รั้งเอวไว้เพราะกลัวว่าเธอจะรีบวิ่งหนีไปด้วยความตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
หญิงสาวเหลือบมองหน้าเขาเพียงแวบเดียวด้วยความกระดากเพราะเพิ่งถูกจูบไปหยกๆ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออกแม้แต่จะนึกคำพูดมาต่อว่าคนที่ล่วงเกินตนเอง สมองมึนงงพร้อมกับใจสั่นหวิวแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาเห็นเธอยืนเม้มปากแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟสองดวงริมสระน้ำ กลีบปากบอบบางที่เพิ่งสัมผัสยังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึกและต้องการลิ้มรสอีกสักครั้งถ้าเป็นไปได้
พราวรัมภาบอบบางและอ่อนหวานตรึงใจอย่างที่เขาไม่เคยได้สัมผัสจากใครมาก่อน
“ปล่อยฉัน” เธอบอกเขาเสียงเบาโดยไม่มองหน้า
“คุณหญิง...”
“เอามือออกไปเดี๋ยวนี้” คราวนี้เธอเงยหน้าขึ้นออกคำสั่ง แต่เสียงเบาเต็มที
“ผมจะปล่อยคุณหญิง แต่เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
“ไม่...”
“จะคุยกันดีๆ หรือจะให้ผมจูบคุณอีก”
พราวรัมภาได้ยินแล้วแทบอ้าปากค้างด้วยความงุนงง เขาไม่สำนึกเลยสักนิดว่าทำอะไรลงไป แถมยังมาขู่กันอีก
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย”
“โอเค...” เขายอมรับคำง่ายๆ แต่กลับยกมือขึ้นเชยคางเรียวให้เงยหน้าขึ้นมาหา
“ปล่อยนะ!”
จัสตินไม่ได้สนใจเสียงปฏิเสธ เขารู้แต่ว่าพราวรัมภาก็คงมีเลือดเนื้อไม่ต่างจากหญิงสาวคนอื่นๆ แถมยังอ่อนประสบการณ์อีกด้วย ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่เขาไม่ควรปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป
ริมฝีปากบอบบางถูกจุมพิตอีกครั้ง แต่คราวนี้หนักหน่วงกว่าเดิมจนเจ้าของริมฝีปากต้องพยายามส่ายหน้าหนีด้วยความหวั่นกลัว แต่คนที่ช่ำชองอย่างจัสตินก็แทบไม่เปิดโอกาสให้เธอได้คิดหนีหรือหยุดพักหายใจ เขาประคองศีรษะของเธอไว้แล้วบังคับให้รองรับริมฝีปากที่บดเบียดเข้าหาด้วยความย่ามใจ
พราวรัมภาทั้งทุบและผลักหน้าอกกว้าง แต่เขาไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด ยิ่งเธอทุบตีผลักไสเขาก็ยิ่งจุมพิตหนักหน่วงขึ้นอีกราวกับต้องการลงโทษ
กระทั่งร่างบอบบางของเธอทรุดลงแต่เขาประคองไว้ได้ทัน หนุ่มชาวอเมริกันที่บังคับจูบเธอตามอำเภอใจจึงยอมหยุด
“คุณหญิง!”
จัสตินเรียกด้วยน้ำเสียงตกใจปนสำนึกผิด เขาไม่คิดว่าจะทำให้เธอถึงกับเกือบเป็นลมเป็นแล้ง ตอนนี้พราวรัมภาหายใจแรงและยืนแทบไม่อยู่ หากไม่ประคองไว้คงทรุดลงไปกองกับพื้นแน่ๆ
“ผมขอโทษ”
พราวรัมภารวบรวมเรี่ยวแรงแล้วผลักเขาออกห่าง คราวนี้เขายอมปล่อยง่ายๆ เธอจ้องหน้าเขาอยู่ไม่กี่อึดใจก็เริ่มเรียกสติคืนมาได้ แต่ยังนึกอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าต้องอยู่ให้ห่างจากเขาเท่านั้น จึงรีบวิ่งกลับไปที่ตึกใหญ่ทันที
สองหนุ่มสาวไม่รู้ตัวว่ามีคนยืนมองเหตุการณ์อยู่บนหน้ามุขชั้นสอง ตั้งแต่ทั้งคู่เดินออกจากตึกไปที่ริมสระน้ำ และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างตั้งแต่ต้น กระทั่งพราวรัมภาวิ่งหนีกลับเข้าตึกไป
หม่อมสุภัสสรยังคงยืนนิ่งขึงและยกมือทาบอกด้วยความตกใจ ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับบุตรสาว
ส่วนพราวรัมภาหลังจากกลับเข้าตึกมาแล้วก็รีบตรงดิ่งไปยังห้องส่วนตัวทันที เพราะต้องการมุมสงบอยู่ตามลำพัง
นอกจากใจยังเต้นแรงเหมือนมีกลองรัวอยู่ข้างในแล้ว ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างยังคงชัดเจน โดยเฉพาะริมฝีปากที่ยังรู้สึกร้อนรุ่มไม่ต่างไปจากตอนที่โดนจูบริมสระ
พราวรัมภาไม่เคยนึกฝันว่าในชีวิตจะต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะได้เจอะเจอกับคนบ้าระห่ำอย่างจัสติน เขาบ้าตั้งแต่เรื่องที่เสนอตัวจะใช้หนี้ให้เธอตั้งสองร้อยล้าน มาถึงตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเขาไม่ได้พูดเล่น แล้วเขาก็แสดงออกชัดเจนโดยไม่ต้องบอกเป็นคำพูดด้วยว่าต้องการอะไรเป็นค่าตอบแทน
ที่สำคัญหลังจากวันนี้เธอจะมองหน้าเขาอีกได้ไหม แม้ตนไม่ได้เป็นฝ่ายทำอะไรผิดแต่ก็ยังรู้สึกกระดากอยู่นั่นเอง แล้วเขาก็คงจะมาที่วังธาดาอีกแน่นอน เพราะสำนักงานของเบอร์รีแบ็กอยู่ที่นี่ แล้วดูท่าทางคนอย่างจัสตินคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องเพียงเท่านี้ เผลอๆ อาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับฝรั่งอย่างเขาที่คงจูบกับสาวๆ ไปทั่วและแทบไม่ซ้ำหน้า
พอคิดมาถึงตรงนี้ พราวรัมภาก็เริ่มเจ็บใจตัวเองที่ต้อนรับขับสู้เขามากเกินไปเพราะเห็นว่าเขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเบอร์รีแบ็กในเวลานี้ จนกลายเป็นการเปิดโอกาสให้เขามาทำรุ่มร่ามแบบไม่คิดเกรงใจกัน
ยิ่งพอรู้ว่าเธอมีหนี้สินเป็นร้อยๆ ล้าน เขาก็แสดงตัวตนออกมาทันทีแบบคาดไม่ถึงด้วยการรีบเสนอเงินให้ เพราะคิดว่าคนมีหนี้สินล้นตัวอย่างเธอต้องรีบตะครุบแน่นอน แต่พอไม่เป็นไปดั่งใจก็อารมณ์เสีย แปลงร่างจากหนุ่มนักลงทุนมาดผู้ดีมาเป็นพวกปากว่ามือถึงทันที
ตกลงเขาคิดว่าผู้หญิงทุกคนต้องเห็นแก่เงินใช่ไหม!
พราวรัมภาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพยายามตัดเรื่องราวเกี่ยวกับหนุ่มอเมริกันคนนั้นออกไปให้เร็วที่สุด คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิดถึงเขาอีก แม้ว่าร่องรอยที่เขาฝากไว้ยังคงติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปากอย่างยากจะลืมเลือน
เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าตนเองไม่ต้องการเงินสองร้อยล้านมาใช้หนี้ แต่ถ้าต้องได้มาพร้อมกับการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจนแทบไม่เหลือศักดิ์ศรี พราวรัมภาขอเลือกเก็บกระเป๋าออกไปจากวังธาดาเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็ยังเหลือความภาคภูมิใจในชีวิตที่บางคนอาจเห็นว่าไร้ค่าเมื่อเทียบกับเงินจำนวนมหาศาล แต่กลับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับราชนิกุลอย่างคุณหญิงพราวรัมภา
หลังจากก่อเรื่องไว้ จัสตินก็หายหน้าไปจากวังธาดาสองวันเต็มๆ เพราะมีประชุมที่บริษัทก่อสร้างคอนโดมิเนียมยักษ์ใหญ่ และต้องไปดูงานโครงการที่กำลังคืบหน้าตามคำเชิญของฝ่ายบริหาร
จัสตินรู้แก่ใจดีว่าพราวรัมภาคงไม่ต้องการพบหน้าเขาในช่วงนี้ เหตุการณ์คืนนั้นคงทำให้เธอไม่พอใจ ซึ่งเขาเองก็ทำลงไปแบบไม่รู้ตัว นับเป็นครั้งแรกที่เขาล่วงเกินผู้หญิงโดยที่เธอไม่เต็มใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความใจร้อนของเขาเอง ความกังวลเรื่องระยะเวลาเป็นเหตุให้เขาผลีผลามบุ่มบ่ามเข้าถึงตัวเธอแบบรวบรัดจนเกินไป โดยลืมคิดไปว่าพราวรัมภาอาจไม่เหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ ที่ผ่านมา จัสตินคาดผิดไปหลายเรื่องจนทำเสียแผน ตอนนี้เขาจึงกลับเป็นฝ่ายต้องคิดหนักเสียเอง เพื่อหาทางกลับไปที่วังธาดาอีกครั้งโดยไม่ถูกเธอเมินใส่
ตั้งแต่คืนนั้นเขาแทบไม่ได้คิดเรื่องอะไร แม้แต่เวลาที่ต้องเข้าประชุมก็ยังแทบไม่มีสมาธิ เพราะใจคอยคิดถึงแต่เรื่องที่วังธาดา
แม้เคยจูบผู้หญิงมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ทำไมเขาจึงรู้สึกติดตรึงใจในรสสัมผัสที่เกิดขึ้นคืนนั้นจนแทบลืมไม่ลง ทั้งที่พราวรัมภาไม่เต็มใจแม้แต่น้อย จัสตินแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาต้องเอาชนะหญิงสาวคนหนึ่งด้วยวิธีการบังคับฝืนใจเพื่อให้เธอยอมรับจุมพิตอย่างที่ต้องการ หลังจากที่เสนอทุกสิ่งไปแล้วแต่เธอไม่ยอมรับ
เขาขับรถออกจากคอนโดมิเนียมหรูตอนสายๆ มุ่งหน้าไปยังวังธาดา แม้จะยังนึกไม่ออกว่าควรปั้นหน้าอย่างไรไปพบคุณหญิงก็ตาม รู้แต่ว่าถอยไม่ได้เด็ดขาดเพราะเดินหน้ามาถึงขั้นนี้แล้ว
จัสตินบอกตนเองว่า ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องที่ต้องการช่วยพ่อให้รอดพ้นจากการถูกหลอกแต่งงานเพื่อใช้หนี้ให้เจ้าสาววัยคราวลูก แต่เขายังเพิ่งเสียหน้าจากการถูกปฏิเสธอีกด้วย
คุณหญิงที่เหลือแค่เปลือกอย่างพราวรัมภากล้าเมินใส่เงินสองร้อยล้านจากเขา จัสตินไม่เชื่อว่านั่นเป็นเพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ แต่เธอมีความหวังอยู่ที่ วิลเลียม บราวน์ ต่างหากเล่า ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่มั่นใจได้มากกว่าคนหนุ่มที่อาจควบคุมได้ไม่ง่ายนักอย่างจัสติน
“พราวรัมภา...ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะทำยังไงต่อไป แผนการของคุณจะไปจบที่ไหน”
เวลานี้เขาไม่แคร์หากตนเองต้องสูญเสียเงินถึงสองร้อยล้านบาท เรื่องสำคัญกว่านั้นก็คือ ทำอย่างไรให้พราวรัมภายอมเปลี่ยนใจหรือรับเงินจำนวนนี้ไปจากเขาโดยเร็วที่สุด ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้นเขามั่นใจว่าจัดการได้ไม่ยาก ต่อให้พราวรัมภากับแม่ของเธอวางแผนมาดีแค่ไหน ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงคนอย่างจัสตินไปได้
รถยนต์เบนท์ลีย์สปอร์ตสีดำแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้ามุขทางขึ้นตึกเช่นทุกครั้ง ขณะที่เจ้าของวังทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
“ใครมาน่ะ” หม่อมสุภัสสรเอ่ยถามนิ่ม คนรับใช้ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องโถงเพื่อรายงาน
“คุณจัสตินค่ะ”
พอได้ยินคำตอบ หม่อมสุภัสสรจึงเหลือบไปสบตาบุตรสาวทันที เห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่งๆ แต่แววตากลับดูหวั่นไหวแปลกๆ
“จะให้เชิญที่ห้องนี้เลยไหมคะ” นิ่มถามเพราะแขกรออยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้นชั้นสอง
หม่อมสุภัสสรจึงหันมาพยักหน้าให้ไปเชิญเข้ามา แม้สีหน้าของลูกสาวจะไม่ค่อยดีนัก
“พราวขอตัวนะคะ” พราวรัมภาลุกขึ้นทันทีเมื่อนิ่มเดินหายไปแล้ว
“ตกลงจะไม่คุยกับเขาก่อนหรือคะหญิงพราว” ผู้เป็นแม่ทักท้วง
ทั้งที่รู้เต็มอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่หม่อมสุภัสสรก็จำต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นริมสระน้ำในคืนนั้น เพราะรู้ว่าลูกสาวคงไม่ต้องการให้ใครมารับรู้หรือมีส่วนร่วม
“วันนี้พราวอยากพักค่ะ ขอตัวนะคะ” พราวรัมภาพูดจบก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องโถงทางประตูหลังออกไปที่ระเบียง
ฝ่ายผู้เป็นแม่เห็นลูกสาวรีบก้าวเร็วๆ เหมือนต้องการหนีคนที่กำลังจะเข้ามาก็พอรู้ว่าสาเหตุคงมาจากเรื่องคืนนั้นเป็นหลัก หาใช่อีกเรื่องที่เพิ่งแทรกเข้ามาในวันนี้แต่อย่างใดไม่ ในฐานะที่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มีหรือที่หม่อมสุภัสสรจะไม่รู้ว่าลูกสาวคิดอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อจัสตินเดินตามนิ่มเข้ามาในห้องโถง หม่อมสุภัสสรก็ได้แต่ส่ายหน้านิดๆ เพราะรายนี้ก็ฝรั่งแท้เสียด้วย เรื่องจูบกอดกันคงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิตไปแล้ว ดูท่าว่าจะคุยกันลำบากกับฝ่ายพราวรัมภาซึ่งเป็นไทยเต็มตัว
“สวัสดีครับหม่อม” เขาเดินเข้ามาถึงแล้วรีบยกมือไหว้ราวกับเป็นคนไทยแท้ ทำให้ผู้รับไหว้ต้องอมยิ้มอย่างพอใจทุกครั้ง
“สวัสดีค่ะ เชิญนั่งก่อนสิคะ”
“คุณหญิงล่ะครับ” เขารีบถามถึง เพราะนิ่มเพิ่งบอกว่าพราวรัมภานั่งคุยกับหม่อมสุภัสสรอยู่ในห้องโถงใหญ่
“เพิ่งเดินออกไปเดี๋ยวนี้เองค่ะ บอกว่าอยากพัก”
คนที่เพิ่งมาถึงรู้ทันทีว่าหญิงสาวหลบหน้าไม่ยอมพบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เขาเห็นว่าหม่อมสุภัสสรเองก็มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่หม่อมไม่น่าจะรู้เรื่องคืนนั้น เพราะเขาเดาว่าพราวรัมภาคงไม่กล้าพูดให้ใครฟังตามประสาผู้หญิงไทยทั่วไปที่คงเห็นว่าเป็นเรื่องน่าอับอายที่จะให้ใครรับรู้
แม้เขาจะเคลือบแคลงสงสัยพฤติกรรมบางอย่างของเธอ ซึ่งอาจจะคิดแผนการเพื่อหลอกใช้ตาแก่อย่างพ่อของเขา แต่จัสตินก็ฉลาดพอที่จะแยกแยะได้ว่าโดยพื้นฐานแล้วพราวรัมภาเป็นผู้หญิงแบบไหนจากพื้นเพด้านฐานะและชาติตระกูล
“คุณจัสตินมีธุระกับหญิงพราวรึเปล่าคะ”
“ครับ” เขาตอบก่อนจะนั่งลงตรงกันข้ามกับหม่อมสุภัสสร
“เดี๋ยวให้คนไปตามก็ได้ค่ะ แต่ว่า...เอ่อ...”
“หม่อมมีเรื่องอะไรจะบอกผมรึเปล่า” เขาถามเพราะสงสัยตั้งแต่แรก
“มีค่ะ”
“เรื่อง...อะไรครับ” คราวนี้หนุ่มอเมริกันเริ่มอึกอักเมื่อถูกแม่ของหญิงสาวจ้องมองนิ่งๆ อยู่ชั่วอึดใจ
หรือว่า...หม่อมจะรู้เรื่องจากลูกสาวแล้ว!
จัสตินแทบไม่อยากเชื่อว่าตนเองใจเต้นแรงขึ้นมาเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าอาจถูกต่อว่าจากแม่ของพราวรัมภา นั่นเป็นความรู้สึกของเขาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ตอนที่ไปส่งสาวต่างคณะที่บ้าน หลังออกจากงานปาร์ตีที่มหาวิทยาลัยด้วยกันแล้วไปขับรถเล่นรอบเมืองกันต่อจนเลยเวลา
“นี่ค่ะ” หม่อมสุภัสสรหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะยื่นให้เขา
จัสตินมองหนังสือพิมพ์ที่เปิดหน้าด้านในพับไว้เรียบร้อยแบบงงๆ ก่อนจะยื่นมือไปรับมาทั้งที่รู้ตัวว่าอ่านไม่ออก เพราะเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยซึ่งเขาไม่เคยเรียนแม้แต่ตัวอักษรเดียว เขาพูดไทยได้ชัดเจนแม้สำเนียงบางคำจะเพี้ยนไปบ้าง แต่อ่านและเขียนไม่ได้เลย
“เห็นรูปไหมคะ” หม่อมสุภัสสรพอจะเดาได้ว่าเขาคงอ่านไม่ออก
“ครับ”
ตอนนี้จัสตินเริ่มเข้าใจแม้จะอ่านไม่ออกว่าเนื้อข่าวคืออะไร แต่มีรูปของตนเองกับพราวรัมภาอยู่ในหน้านี้ เป็นภาพถ่ายที่มองเห็นใบหน้าชัดเจนทั้งสองคนภายในร้านอาหารริมน้ำที่มองเห็นวิวสะพานแขวนอันสวยงาม
“ทำไมพวกเขาถึงลงรูปผมกับคุณหญิง” เขาอดถามไม่ได้ เพราะตนเองไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์จากฮอลลีวูดที่ใครๆ ต้องมาให้ความสนใจหรือเป็นข่าว
“คงมีคนจำหญิงพราวได้ จริงๆ ก็ไม่ใช่คนดังอะไรมากมายหรอกนะคะ แต่หญิงพราวถ่ายแบบให้เบอร์รีแบ็กเลยทำให้คนรู้จักเยอะขึ้น ที่ลงข่าวนี่เป็นหน้าข่าวสังคมค่ะ”
“ครับ แล้วเขาเขียนว่ายังไง”
“ก็เขียนทำนองคุ้ยแคะค่ะว่าคุณหญิงไปนั่งดินเนอร์กับใคร คุณจัสตินก็เลยพลอยเป็นข่าวไปด้วย” หม่อมสุภัสสรเล่าสั้นๆ เพราะไม่อยากจาระไนเนื้อข่าวทั้งหมดให้ฟัง
“แต่ไม่มีใครรู้จักผมนี่ครับ”
“ตอนนี้คงรู้จักกันแล้วละค่ะ” หม่อมว่าด้วยเสียงปนหัวเราะที่เขาทำท่าเหมือนว่าตัวเองคงรอด
คนอเมริกันอย่างเขาคงไม่รู้หรอกว่านักข่าวไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยเฉพาะเรื่องคุ้ยเขี่ยฟื้นฝอยด้วยแล้ว รับรองว่าไม่เป็นสองรองใครแน่นอน
“เขาจะมาสนใจผมกันทำไมครับ”
“สนสิคะ คุณเองก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ธุรกิจในไทยนี่คะ เห็นเขาอ้างบทสัมภาษณ์เก่าๆ ของคุณจัสตินมาตั้งหลายประโยค”
“เอ่อ...เขาพูดถึงผมกับคุณหญิงแบบไหนครับ” จัสตินเข้าประเด็นสำคัญก่อนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
“ไม่มีแบบอื่นหรอกค่ะ” หม่อมสุภัสสรบอกเพียงเท่านั้นเพราะรู้ว่าเขาคงคิดต่อเองได้
“แล้วคุณหญิงว่ายังไงบ้าง” น่าแปลกที่เขาอดเป็นห่วงอีกคนไม่ได้
“ไม่ได้พูดอะไร อ่านข่าวแล้วก็นั่งเงียบไป”
“คุณหญิงไม่ชอบใจใช่ไหมครับ” จัสตินถามตรงๆ
“ไม่มีใครชอบหรอกค่ะ อยู่ดีๆ ก็มาเป็นข่าวกับผู้ชายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว” หม่อมสุภัสสรทำเสียงขรึมลงให้เขารู้ว่าคนไทยถือสาว่าเป็นเรื่องเสียหาย
ส่วนเรื่องริมสระน้ำคืนนั้น หม่อมสุภัสสรก็อยากจะต่อว่าเขาอยู่ไม่น้อย แต่คงต้องรอโอกาสเหมาะกว่านี้
“เขาเขียนถึงคุณหญิงกับผมว่ายังไงครับ” จัสตินชักสนใจ แต่อ่านเองไม่ได้จึงจำเป็นต้องถามรายละเอียด
“เขาว่าหญิงพราวคงเป็น...เอ่อ...ตุ๊กตาตัวใหม่ของคุณ”
จัสตินถึงกับอ้าปากค้างนิดๆ เพราะเข้าใจความหมายนั้นดี ตุ๊กตาก็น่าจะหมายถึงของเล่นนั่นเอง แล้วเหตุใดนักข่าวไทยจึงมองว่าเขาเห็นเธอเป็นเพียงของเล่น ในเมื่อแทบไม่มีใครรู้จักเขามาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“เขาไปขุดคุ้ยเรื่องคุณจัสตินกับสาวไทยบางคน เห็นว่ามีหลายคนอยู่เหมือนกัน”
เมื่อถูกถามหม่อมสุภัสสรก็ไม่คิดจะอ้อมค้อม คนตกเป็นข่าวจึงแทบกลายเป็นใบ้ไปในบัดดล
จัสตินเริ่มรู้สึกว่าตั้งแต่ได้พบกับพราวรัมภา ชีวิตของเขาชักจะไม่เหมือนเดิม ที่เคยเป็นเจ้าแผนการและไม่เคยผิดพลาดก็เริ่มพลาดบ่อยขึ้น และดูเหมือนอะไรต่างๆ นานาก็ไม่ค่อยเป็นใจเอาเสียเลย โดยเฉพาะที่โดนนักข่าวขุดคุ้ยเรื่องผู้หญิง
“น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดครับ” เขาตอบสั้นๆ ได้เพียงเท่านั้น
“หมายความว่าคุณปฏิเสธข่าวนี้หรือคะ” หม่อมสุภัสสรถามด้วยความสนใจพร้อมกับเลิกคิ้วนิดๆ
“ครับ ผมไม่เคยคบผู้หญิงทีละหลายๆ คน บางทีความเข้าใจของคนไทยกับฝรั่งอาจจะแตกต่างกันนะครับ” เขาตอบพร้อมคำอธิบายที่พอช่วยกอบกู้สถานการณ์ขึ้นมาได้บ้าง
เขาตั้งใจว่าจะมาเคลียร์ปัญหาเรื่องริมสระคืนนั้นกับพราวรัมภา แต่ดันมีเรื่องใหม่เข้ามาแทรกอีกทั้งที่เรื่องเก่าก็ยังคาราคาซัง ดูเหมือนว่ายิ่งทำคะแนนเขาก็ยิ่งติดลบ
“เข้าใจค่ะ คบทีละคน” คนที่ผ่านชีวิตมาพอสมควรพยักหน้าว่าเข้าใจ
“ขอบคุณครับที่ให้ความยุติธรรมแก่ผม” ชายหนุ่มเริ่มยิ้มออก
“ฉันเข้าใจคุณคนเดียวดูท่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไรหรอกค่ะ เพราะตอนนี้เขาเขียนข่าวให้คุณจัสตินกลายเป็นแคซาโนวา ส่วนหญิงพราวก็กลายเป็นของเล่นชิ้นใหม่ไปแล้ว”
“ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมากเลยหรือครับ”
“ขึ้นอยู่กับหญิงพราวค่ะว่าจะรู้สึกยังไง ถ้าไม่สนใจก็แล้วไป ใครจะว่าอะไรก็ช่าง”
“ผมอยากพบคุณหญิง” นั่นเป็นเหตุผลที่เขามาที่วังธาดาในวันนี้
“เชิญค่ะ เดี๋ยวจะให้คนพาไป”
หม่อมสุภัสสรบอกแล้วลุกไปเรียกหานิ่ม ได้ความว่าพราวรัมภาอยู่ในห้องหนังสือหรือห้องเปียโน เมื่อบอกจัสตินเขาจึงขอไปพบเธอในห้องนั้น โดยไม่ต้องมีใครนำทางไปเพราะคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดี
พราวรัมภาได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง จากนั้นไม่กี่อึดใจก็มีคนเปิดเข้ามา เธอไม่คิดว่าจัสตินจะตามมาพบถึงห้องหนังสือ เพราะคิดว่าแม่คงบอกเขาว่าวันนี้เธอต้องการพักผ่อน
เมื่อไม่ได้เตรียมตัวต้อนรับใครโดยเฉพาะคนที่เพิ่งก่อเรื่องไว้ พราวรัมภาจึงทำหน้าเฉยเหมือนไม่รับรู้ว่ามีคนเดินเข้ามา เพียงแค่ลดหนังสือในมือลงเท่านั้น
“สวัสดีครับ”
เขาทักทายก่อนด้วยน้ำเสียงและท่าทางเป็นปกติ แต่ดวงตาคมแลกวาดไปทั่วทั้งใบหน้าและตลอดทั้งตัวของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมอย่างจงใจ วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนที่ขับให้ผิวขาวดูผุดผ่องยิ่งขึ้น ถ้าหน้าตาเจ้าตัวยิ้มแย้มกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงทำให้ห้องสีขรึมๆ ดูสดใสขึ้นทันตา
ในสายตาของจัสติน พราวรัมภาเป็นหญิงสาวที่มีความเป็นผู้หญิงสูงกว่าสาวๆ หลายคนทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เขาสังเกตว่าเธอมักแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสวยงามและหลีกเลี่ยงการสวมกางเกงหากไม่มีความจำเป็น รวมไปถึงกิริยาวาจาที่แลดูอ่อนหวานน่ารักแบบผู้หญิง ส่วนร่างกายภายนอกยิ่งชัดเจน เธอเป็นหญิงสาวที่งดงามจนแทบหาที่ติไม่ได้
ทุกอย่างที่เขามองเห็นและสัมผัสได้นี่เองกระมัง ที่ทำให้ต้องมาที่นี่อีกในวันนี้
“มีธุระอะไรคะ” พราวรัมภาถามอย่างไม่เต็มใจนัก
แม้จะไม่พอใจเพียงใดแต่สุดท้ายก็ยังต้องรักษามารยาทตามแบบอย่างของคนที่ได้รับการอบรม จึงเห็นว่าอีกฝ่ายค่อยๆ คลี่ยิ้มคล้ายโล่งอกที่ได้รับสัญญาณตอบกลับไปบ้าง เธอจึงต้องรีบเมินไปทางอื่น แต่ยังทันสังเกตเห็นว่าวันนี้เขาไม่ได้สวมสูทหรือเสื้อเชิ้ตผูกเนกไทเหมือนเคย แต่แต่งตัวสบายๆ สวมเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงยีนซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศช่วงปลายฤดูฝนของไทย
“ไม่มีครับ แต่ผมอยากพบคุณ” เขาตอบไปตามตรง เพราะที่จริงก็ไม่มีธุระอะไร รู้แต่ว่าต้องมาเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นซึ่งไม่แน่ใจว่าถือเป็นธุระได้ไหม
“นั่นแหละที่เรียกว่ามีธุระ” พราวรัมภาบอกด้วยน้ำเสียงคล้ายรำคาญ
“คุณหญิงยังโกรธผมอยู่อีกเหรอ” เขาถามเสียงอ่อนเป็นการขอโทษทางอ้อม
“ถ้าจะมาถามหรือคุยเรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอกค่ะ”
น้ำเสียงเฉยชาทำให้ชายหนุ่มเกือบยิ้มไม่ออก แต่ก็ยังฝืนยิ้มให้เธอซึ่งวางหน้านิ่งเฉยตลอดเวลา จัสตินเดินเข้าไปใกล้เก้าอี้ที่พราวรัมภานั่ง แล้วหันไปเห็นสตูลที่อยู่หน้าเปียโนหลังงาม จึงถอยหลังไปนั่งที่สตูลโดยไม่มีใครเชิญ
“ผม...ไม่ถามก็ได้” เขาตัดสินใจว่าไม่ควรขัดความต้องการของใครในเวลานี้ “ที่จริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาขอโทษ”
พราวรัมภามองเขางงๆ แล้วก็เริ่มสงสัยว่าจะมาไม้ไหนอีก เธอไม่ได้ต้องการคำขอโทษเพราะรู้ว่าคนอย่างเขาคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องวันนั้น แล้วจะมาขอโทษกันทำไมถ้าไม่ได้รู้สึกผิด
“ที่จริงผมควรจะขอโทษ แต่ว่า...คิดอีกทีแล้วไม่ดีกว่า” เขาบอกอย่างสับสน จึงเห็นว่าคนฟังทำท่าถอนหายใจ หน้าหวานๆ แลดูบึ้งตึงเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้ยิน “ผมหมายความว่าเรื่องวันนั้น ผม...ตั้งใจให้เกิดขึ้น”
“คุณ...” พราวรัมภามองเขาเหมือนไม่เคยเห็น ไม่คิดว่าจะได้ยินใครแก้ตัวแบบนี้
“ผมเลยไม่อยากขอโทษ เพราะผมตั้งใจ”
พราวรัมภามองหน้าหนุ่มอเมริกันได้ไม่นานก็ต้องรีบเบือนหนี เพราะตาคมๆ จับจ้องมานิ่งๆ แทบไม่กะพริบ ดวงตาสีฟ้าแกมเทาที่ดูลึกล้ำคู่นั้นทำให้รู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็น
แล้วเธอก็อดคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาเพิ่งบอกว่าตั้งใจไม่ได้ ทั้งที่พยายามลืมแต่กลับลืมไม่ลงจนกระทั่งถึงตอนนี้ ภาพในหัวยิ่งชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา
พราวรัมภาเม้มปากอย่างลืมตัวเมื่อใจไพล่คิดไปถึงความรู้สึกหวิวไหวที่เกิดจากริมฝีปากที่แนบประทับบดเบียดเข้าหา แม้เป็นสิ่งที่ไม่เต็มใจ แต่ในเมื่อเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ย่อมทำให้หญิงสาวหวนคิดถึงอย่างห้ามไม่ได้ โดยที่รู้แก่ใจดีว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดถือสาว่าเป็นเรื่องสำคัญแต่อย่างใด
“พราวขอตัวค่ะ”
“คุณหญิงครับ” จัสตินลุกขึ้นทันทีก่อนที่พราวรัมภาจะทันได้ลุกจากเก้าอี้เสียด้วยซ้ำ
ร่างสูงหนาในชุดเสื้อยืดแบบง่ายๆ รีบเดินเข้าไปหาแล้วยืนขวางทางไว้ ทำให้คนที่เพิ่งขอตัวยืนนิ่งค้าง ไม่มีโอกาสแม้แต่จะก้าวขาไปทางไหน
“ผมรู้สึกยังไงก็บอกไปแล้ว อย่าโกรธกันเลยนะครับ”
พราวรัมภาฟังเสียงออดอ้อนที่กำลังขอร้องแล้วรู้สึกว่าช่างขัดกับการกระทำของคนพูดในเวลานี้ เขายืนขวางไม่ให้ออกจากห้องและต้องฟังเขาพูดให้จบโดยไม่คิดจะถามว่ามีใครอยากฟังไหม
“มีเรื่องแค่นี้ใช่ไหม” พราวรัมภาถามเพื่อบอกให้เขาหลีกทางไปเสียที
“ยังมีอีกครับ” จัสตินไม่ยอมง่ายๆ ตามนิสัย แม้จะเห็นเต็มตาว่าหญิงสาวทำหน้าเหนื่อยหน่ายปนเฉยชา
เธอคงไม่รู้หรอกว่าแค่กิริยาอาการเพียงเท่านี้ไม่ทำให้คนอย่างเขาสะดุ้งสะเทือนจนถึงกับคิดล่าถอย ตลอดสิบปีมานี้เขาต้องพบเจอผู้คนมาหลากหลายในด้านธุรกิจ จึงทำให้ประสาทแข็งและแกร่งเกินอายุอย่างที่ใครก็คงเดาไม่ได้ว่า จัสติน บราวน์ เคยผ่านอะไรมาบ้าง
“ผมเพิ่งรู้ข่าวในหนังสือพิมพ์จากคุณแม่ของคุณ”
“ค่ะ” พราวรัมภารับคำแล้วถอนหายใจอีกรอบ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดหรือทำอะไรให้ดีกว่านั้น
“คุณคงรู้สึกว่าตั้งแต่รู้จักกับผมมีแต่เรื่องไม่ค่อยดีใช่ไหม” เขาเดาได้จากสีหน้าท่าทาง
“ช่างเถอะ เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
หญิงสาวจำต้องบอกไปอย่างนั้นอย่างรักษามารยาท ทั้งที่ในใจอยากจะตอบว่า ‘รู้ตัวก็ดีแล้ว ต่อไปก็อยู่ให้ห่างๆ หน่อยแล้วกัน!’
“แต่ท่าทางหม่อมแม่ไม่ค่อยสบายใจนะครับ” เขาจงใจเรียกหม่อมสุภัสสรอย่างสนิทสนม แล้วก็ได้ผลตามคาด เพราะลูกสาวเหลือบตามองทันที
ตาโตๆ มองค้อนแบบไม่ค่อยพอใจ น่าแปลก...ที่เขากลับชอบท่าทางแบบนี้ซึ่งดูเหมือนว่าจะเคยเห็นมาแล้วหนหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานนัก จัสตินอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองชักจะเพี้ยน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวข่าวก็เงียบ”
“คุณแน่ใจเหรอ”
“ถ้าเขาไม่มีอะไรจะเขียน เรื่องมันก็เงียบไปเองค่ะ อีกอย่างพราวไม่ใช่ดารา คงไม่มีคนสนใจข่าวคนธรรมดากันนักหรอก”
“ถ้าคุณหญิงเป็นคนธรรมดาๆ คงไม่มีคนแอบถ่ายรูปเอาไปลงหนังสือพิมพ์”
“ปกติก็อยู่เงียบๆ ไม่มีอะไรให้ใครพูดถึง”
จัสตินเริ่มเดาได้แล้วว่าพราวรัมภาอยู่ในตระกูลดังเป็นที่รู้จักในวงสังคมมายาวนาน แต่ก่อนหน้านี้เธอค่อนข้างเก็บตัวจึงแทบไม่มีข่าวคราวใดๆ ในหน้าสื่อ ทว่าตอนนี้เธอเริ่มออกสื่อจากการเป็นพรีเซนเตอร์ให้สินค้าของตนเองซึ่งมีการโฆษณาขายสินค้าทั้งในระบบออนไลน์และออฟไลน์ จึงมีคนรู้จักและสนใจอย่างรวดเร็ว เพราะพื้นฐานเดิมไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงแต่อย่างใด แถมรูปร่างหน้าตายังสวยสะดุดตาขนาดนี้ จึงกลายเป็นจุดสนใจของนักข่าวได้ไม่ยาก
“คุณหญิงอยากให้ผมช่วยแก้ข่าวไหม”
“ก็แล้วแต่คุณค่ะ” พราวรัมภาตอบหลังจากคิดอยู่ชั่วอึดใจ
“เรื่องหนังสือพิมพ์ผมจัดการได้ไม่ยาก”
“แล้วจะแก้ว่ายังไงคะ”
แม้เขาจะบอกอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่พราวรัมภาชักไม่แน่ใจว่ายิ่งแก้จะยิ่งไปกันใหญ่หรือไม่ คนที่ตกเป็นข่าวบางคนจึงทำเฉยไม่ตอบโต้เพื่อให้เรื่องเงียบไปเอง แล้วสุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
“แก้ข่าวเรื่องที่พวกเขาว่าคุณหญิงเป็นตุ๊กตาของผม” เขาจงใจเอ่ยถึงเรื่องนี้ เพราะอยากดูว่าพราวรัมภาคิดและรู้สึกอย่างไรกันแน่
“ค่ะ” เธอรับคำเสียงเบา สีหน้าดูหมองลงทันทีเมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้
“คงไม่ใช่แค่หม่อมแม่ คุณหญิงก็ดูไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องนี้”
“ก็บอกแล้วไงคะว่าปกติเราอยู่กันเงียบๆ”
“ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณหญิงเดือดร้อน”
พราวรัมภาได้ยินแล้วกลับนิ่ง ชีวิตของเธอนับแต่สูญเสียบิดาไปก็แทบไม่มีอะไรเป็นข่าวดีอีกเลย ถ้าวันนี้จะมีข่าวร้ายเพิ่มขึ้นมาอีกสักเรื่องก็ดูเหมือนจะไม่แปลกกระไรนัก
“เอ่อ...คราวก่อนผม...” เขาเห็นสีหน้าเธอแล้วรู้สึกผิดมากขึ้น “ผมอยากคุยกับคุณหญิงเรื่องที่ผมอยากช่วย”
“พราวบอกคุณไปแล้วนี่คะ”
“ปฏิเสธทำไมในเมื่อตัวเองกำลังเดือดร้อน” จัสตินถามเสียงเข้มกว่าเดิม แต่อีกฝ่ายไม่ตอบโต้
พราวรัมภาเหลือบตามองคนที่พยายามจะเสนอเงินก้อนใหญ่ให้อีกเป็นครั้งที่สอง เธอไม่ปฏิเสธหรอกว่าเวลานี้ไม่ต้องการเงิน แต่ถ้ารับมาแล้วจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างใครหรือมีใครเข้ามาเป็นเจ้าชีวิตแล้วละก็ คงต้องขอคิดให้ดีอย่างถี่ถ้วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โดยเฉพาะคนอย่างจัสตินที่ไม่ว่าใครก็ต้องดูออกว่าเขาคงใช้เงินซื้อทุกอย่างมาแล้วทั้งชีวิต ไม่เช่นนั้นคงไม่เที่ยวเสนอเงินก้อนโตให้สาวๆ ง่ายๆ ขนาดนี้
“ย้ายจากเป็นหนี้ธนาคารแล้วมาเป็นหนี้คุณ มันจะต่างกันตรงไหนคะ” พราวรัมภาบอกเหตุผลที่อาจทำให้เขาย้อนคิดได้บ้างว่าคนเป็นหนี้รู้สึกอย่างไร คนที่มีเงินล้นเหลืออย่างเขาอาจไม่เคยสัมผัสอารมณ์หรือความรู้สึกนี้มาก่อน จึงมองเห็นว่าทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายไปหมด
“ผมไม่ได้พูดเลยสักคำว่าจะให้คุณมาเป็นหนี้ผม” เขาปฏิเสธพร้อมทำท่ายักไหล่นิดๆ อย่างที่เคยทำจนชิน
“พราวไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่การเอาเงินคนอื่นมามันก็คือเป็นหนี้ ไม่ว่าคุณจะให้โดยไม่ต้องทำสัญญาหรือวิธีไหนก็ตามแต่”
“ผมให้เฉยๆ” เขาย้ำเจตนารมณ์อีกครั้ง แม้จะฟังดูไร้เหตุผลเหมือนคนบ้าบิ่น
“ขอบคุณค่ะที่อุตส่าห์มีน้ำใจ แต่...” พราวรัมภายังพูดไม่จบก็ถูกขัดเสียก่อน
“เอาอย่างนี้ดีไหม คุณมีเมื่อไรก็ค่อยเอามาคืน ผมไม่รีบเพราะผมไม่เดือดร้อน คุณก็รู้” เขาคิดเงื่อนไขเพิ่มเติมขึ้นมาอีกเล็กน้อย
จัสตินจ้องดวงตาโตดำขลับอย่างรอคอยคำตอบ เขามองเห็นแววลังเลสับสนที่ฉายวูบขึ้นมาก่อนจะจางหายไป พร้อมกับดวงหน้าสวยอ่อนหวานที่ก้มลงมองพื้น
“คุณหญิง...” เขาเรียกเมื่อเห็นว่าเธอก้มหน้าหลบตา ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความอึดอัดที่แฝงไว้ด้วยความสะเทือนใจจากอารมณ์ที่กำลังถูกบีบคั้นจนเริ่มสับสน
เสียงเคาะประตูดังขึ้น สองหนุ่มสาวจึงต้องหยุดการสนทนาลงเพียงเท่านั้น
“มีอะไรหรือนิ่ม” พราวรัมภาเงยหน้าขึ้นมาถาม แล้วลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“คุณอนวัชมาค่ะ”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“รออยู่ในห้องโถงค่ะ”
“เดี๋ยวฉันออกไป” หญิงสาวบอกเสียงเบา แล้วเหลือบเห็นว่าแขกคนที่กำลังคุยกันอยู่มีสีหน้าสงสัยเต็มที่แบบไม่คิดปิดบัง
“ใครมาครับ” เขาถามด้วยความสงสัย พอจะเดาจากชื่อได้ว่าน่าจะเป็นชายหนุ่ม
ที่สำคัญทั้งพราวรัมภาและสาวใช้ดูคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับชายหนุ่มนามว่า อนวัช
“เพื่อนค่ะ”
“เขามาที่นี่บ่อยๆ หรือครับ” จัสตินไม่คิดจะเก็บงำความสงสัยไว้และไม่สนใจว่าคนถูกถามอยากตอบหรือไม่
“ค่ะ เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว”
พราวรัมภารู้จักกับอนวัชตอนเรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ เขาเป็นรุ่นพี่หนึ่งชั้นปีและคอยให้ความช่วยเหลือเธอมาตลอด แต่ระยะสองสามเดือนมานี้เขาต้องลงใต้ไปดูแลธุรกิจโรงแรมของครอบครัวที่เพิ่งเปิดใหม่ จึงหายหน้าจากวังธาดาไปนาน
“ผมจำได้คุณบอกว่าไม่ค่อยมีเพื่อน” เขาอ้างอย่างคนความจำดี
“มีน้อยค่ะ ไม่ได้บอกว่าไม่มี”
จัสตินได้ยินแล้วเงียบไป แต่ตอนนี้เริ่มอยากรู้ว่าเพื่อนชายคนสนิทของพราวรัมภาเป็นอย่างไร ตอนแรกเขาคิดว่ามีแค่ราเมศกับพ่อของตนเท่านั้นที่เป็นตัวเลือก แต่สุดท้ายก็มีโผล่มาอีกคน ไม่แน่อาจจะมีรายที่สี่หรือห้าอีกก็ได้ ใครจะไปรู้
แต่ตอนนี้เขายังไม่เห็นว่าพราวรัมภามีเพื่อนหรือคนที่เข้ามาพัวพันเป็นเพศเดียวกันเลยสักคน ยกเว้นแค่อรอินทุ์คนเดียวเท่านั้น
ความคิดเห็น |
---|