หลังประชุมเสร็จซึ่งเลยเวลาอาหารเที่ยงมาเพียงเล็กน้อย เจ้าบ้านเชิญแขกไปที่ห้องรับประทานอาหารซึ่งอยู่ด้านหน้าติดกับห้องประชุมและมีขนาดใกล้เคียงกัน โดยมีโต๊ะขนาดใหญ่รองรับได้ราวยี่สิบที่นั่ง ส่วนห้องครัวอยู่ทางด้านหลัง
รอนเลือกนั่งข้างๆ อรอินทุ์ด้วยความตั้งใจ พราวรัมภาจึงต้องเอ่ยเชิญให้จัสตินนั่งข้างๆ ตนเองตามมารยาท เมื่อแขกเข้ามานั่งแล้วจึงทยอยเสิร์ฟอาหารที่เตรียมไว้พร้อมเพื่อต้อนรับแขก
สองหนุ่มซึ่งคุ้นเคยกับอาหารฝรั่งมากกว่าอาหารไทยถึงกับมองตาค้างหลังจากที่อาหารเสิร์ฟขึ้นโต๊ะหมดทุกจานแล้ว
“ทานกันเถอะค่ะ” พราวรัมภาเอ่ยปากในฐานะเจ้าบ้าน เมื่อเห็นว่าแขกทั้งสองเอาแต่นั่งนิ่งทำตาปริบๆ
“นี่อาหารหรือครับ” จัสตินหันมาถามเจ้าของวังแบบไม่แน่ใจ เพราะเกิดมาเพิ่งเคยเห็นเมนูสุดวิจิตรพิสดารเช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้จะกลับมาอยู่ประเทศไทยนานเกินหนึ่งปีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มลองอาหารไทยในลักษณะนี้
“อาหารไทยโบราณค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าหนุ่มอเมริกันทำหน้าเหมือนไม่รู้จะเริ่มต้นกินอะไรก่อน หรือที่เรียกว่ากินไม่เป็นนั่นเอง
“อาหารชาววังรึเปล่าครับคุณหญิง” รอนคุ้นกับเรื่องไทยๆ มากกว่าจึงถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ค่ะ” พราวรัมภารับคำสั้นๆ แล้วจึงหันกลับมาหาคนข้างๆ ที่ยังดูเก้ๆ กังๆ “ลองทานข้าวผัดดูก่อนไหมคะ”
“ครับ”
จัสตินมองตามมือเรียวๆ ที่กำลังหยิบฝาเปิดผอบที่ทำจากหัวเผือกลูกใหญ่แกะสลักเป็นลวดลายวิจิตรสวยงาม ภายในมีข้าวผัดโรยหน้าด้วยหมูหวาน เผือกหั่นชิ้นเล็กๆ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ รอบจานขนาดย่อมๆ ที่วางผอบอยู่นั้นมีผักแกะสลัก เช่น แตงกวา ฟักทอง และเนื้อมะละกอห่ามสีส้มที่สลักเป็นดอกไม้ จนดูคล้ายเป็นงานประติมากรรมมากกว่าอาหาร
พราวรัมภาหยิบช้อนกลางขึ้นมาตักข้าวผัดในผอบมาใส่จานให้เขาเพียงสองช้อน จัสตินลองตักชิมทันทีก่อนจะหันมาบอกหลังจากกลืนไปแล้วคำหนึ่งว่า
“อร่อยมากเลยครับ” เขาว่าอย่างตื่นเต้นกับความงดงามอลังการที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารได้อีกหลายเท่า “คุณหญิงก็ทานด้วยสิครับ”
ชายหนุ่มหันกลับไปที่จานอาหารบนโต๊ะ แล้วเห็นว่ามีข้าวผัดอีกจานอยู่ในจานลายครามขนาดใหญ่ มีดอกบัวสดสามดอกที่ยังติดอยู่กับสายบัวขดเป็นวงวางบนจานล้อมข้าวผัดไว้อย่างน่าตื่นตา โรยหน้าด้วยเนื้อปูและพริกขี้หนูหั่นสีแดงสด
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณเมื่อแขกมีน้ำใจตักข้าวผัดมาให้ด้วยท่าทีเอาใจใส่อย่างที่ไม่คิดว่าเขาจะทำได้ เพราะบุคลิกที่ดูเป็นฝรั่งแถมยังเป็นคนรุ่นใหม่ จึงดูออกไปทางห่ามๆ ตามสไตล์หนุ่มอเมริกันยุคนี้
“แล้วนั่นอะไรครับ” จัสตินถามด้วยความสนใจพร้อมกับชี้ไปที่ฟักทองสีเหลืองอร่ามที่แกะสลักลวดลายอย่างไว้ฝีมือตามแบบชาววัง มีฝาเปิดแบบผอบเช่นกัน
“น้ำพริกลงเรือค่ะ พราวสั่งให้ทำไม่เผ็ดมาก คุณจัสตินกับคุณรอนน่าจะพอทานได้ ลองดูสิคะ”
หญิงสาวว่าแล้วเปิดฝาฟักทองแกะสลักวางไว้บนจานรองขนาดใหญ่ มีผักนึ่งเครื่องเคียงหลากหลายชนิดหั่นเป็นชิ้นจัดเรียงล้อมผอบสีเหลืองสดไว้อย่างสวยงาม รองด้วยใบตองเย็บแบบจับจีบโดยรอบ
เมื่อเปิดฝาออกจึงเห็นว่ามีถ้วยน้ำพริกขนาดพอดีกับปากผอบฟักทองอยู่ข้างใน
“ปกติรสเผ็ดหรือครับ” เขาถามพลางหยิบช้อนเพื่อตักน้ำพริกเองอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอให้ใครบริการอีก เพราะเริ่มรู้สึกคล่องตัวขึ้นแล้ว
“เผ็ดนิดหน่อยค่ะ คุณรอนลองชิมสิคะ”
เจ้าบ้านหันไปบอกอีกคนเพื่อให้ทั่วถึงตามมารยาท ฝ่ายนั้นจึงยิ้มแล้วหยิบช้อนกลางต่อจากเพื่อนที่เพิ่งวางลง
“ต้องทานกับข้าวสวยค่ะถึงจะอร่อย” อรอินทุ์ว่าแล้วหันไปมองหาโถข้าวสวยเซรามิกสีขาวที่วางอยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็ตักข้าวหนึ่งทัพพีใส่จานของชายหนุ่มที่เพิ่งรับประทานข้าวผัดหมดไปเมื่อครู่
“ผมขอด้วยสิครับ”
จัสตินไม่ยอมให้เพื่อนได้อร่อยคนเดียว อรอินทุ์จึงเลื่อนโถเซรามิกมาให้พราวรัมภาซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันเพื่อตักข้าวสวยร้อนๆ ให้อีกคนที่ต้องการ เพราะตอนนี้ในห้องไม่มีคนรับใช้ยืนคอยให้บริการ
“คุณหญิงทานแบบนี้ทุกวันหรือครับ” จัสตินอดถามไม่ได้
“ไม่หรอกค่ะ เราทำเฉพาะเวลามีแขกมาที่บ้านเท่านั้น” พราวรัมภาเรียกวังธาดาว่าบ้านตามความรู้สึกของตนเอง เพราะเกิดและอาศัยอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต
“ขอบคุณนะครับที่เตรียมอาหารที่ทำยากขนาดนี้ไว้ต้อนรับ”
หนุ่มอเมริกันอดนึกถึงพ่อไม่ได้ ตอนพ่อมาที่วังนี้ครั้งแรกก็คงได้รับการต้อนรับเยี่ยงนี้ ถึงได้ติดใจจนต้องกลับมาอีก
อาหารบนโต๊ะที่สวยงามวิจิตรบรรจงเต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล ไม่ต่างไปจากเจ้าของวังที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาตอนนี้ ความงามซึ่งบางครั้งอาจกลายเป็นกับดัก!
เขามองสบดวงตาโตที่กำลังมองมาแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจอาหารตรงหน้า
“สำหรับแม่ช้องคงทำไม่ยากเท่าไรค่ะ”
“แกะสลักลายละเอียดยิบอย่างนี้น่ะหรือครับ ไม่ยาก” รอนถามพลางเลิกคิ้วสูง
“ค่ะ แกดีใจด้วยซ้ำที่นานๆ จะได้ซ้อมมือสักที ตามปกติเราก็ทานกันธรรมดาง่ายๆ ค่ะ”
สองหนุ่มมองอาหารอีกหลายอย่างบนโต๊ะซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยผักแกะสลักเกือบทั้งสิ้น ด้วยความทึ่งในความละเอียดลออของคนทำที่คุณหญิงยืนยันว่าไม่ได้ยากกระไรนัก
“ผมชอบแกงในมะพร้าวครับ รสชาติเข้มข้นดี” รอนเอ่ยปากชมหลังจากที่ได้ชิมไปแล้วเป็นคนแรก
“แกงคั่วเงาะค่ะ ปกติแม่ช้องถนัดเรื่องแกงเป็นพิเศษ”
จัสตินมองลูกมะพร้าวเนื้ออ่อนที่เพิ่งเปิดฝาออกโดยมีแกงสีส้มๆ อยู่ในนั้น แถมยังเป็นแกงที่มีส่วนผสมเป็นลูกเงาะอีกด้วย ซึ่งเขาไม่เคยเห็นในร้านอาหารไทยที่ไหนมาก่อน ลูกมะพร้าวจัดวางไว้ในถาดเงินใบเล็กๆ ที่ประดับด้วยใบตองเย็บจับจีบแต่งสีสันด้วยฟักทองแกะสลักเป็นรูปดอกไม้อย่างสวยงาม ชวนให้ตักมาชิมสักคำอย่างอดใจไม่ได้
ตอนนี้เขาเรียนรู้แล้วว่า อาหารไทยต้องรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ เท่านั้นถึงจะอร่อย
“แล้วที่ยังไม่ได้เปิดฝานั่น ลูกอะไรครับ” เขาถามด้วยความสนใจ เพราะมีผอบแกะสลักเหลืออยู่อีกที่ยังเป็นความลับ
“น้ำเต้าค่ะ ส่วนข้างในคือแสร้งว่า” พราวรัมภาเปิดฝาน้ำเต้าแกะสลักออกทีละผล เผยให้เห็นกุ้งตัวโตสีส้มอ่อนๆ ที่ปรุงในลักษณะคล้ายพล่ากุ้งอยู่ด้านใน
“หือ...น้ำเต้าคืออะไร” จัสตินถามพร้อมขมวดคิ้ว เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนทั้งน้ำเต้าและแสร้งว่า
“เป็นผักชนิดหนึ่งค่ะ ผลเอามาทำอาหารได้หลายอย่าง”
“แสร้งว่า...ชื่อแปลกอีกเหมือนกันนะครับ”
“แปลกแต่อร่อยค่ะ ทานกับปลาดุกฟู”
พราวรัมภาพูดถึงเครื่องเคียงที่วางอยู่ข้างๆ แสร้งว่าในลูกน้ำเต้าบนพานเงินที่ประดับด้วยมะละกอสีส้มแกะสลักเป็นรูปใบไม้อยู่โดยรอบ จึงทำให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทนไม่ไหว ต้องยื่นมือมาตักไปชิมเสียก่อน
รอนชิมแล้วทำท่าว่าติดใจ จึงตักซ้ำอีกครั้งแบบไม่เกรงใจใครเพราะเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว
“นายลองดูสิ...ผมคงต้องมาที่นี่บ่อยๆ แล้วละครับ” รอนหันมาบอกพราวรัมภาในตอนท้าย
“ยินดีค่ะ” หญิงสาวรับคำยิ้มๆ และเห็นคนที่นั่งข้างๆ ตักมาชิมดูบ้าง
“คราวหน้าบอกแม่ช้องว่าไม่ต้องแกะสลักก็ได้ครับ” รอนบอกทั้งที่เจ้าของวังยังไม่ได้เอ่ยชวนเลยสักคำ จนอรอินทุ์ยิ้มขำ
ชายหนุ่มที่มาด้วยกันหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าที่เพื่อนออกอาการหลงมนตร์เสน่ห์ชาววังขึ้นมาอีกคน ขนาดรอนเป็นคนรุ่นใหม่และอยู่เมืองไทยมาเกือบตลอดชีวิต ยังตื่นเต้นกับความเก่าและแปลกในแบบฉบับของหายากของวังธาดา แล้วนับประสาอะไรกับ วิลเลียม บราวน์ พ่อของเขาที่เป็นอเมริกันเต็มตัว จะไม่หลงใหลจนแทบโงหัวไม่ขึ้น
“นายเป็นแค่ที่ปรึกษา จะมาทำไมบ่อยๆ” จัสตินอดขัดคอไม่ได้
“ก็มาให้คำปรึกษาไง”
“อยากมาก็มาเถอะค่ะ แต่เราอาจจะไม่ได้ทำอาหารชุดใหญ่ขนาดนี้ทุกครั้งนะคะ” พราวรัมภาบอกอย่างเอื้อเฟื้อและเป็นกันเอง
“ผมกินง่ายอยู่ง่ายครับ”
จัสตินบอกหญิงสาว เห็นเธอหันมาสบตาด้วยแบบไม่ค่อยเข้าใจว่า เขาจะต้องบอกเธอทำไมว่าเป็นคนง่ายๆ ในทุกเรื่อง
“แล้วปกติวังนี้ต้อนรับแขกบ่อยๆ หรือครับ”
“เมื่อก่อนมีแขกมาบ่อยค่ะ แต่สองสามปีมานี้นานๆ จะมีสักครั้ง” น้ำเสียงของพราวรัมภาเปลี่ยนไปเล็กน้อย หากไม่สังเกตคนฟังอาจไม่รู้สึกสะดุดหู
เมื่อก่อนนี้วังธาดาเคยคึกคัก แต่พอถึงยุคตกต่ำตั้งแต่ช่วงที่ท่านชายชรินทรเริ่มทำธุรกิจขาดทุนจนกลายเป็นคนมีหนี้สินพะรุงพะรัง ทั้งเพื่อนฝูงและญาติมิตรก็เริ่มห่างหายกระทั่งแทบไม่มีเหลือ ทุกวันนี้วังธาดาจึงแทบไม่มีใครเยี่ยมกรายมาให้เห็นหน้า เพราะทุกคนกลัวคนมีหนี้กันทั้งนั้น นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พราวรัมภาไม่อยากปล่อยมือจากวังแห่งนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่วัตถุ แต่ก็มีคุณค่าทางใจอย่างลึกซึ้ง...ในแบบที่บางคนอาจไม่เข้าใจ
“คุณหญิงคงผูกพันกับที่นี่มาก” จัสตินถามเมื่อเห็นท่าทางและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของหญิงสาวเจ้าของวังซึ่งดูเหมือนมีบางอย่างสะเทือนใจ
เธอไม่ได้ตอบ ทำเพียงเหลือบสบตาเขาเท่านั้น ก่อนจะหันไปเอ่ยชวนรอนให้ชิมจานต่อไปที่ยังไม่มีใครแตะต้องเลยสักคน
“กุ้งนอนแหก็อร่อยนะคะ”
“ชื่อแปลกอีกแล้วครับ”
จัสตินมองอาหารที่จัดเรียงอยู่ในจานกลมลายครามใบใหญ่ในลักษณะเรียงเป็นวงกลมบนผักกาดหอมสีเขียวอ่อน ตัดกับสีดอกไม้ตรงใจกลางที่แกะสลักจากมะละกอสีส้มสดใส แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ กุ้งตัวโตๆ ที่นอนซุกตัวอยู่ในตาข่ายโปร่งๆ สีเหลืองกรอบน่ากิน
“สีเหลืองนั่นคือแหรึเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ ทำมาจากไข่ไก่ทอดแบบโรยให้เป็นเส้นๆ กลายเป็นแพตาข่าย แล้วเอาขึ้นมาตัดเป็นชิ้นๆ ให้ขนาดพอดีเท่าห่อตัวกุ้ง”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะทอดไข่ให้เป็นตาข่ายแบบนี้ได้”
จัสตินตักมาชิ้นหนึ่งเมื่อหญิงสาวเลื่อนจานมาไว้กลางโต๊ะ จากนั้นทุกคนจึงได้ชิมกุ้งนอนแหแทบจะพร้อมๆ กัน
“ไม่ยากหรอกค่ะ แม่ช้องแกทำอาหารพวกนี้ประจำ เป็นของว่างสำหรับทานเล่นๆ กันเท่านั้นเอง แต่ที่ทำบ่อยๆ ก็เห็นจะเป็นกระทงทอง เพราะแม่ชอบ” พราวรัมภาว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกเพราะรับประทานกันจนชิน
“คุณหญิงโชคดีจังเลยนะครับ” รอนบอกด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
พราวรัมภาเพียงยิ้มรับโดยไม่ตอบว่ากระไร เหมือนเช่นหลายครั้งที่มีคนออกปากชื่นชมชีวิตของคุณหญิงคนหนึ่งที่ดูภายนอกแล้วเหมือนสมบูรณ์พรั่งพร้อม แต่จะมีใครรู้บ้างว่าเธอต้องเผชิญปัญหาใดบ้างในช่วงสองสามปีมานี้
หลังจากอิ่มหนำกับอาหารตำรับชาววังกันแล้ว หนุ่มๆ จึงขอตัวลากลับ ระหว่างทางที่นั่งรถออกมาด้วยกันเพื่อไปยังโรงแรมแกรนด์อารินา รอนก็อดเอ่ยกับเพื่อนรักไม่ได้เรื่องวังธาดาและคุณหญิงผู้เป็นเจ้าของ
“คุณหญิงก็ดูน่ารักดีนะ พูดช้าๆ ทำอะไรเนิบๆ ดูแล้วไม่น่าจะมีพิษสงอะไร” รอนออกความเห็นหลังจากได้สัมผัสชีวิตของคุณหญิงพราวรัมภาในแบบที่เธอเป็น
“เห็นใครสวยนายก็ใจละลายแบบนี้ทุกที” จัสตินว่าโดยที่ตายังมองถนน
“พูดยังกับตัวเองใจแข็งนักหนา” รอนทำเสียงเยาะ แล้วเหน็บเพื่อนอีกหน่อยว่า “เจอน้ำพริกลงเรือกับแสร้งว่ากุ้งของวังธาดาเข้าไป ก็แทบจะระทวยเป็นกุ้งติดแหไปไหนไม่รอด”
“กุ้งนอนแหไม่ใช่เหรอ” จัสตินยังจำชื่อเมนูโปรดของตนเองได้ ดูเหมือนจานนั้นจะอร่อยที่สุดบนโต๊ะสำหรับฝรั่งอย่างเขา “ว่าแต่นายเข้าวังไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง พอกลับออกมาสำนวนดีขึ้นเป็นกองเลย”
“ไม่ได้เพิ่งดีวันนี้ ภาษาไทยฉันแข็งมานานแล้ว”
“เหรอ สงสัยฉันต้องไปหาที่เรียนบ้างแล้วละ อ้อ...ต่อไปนี้นายไม่ต้องพูดอังกฤษกับฉันแล้วนะ” จัสตินสั่งเพื่อน เพราะเริ่มรู้สึกว่าภาษาไทยของตนเองยังอ่อนอยู่มากจากการประชุมในวันนี้
“แหม...อยากจะเป็นคนไทยขึ้นมาเลยเชียว ตกลงว่านายจะเริ่มปฏิบัติการแล้วใช่ไหม” รอนถามด้วยน้ำเสียงครื้นเครงขึ้นมา เพราะเริ่มสนุกไปด้วยแล้วในตอนนี้ เมื่อนึกถึงหน้าของสาวสวยอีกคนที่เป็นเจ้าของเบอร์รีแบ็ก
อรอินทุ์สวยปราดเปรียวก็จริง แต่ยังดูมีความเป็นไทยอย่างลงตัวระหว่างสาวมั่นยุคใหม่กับสาวไทยที่มีความอ่อนหวานด้วยกิริยามารยาทแบบผู้ดีเต็มตัว
“ปฏิบัติการอะไร”
“ปฏิบัติการ...ลูกทรพีไงล่ะ” รอนว่าแล้วหัวเราะขำมากกว่าจริงจัง
“หมายความว่าไง” จัสตินหันมามองหน้าเพื่อนซี้ เพราะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าลูกทรพี
“ลูกไม่กตัญญู แถมยังทรยศพ่อไง”
“ฉันเนี่ยนะทรยศพ่อ ฉันกำลังหาทางช่วยพ่อต่างหาก” จัสตินค้านเสียงดัง
“ด้วยการพยายามแย่งผู้หญิงของพ่อตัวเอง” รอนยังไม่เลิกกล่าวหา เพราะเห็นแบบเต็มๆ ตาแล้วว่าคุณหญิงพราวรัมภาเป็นอย่างไร แล้วเหตุใดบิดาของเพื่อนถึงได้ปักอกปักใจคิดจริงจังถึงขั้นแต่งงาน
“ฉันไม่ได้แย่ง ถ้าคุณหญิงนั่นสอบผ่านก็ได้แต่งงานกับพ่อฉันแน่นอน”
“จะเป็นแม่เลี้ยงของ จัสติน บราวน์ นี่ยุ่งยากชะมัดเลยนะ” รอนทำเสียงหมั่นไส้
“ก็แค่บททดสอบเล็กๆ น้อยๆ แล้วนายก็เปลี่ยนชื่อปฏิบัติการนั่นด้วย ฟังแล้วไม่เข้าท่า”
“จะเปลี่ยนเป็นอะไร”
“ปฏิบัติการ...เด็ดปีกหงส์!”
รอนหันมามองหน้าแล้วเบิกตากว้าง ส่วนเจ้าตัวที่เพิ่งคิดชื่อออกกลับยักคิ้วกวนๆ
“ไหนว่าแค่ทดสอบเล็กๆ น้อยๆ แต่ฟังดูเหมือนกำลังจะจับคุณหญิง...เอ่อ...”
รอนนึกถึงภาพหงส์ขาวที่ว่ายน้ำเล่นอยู่ในสระแสนสวยของวังธาดาถูกกระชากขึ้นมาจากผิวน้ำอันสงบนิ่ง แล้วหักปีกอันบอบบางอย่างเลือดเย็น
“จับคุณหญิงทำไม” จัสตินหันมามองหน้าคนที่พูดค้างอยู่
“จับมาเชือดไง ก็นายบอกว่าเด็ดปีก!”
“บ้าแล้ว!” จัสตินหันมาโวย
“ถ้านายคิดจะทำอะไรรุนแรง ฉันขอร้องให้เลิกคิดซะ” รอนบอกเสียงเข้มจริงจังขึ้นมาทันที
“นายคิดไปถึงไหน ทำเหมือนฉันกำลังจะฆ่าคนตาย”
“คนบางคนไม่ต้องฆ่าให้ตาย แต่ถูกกระทำบางอย่างก็อาจรู้สึกเหมือนตายทั้งที่ยังหายใจอยู่”
“รอน...เดี๋ยวนี้นายดูเข้าอกเข้าใจผู้คนมากเลยนะ” จัสตินหันมาทำหน้าเหมือนเหลือเชื่อ
“เข้าใจมานานแล้ว มีแต่นายนั่นแหละที่ยังสับสน”
“เฮ้...ฉันยังไม่ต้องการจิตแพทย์ตอนนี้” จัสตินรีบห้ามก่อนที่เพื่อนจะร่ายยาวไปกว่านี้
“นายไปพบหมอบ้างก็ดีนะ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” รอนถามเสียงขรึม เพราะเริ่มเป็นห่วงทั้งเพื่อนตนเองและคุณหญิงพราวรัมภา ส่วนเรื่องไปพบจิตแพทย์นั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนตะวันตก ซึ่งแตกต่างจากสังคมไทยที่มองว่าใครไปพึ่งพาจิตแพทย์เท่ากับว่าเป็นคนจิตไม่ปกติ
“นานแล้ว ฉันสบายดี” จัสตินพยายามยืนยัน
“คนบ้ามักจะบอกว่าตัวเองดี” รอนยังบอกด้วยความรู้สึกทั้งเป็นห่วงและรำคาญในเวลาเดียวกัน
“จะบ้าหรือดี แต่งานนี้นายต้องช่วยฉัน” จัสตินหันมาบอกเสียงเข้มก่อนที่รถจะจอดติดไฟแดง
“ช่วยอะไรอีก นี่ก็ช่วยเยอะแล้วนะ”
“ยังมีอีก” จัสตินว่าแล้วยักคิ้วอย่างที่แทบไม่เคยทำต่อหน้าใครนอกจากเพื่อนสนิท เวลาคุยกับรอนเขารู้สึกผ่อนคลายและแสดงออกได้เต็มที่แบบไม่ต้องฝืนหรือบังคับตัวเองตลอดเวลา
“ฉันไม่ใช่ลูกน้อง อย่ามาสั่ง” คนที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยมาตลอดเริ่มฉุน
“นายไม่กลัวกิจการของคุณหนูอินจะเจ๊งรึไง” จัสตินมีไม้ตายตามประสาคนเจ้าเล่ห์โดยสายเลือดที่ไม่เคยยอมตกเป็นเบี้ยล่างใคร และมักจะชอบสถานะที่ถือไพ่เหนือกว่าเป็นปกติ
“นายรับปากแล้วนะว่าจะไม่ทำอะไรกระทบคุณหนูอิน”
“แน่นอน แต่นายก็ต้องให้ความร่วมมือนิดหน่อย” หนุ่มอเมริกันเชื้อสายยิวยักคิ้วอีกหน
“นี่ขู่กันเหรอ” รอนมองเพื่อนซี้ด้วยสายตาที่อยากจะซัดแบบเต็มๆ สักหมัด
“พูดอะไรอย่างนั้น ฉันก็แค่อยากให้นายได้ใกล้ชิดคุณหนูอิน”
“ยังไง” รอนยังเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
“ก็แค่ช่วยกันคุณหนูอินของนายออกไป ไม่เห็นหรือว่าสองคนนั้นตัวติดกันตลอดเวลา”
“อ้อ...โอเค” รอนถอนใจเฮือกเมื่อรู้แล้วว่าต้องช่วยอะไร ซึ่งไม่เหลือบ่ากว่าแรง แถมน่าจะดีด้วยซ้ำสำหรับตนเอง
“ก็แค่นี้แหละ นายคงไม่ปฏิเสธใช่ไหมเพื่อน”
จัสตินว่าแล้วหัวเราะเบาๆ อย่างชื่นมื่นโดยที่รอนไม่ได้ตอบ แต่ดูจากสีหน้าแล้วก็ไม่น่าจะอึดอัดลำบากใจกระไรนัก
ความคิดเห็น |
---|