15

สวนหลังวัง

จัสตินมาที่วังธาดาอีกครั้งหลังจากสำนักงานใหม่ตกแต่งเรียบร้อย เขาไม่ได้โทร. นัดพราวรัมภาไว้ล่วงหน้า แต่ขับรถมาที่วังหลังออกจากบริษัทตอนบ่ายๆ ด้วยความรู้สึกที่ทั้งอยากเห็นสำนักงานที่เพิ่งเสร็จและอยากเจอคุณหญิง เขาไม่ได้พบเธอมากว่าหนึ่งสัปดาห์เพราะไม่มีเหตุอันใดที่ต้องพบเจอกัน

ส่วนเรื่องซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงงานนั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ โดยมีทนายความที่ปรึกษาของเบอร์รีแบ็กดูแลเรื่องนี้ เขาได้รับรายงานผ่านทางอีเมลเป็นระยะๆ จากอรอินทุ์เกี่ยวกับความก้าวหน้าเรื่องต่างๆ ในฐานะที่เธอเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท

ตอนที่เขาขับเบนท์ลีย์คันหรูมาถึงวังธาดา เจ้าของวังกำลังไปดูความเรียบร้อยของสำนักงานใหม่เพราะต้องเปิดใช้งานเร็วๆ นี้ เขาจึงรีบตามไปที่นั่นทันที

จัสตินเดินเข้ามาภายในห้องโถงชั้นล่างที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นห้องทำงานไปเรียบร้อยแล้ว พบว่าพราวรัมภากับพนักงานคนหนึ่งของเบอร์รีแบ็กและคนรับใช้ในวังอีกคนกำลังช่วยกันจัดเฟอร์นิเจอร์ภายในห้อง ภาพที่เห็นทำให้เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวจะลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเอง แถมวันนี้ยังสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนอีกด้วย

“คุณหญิง”

“คุณจัสติน!” คนที่ถูกเรียกหันมาหาพร้อมกับเลิกคิ้วนิดๆ ด้วยความแปลกใจที่จู่ๆ เขาก็โผล่เข้ามา

“ผมจะมาดูออฟฟิศครับ”

“เชิญค่ะ เกือบเรียบร้อยแล้ว” พราวรัมภายิ้มให้คนที่ดูท่าทางตื่นเต้นกับสำนักงานเล็กๆ ที่เพิ่งปรับปรุงเสร็จ

ใครเล่าจะคิดว่าเศรษฐีอเมริกันอย่างเขาจะสนใจเรื่องเล็กน้อยอย่างสำนักงานแห่งนี้ ในเมื่อเขาเป็นนักลงทุนใหญ่มีทรัพย์สินอยู่ในมือแบบที่เธอแทบไม่กล้าประเมินว่ามากเพียงใด แต่เท่าที่รู้แน่นอนคือ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทคอนโดมิเนียมแห่งนั้น อรอินทุ์สืบจนรู้ความจริงมาแล้วว่าเขาไม่ได้ยกเมฆเรื่องสถานะของตนเองขึ้นมาลอยๆ

“คุณหญิงต้องทำเองเลยหรือครับ”

“คนของเรามีน้อยนี่คะ มีอะไรก็ต้องช่วยกันทำ ช่วงนี้หนูอินก็วุ่นกับเรื่องซื้อที่ดิน”

“มีอะไรให้ผมช่วยไหม” เขาถามเพราะอยากช่วยจริงๆ

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ใกล้จะเสร็จแล้ว” พราวรัมภาต้องรีบปฏิเสธในฐานะเจ้าบ้านที่ดี และไม่คิดว่านักบริหารอย่างเขาจะช่วยอะไรได้

“ผมช่วยยกของได้นะครับ” เขาพยายามตื๊อแบบไม่ยอมง่ายๆ เพราะเวลามีน้อย ต้องรีบทำคะแนน

“เอ่อ...” พราวรัมภาหันไปมองหน้าพนักงานสาวเป็นเชิงปรึกษา แล้วเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้แนะนำให้เขารู้จัก “พี่อุษา นี่คุณจัสตินค่ะ นักลงทุนจากอเมริกา เป็นหุ้นส่วนใหม่ของบริษัทเรา ส่วนคุณอุษาเป็นพนักงานบัญชีของเราค่ะ”

ทั้งสองฝ่ายจึงทักทายกันโดยมีพราวรัมภาเป็นผู้แนะนำ

“ตามสบายนะครับ” จัสตินบอกหญิงสาววัยสามสิบกว่าๆ ที่กำลังวางท่าไม่ถูก คล้ายตื่นเต้นหรือเกร็งกับการได้พบเจ้านายคนใหม่แบบไม่ทันตั้งตัว เขาจึงต้องบอกเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลง

“ตอนนี้ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักลงทุนต่างชาติแล้วนะครับ” เขาหันกลับมาบอกหญิงสาวราวกับต้องการแย้งว่าเธอแนะนำผิดไปนิดหน่อย

“ค่ะ” พราวรัมภาจำต้องพยักหน้าตามแบบคนที่แทบไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับใคร

“น่าจะจ้างคนมาช่วยจัดสถานที่นะครับ” เขามองไปรอบๆ แล้วออกความเห็น

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตอนนี้เหลือแค่ข้างบนอีกนิดหน่อย เชิญคุณจัสตินนั่งก่อนค่ะ”

พราวรัมภารีบบอกเพื่อให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องออฟฟิศใหม่ที่ยังไม่ลงตัว เพราะทุกอย่างค่อนข้างฉุกละหุก อันเนื่องมาจากการวางแผนและตัดสินใจอย่างรวดเร็วของเขานั่นเอง

พอคิดอะไรออกหรืออยากได้อะไรต้องรีบทำทันที แบบไม่สนใจด้วยว่าจะมีใครทำให้ทันไหม

“ผมจะขึ้นไปช่วย”

“จะดีหรือคะ” อุษาเกรงใจ เขาคือบอสใหญ่ในเวลานี้ เพราะเป็นเจ้าของเงินทุนมากกว่าครึ่งหนึ่งของกิจการ

“ดีครับ มาทำงานที่นี่ผมก็แค่งดไปฟิตเนส”

เขาเดินเข้าไปช่วยอุษาซึ่งกำลังจะขนอุปกรณ์สำนักงานขึ้นชั้นสอง พราวรัมภาจึงไม่ห้ามอีกและเดินเข้ามาช่วยกันขนของหลายลังขึ้นไปชั้นบน

“คุณหญิงพักก่อนดีไหมครับ” จัสตินถามหลังจากทยอยยกของขึ้นมาจนหมด

“นั่นสิคะ ที่เหลือฉันจะจัดการให้เองค่ะ คุณหญิงไปพักผ่อนเถอะ”

อุษารีบพยักหน้าเห็นด้วยกับหุ้นส่วนใหม่ ที่จริงแล้วเธอรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เพราะไม่คุ้นเคยกับหนุ่มฝรั่งที่เพิ่งได้พบหน้า แถมเขายังเป็นเศรษฐีใหญ่อีกด้วย แม้จะมีท่าทีไม่ถือตัว แต่ก็ไม่ควรมาทำงานราวกับเป็นพนักงานระดับล่าง แม้เขาจะขันอาสาเอง แต่ตามความรู้สึกคนไทยทั่วไปอย่างอุษาก็ยังรู้สึกว่าเขากับตนอยู่กันคนละระดับ ไม่ควรจะทำตัวตีเสมอไม่ว่ากรณีไหนทั้งสิ้น

“ขอบคุณนะคะ”

พราวรัมภาหันไปขอบคุณลูกน้องที่สนิทสนมกันพอสมควรจากการทำงานร่วมกันมาหลายปี แล้วจึงหันมาหาคนที่เป็นแขก ตอนนี้เขาถกแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นมาถึงข้อศอกเตรียมลุยงานหนัก ร่างสูงใหญ่ดูแข็งแรงกำยำแบบคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจนหญิงสาวเผลอมอง

“ไปที่ตึกใหญ่กันเถอะค่ะ”

“ฝากด้วยนะครับ”

จัสตินไม่ลืมหันไปบอกอุษาและคนรับใช้ในวังอีกคนหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่ก็รีบตกปากรับคำทันที ราวกับต้องการให้เขากับพราวรัมภาออกไปจากตึกหลังเล็กโดยเร็วที่สุด

พราวรัมภาเดินนำออกไปก่อนโดยมีเจ้าของร่างสูงใหญ่เดินตามมาติดๆ เมื่อพ้นจากบริเวณตึกหลังเล็กแล้ว หญิงสาวจึงเหลือบมองคนข้างๆ ซึ่งมีบุคลิกกระฉับกระเฉงแบบคนรุ่นใหม่ ต่างจากเธอที่ดูเนิบๆ เรียบเรื่อยราวกับคนตกยุค

“คุณหญิงเหนื่อยไหมครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนคนฟังรู้สึกได้

“ทำงานแค่นี้ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ” เธอส่งยิ้มให้เขานิดๆ แทนคำขอบคุณที่ไถ่ถามด้วยความห่วงใย

“ถ้าอย่างนั้นเราเดินไปดูด้านหลังวังกันดีไหม” เขาเอ่ยชวนทันที

“ท้ายวังหรือคะ” เจ้าของวังถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ คราวก่อนที่คุณหญิงพาเดินชมวัง ผมเห็นมีต้นไม้เยอะมากเหมือนเป็นสวนอยู่ด้านหลัง” เขาถามด้วยท่าทีสนอกสนใจเป็นพิเศษ

“ก็ไม่เชิงเป็นสวนหรอกค่ะ มีพื้นที่ว่างๆ อยู่ พ่อเลยให้คนลงผลไม้ไว้บ้างเท่านั้นเอง แล้วตอนนี้ก็เหลือคนดูแลสวนแค่คนเดียว”

“พาผมไปดูได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะ แต่อาจจะรกหน่อยนะคะ” พราวรัมภาต้องรีบบอกเสียก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มผู้ร่ำรวยอย่างเขาจะรังเกียจหรือไม่หากต้องไปเดินลุยในที่รกเรื้อที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ

“ไม่เป็นไรครับ บางครั้งผมก็ชอบผจญภัยจนได้แผลมาตั้งหลายหน” เขาว่าแล้วยักคิ้วนิดๆ ด้วยท่าทางเป็นกันเอง

“อาจจะมีงูด้วยนะคะ” เจ้าของวังเพิ่งนึกได้ว่าเคยมีคนเจองูภายในวังหลายหน แม้จะไม่บ่อยมากนัก แต่ก็ทำให้รู้ว่าแถวๆ นี้มีงูอาศัยอยู่แน่นอน และคงจะอยู่ในสวนด้านหลังอย่างไม่ต้องสงสัย

“นี่ขู่ผมเหรอ” เขาถามขณะก้าวตามเธอไปยังสวนท้ายวัง

“เปล่า แค่บอกให้ระวังน่ะค่ะ”

จัสตินมองคนที่หันมาบอกพร้อมกับตวัดหางตาค้อนอย่างขัดเคืองใจเล็กน้อย แล้วยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดี

น่าแปลกไหมที่เขาชอบท่าทางแบบนี้มากกว่าการพะเน้าพะนอเอาใจจากสาวๆ บางคนเสียด้วยซ้ำ แล้วดูเหมือนว่าสาวคนไหนก็ทำท่าขัดใจได้ไม่น่ามองเท่าพราวรัมภาแม้แต่คนเดียว

“คุณหญิงกลัวงูรึเปล่า” เขาเพิ่งนึกได้ว่าเธออาจไม่ได้แกล้งขู่ แต่ที่จริงแล้วเป็นฝ่ายกลัวงูเสียเอง แล้วรูปร่างบอบบางน่ารักขนาดนี้ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ว่าอาจจะกลัวสัตว์เลื้อยคลานชนิดต่างๆ อยู่ไม่น้อย

“ใครไม่กลัวล่ะคะ” พราวรัมภาอยากจะโต้กลับไปว่าไม่น่าถามเลย แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทัน

“ถ้าผมบอกว่าผมไม่กลัวล่ะ” เขาว่ายิ้มๆ แบบขำๆ มากกว่าจะอยากอวดอ้างตน

“เชื่อค่ะ” หญิงสาวรับคำแบบไม่คิดสงสัย เพราะดูท่าทางแล้วก็ไม่น่าจะกลัวอะไร แถมตัวโตขนาดนี้ถ้าเจองูแล้ววิ่งป่าราบก็คงน่าขันไม่น้อยเลยทีเดียว

“ยกเว้นแอนาคอนดา แบบนั้นคงไม่ไหว” จัสตินยังหัวเราะต่อได้อีกเพราะไม่คิดว่าในกรุงเทพฯ จะมีงูยักษ์ขนาดนั้น

“เคยมีคนเจอในกรุงเทพฯ นี่แหละ ตัวเล็กกว่าแอนาคอนดานิดเดียว”

“จริงหรือครับ” เขาเลิกคิ้วสูงด้วยความทึ่ง

“แต่คงไม่ได้มาอยู่ในวังธาดาหรอกค่ะ” พราวรัมภาเป็นฝ่ายยิ้มขำบ้าง

“นี่กะจะขู่ให้ผมกลัวแล้วเปลี่ยนใจไม่เข้าไปดูสวนของคุณหญิงใช่ไหม” เขาเริ่มรู้ทัน

“เปล่าค่ะ อยากดูก็ไปดูสิคะ หรือว่า...จะเปลี่ยนใจจริงๆ”

“ใครบอกล่ะ”

ได้ยินอย่างนั้นแล้วเจ้าของวังก็รีบเร่งฝีเท้าไปทางท้ายวัง เพราะรู้ว่าคนที่ขายาวกว่าต้องเดินตามมาทันแน่ๆ วันนี้พราวรัมภาสวมชุดทะมัดทะแมง จึงเดินเหินได้ว่องไวไม่ติดขัด ไม่นานนักก็เดินผ่านตึกใหญ่เข้าสู่เขตสวนด้านหลังซึ่งมองเห็นเป็นพื้นที่ร่มครึ้มมีต้นไม้ขึ้นหนาตา

“ดูเหมือนคุณหญิงไม่ค่อยได้มาแถวนี้”

เขาเดาได้เมื่อเห็นเจ้าของวังลังเลที่จะก้าวไปตามทางเดินซึ่งเป็นถนนดินแคบๆ เข้าสู่บริเวณสวนที่ดูค่อนข้างรกเรื้ออย่างที่ไม่ค่อยได้รับการดูแลเท่าที่ควร

“ตอนเด็กๆ เคยเข้าไปวิ่งเล่นบ่อยๆ ค่ะ แต่พอโตขึ้นก็มีเรื่องให้ทำเยอะแยะ เลยแทบไม่ได้เดินมาแถวนี้”

“คุณหญิงมีบ้านหลังใหญ่จนเดินแทบไม่ทั่ว ตอนนี้ที่ดินในกรุงเทพฯ แพงพอๆ กับทองคำเลยใช่ไหม” เขาเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงทึ่งพอสมควรกับความเป็นอยู่ที่สวนทางกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในยุคนี้

“พราวไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีรึเปล่านะคะ” เจ้าของวังกลับทำเสียงไม่มั่นใจ ก่อนจะหลบตามองไปทางอื่นราวกับไม่อยากให้เขาเห็นความจริงบางอย่างที่อาจปรากฏขึ้นในดวงตาของตนเอง

ชายหนุ่มเดินไปหยิบกิ่งไม้ที่ร่วงอยู่บริเวณนั้นแล้วเด็ดใบไม้แห้งๆ ออกจนหมด เหลือแต่กิ่งที่มีความยาวราวเมตรกว่าๆ

“เราไปผจญภัยกันเถอะครับ” เขาหันมาชวนด้วยน้ำเสียงคึกคัก

ตอนนี้พราวรัมภากลับกลายเป็นฝ่ายเดินตามหลังร่างสูงใหญ่ที่มีกิ่งไม้ยาวๆ อยู่ในมือ เขาใช้ไม้ฟาดไปตามพงหญ้าและบางครั้งก็ใช้เพื่อกรุยทางให้สะดวกในการเดินท่องสวน

“ไม่รกเท่าไรนี่ครับ ดูเหมือนมีคนมาตัดแต่งต้นไม้อยู่เหมือนกัน” เขาบอกระหว่างเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง

“ลุงฉลองคนสวน แกเป็นคนขยันค่ะ คงแวะมาดูบ่อยๆ”

“นี่ต้นมะม่วงใช่ไหมครับ”

เขาหันมาถามแบบไม่แน่ใจเพราะไม่คุ้นกับต้นไม้เมืองร้อน เนื่องจากช่วงที่เริ่มโตได้ย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกา แล้วช่วงชีวิตในวัยเยาว์ก่อนหน้านั้นก็แทบไม่ได้สัมผัสอะไรในประเทศไทยมากนักเพราะยังเป็นเด็ก จึงรู้จักแค่บ้านกับโรงเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่

“ค่ะ ต้นนี้น่าจะเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ ส่วนต้นโน้นคงเป็นเขียวเสวย”

ในสวนมีต้นมะม่วงอยู่นับสิบ แต่พราวรัมภาก็บอกเท่าที่พอจำได้ว่าต้นไหนเป็นสายพันธุ์ใด เพราะตอนนี้มะม่วงเพิ่งเริ่มออกดอกจึงยังดูไม่ออก

“ส่วนใหญ่เป็นผลไม้ใช่ไหมครับ”

“ค่ะ ไม้ดอกจะปลูกไว้ด้านหน้ากับด้านข้าง ส่วนไม้ผลก็อยู่ในสวน”

“มีต้นอะไรอีกครับ”

“กระท้อนค่ะ” พราวรัมภาชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ใบสีเขียวเข้มซึ่งยังไม่ออกผลให้เห็น

“ผมไม่รู้จัก” เขาส่ายหน้าทันที

“เอาไว้จะหารูปให้ดูค่ะ คุณคงไม่เคยทาน”

“อร่อยไหมครับ”

“อร่อยค่ะ ในสวนนี้น่าจะมีหลายต้น ส่วนใหญ่เราปลูกผลไม้ไทยๆ โบราณที่คนสมัยใหม่อาจจะไม่ค่อยนิยมกินกันแล้ว”

“น่าสนใจมาก เหมือนได้มาทัศนศึกษา” เขาทำเสียงตื่นเต้น

พราวรัมภาได้ยินแล้วเหลือบมองคนพูดด้วยความหมั่นไส้นิดหน่อยที่เขาพูดจาราวกับเป็นเด็กวัยรุ่นชั้นมัธยมที่เพิ่งได้ออกสู่โลกกว้าง ตรงข้ามกับบุคลิกที่เห็นโดยสิ้นเชิง แม้จะรู้ว่าเขาเพิ่งอายุเพียงสามสิบสาม แต่สีหน้าแววตากลับดูช่ำชองไปเสียทุกเรื่อง ไม่เฉพาะการทำธุรกิจเท่านั้น

ทางเดินในสวนแม้จะค่อนข้างรกเพราะมีหญ้าขึ้นเต็มสองข้างทาง แต่ทางเป็นเส้นตรงไม่คดเคี้ยวจึงทำให้เดินไม่ลำบากนัก คนเดินนำก็คอยระแวดระวังโดยใช้กิ่งไม้ฟาดไปมาระหว่างทางอยู่เป็นระยะ

ท่าทางเขาเหมือนคนชำนาญการเดินป่าหรือผจญภัยมาพอสมควร จนหญิงสาวเริ่มแปลกใจที่นักธุรกิจใหญ่อย่างเขาไม่ได้นั่งอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างที่เคยคิดไว้

“แล้วยังมีต้นอะไรอีกครับ”

“ต้องเดินดูไปเรื่อยๆ ค่ะ แต่จำได้ว่ามีมะปราง มะยงชิด น้อยหน่า ไม่รู้ว่าต้นไหนจะออกผลให้เห็นตอนนี้บ้างนะคะ”

“ผมไม่รู้จักเลยสักอย่าง” เขาหันมายอมรับเพราะแทบไม่เคยได้ยินชื่อผลไม้เหล่านี้มาก่อน

“ผลไม้ไทยๆ น่ะค่ะ ตามห้างอาจจะไม่ค่อยมีขาย ต้องไปหาซื้อตามตลาด แต่บางอย่างในตลาดก็ไม่มีอีกเหมือนกันเพราะคนไทยไม่ค่อยนิยมกินกันแล้ว อย่างเช่นลูกหว้าหรือพุทรา”

“ผมรู้จักแต่เงาะ ทุเรียน มังคุด ลิ้นจี่ แต่ที่อยู่ในสวนของคุณหญิงนอกจากมะม่วงแล้วก็แทบไม่รู้จักอะไรเลย”

“ไม่แปลกหรอกค่ะ ก็คุณไม่ใช่คนไทยนี่คะ จะรู้ได้ไง”

“ผมนึกว่าตัวเองรู้จักเมืองไทยดีแล้วเสียอีก แล้ว...คุณหญิงเคยพาใครมาเดินเล่นในนี้บ้างรึเปล่า” เขาอดถามไม่ได้

“ใครจะมาล่ะ รกขนาดนี้” พราวรัมภาว่าแล้วส่ายหน้านิดๆ อยากจะบอกต่อว่า ‘ก็มีแต่คุณนี่แหละ’

“คุณชายราเมศไม่อยากเข้ามาเดินดูสวนผลไม้บ้างหรือครับ”

คนถูกถามขมวดคิ้วก่อนจะเหลือบมองหน้าคนถามแบบไม่ค่อยเข้าใจว่าไปเกี่ยวอะไรกับราเมศด้วย

“พราวก็ไม่เคยถามค่ะว่าพี่เมศอยากเข้ามาเดินดูต้นไม้แถวนี้บ้างรึเปล่า”

“ผมเห็นว่าคุณหญิงกับเขาดูสนิทสนมกันมากน่ะครับ”

“ค่ะ ก็เห็นหน้ากันมาตั้งแต่จำความได้ เมื่อก่อนพี่เมศก็เคยมาวิ่งเล่นในวังนี้ หนูอินด้วยอีกคน” พราวรัมภาเล่ายิ้มๆ เมื่อนึกไปถึงภาพความหลังอันอบอุ่นในวัยเยาว์

“มีเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่เต็มวังคงจะน่ารักดีนะครับ”

“คุณจัสตินไม่มีพี่น้องหรือคะ”

“ผมเป็นลูกคนเดียว มีญาติอยู่เหมือนกัน แต่เราไม่ได้โตมาด้วยกันเหมือนอย่างคุณหญิงกับญาติๆ”

“แต่พราวเดาว่าคุณน่าจะมีเพื่อนเยอะ”

“ตอนเรียนก็เยอะอยู่เหมือนกันครับ”

พราวรัมภาพาเดินเลี้ยวไปทางซ้ายเมื่อมาถึงทางแยก เดินตรงไปอีกไม่นานคนที่เป็นแขกก็ได้เห็นต้นไม้ที่ออกผลอยู่หลายต้น

“มะปรางกับมะยงชิดค่ะ รสเปรี้ยวๆ แต่มะยงชิดที่สีเริ่มเหลืองๆ นั่นถ้าสุกแล้วจะหวานอร่อย”

“ผมไม่ค่อยชอบรสเปรี้ยว แต่ดูแล้วมะยงชิดก็น่าทานนะครับ ปลูกไว้ตั้งหลายต้น”

“ค่ะ ถ้าปีไหนมะยงชิดออกเยอะๆ ก็กินกันแทบไม่ทัน ต้องเก็บไปแจกญาติพี่น้อง ส่วนมะปรางเปรี้ยวมาก ไม่ค่อยมีใครชอบหรอกค่ะ”

“สวนนี่กว้างเท่าไรครับ”

“น่าจะประมาณครึ่งไร่ค่ะ” พราวรัมภาพาเดินผ่านต้นพุทราที่ออกผลเต็มต้น “นี่ไงคะต้นพุทรา ตอนเด็กๆ พราวชอบมาเก็บไปกินค่ะ”

“จริงหรือครับ” เขาหันมาหาคนเล่าแล้วมองอย่างประหลาดใจ เพราะการเก็บผลไม้จากต้นไม้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กๆ

“ใช้ไม้สอย แต่บางครั้งก็ปีนขึ้นไป” พราวรัมภาเล่าแล้วยิ้มขำเมื่อเห็นว่าเขาทำหน้าเหลือเชื่อ

“คุณหญิงน่ะหรือครับเคยปีนต้นไม้” เขาแทบนึกภาพไม่ออก เพราะตอนนี้เธอดูเป็นสุภาพสตรีแสนสวยและสูงศักดิ์ ใครจะนึกว่าเคยเล่นซนปีนต้นไม้มาก่อนเล่า

“ก็ที่บ้านต้นไม้เยอะนี่คะ”

“ผมอยากลองชิมพุทรา จำได้ว่าที่บ้านคุณยายก็มีเหมือนกัน” เขาเงยหน้าขึ้นมองต้นพุทราไทยที่มีหนามแหลมๆ ตามกิ่งก้าน

“ไหนบอกว่าไม่รู้จักไงคะ”

“ที่จริงก็ลืมไปแล้ว ถ้าไม่ได้มาเห็นที่นี่อีกครั้ง”

เขาเดินตรงเข้าไปเก็บลูกพุทราจากกิ่งที่โน้มลงมาในระดับมือพอเอื้อมถึง ซึ่งไม่ยากเย็นนักสำหรับคนตัวสูง

“บ้านคุณยายอยู่ที่ไหนคะ”

“นนทบุรี”

เขาเดินกลับมาหาพร้อมพุทราหลายลูก แล้วเช็ดกับเสื้อแบบง่ายๆ ก่อนจะชิมเหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆ

“เอาไปล้างก่อนสิคะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ” เขาบอกแล้วหัวเราะก่อนจะเคี้ยวต่อ “รสชาติเหมือนที่เคยกินที่บ้านคุณยาย”

“ลองไปดูต้นชมพู่กันไหมคะ ช่วงนี้น่าจะออกลูกแล้ว”

“มีด้วยหรือครับ”

“ค่ะ มีชมพู่ม่าเหมี่ยวอยู่สองต้น ใกล้กับดงกล้วยทางโน้น” พราวรัมภาชี้ไปอีกทางซึ่งแยกไปทางขวา

ทั้งสองคนจึงเดินย้อนกลับไปยังทางแยกตรงไปยังกอกล้วยที่ขึ้นอยู่หนาทึบ บริเวณนั้นเต็มไปด้วยต้นกล้วยหลากหลายสายพันธุ์ที่เจ้าของเองก็ไม่อาจสาธยายได้หมดเพราะไม่มีความรู้เรื่องกล้วยมากนัก จึงออกตัวว่าคงต้องถามแม่ช้องหรือลุงฉลองที่เป็นคนดูแลสวน เพราะทั้งคู่ชำนาญเรื่องพันธุ์ไม้ไทยๆ เนื่องจากคลุกคลีอยู่กับสวนมาตั้งแต่เกิดก่อนจะเข้ามาทำงานในวังธาดา

“กล้วยออกลูกให้กินทั้งปีค่ะ แทบไม่เคยต้องซื้อเลย ที่ต้องปลูกไว้ก็เพราะต้องใช้ใบตองมาทำอาหารกับขนมไทย เดี๋ยวนี้ในกรุงเทพฯ น่าจะหาซื้อยาก”

“ที่นี่เหมือนไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ เลยจริงๆ”

เขามองดงกล้วยที่กินพื้นที่หลายตารางเมตรด้วยความทึ่ง เพราะตอนนี้มองเห็นว่ากำลังแข่งกันออกผลอยู่หลายเครือ และดูเหมือนจะมีหลากหลายชนิดอีกด้วย ส่วนใบกล้วยนั้นเรียกว่ามีให้ใช้กันได้ตลอดทั้งปีแบบไม่มีขาดช่วงอย่างแน่นอน

“ถ้าอยากชิมกล้วยในสวนนี้ พราวจะบอกให้ลุงฉลองมาตัดไปให้นะคะ” พราวรัมภารีบบอกเพราะเห็นเขามองอยู่นาน จึงคิดว่าอาจจะอยากชิมกล้วยขึ้นมาอีก

“ขอบคุณครับ”

“ต้นกล้วยมียางค่ะ โดนเสื้อผ้าแล้วอาจจะซักไม่ออก เราเดินไปดูต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวกันดีกว่าค่ะ”

สองหนุ่มสาวเดินเลยสวนกล้วยซึ่งเป็นที่ลุ่มภายในสวนเล็กๆ ท้ายวังจนมาเจอบ่อน้ำเก่าๆ ใกล้กันนั้นมีต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวอยู่สองต้นซึ่งออกดอกออกผลสวยงาม

“ว้าว...” ชายหนุ่มอุทานเมื่อมองเห็นผลสีแดงๆ เกาะอยู่ตามกิ่งอย่างหนาแน่น รวมไปถึงดอกสีชมพูเข้มสวยงามที่กำลังบานสะพรั่งและบางส่วนก็ร่วงหล่นลงบนพื้นราวกับปูพรมสีชมพู

“ชมพู่ม่าเหมี่ยวที่นี่ออกรสหวานมากกว่าเปรี้ยวค่ะ” พราวรัมภารีบบอกเพราะรู้แล้วว่าเขาไม่ชอบผลไม้รสเปรี้ยว

“น่าอร่อยนะครับ ผมไม่เคยกินมาก่อน ไม่เคยรู้ด้วยว่าดอกชมพู่สวยขนาดนี้”

“ชมพู่พันธุ์อื่นดอกเป็นสีขาวค่ะ เฉพาะม่าเหมี่ยวที่ดอกเป็นสีชมพูเข้ม เก็บไปทานได้ค่ะ แต่เอาไปล้างให้สะอาดก่อนดีกว่า” เธอรีบบอกก่อนที่เขาจะเก็บจากต้นแล้วเอาเข้าปากเลยเหมือนพุทรา

พราวรัมภาเดินไปใต้ต้นชมพู่ซึ่งปูด้วยเกสรดอกสีชมพูสดที่ร่วงหล่น มีบางกิ่งที่มีผลสุกเต็มที่และอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก จึงคิดว่าจะเด็ดมาให้เขาสักผลสองผล แล้วถ้าหากติดใจก็คงต้องบอกให้ลุงฉลองมาช่วยเก็บไปให้

“ผมเก็บเองดีกว่า” เขารีบเดินตามไปเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเขย่งเท้าขึ้นไปเก็บชมพู่จากกิ่งเตี้ยๆ ที่โน้มลงมา

พราวรัมภายื่นมือขึ้นไปแล้ว แต่พลันสายตาสบเข้ากับตัวอะไรสักอย่างที่กำลังไต่ลงมาจากกิ่งด้านบนอย่างรวดเร็ว ระยะประชิดขนาดนั้นทำให้หญิงสาวตกใจจนผงะถอยหลัง

เสียงร้องเบาๆ ของหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าและเพิ่งผงะถอยกลับมาทำให้ชายหนุ่มรีบก้าวเข้าไปหาตามสัญชาตญาณ ร่างบอบบางในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนจึงเซมาปะทะร่างสูงใหญ่ในจังหวะที่เขาก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เขาเห็นแล้วว่าเป็นกิ้งก่าตัวโตๆ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูสำหรับชายหนุ่มอย่างจัสติน แต่สำหรับพราวรัมภาคงไม่ใช่แน่ๆ

เมื่อกิ้งก่าตัวนั้นซึ่งเกาะค้างนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ขยับตัวหลังจากจ้องตากับมนุษย์ผู้บุกรุกอยู่ชั่วขณะ หญิงสาวก็ถึงกับร้องกรี๊ดออกมาตอนที่กิ้งก่าตัวโตกระโดดลงมาจากกิ่งไม้

“คุณหญิง!” เขาเรียกเธองงๆ เพราะไม่นึกว่าเธอจะกลัวถึงขนาดนี้

พราวรัมภาหันมาหาคนที่ยืนนิ่งไร้ท่าทีหวาดกลัวอย่างต้องการที่พึ่ง เธอขยับเข้าไปยืนแนบชิดกับเขาโดยไม่รู้ตัว แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้กำลังกลัวจนขนลุก เพราะปกติเป็นคนกลัวสัตว์เลื้อยคลานแทบทุกชนิด เห็นกันเมื่อไรเป็นต้องหลีกหนีให้ไกลแบบทางใครทางมัน

เขาจึงโอบบ่าบอบบางที่ห่อเข้าหากันขณะที่หญิงสาวผวาซุกตัวเข้ามาหาด้วยความตกใจ

“มันไปแล้ว” เขากระซิบบอกคนที่ยังก้มหน้างุด

“เอ่อ...” พราวรัมภาเงยหน้าขึ้นช้าๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปต่อหน้าชายหนุ่มคนหนึ่งที่อาจยังถือได้ว่าเป็นคนแปลกหน้า

“กิ้งก่ามันไม่น่ากลัวหรอก” เขาบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งขำกึ่งพอใจโดยที่แขนข้างนั้นยังโอบบ่าเธอไว้

“อยู่ดีๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้” พราวรัมภาตอบเสียงอ้อมแอ้ม

จัสตินสบตาคนในอ้อมแขนที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทีทั้งกลัวและขัดเขินในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่นานนักหญิงสาวก็เริ่มขยับตัวออกห่างราวกับเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังถูกเขาโอบบ่าแบบไม่ยอมปล่อย

“เอ่อ...เราเก็บชมพู่แล้วกลับกันเถอะค่ะ” พราวรัมภาต้องรีบเตือนคนที่ยังไม่ยอมปล่อยแขนออกจากไหล่เธอ

“นี่คุณกลัวกิ้งก่าตัวเดียวจนต้องรีบกลับออกจากสวนเลยเหรอ” เขาถามงงๆ

“ไม่มีอะไรแล้วนี่ ดูจนทั่วแล้ว” พราวรัมภาไม่อยากบอกว่าตอนนี้ไม่ได้กลัวกิ้งก่าหรือตัวอะไรทั้งนั้น แต่เริ่มกลัวเขาต่างหากเพราะยืนชิดกันมากเกินไปแล้ว

ท่าทางประหม่าปนอึดอัดแบบที่เขาแทบไม่เคยเห็นมาก่อนจากผู้หญิงคนใดที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้จัสตินไม่อาจปล่อยมือจากเธอไปง่ายๆ

พราวรัมภามีแรงดึงดูดมากมายมหาศาลอย่างเหลือเชื่อ!

เธอไม่ได้ทำอะไรหรือแม้แต่ส่งสายตาเชิญชวนให้เขาสักครั้ง แต่ทำไมเขากลับไม่อยากปล่อยให้เธอหลุดไปจากอ้อมแขนเร็วเกินไปนัก

“คุณจัสติน!” พราวรัมภาเรียกเขาด้วยน้ำเสียงตกใจปนประหม่าเมื่อรู้สึกว่าแขนที่โอบบ่าและไหล่กระชับแน่นขึ้นแทนที่จะคลายออก แถมเขายังจ้องตาเธออย่างแน่วแน่อีกด้วย

ดวงตาสีฟ้าแกมเทาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ และพราวรัมภาก็ไม่ใช่เด็กสาวแรกรุ่นถึงขนาดจะดูไม่ออกว่าผู้ชายอย่างเขาอยากรู้เรื่องอะไรบ้างในตัวหญิงสาวอย่างเธอ

“เมื่อกี้นี้คุณตกใจจริงๆ เหรอ” เขาตั้งคำถามที่ทำให้คนฟังทำหน้านิ่ว

“พราวจะแกล้งตกใจทำไมคะ” พราวรัมภาถามกลับทันทีด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้แกล้ง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงโอนอ่อนเพราะไม่อยากขัดใจกันในตอนนี้

ผู้หญิงบางคนไม่ได้ตั้งใจแสร้งทำตัวให้ดูอ่อนแอ แต่อาจเป็นไปได้ว่าเธอแสดงออกมาจากส่วนลึกภายในใจที่รู้ดีว่า ความอ่อนแอและบอบบางนั้นคือเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่ปรารถนาและต้องการปกป้อง หากหญิงสาวคนใดล่วงรู้จุดอ่อนข้อนี้ในใจผู้ชายทุกคน เธอก็สามารถเอาชนะและกำหัวใจของเขาไว้ได้ไม่ยาก

แขนอีกข้างที่ขยับมารวบบั้นเอวทำให้พราวรัมภาทำหน้าตื่นอย่างคาดไม่ถึง เขารั้งตัวเธอเข้าไปหาด้วยสองแขนที่กระชับเข้าหากันแน่นขึ้น

“คุณจัสติน!”

เธอขืนตัวไว้จนสุดท้ายต้องยกมือสองข้างขึ้นดันหน้าอกกว้างเอาไว้ แต่ร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้ากลับมีแรงมหาศาลบีบรัดเข้าหาจนฝืนต้านไม่ไหว

“นี่คุณจะทำอะไร!”

“เปล่า ผมเห็นคุณตกใจ” เขาตอบหน้าตาเฉยขณะโอบกอดเธอไว้แน่นจนร่างกายสัมผัสแนบชิดกัน

เขาจำได้ว่าคืนนั้นที่ไนต์คลับในโรงแรมดังซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าพราวรัมภา เธอเต้นรำคลอเคลียกับหม่อมราชวงศ์ราเมศผู้เป็นญาติสนิทอย่างไม่เคอะเขิน แถมขากลับเขายังจูบลาในรถอีกด้วยโดยที่เธอไม่ได้มีท่าทีประหม่าเหมือนตอนนี้ซึ่งกำลังอยู่กับผู้ชายอีกคนที่อาจดูแตกต่างจากราชนิกุลผู้สูงศักดิ์อย่างราเมศ

“ตอนนี้หายแล้ว ปล่อยได้แล้วค่ะ”

น้ำเสียงที่ฟังดูห้วนกว่าปกติรวมกับอาการแข็งขืนทำให้ฝ่ายที่โอบรัดอยู่ยิ้มบางๆ อย่างที่เคยทำจนใครๆ ชินตา เขาคลายอ้อมแขนออกแต่ยังไม่ยอมปล่อยเสียทีเดียว

“ขอบคุณนะครับที่พาเข้ามาเดินดูต้นไม้”

“จะปล่อยได้รึยัง” พราวรัมภาท้วงอีกรอบด้วยความรู้สึกที่เริ่มกระอักกระอ่วน

แม้เขาไม่มีท่าทีคุกคามใดๆ เพียงแค่โอบกอดไว้เท่านั้น ซึ่งอาจตีความไปได้ว่าเขาเห็นเธอตกอกตกใจกลัวเลยคิดจะช่วยปลอบ แต่ก็เป็นการปลอบที่นานเกินไปแล้วสำหรับคนที่ไม่เคยคุ้นกัน

“ครับ” เขาปล่อยมือจากเธอด้วยความเสียดาย

ใครจะเชื่อกันล่ะ ผู้ชายที่ผ่านสาวๆ มามากหน้าหลายตาอย่างจัสตินจะเกิดอาการหวั่นไหวจากการแค่ได้โอบกอดเอวเล็กๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น

“ผมไม่คิดว่าคุณหญิงจะสนิทกับใครง่ายๆ” เขาเอ่ยหลังจากปล่อยเธอแล้ว และเธอก็รีบถอยออกห่างไปโดยเร็ว

“หมายความว่ายังไงคะ”

“ก็รู้สึกขอบคุณน่ะสิครับที่ยอมคุยกับผม” เขาตอบพลางหันไปมองกิ่งชมพู่ที่พอเอื้อมถึง แล้วจึงเด็ดเอาผลสีแดงๆ ที่สุกเต็มที่แล้วลงมาหลายผล

“คุณมาร่วมหุ้นกับเรา ยังไงก็ต้องคุยกันค่ะ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” เธออดแย้งไม่ได้ ระหว่างนั้นก็ยื่นมือไปรับผลชมพู่ม่าเหมี่ยวที่เขาส่งมาให้ช่วยถือไว้

“ผมขอสักสามสี่ลูกนะครับ ท่าทางน่าอร่อย” เขาหันมาขออนุญาตเจ้าของพร้อมกับยิ้มกว้างที่ทำให้หน้าตาดูเด็กลง

พราวรัมภามองเจ้าของใบหน้าคมสันที่มีรูปหน้าค่อนข้างยาวซึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้ด้วยความรู้สึกแปลกตา เพราะเขายิ้มได้สดใสราวกับเป็นหนุ่มน้อยวัยรุ่น

“ตามสบายค่ะ”

“คุณหญิงอาจจะคุยกับผมเพราะเอาเงินมาลงทุนด้วย แต่ผมไม่ใช่” เขาบอกหลังจากเด็ดผลชมพู่ม่าเหมี่ยวได้ครบตามที่ต้องการแล้ว

“นี่คุณกำลังจะว่าพราวเห็นแก่เงินหรือคะ” พราวรัมภาถามด้วยสีหน้าสลดลงทันทีหากว่าเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ

“เปล่านี่ครับ ทำไมถึงคิดอย่างนั้น” เขาเลิกคิ้ว

“ไม่รู้สิคะ” พราวรัมภาตอบไม่ได้เช่นกัน “เรากลับกันเถอะค่ะ”

“ผมคุยกับคุณก็เพราะอยากคุย ไม่เกี่ยวกับอะไรอย่างอื่น”

“พราวคงคิดมากไปเอง ขอโทษค่ะที่ถามแบบนั้น”

ทั้งสองคนกลับออกจากสวนท้ายวังโดยมีชมพู่ม่าเหมี่ยวอยู่ในมือคนละสองสามผล จัสตินได้ชิมชมพู่ม่าเหมี่ยวรสหอมหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อยซึ่งเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่ถูกใจ หลังจากนั้นก็ได้เรียนเปียโนเพิ่มเติมตามที่เคยตกลงกันไว้ว่าเขาจะเป็นลูกศิษย์คนพิเศษที่ได้เข้ามาเรียนถึงวังธาดาเพียงคนเดียวเท่านั้น

จัสตินกลับออกจากวังธาดาหลังรับประทานอาหารเย็นพร้อมกับพราวรัมภาและหม่อมสุภัสสรเรียบร้อยแล้ว เขาตรงไปหารอนตามที่นัดกันไว้ว่าจะไปนั่งดื่มและคุยกันที่ไนต์คลับในโรงแรมแกรนด์อารินา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น