3

บทที่ 3


3

เจ้าของใหม่

 

“เข้าใจเรื่องสัญญาเช่าตึกแล้วนะ” คนร่างสูงที่นั่งมองหน้าจอแลปทอปเอ่ยถามชายร่างสูงอีกคนที่เพิ่งเดินพ้นประตูบ้านเข้ามา ก่อนตาสีฟ้าของเอซจะละจากหน้าจอสี่เหลี่ยมบนตักขึ้นมองหน้าคมคายที่มีเค้าเดียวกับเขาจนแทบจะเรียกว่าโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน “แล้วเข้าไปที่บริษัทหรือยัง”

“ผมรู้น่าว่าต้องทำอะไร” ผู้มาใหม่ตอบด้วยเสียงที่บอกชัดถึงความรำคาญ พี่ชายของเขานั้นเจ้ากี้เจ้าการเกินเหตุ แค่ย้ายไปทำงานที่เมืองไทยไม่นานก็ต้องวุ่นวาย สั่งย้ายเขามาคุมงานที่บริษัทต่อ “ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“แกไม่ใช่เด็กแล้วใครจะเด็กอลัน” เอซหันกลับมาสนใจแลปทอปตรงหน้าต่อ ทำให้อลันอดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรที่ดึงดูดความสนใจของพี่ชายเขาไว้ได้นานขนาดนี้

“นั่นพี่ดูอะไรอยู่น่ะ”

“บ้านใหม่ ฌอห์นเขาเพิ่งส่งมาให้ดู” ว่าพลางยื่นแลปทอปให้น้องชาย

อลันเห็นเพียงภาพแรกก็ถึงกับผิวปากหวือ ตาโตด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนเอ่ยว่า “เหมือนบ้านพี่เลย เก่งนะ แต่งยังไงได้เร็วขนาดนี้”

เรื่องการย้ายบ้านจากเดนมาร์กเพื่อไปพำนักที่เมืองไทยนั้น เอซเพิ่งตัดสินใจเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เอง น่าแปลกใจจริงๆ ที่หุ้นส่วนของเขาสามารถหาอินทีเรียที่เก่ง แถมยังมีรสนิยมใกล้เคียงกับพี่ชายของเขาได้ ซึ่งคุณสมบัติข้อหลังนั้นถือว่าหายากยิ่งกว่ายาก ใครๆ ก็รู้ว่าคุณเอซ แลนด์สตรอม คนนี้พิถีพิถันและรสนิยมดีกว่ามนุษย์ปกติทั่วไปหลายเท่า

“เห็นบอกว่าซื้อนะ ไม่ได้ทำใหม่” เสียงทุ้มของเอซนั้นไม่มีความแปลกใจแต่อย่างใด แม้ใจจริงเขาไม่ค่อยจะเชื่อคำอ้างของหุ้นส่วนก็ตาม ใครจะเชื่อว่ามีคนอื่นที่เลือกทั้งเฟอร์นิเจอร์และคุมโทนสีที่ใช้ตกแต่งในบ้านเหมือนกับบ้านหลังปัจจุบันของเขาราวกับว่าจ้างอินทีเรียคนเดียวกัน

“โกหกน่ะสิ” อลันขมวดคิ้วมุ่น ส่งแลปทอปคืนให้พี่ชายแล้วเอ่ยอย่างคนที่ปักใจเชื่อไปเรียบร้อยแล้วว่า...“นี่มันบ้านพี่ชัดๆ หุ้นส่วนพี่นี่ช่างประจบนะ”

“บ้านหลังขนาดนั้น แกคิดว่าเวลาไม่กี่เดือนเขาจะทำเสร็จหรือไง” เอซยังหาเหตุมาแย้งน้องชายได้ แม้ใจหนึ่งเขาเองจะเชื่อว่าฌอห์นเอาใจเขาด้วยการจ้างอินทีเรียฝีมือเก่งมาตกแต่งบ้านให้เหมือนกับบ้านของเขาที่นี่ ทว่ามันติดอยู่อย่างเดียวตรงที่เขาเป็นคนแต่งบ้านเองทั้งหมด “แล้วเขาจะจ้างใครมาแต่งบ้านให้เหมือนบ้านฉันขนาดนี้ได้ แกก็รู้ว่าดีไซเนอร์แต่ละคนต้องใช้เส้นสายขนาดไหนกว่าจะจองเฟอร์นิเจอร์ได้”

“ผมว่าเขาก็คงมีทางแหละ” คราวนี้เสียงมั่นอกมั่นใจของอลันเบาลงเพราะเริ่มลังเล “หรือพี่คิดว่าเขาจะบังเอิญหาคนที่แต่งบ้านเหมือนกับพี่ที่เมืองไทยได้ง่ายๆ หรือไง อย่างหลังเป็นไปได้ยากกว่าอีก”

“ฌอห์นบอกว่าเจ้าของบ้านเขาแต่งบ้านเก่ง” เอซเล่าถึงเจ้าของบ้านที่สร้างความแปลกใจให้เขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นการตกแต่งบ้านของเธอ “เห็นว่ารักบ้านหลังนี้มาก ที่ขายเพราะรู้จักกับแฟนของฌอห์น”

“ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วสิ” อลันเอ่ย “ถ้าไม่รู้จักกันเขาคงจะกล้าขายบ้านที่ตกแต่งดีขนาดนี้อยู่หรอก แต่เหมือนบ้านพี่มากเลยนะ ทั้งสีทั้งเฟอร์นิเจอร์ ถ้าไม่บอกผมคงคิดว่าพี่ไปแต่งบ้านเอาเอง”

“ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปทำอย่างนั้น” เอซชักสีหน้าใส่น้องชาย อลันพูดเหมือนว่าเขามีเวลาว่างมากมายจนสามารถตกแต่งบ้านหลังใหญ่เองได้ ทั้งที่ความจริงนั้นเพียงงานที่ต้องรับผิดชอบและลูกชายวัยกำลังซน เอซก็ไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอะไรอย่างอื่นแล้ว

“ก็ใช่น่ะสิ ผมเลยแปลกใจไงที่มีคนรสนิยมเหมือนพี่อีกคนบนโลกนี้ด้วย”

“รสนิยมฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไง” เอซพูดเสียงกระด้าง ยิ่งฟังคำพูดของน้องชายยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเขานั้นประหลาดเหลือหลาย

“แย่ที่ไหนกัน รสนิยมพี่ดีมากต่างหาก” อลันหัวเราะร่วน “ดีจนน่ารำคาญ”

“ฉันจะถือว่านั่นเป็นคำชมแล้วกัน” เอซตัดบทน้องชายเพียงเท่านั้นเพราะรู้ดีว่าอลันจะค่อนแคะความช่างเลือกของเขาอย่างไรต่อ น้องชายเขาเป็นพวกพูดทุกอย่างที่คิดออกมา ถามว่ามันดีไหม ก็คงต้องบอกว่าดี แต่บางครั้งความปากไวของมันก็ทำให้เอซอยากจะตั๊นหน้ากวนๆ ของอลันให้สมกับความกวนประสาทของเจ้าตัว

“ตามใจพี่เถอะ” อลันไหวไหล่ เรื่องคำพูดของเขานั้น เอซจะถือว่าเป็นคำชมหรือการจิกกัดเขาก็ไม่เดือดร้อน ก่อนชายหนุ่มจะเอ่ยปากถามหาคนสำคัญของบ้านอีกคน “ลูเซียนยังไม่กลับมาหรือ”

“ยังอยู่กับแม่เขา” เอซตอบโดยไม่สบตาน้องชาย ส่วนอลันได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด ไม่บอกชัดว่าทำอย่างนั้นเพราะความโล่งใจหรือหนักใจกันแน่ พี่ชายจึงต้องรีบอธิบาย “อีกสักเดี๋ยวก็คงกลับมานั่นแหละ บอกว่าจะกลับมาเย็นๆ”

“เอาจริงดิเอซ”

“เอาจริงอะไร” ตอนนี้เองที่ดวงตาคมของเอซตวัดมองหน้าคล้ามของน้องชายด้วยความไม่เข้าใจ

“พี่ให้ลูเซียนไปเจอแม่ของแกทั้งๆ ที่จะย้ายไปอยู่เมืองไทยนี่นะ ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือไง”

“ถ้าฉันไม่ให้เขาเจอลูกเลย ฉันจะไม่ใจร้ายกว่าหรือไง” ผู้เป็นพี่ย้อนถาม

อลันมีสีหน้าปั้นยากเมื่อคิดตามคำพูดของพี่ชาย ที่เอซพูดมาก็ถูก แต่ว่าก็มีอีกอย่างที่อลันสงสัย

“นี่จิตใจพี่ทำด้วยอะไร ทนได้ยังไง เป็นผมผมคงทนไม่ได้หรอก”

“ก็เลิกคิดว่าตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผู้หญิงบ้างสิ ลองทำดูแล้วจะรู้ว่ามันสบายใจกว่านะ” เอซแนะน้องชายที่ขึ้นชื่อเรื่องหึงหวงจนทำให้ตัวเองเดือดร้อนอยู่บ่อยๆ

“กลายเป็นคนไม่แยแสใครนอกจากตัวเองเหมือนพี่น่ะเหรอ ไม่เอาหรอก” อลันส่ายหน้าดิก หากเขาต้องกลายเป็นคนไร้หัวใจอย่างเอซละก็ เขาขอเป็นคนขี้หึงอย่างนี้ต่อไปจะดีเสียกว่า “ผมยังอยากรักใครอยู่นะ”

“ฉันก็รักลูเซียน” เอซแย้ง ใครว่าเขาแยแสใครไม่เป็น ลูเซียนนั่นไง แก้วตาดวงใจของเขา

“รักลูกกับรักผู้หญิงมันเหมือนกันที่ไหนเล่า” คนไม่มีลูกแย้ง “พี่น่ะหยาบกระด้างเกินไป ไม่เข้าใจคนโรแมนติกอย่างผมหรอก”

“โรแมนติกเกินไปผู้หญิงเขาก็รำคาญนะอลัน” ผู้ไม่โรแมนติกไม่ว่าจะตอนไหนเอาคืนน้องชายด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “โรแมนติกได้ แต่ก็ต้องไม่ถึงขั้นเพ้อเจ้อ รู้ไหม”

“พี่นี่หยาบกระด้างเกินไปนะเอซ” คนโรแมนติกส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับมองพี่ชายด้วยสายตาเอือมระอา “ถ้าอย่างผมเรียกว่าเพ้อเจ้อ อย่างพี่ก็คงต้องเรียกว่าไม่มีหัวใจ”

“ก็ฉันเป็นผู้ชาย”

“เป็นคนไร้หัวใจด้วย” อลันชี้หน้าคนที่เกิดก่อนตนไม่กี่ปีแล้วยิ้มเยาะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจจนกระดูกส่งเสียงดังลั่น “ผมไปรับลูเซียนนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเป็นเชิงขออนุญาตจากพี่ชาย

“โทร. บอกแม่เขาก่อนล่ะ เดี๋ยวเขาจะว่าเอาอีก”

“โอเค” น้องชายพยักหน้ารับ เดินตัวปลิวออกไปจากบ้านทั้งที่เพิ่งกลับเข้ามา

ไม่นานเอซก็เห็นรถยนต์คันเล็กของน้องชายทะยานออกไปจากลานจอดรถ และชายหนุ่มก็มีเวลาหันกลับมาพินิจภาพของบ้านที่เขาจะต้องย้ายไปอยู่ตลอดระยะเวลาหลายปีข้างหน้า เอซผ่อนลมหายใจอย่างพึงใจ ถือว่านี่เป็นเพียงเรื่องที่น่ายินดีไม่กี่เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้

อย่างน้อยบ้านหลังใหม่ก็คงไม่สร้างความเจ็บปวดให้เขาเหมือนบ้านหลังเก่าที่เขากำลังจะจากไป...

เอซรอกระทั่งมั่นใจว่าอลันขับรถพ้นจากหน้าบ้านของเขาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืน ตั้งใจว่าจะเดินไปหาน้ำดื่ม แต่ก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เพราะเจ้าของบ้านหลังใหม่ของเขาช่างเป็นปริศนาในหลายๆ ด้านจนเอซไม่สามารถจะวางเฉย ไม่สนใจเลยไม่ได้

เขาอยากรู้ว่าผู้หญิงที่แต่งบ้านได้สวยขนาดนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร และโชคดีที่เขาสามารถใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูลทุกอย่างได้

ชื่อของ เกศรา อัครเดช ที่เอซได้มาจากสัญญาซื้อขายบ้านของฌอห์นนั้นทำให้ชายหนุ่มเห็นหน้าเจ้าของชื่อ แต่บทสัมภาษณ์ของหญิงสาวในอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เป็นภาษาไทยที่เขาไม่สามารถอ่านได้ มีเพียงบทความด้านการลงทุนในตลาดหุ้นของนิตยสารต่างประเทศเท่านั้นที่เป็นภาษาอังกฤษ เอซจึงไม่ลังเลที่จะกดเข้าไปอ่าน

อ่านบทสัมภาษณ์ไปได้เพียงครึ่งเดียว เอซก็บอกได้ว่าหญิงสาวชื่อเกศรานั้นมีความคิดทางด้านธุรกิจแหลมคมมากทีเดียว แต่เขาก็อ่านแค่เพียงบทสัมภาษณ์เดียวของเธอเท่านั้น จึงไม่อยากฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเกศราเป็นคนเช่นไรกันแน่ แต่ที่มั่นใจได้ตอนนี้คือหญิงสาวเป็นคนฉลาดและสวยมาก

นับว่าเป็นคนที่เอซไม่สามารถจะมองข้ามไปได้หากเขาจะต้องย้ายไปทำงานที่เมืองไทยตลอดหลายปีข้างหน้า อย่างน้อยก็คงไม่ต่ำกว่าห้าปี

“เกด...สะรา” คนเสียงทุ้มอ่านชื่อบนพาดหัวข่าวดังๆ ก่อนพยักหน้ากับตัวเองด้วยความพึงพอใจ

 

“พ่อครับ!” คนเสียงเล็กตะโกนเรียกหาพ่อตั้งแต่ยังไม่เหยียบพ้นประตูบ้านเข้ามาด้วยซ้ำ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เรียกให้เอซหลุดจากภวังค์

ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ๆ แล้วเตือนตัวเองให้ละสายตาจากรูปหญิงสาวบนหน้าจอมือถือ ตอนนี้เขาไม่ได้ใช้ไอแพดแล้ว เขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอจ้องผู้หญิงที่ชื่อเกศรามานานเท่าไหร่

เมื่อเหลือบไปเห็นว่าอลันให้เด็กชายขี่คอเข้ามาหา มุมปากคนหน้าดุก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนที่เอซจะรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ คุณพ่อลูกติดทิ้งงานในมือลงแล้วก้าวเร็วๆ ไปรับเจ้าตัวแสบที่แค่เห็นพ่อก็พร้อมที่จะทิ้งตัวลงมาจากการขี่คอผู้เป็นอา ไม่กลัวว่าหากตกแล้วจะเจ็บตัว เพราะเด็กชายเชื่อใจว่าหากพ่อของเขาอยู่ใกล้ๆ ถึงอย่างไรเอซก็จะไม่มีทางปล่อยให้เขาร่วงลงมาเด็ดขาด

“ผมคิดถึงพ่อที่สุดเล้ย!”

“จริงเหรอเจ้าตัวแสบ คิดถึงพ่อเลยหายไปทั้งวันใช่ไหม” เอซเย้าผู้ที่กระโจนมาหาอ้อมกอดของเขาอย่างไม่กลัวเจ็บด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง หน้าดุดันและสายตาคมก็พลอยอ่อนลงเมื่อจ้องดวงหน้าเล็กๆ ของคนที่ยิ้มแป้นแล้นส่งให้เขาอย่างประจบ “อยู่กับแม่สนุกไหมครับวันนี้”

“ก็ดีฮะ” เด็กชายพยักหน้าแกนๆ บอกให้คนเป็นพ่อรู้ว่าการที่ตนได้ใช้เวลาอยู่กับแม่ของเขาในวันนี้คงไม่สนุกเท่าไหร่นัก

เมื่อเอซตวัดสายตาไปเค้นหาคำตอบจากคนที่ไปรับลูกชายเขามา อลันก็เพียงยักไหล่อย่างไม่รู้ไม่ชี้ให้พี่ชายเท่านั้น

“ตอนผมไปร้องไห้จ้ารออยู่แล้ว ผมแทบไม่ต้องลงจากรถลูเซียนก็ทำท่าว่าจะโดดขึ้นรถมาหา”

อลันพึมพำบอก ใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เนื่องจากไปรับหลานที่บ้านของอดีตที่สะใภ้แล้วพบว่าหลานชายคนเดียวของเขาร้องไห้จ้ารออยู่แล้ว

คำบอกเล่าของอลันทำให้เอซพลอยหน้าตึงไปด้วย ไม่พอใจเช่นเดียวกันที่อดีตภรรยาไม่โทร. มาบอกให้เขาไปรับลูเซียนทั้งที่เด็กชายร้องไห้อยากกลับบ้าน

“ผมคิดถึงพ่อครับ” คนร้องไห้เพราะอยากกลับบ้านมาหาพ่อประจบ ซุกหน้าลงกับไหล่กว้างของเอซแล้วทำตาปริบๆ ออดอ้อนโดยไม่รู้ว่าการกระทำของตนอาจจะทำให้เกิดศึกระหว่างพ่อแม่ขึ้น “ผมอยากมาหาพ่อ แต่แม่บอกว่าพ่อทำงานอยู่”

“ลูกโทร. หาพ่อได้ตลอดรู้ไหม ถึงทำงานอยู่พ่อก็ไปรับลูกได้”

เอซก้มลงหอมแก้มย้วยของเด็กชายหนักๆ ถามว่าเคืองอดีตภรรยาไหมเขาก็เคือง แต่เอซจะไม่มีทางให้ลูเซียนรู้เรื่องการบาดหมางของเขาและลูน่าเด็ดขาด เพราะถึงอย่างไรลูน่าก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของลูก

“ผมรู้ครับว่าพ่อจะมารับ” ลูเซียนดันตัวออกจากไหล่กว้างของผู้เป็นพ่อ หลังจากวนจูบวนหอมแก้มสากระคายที่รกไปด้วยหนวดเคราของเอซจนสมใจ “แต่ว่าอาอลันไปรับก่อน ผมยังไม่ได้โทร. หาพ่อ”

“ลูกกินอะไรมาหรือยังล่ะ” เอซพยายามข่มโทสะของตัวเองด้วยการชวนลูกชายคุยเรื่องใหม่ไปเสีย รู้ตัวดีว่าหากยังดึงดันที่จะพูดเรื่องของอดีตภรรยาต่อ มันต้องจบด้วยการที่เขาโทร. ไปต่อว่าเธออย่างแน่นอน คนเพิ่งผ่านการฟ้องร้องขอสิทธิ์เลี้ยงดูลูเซียนแต่เพียงผู้เดียวมาได้ไม่เท่าไหร่อย่างเอซจึงไม่อยากกลับไปมีเรื่องกับอดีตภรรยาของเขาอีก “อาอลันได้พาลูกแวะกินอะไรก่อนกลับบ้านไหม”

“ไม่ครับ เพราะว่าผมอยากกลับมาหาพ่อก่อน”

ยิ่งฟังลูเซียนพูด เอซก็ยิ่งหลงลูกชายตัวเอง ทั้งที่เชื่อว่าเขารักลูเซียนมากแล้ว แต่เด็กชายก็ขยันออดอ้อนจนเขายิ่งรักยิ่งหลง

“อาฌอห์นเขาเพิ่งถ่ายรูปบ้านใหม่ส่งมาให้พ่อเราแหละลูเซียน” อาอลันที่ถูกหลานลืมตั้งแต่ที่ลูเซียนเห็นพ่อของเขารีบแย่งเรื่องตื่นเต้นจากที่ชายมาบอกหลาน หวังว่าตนจะได้รับความสนใจจากลูเซียนบ้าง

“จริงเหรอฮะ” คนที่รู้เพียงว่าจะต้องย้ายไปอยู่บ้านใหม่ที่ประเทศไทยตาโต ก่อนรีบถามถึงเรื่องสำคัญ “มีสระว่ายน้ำไหมครับอาอลัน”

“ต้องมีอยู่แล้วสิ” คุณอายังหนุ่มหลิ่วตา ก่อนจะเดินนำหลานชายไปทิ้งตัวนอนเอกเขนกบนโซฟาตัวยาวในบ้านของพี่ชาย ซึ่งหลังจากนี้เขาจะย้ายมาอยู่แทนเอซ “นี่อย่างไรล่ะ”

“ขอผมดูหน่อย” ลูเซียนหลงกลคนเป็นอา รีบดิ้นลงจากอ้อมแขนของพ่อตัวเองทันที

พ่อที่เพิ่งได้อุ้มลูกชายเพียงไม่กี่นาทีถึงกับหน้าบูดเมื่อโดนน้องชายแย่งความรักไปอีกหน อลันมันรู้ไหมว่าเขาเลี้ยงลูกมาเหนื่อย จะมาแย่งความรักของลูกไปจากเขาหน้าด้านๆ แบบนี้มันใช้ไม่ได้

“อู้หู! บ้านหลังใหญ่จังครับอา”

“เห็นนี่ไหม บ้านซ้วย...สวย อาสั่งอาฌอห์นเองเลยนะว่าให้เอาบ้านแบบนี้เพราะรู้ว่าลูเซียนชอบ”

คุณอาที่ไม่เคยแม้แต่พูดกับหุ้นส่วนของเอซโม้ เพราะทุกขั้นตอนในการเลือกซื้อบ้านนั้นเอซเป็นคนจัดการเอง และบอกปฏิเสธเองทั้งหมด จนกระทั่งมาเจอบ้านหลังนี้นี่แหละ ชายหนุ่มจึงยอมกัดฟันลดมาตรฐานอันสูงลิ่วของตัวเองลงมา

“มีสระว่ายน้ำด้วยเห็นไหม ตามที่หลานอาชอบทุกอย่างเลย”

“อาอลันนี่เจ๋งที่สุดเลย!”

คนขี้ประจบอีกคนก็ชมผู้เป็นอาจนฝ่ายนั้นแทบจะตัวลอย ยิ่งเด็กชายยื่นหน้ามาหอมแก้มเขาเป็นรางวัลอย่างรู้งาน หน้าของอลันก็ยิ่งบานเป็นกระด้ง เล่นเอาคุณพ่อที่เสียเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อบ้านที่มีสระว่ายน้ำกำหมัดจนมือสั่น น้องเขานี่มันน่าจะโดนทุบสั่งสอนสักหมัดสองหมัดเป็นอย่างน้อย โทษฐานที่มักจะกอบโกยความดีเข้าตัว แล้วแย่งความรักของลูเซียนไปจากเขา

“ใช่ไหมๆ ก็มีแต่อานี่แหละที่รู้ใจลูเซียนที่สุดในโลก”

“จริงที่สุดเลยครับ!”

“หลานอานี่น่ารักที่สุดในโลกเลยน้า” คุณอาที่หลงหลานไม่น้อยกว่าพี่ชายชมเปาะ ส่งไอแพดในมือให้เด็กชายเพื่อที่เขาจะดึงร่างเล็กมากอดให้สมรัก “เย็นนี้ไปกินอาหารข้างนอกกัน เดี๋ยวอาเลี้ยงเอง ถือว่าเป็นการเลี้ยงฉลองที่เราจะย้ายบ้าน”

“พรุ่งนี้อาก็ต้องเป็นคนไปส่งผมอยู่ดีนี่นา” ลูเซียนทำปากยื่น รู้ว่านอกจากพ่อของเขาแล้ว เด็กชายก็เหลือแค่อาอลันเท่านั้น

“ก็ต้องเลี้ยงส่งเหมือนเดิมไม่ใช่หรือไง กว่าเราจะได้เจอกันก็อีกตั้งหลายเดือน” คุณอาสุดหล่อพึมพำบอก ถึงจะไม่ชอบใจที่พี่ชายหอบหลานสุดที่รักไปอยู่ตั้งอีกฟากของโลก แต่เขาก็เข้าใจดีว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เอซเลือกใช้วิธีนี้เป็นทางออก

“พ่อว่าเราน่าจะไปอาบน้ำแต่งตัวกันนะครับลูเซียน” คุณพ่อลูกติดที่มีฝีมือในการทำอาหารติดลบบอกลูกชาย ทำให้ลูเซียนยอมเงยหน้าจากไอแพดขึ้นมองพ่อด้วยสายตาพราวระยับ “ลูกเล่นมาทั้งวัน เราจะไปกินข้าวทั้งที่ตัวเหม็นแบบนี้ไม่ได้นะ”

“พ่อตัวเหม็นเหรอครับ” เด็กชายที่โดนพ่อกล่าวหาว่าตัวเหม็นชะโงกหน้าข้ามตัวคุณอาสุดหล่อมาถาม มั่นใจว่าตัวเขายังหอมอยู่ไม่อย่างนั้นทั้งพ่อและอาอลันคงไม่ทั้งกอดทั้งหอมหรอก “อย่างนั้นพ่อขึ้นไปอาบน้ำก่อนเลยครับ ผมจะเล่นกับอาอลันก่อน”

อลันมองหลานชายเจ้าเล่ห์และช่างเจรจาของตนสลับกับพี่ชายที่อ้าปากค้าง คล้ายว่ากำลังตะลึงที่ลูกชายของตนหัวหมอถึงเพียงนี้ คิดแล้วก็ได้แต่หัวเราะหึๆ ในลำคออย่างไม่อาจจะกลั้นได้ไหว ด้วยตั้งแต่เกิดมากระทั่งพี่ชายของเขาล่วงเลยวัยสี่สิบมาได้สองปี ก็เห็นจะมีแต่เจ้าตัวแสบคนเดียวนี่แหละที่กล้าต่อปากต่อคำกับเอซ

“เรายังไม่ได้คุยเรื่องบ้านใหม่เลยด้วย” ลูเซียนยังบอกเหตุผลทิ้งท้าย

“ถ้าลูกยังไม่ลุกไปอาบน้ำ เราจะทานอาหารจีนที่บ้านแทน...” ยังไม่ทันที่เอซจะได้พูดจบประโยค ทั้งลูเซียนและอลันก็พร้อมใจกันลุกขึ้นจากโซฟา แค่ได้ยินคำว่าอาหารจีนก็พากันขนลุกขนพอง ทั้งที่เมื่อครู่ยังนอนเลื้อยเป็นงู ขี้เกียจเป็นหมูกันอยู่เลย “ไม่อยากทานอาหารจีนกันเหรอครับลูเซียน อลัน”

“ไม่เอาหรอก” อลันทำหน้าเบ้หนัก

พอเอซเลื่อนสายตาลงมองหน้าบุตรชาย ลูเซียนก็ทำหน้านิ่วเสียยิ่งกว่าอาอลันของเขาเสียอีก

“ไม่เอา ผมไม่อยากกินอาหารจีน” เด็กชายส่ายหน้าดิก

“อย่างนั้นลูกก็ต้องรีบขึ้นไปอาบน้ำ ตกลงไหมครับ” เอซต่อรอง

“ก็ได้ครับ” ลูกชายตัวดีของเอซพยักหน้าน้อยๆ อย่างยอมจำนน แต่ก็ไม่วายช้อนตาขึ้นมองหน้าพ่อเพื่อขอรับการยืนยันอีกครั้ง ก่อนจะเดินขึ้นไปอาบน้ำตามที่พ่อของเขาต้องการ “แต่ไม่เอาอาหารจีนนะครับ”

“ได้สิครับ ไม่เอาอาหารจีนก็ไม่เอา”

“แล้วก็โนพริกหยวก” มือเล็กยกขึ้นชี้หน้าดุดันของผู้เป็นพ่อ เล่นเอาพ่อที่อยากให้ลูกกินผักกระแทกลมหายใจ “โน โนพริกหยวกนะครับพ่อ”

“โอเคครับผม” เอซยื่นมือออกไปดึงนิ้วเล็กๆ ที่ชี้หน้าเขาอย่างคาดโทษ แล้วลากเจ้าลูกชายตัวดีของเขาไปส่งที่บันได โดยไม่ลืมหอมแก้มเล็กหนักๆ เป็นการลงโทษ เอาให้สมกับความเจ้าเล่ห์ช่างต่อรองของลูเซียน “เย็นนี้ โนพริกหยวก”

 

ห้องทำงานของ Even for you ในวันนี้ไม่ได้มีร่างงามของเจ้าของห้องนั่งประจำโต๊ะทำงาน แต่เป็น พิศา สิงหพิทักษ์ หุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทนั่งประจำโต๊ะผู้บริหารของเกศรา หน้างามของเจ้าตัวนั้นเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย รอพบลูกค้าซึ่งบอกว่าจะมาคุยเรื่องงานอย่างไม่สบอารมณ์นัก

เธอแค่มาทำงานแทนเกศราเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ทำไมต้องมาพบลูกค้าพวกนี้ด้วย เดี๋ยวแม่ก็กินหัวเสียหรอก!

“พิศา แกทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม คุณตาเขาเป็นลูกค้าคนสำคัญนะ”

แหวนประดับเดินเข้ามาดูความเรียบร้อยในห้องทำงานของเกศราและออกปากตำหนิเพื่อนสนิท ที่โดนไล่ออกแล้วแต่ก็ยังสามารถกลับเข้ามานั่งโต๊ะผู้บริหารแทนเกศราได้ ยามที่เจ้านายของเธอหนีไปพักร้อนที่สเปน

“ยายคนนี้เขาเป็นใคร รวยเหรอ” คนที่มั่นใจว่าตนก็ร่ำรวยไม่แพ้ใครนั้นย้อนถามเพื่อนสนิท ก้มมองชื่อ ‘เปรมยุตา’ บนกระดาษโน้ตสีสดตรงหน้า ซึ่งแหวนประดับเพิ่งส่งมาให้เธอก่อนจะถึงเวลานัดพบที่ลงไว้ในตารางนัด “ทำไมพี่เกดถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องดูแลดีๆ ไม่เห็นจะรู้จักเลย”

แหวนประดับฟังคนรวยที่ไม่สนใจใครนอกจากตัวเองแล้วก็แอบกลอกตาไปมา กระแทกลมหายใจแรงๆ ด้วยความระอาก่อนจะอธิบายเรื่องราวให้เพื่อนสนิทฟัง

“คุณตาเขาเป็นน้องสาวของคุณวี”

“วีไหน” น้ำเสียงเบื่อหน่ายเมื่อครู่กลับมากระตือรือร้นทันตาเมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นหู คิดว่าคนชื่อ ‘วี’ ที่ได้ยินเมื่อครู่คงไม่พ้นคนที่เธอเดาเอาไว้ในใจ “กวี ช่างกรุณ น่ะหรือ”

“อื้ม ก็มีคนเดียวนั่นแหละ”

แหวนประดับพยักหน้าเบาๆ ถึงเธอจะไม่เห็นด้วยที่เกศราจะรับงานจากหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของอดีตคนรัก แต่ในเมื่อนี่เป็นการตัดสินใจของเกศรา ลูกน้องอย่างเธอก็ไม่คิดขัด ทว่าตอนนี้คนที่นั่งเก้าอี้ผู้บริหารนั้นเป็นพิศา ไม่ใช่เกศรา แหวนประดับจึงไม่วางใจว่าวันนี้เปรมยุตาจะรอดปลอดภัยออกไปจาก Even for you เหมือนครั้งที่เกศราอยู่คุ้มครองหรือไม่ เพราะหากคนพวกนั้นไม่ทำร้ายเกศราอย่างหนักหนาเมื่อหลายปีก่อน ก็คงไม่มีบริษัท Even for you ในวันนี้

“งั้นยกเลิกนัดไปเล้ย!” พิศาประกาศ เรื่องอะไรเธอจะต้องลดตัวไปทำงานกับคนพวกนี้

“ไม่ได้นะ!” แหวนประดับปรามเพื่อน เธอไม่ได้นัดเปรมยุตามาวันนี้เพื่อให้พิศาเป็นคนยกเลิกนัดหรอกนะ “แกจะบ้าเหรอ คุณตาเขาเป็นลูกค้าคนสำคัญนะ แกจะไปยกเลิกนักเขาปุบปับอย่างนี้ได้ยังไง”

“ทำไมจะทำไม่ได้ ก็ฉันเป็นเจ้าของบริษัท” พิศาเลิกคิ้ว มองหน้าเพื่อนสนิทอย่างท้าทาย พิศาเสียอย่าง มีอะไรที่เธอทำไม่ได้บ้างเล่า

“แกเป็นเจ้าของบริษัทแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งยังเป็นของพี่เกด” แหวนประดับชี้ ก้าวฉับๆ ไปหยุดตรงหน้าโต๊ะหลังใหญ่แล้วจิ้มนิ้วไปที่หน้าผากงาม จนพิศาผงะหงายหลัง “ทำงาน ห้ามเลือกปฏิบัติกับลูกค้ารู้ไหม”

“กะอีแค่ผู้บริหารโรงพยาบาล จะรวยสักแค่ไหนกันเชียว!” คนรวยหมื่นล้านหยามเหยียด ตัดสินใจว่าเธอเกลียดครอบครัวอดีตคนรักของเกศราตั้งแต่วันที่เห็นหุ้นส่วนเสียใจจนไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว “นิสัยแย่ทั้งตระกูล!”

“เขาเป็นลูกค้า” แหวนประดับพยายามประนีประนอม

“แต่ฉันรวยกว่าลูกค้านะ” พิศายอกย้อน

“เอ๊ะ! แกรวย แต่คนในบริษัทคนอื่นยังไม่รวยนะพิศา” แหวนประดับชักสีหน้าใส่เพื่อนเจ้าเล่ห์ที่เริ่มจะแผลงฤทธิ์ทั้งที่กลับมาทำงานได้ไม่เท่าไหร่ “จะมาพูดจากวนประสาทแบบนี้ได้ยังไง ตั้งใจทำงานไปสิ”

“ทำไมพี่เกดต้องรับงานคนพวกนี้ด้วย” คนที่เลือกงานไม่ได้เพราะมีเพื่อนสนิทจับผิดทำหน้าเบ้ หาเหตุปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ยังไม่วายบ่นอุบตามประสาคนมากเรื่อง “ไหนว่าขายบ้านได้ตั้งร้อยล้านยังไงล่ะ เงินคนชั่วแบบนี้ไม่เห็นต้องไปอยากได้เลย”

“คุณตาเธอไม่เคยทำอะไรพี่เกดนะศา” แหวนประดับถอนหายใจ เชื่อว่าหากเปรมยุตาร้ายกาจหรือเคยทำเรื่องไม่ดีกับเกศรามาก่อนแล้วละก็ เกศราคงไม่เอาตัวเองไปพัวพันด้วยหรอก อีกอย่างเจ้านายเธอก็เพิ่งขายบ้านหนีคนพวกนี้ไปได้หยกๆ “อีกอย่างพี่เกดก็ไม่ได้โง่ แกเลิกหาเรื่องเสียที”

“ก็ฉันไม่ชอบ” พอหาเหตุผลเถียงไม่ได้ พิศาก็ยกเหตุผลที่คิดว่าน่าฟังที่สุดขึ้นมาเถียงเพื่อน “แกมีปัญหาอะไรไหม”

“ไม่มีหรอก ถ้าแกทำตัวเป็นมืออาชีพกว่านี้” แหวนประดับจิกกัด เล่นเอาคนที่เลือกปฏิบัตินั้นถึงกับตัวพอง อยากจะลงไปดิ้นกับพื้นให้สมกับความขัดใจที่ตนต้องทำงานให้คนที่เกลียดนัก “พี่เกดสั่งมาว่าให้ดูแลคุณตาเธอให้ดีที่สุด ห้ามอคติ”

“จะไม่ให้อคติกับคนบ้านนี้ ขอมากไปหรือเปล่า”

“ไม่มาก เพราะว่าเป็นคำสั่งของพี่เกด” แหวนประดับเอ่ยเสียงเฉียบ ยกคำสั่งของเจ้านายที่แม้แต่นางร้ายอย่างพิศาก็ต้องยอมลงให้ ด้วยรู้ว่าหากเกศราสั่งอะไรแล้วใครก็ห้ามขัด ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นพิศาก็เถอะ “แกกล้าหือเหรอ”

“โอ๊ย! ทำไมพี่เกดต้องสนใจคนพวกนี้ด้วยก็ไม่รู้” พิศาร้องลั่น เป็นเธอหน่อยไม่ได้ จะจองล้างจองผลาญไม่ให้คนพวกนี้มีความสุขแม้แต่วันเดียว “คนไม่ดีปล่อยให้รับผลกรรมไปสิ”

“เอ๊ะ! แกนี่มันยังไงนะพิศา ฉันบอกแล้วไงว่าคุณตาเขาเป็นคนดี” แหวนประดับชักสีหน้าใส่เพื่อนอีก เมื่อพิศายังคงยอกย้อน ทั้งที่จวนจะถึงเวลานัดหมายอยู่แล้ว “ไม่เหมือนพี่ชายเขา”

“พี่น้องมันจะต่างกันได้สักแค่ไหนเชียว” พิศาทำหน้าเบ้ แย้งเพื่อนสนิทและปรามาสลูกค้าสาวในคราเดียวกัน “ไหนจะแม่พวกนั้นอีก ได้ข่าวว่าร้ายมากไม่ใช่เหรอ ฉันละอยากจะเป็นพี่เกดจริงจริ๊ง”

“ศา” แหวนประดับเรียกชื่อคนปากร้าย แล้วถอนหายใจยาวด้วยความระอา “ปากแกนี่นะ”

“นี่ถ้าฉันเป็นพี่เกดนะ รับรองเลยว่าบ้านช่างกรุณจะต้องลุกเป็นไฟ!”

“พูดมาก เหม็นน้ำลาย!” แหวนประดับจิกตามองหน้างามของสาวหมวยปากร้าย “เงียบแล้วตั้งใจดูแลลูกค้าต่อไปรู้ไหม พี่เกดสั่งมา”

“พี่เกดสั่ง!” พิศาร้องกรี๊ด ทวนคำพูดของเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายเพราะไม่อยากเสียหน้า แม้จะรู้ตัวว่าเธอไม่สามารถอิดออด ปฏิเสธการทำตามคำสั่งของเกศราไม่ได้ “ฉันก็เป็นเจ้าของที่นี่ครึ่งหนึ่งเหมือนกันนะ ทำไมแกไม่เห็นกลัวฉันเหมือนกลัวพี่เกดเลย”

“ก็แกเก่งแต่ปาก อยากให้ฉันกลัวแกมากกว่าพี่เกด แกก็ลองงัดข้อกับพี่เกดสักตั้งสิ” แหวนประดับท้าทาย เล่นเอาคนที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดเรื่องการงัดข้อกับเกศราย่นคอ เธอเองก็ไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าเกศรามีเขี้ยวเล็บอะไรซ่อนไว้เลย “ถ้าเกิดแกชนะพี่เกด ฉันจะเชื่อฟังแกก็ได้”

“บ้าเหรอ!” คนปอดแหกถึงกับแหวเสียงแหลมใส่คนที่ท้าทายให้เธองัดข้อกับหุ้นส่วนรุ่นพี่อย่างเกศรา “ไหนจะพี่ช้องอีก ไม่เอาละ เรื่องอะไรจะไปทะเลาะกับพี่เกดให้เจ็บตัว”

“โธ่ ฉันก็นึกว่าจะแน่” แหวนประดับยิ้มมุมปาก ไม่แปลกใจที่พิศากลัวเกศราถึงเพียงนั้น เพราะเธอเองก็เกรงเจ้านายสาวไม่น้อย “กำลังจะไปบอกยกเลิกนัดคุณตาอยู่แล้วเชียว”

“ยกเลิกได้ยังไงล่ะ รับงานมาแล้วไม่ใช่เหรอ” พิศาว่าอุบอิบ แม้ไม่เต็มเสียง แต่ท่าทีของสาวเจ้าก็อ่อนลงพอสมควร “ไหนๆ เขาก็จะมาแล้ว ฉันจะหลับหูหลับตาต้อนรับเขาเพื่อพี่เกดก็ได้”

“ต้อนรับเขาเพื่อไม่ให้พี่เกดกลับมาเล่นงานตัวเองมากกว่ามั้ง” แหวนประดับจับผิดคนท่ามาก ที่จนมุมขนาดนี้แล้วยังคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะทำตัวปากแก่งกับเธออีก “ระวังตัวไว้ให้ดี รู้ไหมว่าคุณตาคนนี้น่ะเขาเป็นน้องรักของพี่เกด”

“น้องรัก?” ปากทรงกระจับของพิศานั้นบิดเบ้จนเสียงทรงเมื่อทวนคำพูดเมื่อครู่ของแหวนประดับ ก่อนจะหัวเราะเหอะๆ อย่างดูแคลนเปรมยุตา “น้องรักน้องร้ายหรือเปล่าเถอะ ฉันไม่เชื่อว่าพี่เกดจะโง่จนไว้ใจคนบ้านนี้อีกหรอก”

“ก็จริงของแก”

“พี่เกดน่ะใจดีเกินไป ตัดขาดได้ก็ตัดขาดเถอะ พวกคนเห็นแก่ตัว!”

“เอ่อ...ขอโทษค่ะ คุณผู้หญิงด้านนอกบอกให้ตาเข้ามาได้เลย”

เสียงเล็กที่แสดงถึงความเกรงอกเกรงใจนั้นทำให้แหวนประดับอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ไม่รู้ว่าเปรมยุตามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และได้ยินเรื่องเมื่อครู่ไปกี่มากน้อย ผิดกับพิศาที่ทำเพียงเลิกคิ้วสูง ขณะกวาดตามองผู้มาใหม่ตั้งแต่หัวจดเท้า เพื่อประเมิณความร้ายกาจของคนที่เธอปักใจว่าเป็นศัตรูตั้งแต่ยังไม่พบหน้า

เปรมยุตา ช่างกรุณ คนนี้เป็นหญิงร่างเล็กเกือบจะเท่าพิศาเลยทีเดียว ขนาดเครื่องหน้าและดวงตาที่เล็กอย่างคนที่มีเชื้อสายจีนผสมก็แทบไม่ผิดกัน เว้นแต่เครื่องแต่งกายเท่านั้นที่ทำให้แหวนประดับพอจะแยกได้ว่าคนไหนคือเพื่อนของเธอ และคนไหนคือลูกค้าคนสำคัญของเกศรา

พิศาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงที่ส่งตรงมาจากรันเวย์แทบทุกวัน กระทั่งรองเท้ายังต้องเป็นส้นสูงยี่ห้อดังเท่านั้นเจ้าตัวจึงจะยอมสวม ขณะที่เปรมยุตาแม้จะมาจากครอบครัวที่มั่งมีไม่แพ้พิศา แต่หญิงสาวกลับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ที่มองอยู่นานแหวนประดับก็ยังระบุยี่ห้อไม่ได้

“เชิญคุณตานั่งก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวแหวนจะไปเอาน้ำมาให้” แหวนประดับที่ตั้งสติได้ก่อนรีบต้อนรับลูกค้าสาวด้วยความกระตือรือร้น และพยายามเปิดใจให้กว้าง แม้รู้ว่าเปรมยุตานั้นเป็นน้องสาวของกวี อดีตคนรักของเกศราก็ตาม “แล้วนี่พิศาค่ะ พี่เกดคงบอกแล้ว”

“ค่ะ พี่เกดบอกแล้วว่าคุณพิศาจะดูแลตาแทนพี่เกด”

เปรมยุตายิ้มอ่อนหวาน พยายามผูกมิตรกับคนร่างงามซึ่งเกศราเล่าให้เธอฟังตอนที่คุยโทรศัพท์ทางไกลกันแล้วเล่าว่า พิศาคนนี้เป็นหุ้นส่วนที่ร่วมกันจัดตั้งบริษัท Even for you กับเกศรา นอกเหนือจากนั้นเปรมยุตายังรู้มาอีกด้วยว่าพิศาคนนี้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของเจ้าสัวหมื่นล้าน และมีคู่หมั้นเป็นทายาทเจ้าสัวเช่นเดียวกับเจ้าหล่อน

และนั่นทำให้เปรมยุตาพอมั่นใจได้ว่าปัญหาโลกแตกของเธอคงจะพอกล้อมแกล้ม หาทางออกได้สักที

“ฉันไม่ได้ใจดีเหมือนพี่เกดหรอกนะ” พิศาเตือนลูกค้าสาวก่อนที่เปรมยุตาจะได้พูดคุยกับตนเสียอีก จึงได้สายตาเขียวปั้ดจากแหวนประดับเป็นคำเตือน แต่เธอก็เพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเมื่อกล่าวว่า “แต่เห็นแก่พี่เกดหรอกนะ เชิญนั่ง”

“ขอบคุณค่ะ”

การกระทำของเปรมยุตาที่เหมือนหวาดกลัวตนนั้นทำให้พิศาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะเธอไม่คาดคิดว่าลูกสาวเพียงคนเดียวของผู้บริหารโรงพยาบาลช่างกรุณจะนอบน้อมถึงเพียงนี้

“ตารบกวนคุณพิศาด้วยค่ะ”

“ไม่ต้องกลัวฉันขนาดนั้นก็ได้คุณ คุณเป็นลูกค้านะ”

พิศาอดที่จะแขวะคนที่นั่งหงอตรงหน้าเธออย่างหงุดหงิดไม่ได้ ยิ่งเห็นยิ่งขัดตาที่เปรมยุตาหวาดกลัวเธอถึงเพียงนี้ เธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ขู่เอาไว้ก่อนเฉยๆ ยายตาอะไรนี่ก็กลัวหงอเสียแล้ว ไม่รู้ว่าพี่เกดของเธอสอนมวยมาก่อนหรือเปล่า ไว้ใจไม่ได้หรอก

“ก็วันนี้ตามารบกวนคุณพิศานี่คะ” หญิงสาวพูดเสียงเบา ชวนให้คิดว่าความไม่มั่นใจนี้เป็นนิสัยเดิมของเธอมากกว่าจะเป็นเพราะหน้าบึ้งๆ ของพิศา

“ฉันอาจจะเสียงดังไปนิด อย่ากลัวเกินไปเลยคุณ” พิศาเอ่ยอย่างไม่ชอบใจนัก เมื่อดูท่าทางแล้วยายเปรมยุตาอะไรนี่คงร้ายได้ไม่เท่าไหร่ หน้าจืดๆ แต่งตัวเหมือนยายเพิ้งแบบนี้ ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นผู้บริหารของโรงพยาบาล “มีเรื่องอะไรให้เราช่วยล่ะ”

“เอ่อ...รอสักครู่ได้ไหมคะ” เปรมยุตาเงยหน้ามองพิศาก่อนจะรีบหลบตาคนหน้าดุ ที่มองผ่านๆ เหมือนพร้อมจะมีเรื่องตลอดเวลา “แฟนตาเขายังมาไม่ถึง พอดีว่าเลิกประชุมช้ากว่าที่คิดไว้”

“ได้สิ” พิศาตอบง่ายๆ แม้จะแอบสงสัยว่างานอะไรหนอที่เปรมยุตาอยากให้ Even for you ช่วยจัดการ ถึงกับต้องรอพูดพร้อมกับคนรักเลย “อยากได้อะไรก็บอกแล้วกัน จะให้คนหาให้”

“ขอบคุณคุณพิศามากค่ะ แต่ตาไม่อยากได้อะไร”

คำพูดนั้นทำให้พิศาแอบทำหน้าเบ้ ค่อนแคะเปรมยุตาในใจว่าคนอะไรมารยาทงามจริง

“ตามใจ” เพราะอีกฝ่ายเป็นน้องสาวของคนที่ทิ้งเกศราให้เจ็บช้ำ พิศาจึงไม่อยากลดตัวลงไปใจดีกับเปรมยุตาเกินจำเป็น ถึงอย่างไรก็เป็นเครือญาติของศัตรูที่เธอหมายหัวเอาไว้ แต่ในเมื่อเกศราไม่เดือดร้อนที่จะเล่นงานพวกเขา พิศาจึงจำต้องวางเฉยตามไปด้วย

รอให้เกศราอนุญาตก่อนเถอะ ต่อให้จะร้อยพันช่างกรุณ พิศาคนนี้ก็จะเปิดศึกปะฉะดะ ยำไม่ให้เหลือซากเชียว เอาให้สมกับความแค้นที่เธอต้องทนเห็นเกศราโดนใส่ร้ายป้ายสีมาตลอดหลายปีเลยคอยดู๊!

หน้างามของพิศาค่อยๆ แสดงอารมณ์ออกมาทีละน้อย ขณะที่ต้องทนนั่งรอคนรักของเปรมยุตา

 

จนเวลาผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมงคนที่เคยบอกว่ารอได้ก็หน้าหงิก ลอบมองหน้างามของลูกค้าสาวที่ตัวสั่นงันงกเพราะไปไม่เป็น

ตั้งแต่เกิดมาเปรมยุตายังไม่เคยสู้รบตบมือกับใครเขาเลยสักครั้ง นี่ต้องสู้กับพิศา เธอจะทำอย่างไรดี

ตอนนั้นเองที่ประตูห้องทำงานของเกศราถูกแหวนประดับเปิดออก หญิงสาวยื่นหน้าเข้ามาบอกก่อนจะส่งแขกคนสำคัญเข้ามาหาพิศา ซึ่งก็คงทำตัวไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นเปรมยุตาคงไม่ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำอย่างนี้

เห็นทีต้องรายงานพฤติกรรมของพิศาให้เกศรารู้เสียแล้ว...

“คุณปุณณมาถึงแล้วค่ะ”

ชื่อนั้นทำให้คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นของพิศาเลิกสูงขึ้นด้วยความแปลกใจและไม่มั่นใจนัก เพราะชื่อที่แหวนประดับเอ่ยมานั้นทำให้เธอนึงถึงผู้ชายซึ่งน่าจะเป็นคนรักของเปรมยุตาได้คนเดียว นั่นก็คือ ปุณณ ฤกษ์ฤดี ชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ

“ขอโทษครับที่มาช้า” ร่างสูงที่แทรกผ่านประตูเข้ามานั้นเป็นบุคคลซึ่งพิศาคาดเดาเอาไว้จริงๆ เพียงสบตากับร่างบอบบางหลังโต๊ะทำงาน ชายหนุ่มเองก็แสดงสีหน้าแปลกใจที่คนซึ่งคนรักเขานัดให้มาพบในวันนี้ เป็นสาวหมวยที่เขาเล่าลือกันต่อๆ มาว่าร้ายกาจมากแทนที่จะเป็นเกศรา หญิงสาวที่เปรมยุตานับถือเป็นพี่เป็นน้อง “อ้าว คุณพิศา”

“คุณปุณณ” พิศาค้อมหัวน้อยๆ เป็นการทักทายชายหนุ่ม เคยเจอเขาเป็นบางครั้งยามที่พิศาจำต้องติดสอยห้อยตามบิดาไปออกงานสังคม เช่นงานหมั้นหรืองานแต่งงานของลูกชายเพื่อนบิดา แน่นอนว่าปุณณเองก็เป็นหนึ่งในลูกชายเพื่อนของบิดาพิศา “คิดไม่ถึงนะคะเนี่ย”

“รู้จักกันด้วยหรือคะ” เปรมยุตาคลี่ยิ้มออกมาด้วยความหวังที่ค่อยๆ ผลิบาน รู้สึกหายใจคล่องขึ้นเมื่อเห็นว่าคนรักของตนนั้นรู้จักพิศาเป็นการส่วนตัว เช่นนี้เธอคงไม่โดนหมายหัวเหมือนครึ่งชั่วโมงที่ผ่านแล้วใช่ไหม

เปรมยุตาไม่โทษพิศาหรอก เธอไม่สามารถถือโทษโกรธคนของเกศราได้เลย เพราะเปรมยุตารู้ดีว่าเพียงแค่เกศรายินดีให้ความช่วยเหลือเธอทั้งๆ ที่ครอบครัวเธอทำเรื่องไม่ดีกับหญิงสาวมาตั้งขนาดนี้ก็ถือว่าบุญแล้ว

“ปุณณไม่เห็นบอกตาก่อนเลยว่ารู้จักคุณพิศาด้วย”

“ผมเคยเจอคุณพิศาตอนออกงาน” ปุณณค่อยๆ เดินเข้ามาหาคนรักของเขาซึ่งมีใบหน้าซีดเซียวกว่าปกติด้วยความเป็นห่วง พลางอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งแม้แต่พิศาก็ยังต้องยอมรับว่าชายหนุ่มดูจะรักแฟนของเขาอย่างออกนอกหน้า “หน้าตาซีดจัง เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่จ้ะ ตาไม่ได้เป็นไร” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้าเป็นคำตอบ แล้วจึงเอ่ยชวนคนรักของตน “นั่งก่อนดีไหม คุณพิศาเธอรอปุณณนานแล้วนะ”

“ตามสบายเถอะ เอาที่สะดวกแล้วกัน” พิศาโบกมือปัดเมื่อเห็นสายตาเขียวปั้ดของแหวนประดับ เธอไม่ได้สนใจหรอกว่าจะเสียลูกค้า เว้นเรื่องเงินไว้เรื่องเดียวที่พิศาจะไม่ยอมเสียเด็ดขาด “พร้อมเมื่อไหร่ค่อยคุยก็ได้นะคุณปุณณ”

“คุยเลยก็ได้ครับ ผมกับตาเราคุยกันมาก่อนแล้ว”

คำพูดนั้นทำให้พิศาเลิกคิ้ว สบตาแหวนประดับเป็นเชิงปรึกษา แล้วหุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัท Even for you จึงยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ด้วยความสับสน

“ขอแหวนอยู่ด้วยได้ไหมคะ คุณปุณณ คุณตา”

น้ำเสียงของคนที่เป็นมิตรกว่าพิศานั้นทำให้เปรมยุตามีสีหน้าดีขึ้น และรีบชิงพยักหน้าเป็นคำตอบส่งให้แหวนประดับ ก่อนที่คนร่างสูงข้างตัวจะขยับปากพูด

“คุณแหวนอยู่ด้วยก็ดีค่ะ”

คำตอบนั้นทำให้แหวนประดับกล้าที่จะเดินเข้ามายืนฝั่งเดียวกับเพื่อนสนิท โดยยึดตำแหน่งที่เยื้องไปด้านหลังพิศาเล็กน้อยเพราะตอนนี้ฐานะของพิศาคือเจ้านาย ส่วนเธอนั้นเป็นลูกน้อง

“สรุปว่ามีอะไรให้ Even for you รับใช้คะ” ผู้บริหารชั่วคราวดัดเสียงให้เล็กลงและอ่อนหวานกว่าปกติ โดยอาศัยการนึกภาพของเกศรายามเจรจาธุรกิจเอาไว้ในหัว เพียงเท่านี้พิศาก็สามารถเป็นเกศราเบอร์สองได้อย่างไร้ที่ติแล้ว

“คือว่าผมอยากให้คุณพิศาช่วยเรื่องเราสองคนหน่อยครับ”

ปุณณเข้าเรื่องฉับอย่างผู้ชายที่ไม่ชอบอ้อมไปอ้อมมาทันที แต่นั่นกลับยังไม่ทำให้พิศาและแหวนประดับเข้าใจได้ว่า ‘งาน’ ที่พวกเธอต้องไปจัดการนั้นคืองานอะไร “ผมกับตารักกัน แต่คุณพ่อคุณแม่ของพวกเราไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ พอจะช่วยได้ไหมครับ”

ฟังแล้วทั้งพิศาและเกศราก็อยากจะร้องไห้ และทิ้งตัวล้มลงไปกองแทบพื้น นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน รู้นะว่าเกศรารับทำงานทุกอย่าง แต่ปัญหาโลกแตกอย่างนี้ เทวดาหน้าไหนจะไปทำสำเร็จกัน!

 

“เชิญครับ”

เอซอุ้มลูกชายลงจากรถยนต์คันใหญ่ซึ่งไปรับเขาและลูเซียนมาจากสนามบินเพื่อมาที่บ้านหลังใหม่ ที่เขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี หรืออย่างน้อยก็จนกว่าห้างสรรพสินค้าที่เขาร่วมลงทุนกับบริษัท ดิ ฌอห์นจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งหุ้นส่วนของเขาส่งรูปและแปลนบ้านไปให้เขาพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ

แน่นอนว่าเอซตอบตกลงเพราะทุกอย่างในบ้านหลังนี้ถูกใจเขาเกินกว่าที่คาดหวังไว้ในคราแรก ทั้งเฟอร์นิเจอร์นำเข้าและสไตล์การตกแต่ง ทำให้ชายหนุ่มอยากพบเจ้าของบ้านคนเก่าขึ้นมาตงิดๆ อยากรู้ว่าเป็นคนอย่างไรถึงได้แต่งบ้านออกมาเหมือนบ้านของเขาถึงเพียงนี้

แต่เมื่อหวนนึกถึงคำพูดของฌอห์นที่บอกว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ตั้งใจจะใช้ที่นี่เป็นเรือนหอ เอซก็รู้ดีว่าหากไม่มีเหตุผลที่สมควร คงไม่มีใครอยากจะทิ้งเรือนหอที่ตกแต่งเสียสวยหรูของตัวเองไป แล้วขายให้คนแปลกหน้า นั่นทำให้เอซต้องหยุดความต้องการที่จะเจอเกศราไว้เพียงเท่านั้น ไม่แน่ว่าคนตกแต่งบ้านหลังนี้อาจจะเป็นอดีตคู่หมั้นของหญิงสาวก็ได้

“พ่อครับ ดูสิ นั่นไงสระว่ายน้ำของเรา”

ร่างเล็กในอ้อมแขนคนเป็นพ่อชี้ไปยังสระว่ายน้ำที่เจ้าตัวหมายตาไว้ตั้งแต่เห็นรูปในไอแพด ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เอซตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ ทำให้ร่างสูงของหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าก้มลงมองหน้าเล็กของลูกชาย

“เราว่ายน้ำได้ไหมครับ”

“ลูกต้องเอากระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไปเก็บก่อนนะลูเซียน” เอซเอ่ยเสียงเข้มกับลูกชายเพียงคนเดียวของตน ซึ่งเขาหนีบมาที่เมืองไทยด้วย

เด็กชายที่มีดวงตาสีเข้มจัดกว่าผู้เป็นพ่อเงยหน้าขึ้น ปากยื่นเล็กน้อยอย่างขัดใจเมื่อพ่อไม่อนุญาตให้เขาเล่นน้ำอย่างที่ใจอยาก

“เราตกลงกันว่ายังไงครับ”

“ก็ได้ ผมจะเชื่อฟังพ่อ” เด็กชายพยักหน้าอย่างงอนๆ แม้จะปั้นปึ่งเมื่อโน้มตัวลงแย่งกระเป๋าเป้มาจากมือพ่อแล้วตั้งใจจะนำไปเก็บตามคำสั่งก็ตาม “แต่พ่อก็ต้องมีเหตุผลนะครับ”

“พ่อจะพยายามมีเหตุผลแล้วกันนะครับ” เอซวางลูเซียนลง แล้วจึงยอบตัวลงนั่ง พยักหน้าเบาๆ เมื่อเอ่ยทบทวนถึงข้อตกลงที่ทั้งคู่มีระหว่างกัน จากนั้นจึงปล่อยให้ลูเซียนวิ่งปรู๊ดเข้าไปสำรวจบ้านใหม่ให้สมใจ ส่วนเขามีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกับเพื่อนร่วมธุรกิจอีกหลายเรื่อง

“เรื่องโรงเรียนของลูเซียนเป็นยังไงบ้างฌอห์น มีที่ไหนจะรับแกเข้าเรียนกลางเทอมหรือเปล่า”

คุณพ่อลูกติดหันมาถามหุ้นส่วน ซึ่งเขาได้ฝากฝังให้เป็นธุระเรื่องโรงเรียนอนุบาลของบุตรชายเอาไว้ แน่นอนว่าเอซนั้นจัดการเรื่องย้ายโรงเรียนของบุตรชายตั้งแต่ก่อนมาที่เมืองไทยร่วมเดือน แต่กระนั้นก็ยังติดปัญหาตรงที่ว่าโรงเรียนซึ่งเขาพอใจหลักสูตรการสอนและบุคลากรนั้นไม่เปิดรับเด็กนักเรียนเข้าเรียนกลางเทอม

“เรื่องเข้าเรียนไม่ใช่ปัญหาเลยเอซ แต่ว่าทางโรงเรียนเขาอยากให้ลูเซียนลองไปเข้าเรียนดูก่อน เผื่อว่าแกจะตามเพื่อนไม่ทัน” ฌอห์นบอกหุ้นส่วนซึ่งเขารู้ซึ้งถึงเขี้ยวเล็บของเอซมาพอสมควร

“เรื่องเอกสารล่ะ ผมต้องจัดเตรียมอะไรบ้าง”

คุณพ่อลูกติดซักขณะก้าวเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งเพียงก้าวแรกคิ้วเข้มของเจ้าของบ้านคนใหม่ก็เลิกสูงอย่างแปลกใจเมื่อพบว่ารูปที่เขาเคยเห็นนั้นสวยไม่ได้ครึ่งของภายในบ้านจริงๆ ด้วยซ้ำ เอซพยักหน้าเบาๆ กับตัวเองอย่างพึงพอใจ

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เดี๋ยวผมจะให้เลขาฯ จัดการให้ทั้งหมด คุณไม่ต้องห่วงหรอก”

“ผมอยากให้แกเข้าเรียนเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะฌอห์น”

เอซบอกชัด เขาไม่อยากให้ลูเซียนต้องอยู่ที่บ้านแล้วพลาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้เหมือนเด็กในวัยเดียวกัน เอซเชื่อว่าฌอห์นคงสามารถทำให้ลูกชายเขาเข้าโรงเรียนกลางเทอมได้

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะจัดการทุกอย่างให้” ฌอห์นพยักหน้ารับ บอกชัดว่าเขามั่นใจว่าตนจะสามารถทำให้เด็กชายเข้าโรงเรียนได้เช่นกัน แต่ก็ไม่วายย้ำถึงข้อแม้ที่เพื่อนของเขาซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียนบอกมา “แต่ยังไงลูเซียนก็ต้องลองเข้าชั้นเรียนพร้อมเพื่อนก่อนนะครับ”

“โอเค” เอซพยักหน้ารับ พร้อมวางแผนเรื่องวันและเวลาที่เขาจะพาลูกชายไปดูโรงเรียนใหม่คร่าวๆ ในใจทันที

“ผมเอาของไปเก็บแล้วครับพ่อ” เด็กชายวิ่งปรู๊ดลงมาจากชั้นบน พยักหน้าให้เอซแล้ววิ่งจี๋ไปที่ประตูเลื่อนที่เชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำด้านนอก พุ่งออกไปดูสระว่ายน้ำสมกับที่ติดอกติดใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในบ้านใหม่ “เราจะว่ายน้ำได้ตอนไหนครับพ่อ” เด็กชายตะโกนถามเสียงดัง

“หลังจากที่เราออกไปทานข้าว แล้วซื้อของสำหรับไปโรงเรียนของลูกเรียบร้อยแล้ว”

“โรงเรียน?” ผู้ที่ไม่ต้องไปโรงเรียนตลอดหลายวันที่ผ่านมาเนื่องจากการย้ายบ้านข้ามทวีปนั้นทำหน้าม่อยลง ไหล่เล็กก็ลู่ลงอย่างสิ้นหวัง ด้วยการไปโรงเรียนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ลูเซียนชื่นชอบเท่าใดนัก “ผมต้องไปโรงเรียนแล้วเหรอครับพ่อ”

“ใช่สิ เพราะว่าลูกยังเด็ก ต้องไปโรงเรียน”

“ไม่เห็นจะอยากไป” คนยังเป็นเด็กบ่นอุบ หน้าบึ้งหนักขึ้นไปอีกเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย เล่นเอาคนเป็นพ่อแทบหงายหลัง “ผมเกลียดโรงเรียน”

“ลูเซียน” เอซปรามบุตรชายเสียงเข้ม ตาคมหรี่แคบลงจ้องหน้าเล็กของคนที่ประกาศว่าเกลียดโรงเรียนเสียงดังฟังชัดด้วยความจนปัญญา

“ก็จริงนี่ฮะ” คนที่ไม่เคยชอบโรงเรียนได้แต่ทำหน้างอง้ำ หันไปหาพวกที่ยืนอมยิ้มขำอยู่ไม่ไกล “ใครๆ ก็เกลียดโรงเรียนทั้งนั้น ใช่ไหมครับอาฌอห์น”

“แต่ทุกคนก็ต้องไปโรงเรียนนะลูเซียน” ฌอห์นก้มมองหน้าเด็กชายช่างเจรจา ไม่ว่าจะครั้งแรกที่พบกันหรือตอนนี้ ลูเซียนก็พูดจาเจื้อยแจ้ว ไม่มีแววขี้อายให้เห็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวหรือการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ทำให้เด็กชายกล้าแสดงออกเช่นนี้

“แต่ทุกคนเกลียดโรงเรียน!”

“ลูเซียน! หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เอซรีบเดินไปจับไหล่เล็กของบุตรชาย บังคับให้ลูเซียนหมุนตัวกลับมาหาเขา จ้องหน้าเล็กเขม็ง ทำให้คนที่ประกาศกร้าวว่าเกลียดโรงเรียนเมื่อครู่นั้นได้แต่ทำแก้มพอง เชิดหน้าอย่างแสนรั้น บอกชัดว่าเขาไม่ยอมจำนนให้ผู้เป็นพ่อเลย “พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะ ถ้าเพื่อนๆ ของลูกเขามาได้ยินจะว่ายังไง”

“เพื่อนของผมเกลียดโรงเรียนกันหมดทั้งนั้น” ลูเซียนเงยหน้าสบตากับผู้เป็นพ่ออย่างท้าทาย อ้าปากโต้ตอบเอซแจ้วๆ จนคนที่เป็นผู้ปกครองถึงกับกลอกตาไปมาเพราะความกวนประสาทของเจ้าตัวดี “จริงนะฮะ”

“บางทีโรงเรียนใหม่ของลูกอาจจะสนุกก็ได้นะลูเซียน” เอซบอกบุตรชาย รู้ว่าโรงเรียนเดิมของลูเซียนนั้นมีกฎระเบียบเคร่งครัดจนอาจจะทำให้เด็กชายไม่ชอบใจนัก

“โรงเรียนไหนๆ ก็น่าเบื่อทั้งนั้น” คนเสียงเล็กบ่นอุบอิบกับอกของตัวเอง ไม่อยากให้พ่อได้ยิน แต่กระนั้นพ่อของเจ้าตัวแสบก็ยังไม่วายได้ยินจนได้

“ยังไม่เคยลองไปก็บอกไม่ชอบเสียแล้ว” ตอนนั้นเองที่เสียงเข้มอ่อนลง แต่ก็ติดแววตำหนิเด็กชาย จนดวงหน้าเล็กแต่มีเค้าความหล่อเหลาเริ่มลังเล คิดว่าตนอาจจะมีความผิดจริง “ถ้าวันหนึ่งลูกเจอเพื่อนใหม่ แล้วเขาไม่ชอบหน้าลูกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คุยกัน ลูกจะรู้สึกยังไง”

“ก็คงไม่ชอบครับ” เด็กชายคิดตามแล้วยอมรับ ท่าทีแข็งกร้าวก่อนหน้านี้อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“นี่ก็เหมือนกัน ลูกยังไม่เคยไปโรงเรียนใหม่เลยก็รีบบอกว่าไม่ชอบเสียแล้ว มันน่าเสียใจนะรู้ไหม”

“ก็ได้ครับ ผมจะไปโรงเรียนก่อนแล้วถึงจะไม่ชอบ”

คำตอบของลูกชายทำให้เอซหลุดขำ ลูกของเขานี่ดื้อจริงเชียว กล่อมขนาดนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดใจยอมรับโรงเรียนใหม่เลย แต่นั่นก็ถือว่าดีแล้วสำหรับคนที่ประกาศกร้าวว่าเกลียดโรงเรียนหนักหนา

“แต่ผมก็คิดว่าผมคงไม่ชอบอยู่ดีนะครับ”

เท่านั้นคุณพ่อก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่พูดออกไปไม่ได้ว่าตอนเด็กๆ ตนก็เกลียดโรงเรียนเข้าไส้เหมือนกัน เพราะเป็นพ่อคนแล้วจะพูดจาหรือทำอะไรที่เป็นตัวอย่างไม่ดีให้ลูกเห็นไม่ได้ แต่เจ้าตัวแสบนี่ก็ฤทธิ์เยอะ แถมช่างเจรจาอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าเขาจะสู้รบตบมือไปได้อีกสักกี่น้ำ

“ไม่แน่หรอก ด่วนตัดสินอย่างนั้นไม่ดีเลยนะ”

“โอเค”

เด็กชายพยักหน้าหงึกๆ ยอมโอนอ่อนและเห็นด้วยกับผู้เป็นพ่อ ก่อนจะวิ่งจี๋ไปนั่งห้อยขาที่ขอบสระว่ายน้ำ ชวนให้ผู้เป็นพ่อนั้นสงสัยว่าที่ลูเซียนยอมพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อครู่เพราะว่าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา หรือเพราะไม่อยากเถียงกับเขาต่อกันแน่

“ดูแกชอบบ้านใหม่นะครับเอซ” เสียงห้าวๆ ของฌอห์นที่ยืนเยื้องกันอยู่ดังขึ้น

เอซลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยตอบหุ้นส่วน ซึ่งเป็นธุระในการจัดหาบ้านใหม่ให้เขา “ผมเองก็ชอบ”

ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ตาคมมองรอบตัว ซึ่งประกายในตาคมก็บอกให้ฌอห์นวางใจได้ว่าเขาตัดสินใจถูกที่ซื้อบ้านหลังนี้จากเกศรา ขอให้เกศรากลับมาจากการพักร้อนก่อนเถอะ เขาจะขอเลี้ยงข้าวเธอเป็นการขอบคุณสักมื้อ เนื่องในโอกาสที่สาวเจ้าตกแต่งบ้านได้ถูกใจเอซ

“คุณบอกว่าบ้านหลังนี้เขาตั้งใจซื้อไว้เป็นเรือนหอใช่ไหม”

“ครับ แต่พวกเขาไม่ได้แต่งงานกันเพราะมีปัญหาส่วนตัว”

แฟนสาวของฌอห์นไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกศรายังครองตัวเป็นโสดอยู่ ทั้งที่ความจริงฌอห์นก็ได้ยินมาไม่น้อยเลยว่ามีหนุ่มๆ หลายคนสนใจในตัวหญิงสาวที่ทั้งสวย รวย และแซ่บอย่างเกศรา เรียกว่าหากเธอเปิดโอกาสคงเป็นสาวโสดคนแรกๆ ที่ได้สละโสดแน่ แต่เกศราก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสนใจใครเป็นพิเศษ

“ความจริงแล้วคุณเกดเธอรักบ้านหลังนี้มาก โชคดีที่เธอขายที่นี่ให้เรา”

“เกรซเหรอ ชื่อเพราะนะ” เอซพึมพำออกความเห็นกับชื่อที่ทั้งไพเราะและมีความหมายดี แน่นอนว่าฌอห์นไม่ได้ท้วงเรื่องที่เพื่อนร่วมธุรกิจออกเสียงชื่อของเกศราผิดเพี้ยนไป ปล่อยให้เอซเข้าใจเช่นนั้นต่อไป เพราะคิดว่าอย่างไรเสียเขากับเกศราคงไม่มีธุระให้ต้องเกี่ยวข้องกันหรอก

“เธอเป็นคนเก่งครับ เราโชคดีมากที่เธอยอมขายบ้านหลังนี้ให้” ฌอห์นเอ่ยย้ำด้วยเขาเชื่อจริงๆ ว่าที่เกศราให้เอซได้มีโอกาสครอบครองบ้านหลังนี้เป็นโชคล้วนๆ

“ผมไม่เคยเชื่อเรื่องโชคหรอกนะ” เอซยิ้มมุมปาก สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรที่ได้มาเพราะโชคช่วยหรอก “แต่กับบ้านหลังนี้จะยอมเชื่อสักครั้งแล้วกันว่าเป็นเพราะโชคช่วย”

“ครับ” ฌอห์นจนปัญหาที่จะคิดหาคำพูดมาโต้ตอบกับชายซึ่งอาวุโสกว่าเขาหลายปี เพราะรู้ว่าเอซไม่ใช่คนที่เขาควรจะต่อปากต่อคำด้วย คนอย่าง เอซ แลนด์สตรอม นั้นแหลมคมทั้งเรื่องฝีปากและมันสมอง หากเขาเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว จากเพื่อนร่วมธุรกิจอาจจะได้กลายเป็นอย่างอื่นที่ฌอห์นไม่อยากเป็นก็ได้

“ลูเซียนครับ” คุณพ่อที่ดุกับคนอื่นเว้นแต่กับลูกชายนั้นส่งเสียงเรียกคนที่นั่งบนขอบสระว่ายน้ำ “เข้าบ้านเถอะ เราต้องไปทำธุระต่อนะ”

“ไปซื้อชุดว่ายน้ำด้วยครับพ่อ” เด็กชายสับเท้าตึงๆ ย้อนกลับมาหาผู้เป็นพ่อ ร้องสั่งถึงเรื่องสำคัญที่ต้องรีบจัดการอย่างเร่งด่วนในความรู้สึกของเด็กชายวัยหกขวบเช่นเขา “แล้วก็ห่วงยาง เราต้องซื้อห่วงยางด้วยนะ”

“เอาไว้เราค่อยคุยกันหลังทานข้าวดีไหมครับ” ผู้เป็นพ่อยื่นข้อเสนอที่ทำให้ลูเซียนมีสีหน้าลังเลอย่างไตร่ตรอง

เห็นเช่นนั้นฌอห์นก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ เพราะสีหน้าของเด็กชายตัวน้อยเหมือนกับพ่อของเขายามอ่านสัญญาการร่วมลงทุนไม่มีผิดเพี้ยน คงเข้าตำราที่เขาว่าพ่ออย่างไรลูกก็อย่างนั้นสินะ...

“อาฌอห์นเขาจะพาเราออกไปทานข้าวกับซื้อของใช้นะ” เอซโยนเผือกร้อนมาให้ ‘อาฌอห์น’ ที่หน้าเหลอเพราะไม่ทันตั้งตัวว่าจะโดนเอซใช้เป็นข้ออ้างในการต่อรองกับลูกชาย

“พ่อจะไม่ลืมใช่ไหม” ลูเซียนก้าวมาหยุดตรงหน้าผู้เป็นพ่อ เงยหน้าจนคอตั้งบ่าเพื่อจ้องตากับเอซ คาดคั้นเอาคำตอบเพราะจำได้ว่าพ่อของเขานั้นมักลืมเรื่องที่เคยคุยกันไว้บ่อยๆ ไม่รู้ว่าตั้งใจลืมหรืออย่างไร “พ่อขี้ลืม แบบนี้แสดงว่าพ่อแก่แล้วใช่ไหมครับ”

“โอเค ไม่ลืมหรอกน่า” เอซฟังเจ้าตัวแสบช่างเจรจาแล้วก็ถึงกับห้ามตัวเองให้กลอกตาไม่ได้ ขณะที่อาฌอห์นนั้นหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดูเด็กชายที่ไม่ยอมลงให้พ่อของเขาแม้จะเป็นเพียงเรื่องซื้อชุดว่ายน้ำและห่วงยางก็ตาม “ทีนี้ลูกจะปิดประตูแล้วเข้ามานั่งตอนที่พ่อเอาของขึ้นไปเก็บได้หรือยังลูเซียน”

“อย่างนั้นก็ได้ครับ” เมื่อพ่อยอมตกปากรับคำ ลูเซียนก็หมุนตัวไปปิดประตูบ้านอย่างจำนน ก่อนจะเอามือไพล่หลังไว้ทั้งสองข้าง แล้วเดินเต๊ะท่าประหนึ่งว่าตนก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ขณะเดินเข้ามานั่งในห้องรับแขกอย่างที่พ่อของเขาต้องการ

ผิดกับคนที่ออกคำสั่งซึ่งได้แต่กระแทกลมหายใจแรงๆ เพื่อระบายอารมณ์ แล้วสบตากับหุ้นส่วนของเขาเหมือนจะถามว่า ‘พอจะมีวิธีจัดการกับเจ้าเด็กแสบนี่ไหม’

ฌอห์นสบตากับเอซยิ้มๆ แล้วยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่มีคำตอบให้หรอก เอซจึงได้แต่ถอนหายใจยาวอย่างจนปัญญาอีกครั้ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น