5

บทที่ 5


 

โลกกลม

เมื่อเกศราโดนมาสฟ้าไล่ออกมาจากบ้าน เธอก็หักพวงมาลัยเลี้ยวรถด้วยความสับสน ขับรถออกมาได้ไกลพอสมควรหญิงสาวจึงรู้นอกจากโดนไล่แล้ว เธอยังโดนหลอกใช้ให้ไปซื้อของอีก อะไรกันเนี่ย ชีวิตเธอมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร...โดนคนที่พบหน้ากันเพียงครั้งแรกไล่ตะเพิดและใช้ให้ไปซื้อของ

นี่เธอเป็นบ้าตามช้องนางไปอีกคนแล้วหรือ...

ร่างงามหลังพวงมาลัยรถถอนหายใจ พยายามสลัดภาพใบหน้าของหญิงสาวที่สวยแต่ทำตัวลึกลับจนน่าขนลุกอย่างมาสฟ้าออกไปจากหัว แม้จะรู้ว่าที่เธอได้พบกับมาสฟ้าในวันนี้เป็นเพราะช้องนางเป็นคนรนหาที่ แต่เกศราก็โกหกตัวเองไม่ได้ว่าทุกเรื่องที่มาสฟ้าเอ่ยมานั้นเป็นความจริง ทั้งเรื่องที่เธอชอบบ้านและรักเด็ก เว้นเรื่องน้องสาวของช้องนางไว้เรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องเหลวไหล

แต่หมอดูคนไหนๆ ที่ช้องนางลากเธอไปดูดวงก็ทักถูกทักผิดกันทั้งนั้น มาสฟ้าเองก็คงไม่ต่างกัน

สัญญาณไฟสีเหลืองตรงหน้าทำให้เกศราต้องผละจากความคิดเรื่องของช้องนาง แล้วเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็ว หยุดรถรอสัญญาณไฟเขียวตามกฎจราจรอย่างที่ประชากรคุณภาพพึงกระทำและเพราะคำเตือนของมาสฟ้ายังติดอยู่ในหัว...ที่ให้เธอระมัดระวังเรื่องการขับรถ ผิดกับรถซึ่งอยู่เลนถัดไปที่เร่งความเร็ว คงหวังว่าตัวเองจะไม่ต้องติดไฟแดง

เกศราขมวดคิ้ว ด่าคนขับรถในใจได้เพียงเสี้ยววินาที เสี้ยววินาทีจริงๆ หลังจากที่เธอชักสีหน้า จู่ๆ รถกระบะคันใหญ่ที่สวนมาจากถนนอีกเลนก็พุ่งชนเข้าที่กลางรถเก๋งคันงามที่พยายามเร่งความเร็วหนีไฟแดงไป การชนกันระหว่างรถทั้งสองคันนั้นรุนแรงจนเกศรามือไม้สั่น

ไม่เคยพบอุบัติเหตุระยะประชิดเช่นนี้!

“กรี๊ด!”

ความวุ่นวายเกิดขึ้นในบัดดล ผู้คนที่ใช้ถนนพร้อมใจกันลงจากรถแล้ววิ่งมาดูผู้ประสบอุบัติเหตุ เกศราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นหญิงสาววิ่งไปดูซากรถเก๋งคันที่ถูกชนด้วยหวังว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ต่อให้คนขับจะเป็นคนฝ่าฝืนกฎจราจร แต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ทีหลัง

“คันนี้มีคนเจ็บค่ะ ช่วยด้วย!” เกศราร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ที่ลงมาดูเหตุการณ์ ก่อนเสียงร้องของเด็กจะทำให้หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นส่ำ มีเด็กด้วยหรือนี่!

เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดหัวใจนั้นทำให้เกศราละจากร่างที่อาบไปด้วยเลือดของคนขับแล้ววิ่งไปยังตอนหลังของรถ มองผ่านกระจกที่แตกจนไม่เหลือชิ้นดีเข้าไปหาต้นเสียงร้องไห้อย่างน่าเวทนา แล้วก็พบว่าเด็กชายยังปลอดภัยดีอยู่

“เอาเด็กลงมาก่อนคุณ”

ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังงัดประตูรถฝั่งคนขับตะโกนมาทำให้เกศราได้สติ หญิงสาวเองก็พยายามออกแรงดึงประตูรถ ทว่าเพราะถูกชนอย่างรุนแรง การปลดล็อกประตูจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

“ช่วยด้วยครับ ช่วยผมด้วย” เด็กชายร้องไห้โฮอย่างน่าสงสาร ดวงตาที่เปรอะหยาดน้ำตาของเขาเบิกโพลง จ้องร่างของผู้หญิงที่อาบไปด้วยเลือดซึ่งอยู่บนเบาะหน้าอย่างตื่นตระหนก “นะ...แนนนี่ นั่นแนนนี่”

“อย่ามองนะจ๊ะเด็กดี” เกศราพยายามปลอบโยนเด็กชายเป็นภาษาอังกฤษ ยื่นมือผ่านกระจกเข้าไปจับคางเล็กให้ดวงหน้านั้นมองมาที่เธอแทนที่จะมองร่างไร้สติที่อาบไปด้วยเลือด “หนูชื่ออะไรจ๊ะ ฉันชื่อเกดนะ”

“ชะ...ช่วยผมด้วย” เด็กชายสะอึกสะอื้น ยังคงชำเลืองมองพี่เลี้ยงของเขา แต่ก็โดนผู้หญิงแปลกหน้าดึงคางกลับมา “ผะ...ผมกลัว”

“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ” เกศราฝืนยิ้มแล้วออกแรงกระชากประตูให้เปิดอีกหน ครั้งนี้เธอประสบความสำเร็จ “ฉันชื่อเกด หนูชื่ออะไรบอกฉันได้ไหม” เธอเบียดตัวเข้าไปในซากรถ ใช้ตัวบังร่างของพี่เลี้ยงสาวจากสายตาเด็กชาย

“ละ...ลูเซียนครับ” มือเล็กคว้าเสื้อของเกศราเอาไว้แน่นอย่างหาที่พึ่ง ตัวของเขายังถูกยึดกับเข็มขัดนิรภัยที่เกศราพยายามจะปลดล็อกอยู่ “ผมกลัว...ฮึก...แนนนี่ตายแล้ว”

“ชู่” เกศรารวบร่างเด็กชาย อุ้มเขาออกมาจากซากรถที่ตอนนี้มีผู้ชายหลายคนพยายามช่วยเหลือพี่เลี้ยงของเขาออกมา “ไม่ตายหรอกจ้ะ เธอไม่เป็นอะไร”

“ฮึก...ผมกลัว” ลูเซียนกอดผู้ที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้แน่น ไม่สนใจว่าเธอเป็นใคร ตอนนี้เด็กชายรู้เพียงอย่างเดียวคือเขากลัวเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ฉันอยู่นี่แล้ว” เกศราแยกเด็กชายออกมาจากเหตุการณ์ชุลมุน เปิดประตูรถของตนออกแล้ววางลูเซียนลงบนเบาะ เพื่อที่จะได้ตรวจเช็กดูว่าเด็กชายได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ร่างงามทรุดนั่งแทบพื้น เงยหน้ามองดวงหน้าเล็กที่มีแต่หยาดน้ำตาด้วยความสะเทือนใจ

นี่หากพี่เลี้ยงของเขาไม่เร่งความเร็วตอนไฟเหลือง เรื่องอย่างนี้ก็คงไม่เกิดหรอก

“ฉันชื่อเกดนะจ๊ะ ลูเซียน” เกศราบอกเด็กชาย ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนที่มักสวมเวลาขับรถมาคลุมตัวเด็กชาย แล้วก็ได้ผลเพราะอาการสั่นของลูเซียนนั้นค่อยๆ เบาลง แต่ก็ไม่หายไปเสียทีเดียว “หนูพอจะบอกเบอร์มือถือของคุณแม่ของหนูให้ฉันได้ไหม”

เด็กชายส่ายหน้าน้อยๆ น้ำตายังไหลอยู่ จนเกศราสะท้อนใจ อย่าบอกนะว่าเด็กชายอยู่กับพี่เลี้ยงของเขาเพียงสองคนน่ะ

“ผมบอกเบอร์โทร. พ่อผมได้ครับ” ปากเล็กสั่นแม้จะพยายามควบคุมตัวเอง

เกศราถือว่านั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเด็กวัยเท่านี้

“ดีเลยจ้ะ เราจะโทร. หาคุณพ่อของหนูกันนะจ๊ะลูเซียน” เธอบีบมือเล็กอย่างจะบอกให้มั่นใจว่าลูเซียนจะไม่เป็นอะไรหากเธอยังอยู่ตรงนี้กับเขา

“ได้ครับ” เด็กชายพยักหน้าแรงๆ อย่างเห็นด้วย ตอนนี้เขาอยากเจอพ่อของเขาที่สุด จากนั้นลูเซียนก็รับมือถือของคนที่ช่วยชีวิตเขามากดเบอร์ติดต่อของพ่อ ดีที่พ่อให้ท่องจำเบอร์ติดต่อใหม่เอาไว้ในยามฉุกเฉิน แม้จะไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องฉุกเฉินจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ก็ตาม

“พ่อของหนูชื่ออะไรจ๊ะ” เกศรารับมือถือกลับมาแล้วถามเด็กชายก่อนจะกดโทร. ออก

“พะ...พ่อชื่อเอซครับเกรซ”

 

ตาคมเหลือบมองหน้าจอมือถือของตนที่มีเบอร์แปลกโทร. เข้ามาหลายต่อหลายครั้ง แต่เพราะติดประชุมกับทีมงานอยู่เอซจึงต้องกดตัดสายทิ้ง แต่กระนั้นผู้ที่อยู่อีกฟากของสายก็ดูเหมือนจะไม่ละความพยายาม ยังเพียรโทร. กลับมาอีกหลายครั้ง จนสุดท้ายเอซก็จำต้องเสียมารยาท ยกมือขอเวลานอกเพื่อรับสาย

“ขอห้านาทีนะครับทุกคน” คนร่างสูงเอ่ยด้วยความเกรงใจ แล้วคว้ามือถือมารับสายทันที “สวัสดีครับ เอซพูดสายครับ”

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเกศรานะคะ” ฝ่ายนั้นแนะนำตัว ทำให้หัวคิ้วของเอซขมวดเข้าหากันแน่น มั่นใจว่าเขาไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้มาก่อนแน่ๆ “ตอนนี้ฉันอยู่กับลูเซียนลูกชายของคุณ เขาประสบอุบัติเหตุค่ะ”

มือของพ่อลูเซียนนั้นสั่นเทา คว้าโต๊ะประชุมเอาไว้เพื่อพยุงตัวเองเนื่องจากขาของเขาหมดแรงในวินาทีที่ได้ยินคำว่าอุบัติเหตุ

“ลูเซียนเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ละ...แล้วเขาอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มที่เพิ่งหงุดหงิดเพราะโดนรบกวนการประชุมละล่ำละลักถามผู้หวังดีที่โทร. มาบอกเรื่องสำคัญกับเขา “ผมจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้!”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณ ตอนนี้เขากำลังตรวจร่างกายเบื้องต้นอยู่” เกศราอธิบาย “เขาไม่เป็นอะไรมาก แต่พี่เลี้ยงของเขาเจ็บหนัก ตอนนี้ฉันกำลังจะพาลูเซียนไปที่โรงพยาบาล”

“ลูเซียนไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ” เอซอยากขอบคุณอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เขาได้รับข่าวดีจากหญิงสาวแปลกหน้า “ขอบคุณพระเจ้า”

“ฉันจะพาลูกของคุณไปที่โรงพยาบาล ตอนนี้เราอยู่บนถนน”

“ผมจะไปพบคุณที่โรงพยาบาล” เอซสูดลมหายใจลึกแล้วรีบบอกปลายสาย เข้าใจว่าหญิงสาวคงอยู่ที่ถนนต่อไปได้ไม่นานเพราะตำรวจและหน่วยกู้ภัยคงจัดการเคลียร์ทุกคนออกจากที่เกิดเหตุ

“ฉันจะไปที่โรงพยาบาล มีใครพอจะพาคุณไปที่นั่นได้ไหมคะ” เกศราถามชายหนุ่มด้วยความเอื้อเฟื้อ ก็คนต่างชาติจะรู้ที่ตั้งโรงพยาบาลได้อย่างไร “ฉันส่งที่อยู่ไปให้คุณก็ได้นะคะ”

“ส่งมาเลยครับ ขอบคุณมากจริงๆ ผมกำลังออกไป”

“ไม่ต้องรีบนะคะ เดี๋ยวจะเกิดอันตราย” คนที่เพิ่งพบเจอกับอุบัติเหตุระยะประชิดจนเป็นสาเหตุทำให้เธอกลายเป็นพลเมืองดีรีบร้องเตือน ไม่อยากให้พ่อของลูเซียนเป็นเหมือนพี่เลี้ยงของเด็กชาย ถึงแม้ว่าตอนนี้พี่เลี้ยงคนนั้นจะถูกนำขึ้นรถไปโรงพยาบาลแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหล่อนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร “โทร. หาฉันได้ตลอดเลย ไม่ต้องรีบ ยังไงฉันก็รอ”

คำพูดนั้นของหญิงแปลกหน้าทำให้เอซได้สติ ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวเมื่อเธอเอ่ยเตือนเขาเช่นนั้น เกือบไปแล้ว...เอซเกือบขาดสติแล้วพุ่งตัวออกไปหาลูกชายของตนเสียเดี๋ยวนี้

“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก”

 

“คุณแม่คะ น้องไม่ได้เป็นอะไรมากนะคะ” หมอสาวที่ตรวจอาการเด็กชายซึ่งดึงแขนเกศราไม่ยอมปล่อยบอกหลังจากตรวจม่านตาและร่างกายของลูเซียนอีกครั้ง “แต่น้องคงจะยังตกใจอยู่เท่านั้น”

“เอ่อ...” คนที่ไม่ใช่แม่และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนไข้ทำหน้าปั้นยาก พออ้าปากจะปฏิเสธก็มีคำถามอื่นมาให้เธอต้องวกไปถามเด็กชาย จากนั้นเกศราก็จะได้รับสายตาตำหนิจากแพทย์หญิงเจ้าของไข้ โทษฐานที่เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ ‘ลูกสมมุติ’ ของตัวเองสักอย่าง “คือ...คุณหมอคะ...คือว่าความจริงแล้ว...”

“แต่ตอนนี้ก็ปกติดีอยู่ ถ้าคุณแม่กังวล หมอแนะนำว่าน่าจะกลับมาตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งนะคะ”

“อ้อ...ค่ะ” เท่านั้นคุณแม่ชั่วคราวของลูเซียนก็พยักหน้าเบาๆ นึกปลงกับตัวเองแล้วพยายามจำข้อมูลที่ได้จากคุณหมอสาวเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เมื่อคุณหมอเก็บเครื่องมือเกศราจึงถามออกมาเบาๆ เพื่อความแน่ใจ “ตรวจเรียบร้อยแล้วเหรอคะ”

“ค่ะ” สตรีในชุดกาวน์พยักหน้ารับเบาๆ พร้อมกับช้อนตาขึ้นมองเกศราคล้ายจะถามว่า ‘มีอะไรอีกหรือเปล่า’

เกศราต้องกลืนคำถามของตนลงคอไปเสีย แก้เก้อด้วยการอุ้มลูเซียนขึ้นมาจากเตียงในห้องตรวจ “เรากลับบ้านได้แล้วใช่ไหมคะ”

“ค่ะ” คุณหมอร่างเล็กพยักหน้าหลังจากตอบจบ ก่อนจะร้องทักเกศราเมื่อเหลือบไปเห็นเลือดบนด้านหลังแขนเสื้อของคุณแม่คนสวย “คุณแม่เองก็อย่าลืมแวะทำแผลกับคุณพยาบาลนะคะ”

“อ้อ” เกศราชะโงกหน้าไปด้านหลังของตัวเอง ก่อนมาที่นี่เธอรู้ลึกเจ็บจี๊ดที่ต้นแขน แต่ตอนนี้หายเจ็บแล้ว และมารู้สึกเจ็บอีกทีก็ตอนอุ้มลูเซียนเข้าเอวนี่แหละ “ขอบคุณค่ะคุณหมอ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” คุณหมอสาวส่งยิ้มให้ มองหน้าคุณแม่ที่ยังสาวอยู่สลับกับเด็กที่น่าจะเป็นลูกครึ่ง นึกชมในใจว่าเป็นครอบครัวที่หน้าตาดีมาก แม่ลูกหน้าตาดีขนาดนี้ พ่อจะหล่อขนาดไหนกันนะ

“ลูเซียนครับ ขอบคุณหมอก่อนเร็ว” เกศราเบี่ยงตัวเด็กชายที่กอดเธอแน่นอยู่ให้หันมาขอบคุณคุณหมอสาว ก่อนพวกเขาจะออกไปจากห้อง

“ขอบคุณครับ” คนเพิ่งเจอเรื่องเสียขวัญมาบอกเร็วๆ ก่อนจะซุกหน้าลงที่ไหล่บางของเกศรา แม้ไม่รู้จักหญิงสาวมาก่อน แต่เขารู้ว่าตอนนี้มีเพียงผู้หญิงคนนี้เท่านั้นที่เขาจะพึ่งได้ เพราะว่าพ่อเขายังมาไม่ถึง “เราโทร. หาพ่ออีกได้ไหมครับ” คนตัวเล็กยื่นหน้าไปกระซิบที่หูของเกศรา ระหว่างที่เธออุ้มเขาออกมาจากห้องตรวจ

“คุณพ่อคงใกล้ถึงแล้ว แต่ถ้าหนูอยากคุยกับคุณพ่อ ฉันจะโทร. หาให้อีกครั้งก็ได้”

เกศราเข้าใจดีว่าเด็กชายคงอยากจะได้ยินเสียงของพ่อเขา แม้จะมีเธออยู่เป็นเพื่อน แต่เด็กวัยเท่านี้ก็คงไม่รู้สึกปลอดภัยหากไม่ได้อยู่กับคนเป็นพ่อเป็นแม่

“ผมอยากคุยกับพ่อครับ” ลูเซียนพยักหน้าแรงๆ ผละออกจากไหล่ของเกศราแล้วเงยหน้ามองหญิงสาวด้วยสายตาชื่นชมและศรัทธา

ขนตางอนที่เปรอะไปด้วยหยดน้ำตานั้นทำให้เกศราใจละลายเป็นรอบที่ห้า ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าที่เธออยู่กับเด็กชาย ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กคนหนึ่งถึงได้น่ารักขนาดนี้

“เราไปหาที่นั่งรอคุณพ่อกันดีกว่านะครับ” หญิงสาวชวน กระเตงลูเซียนหลบความวุ่นวายจากหน้าห้องฉุกเฉินมาหาที่นั่งที่จัดไว้สำหรับญาติของคนไข้ โดยมีร้านขายอาหารต่างๆ ตั้งอยู่ไม่ไกล เมื่อหาที่นั่งได้เกศราก็วางลูเซียนลง ยิ้มหวานให้คนน่ารักข้างๆ พลางปลอบใจ “ไม่เป็นไรแล้วนะ”

“ขอบคุณครับ” ลูเซียนขยับเข้าไปหาร่างงาม ปากก็พึมพำขอบคุณหญิงสาวไปพร้อมกัน

แม้เกศราจะไม่แน่ใจว่าเด็กชายขอบคุณเธอเรื่องอะไร กระนั้นหญิงสาวก็ยังชื่นชมลูเซียนที่อายุเพียงเท่านี้ก็รู้จักเอ่ยปากขอบคุณก่อน เธอเชื่อว่าพ่อของเขาคงสั่งสอนเด็กชายมาดีพอสมควร

“ไม่เป็นไรจ้ะคนเก่ง” หญิงสาวยื่นมือไปลูบผมยาวพอประมาณของเด็กชาย ล้วงมือถือขึ้นมาต่อสายหาพ่อของลูเซียนที่ควรจะมาถึงโรงพยาบาลได้แล้ว เกศราแทบจะไม่ต้องถือสายรอเพราะฝ่ายนั้นกดรับทันที ก่อนเสียงห้าวที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นจะตอบกลับมา

“ผมถึงโรงพยาบาลแล้วครับ คุณอยู่ที่ไหน”

“จริงหรือคะ” เกศราถามด้วยความยินดี บอกจุดที่เธอและลูเซียนนั่งอยู่แก่พ่อของเขา เมื่อคนตัวเล็กมองมาเหมือนจะขอพูดบ้าง หญิงสาวก็ทนใจแข็งต่อไปไม่ไหว จึงส่งมือถือของตนต่อให้ลูเซียน

“พ่อครับ” เด็กชายตัวเล็กร้องเรียกพ่อด้วยความตื่นเต้น “ผมไม่เป็นไรครับ ผมนั่งรอพ่ออยู่กับเกรซ แต่แนนนี่ตายแล้วครับ”

“ลูเซียน” เกศรานิ่วหน้า เสียงแข็งกับคนที่เธอช่วยเหลือเอาไว้เป็นครั้งแรกเมื่อได้ยินเด็กชายเอ่ยถึงความเป็นความตายของพี่เลี้ยงสาว “แนนนี่ของหนูยังไม่ตายครับ คุณหมอกำลังช่วยเขาอยู่”

“เกรซบอกว่าแนนนี่ยังไม่ตายครับพ่อ” เมื่อโดนเกศราดุ ลูเซียนก็รีบแก้ความเข้าใจผิดเมื่อครู่ทันที “คุณหมอกำลังช่วยแนนนี่”

“ลูเซียนครับ...ลูเซียน”

เกศราบอกได้เลยว่าเสียงห้าวที่ลอดลำโพงมือถือของเธอมานั้นเปี่ยมไปด้วยความโล่งอกเกินบรรยาย ซึ่งเธอก็ไม่แปลกใจเลยที่ชายหนุ่มจะรู้สึกเช่นนั้นเมื่อได้ยินเสียงลูกชายที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุ เพราะหากเป็นเธอที่มีลูก และลูกชายของเธอผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เกศราคงเป็นยิ่งกว่าเอซเสียอีก

เรื่องนี้โทษใครไม่ได้นอกจากพี่เลี้ยงลูเซียนที่บ้าดีเดือดฝ่ากฎจราจรทั้งที่มีเด็กอยู่ในรถด้วย แต่เมื่อคิดถึงสภาพของพี่เลี้ยงสาวครั้งล่าสุดที่เธอเห็น ก่อนกู้ภัยจะพาหล่อนไปที่ห้องฉุกเฉิน เกศราก็คิดว่าพี่เลี้ยงของลูเซียนได้รับบทเรียนที่สาสมแล้ว

“พ่อมาเร็วๆ นะ” คนเสียงเล็กที่สั่นเครือนั้นประคองมือถือแนบแก้ม จนเกศราต้องโอบแขนรอบไหล่เล็กของเด็กชาย ดึงลูเซียนเข้ามากอดอย่างปลอบขวัญ อย่างน้อยก็จนกว่าพ่อของเขาจะมาถึง “ผมกลัว”

“ลูเซียน!”

ครั้งนี้เสียงนั้นไม่ได้ดังมาจากลำโพงมือถือในมือเล็ก แต่ดังมาจากเบื้องหลังของเกศรา หลังจากเหลียวกลับไปมองยังต้นเสียงก็คือเด็กชายในอ้อมแขนของเธอ กระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปหาร่างสูงที่อ้าแขนรอรับเขาอยู่แล้ว

“พ่อครับ!”

“ลูเซียน! ลูเซียนของพ่อ” เอซรู้ลึกเหมือนเขาได้โลกทั้งใบกลับคืนมาเมื่อโอบแขนรอบตัวบุตรชายที่ยังอุ่นและนุ่มเหมือนลูเซียนที่เขาบอกลาเมื่อเช้า ตอนส่งเด็กชายขึ้นรถไปโรงเรียน “พ่ออยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ”

ไม่มีคำตอบจากเด็กชาย มีเพียงการกอดรัดที่แน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ทั้งคู่โอบกอดกันและกัน แม้ว่าเด็กชายจะปีนขึ้นมานั่งบนตักกว้าง ยึดพ่อของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเอซก็ไม่ว่า เพราะตลอดการเดินทางมาที่นี่ สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดก็คือการกอดลูเซียนเอาไว้อย่างนี้ ได้หอมเด็กชายหนักๆ แบบนี้ เพื่อยืนยันว่าหัวใจของเขาไม่ได้เป็นอะไรไปจริงๆ

“ผมคิดถึงพ่อที่สุดเลยครับ” เด็กชายสะอึกสะอื้น ทั้งที่คิดว่าลูกชายอย่างเขาจะไม่ยอมร้องไห้ แต่เมื่อได้มาอยู่ในอ้อมกอดของพ่อเช่นนี้ เขากลับไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้

“พ่อรู้...พ่อรู้ครับ” เสียงทุ้มของคนเป็นพ่อเองก็สั่นอย่างคนที่ฝ่าฟันฝันร้ายที่สุดในชีวิตมา เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าทั้งชีวิตของเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเด็กชายในอ้อมแขนคนนี้ “ไม่เป็นไรแล้ว พ่อจะไม่ยอมให้ลูกเป็นอะไรหรอก”

“ครับ”

เอซตั้งใจจะกอดร่างเล็กให้แน่นและนานกว่าความกลัวที่อยู่ในใจของเขาจะหายไป แต่คนซึ่งก้าวมาหยุดตรงหน้าเขาก็ทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ต้องเสียเวลาเดาเอซก็พอจะรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาตอนนี้คือผู้ที่ช่วยชีวิตลูเซียนไว้

“เกรซหรือเปล่าครับ”

“ค่ะ” เกศราพยักหน้า เม้มปากแน่นเพราะรู้ว่าชายตรงหน้าเธอเป็นใคร นอกจากเขาจะเป็นพ่อของลูเซียนแล้ว เขายังเป็นเจ้าของบ้านที่เธอเพิ่งขายไปอีกด้วย โลกมันจะกลมเกินไปแล้ว! “คุณเอซสินะคะ”

“ครับผม” เอซพยักหน้าแรงๆ พลางสูดลมหายใจเข้าปอดหนักๆ อุ้มลูกชายของตนเข้าเอวแล้วลุกขึ้นยืน ยื่นมือข้างที่ว่างไปสัมผัสกับเกศราและกระชับมืองามหนักๆ ไม่มีอารมณ์อ่อนหวาน มีเพียงการขอบคุณเท่านั้นที่เอซมีให้ผู้มีพระคุณของลูกชาย “ขอบคุณมากครับที่ช่วยลูกชายผมไว้ ผมไม่รู้จะบอกว่ายังไงจริงๆ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันบังเอิญอยู่แถวนั้นพอดี ถึงฉันไม่ช่วยคนอื่นๆ ก็ต้องช่วยลูเซียนอยู่แล้ว” เกศราบอก

เธอเองก็คิดเช่นนั้นจริงๆ ไม่ใช่เพียงถ่อมตัวเพื่อรักษามารยาท หญิงสาวดึงมือของตนมาไว้ข้างตัวแล้วยิ้มกว้างให้ลูเซียน ที่ตอนนี้เธอส่งเขาถึงมือพ่อเรียบร้อยแล้ว

หญิงสาวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะบอกเอซเรื่องที่เธอเคยเป็นเจ้าของบ้านของเขาดีหรือไม่ แต่เมื่อไตร่ตรองอีก และคิดว่าพ่อลูกตรงหน้าเธอเพิ่งผ่านเรื่องหนักหนากันมา เกศราจึงเงียบปากแล้วเลิกคิดเรื่องนั้นไปทันที

“คุณหมอตรวจลูเซียนเรียบร้อยแล้วนะคะ บอกว่าแกไม่เป็นอะไรมากแล้ว แต่จะดีกว่าถ้าคุณพามาตรวจร่างกายให้ละเอียดวันหลัง” เกศราถ่ายทอดคำพูดของคุณหมอสาวแก่ผู้ปกครองตัวจริง “ส่วนพี่เลี้ยงของลูเซียนน่าจะยังอยู่ในห้องผ่าตัดค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ” มาถึงตรงนี้เอซก็ต้องผ่อนลมหายใจออกมาเพื่อระบายความหนักอึ้งบนบ่า แม้จะยังไม่รู้ว่าอะไรที่เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าอาการของพี่เลี้ยงลูเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะวางใจได้ในตอนนี้ “ผมจะรีบไปจัดการเอง ขอบคุณเกรซมากที่เป็นธุระให้”

“ไม่เป็นใครค่ะ ฉัน...”

“เอซ! ลูเซียน!” เสียงห้าวดังมาจากเบื้องหลังของเอซ เจ้าของเสียงนั้นมีสีหน้าแตกตื่น แต่เมื่อมองเห็นร่างบางที่ยืนอยู่กับหุ้นส่วนของเขา ฌอห์นก็ต้องเบรกเอี๊ยด ชะลอฝีเท้าลงด้วยความโล่งอกระคนแปลกใจในคราเดียวกัน เพราะตอนนี้เจ้าของหน้างามที่ส่งยิ้มมาให้เขาก็คือเกศรา และเป็นคนท้ายๆ ที่ฌอห์นหวังว่าจะมาอยู่ที่นี่...ตอนนี้ “คุณเกด”

“สวัสดีค่ะคุณฌอห์น” เกศรายกมือไหว้ทักทายคนรักของปุณณปัญญ์ ยิ้มอ่อนหวานส่งให้เอซ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรเมื่อชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเธอคล้ายจะถาม

“ลูเซียนเป็นยังไงบ้าง” ฌอห์นเดินดุ่มๆ มายืนข้างหุ้นส่วนของเขา ถามเอซก่อน ส่วนเกศรานั้นไว้พูดคุยกันทีหลังก็ไม่เป็นปัญหา

“ปลอดภัยแหละ” เอซบอกไม่เต็มเสียงนัก เพราะยังนึกเคืองอยู่ที่พี่เลี้ยงซึ่งฌอห์นเป็นคนจัดหาให้พาบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาไปประสบอุบัติเหตุ ลูเซียนไม่เป็นอะไรก็จริง แต่หากเลือกได้เอซก็ไม่อยากให้ลูกชายเขาต้องเสี่ยงตายอย่างนี้ “ส่วนแนนนี่ยังไม่รู้ เกรซบอกว่าหมอยังช่วยอยู่”

เท่านั้นฌอห์นก็ได้โอกาสถามเกศรา “คุณเกดมาทำอะไรที่นี่ครับ”

“เกดช่วยลูเซียนเอาไว้น่ะค่ะ บังเอิญอยู่ตอนรถชนพอดี” เกศราบอกเบาๆ พร้อมพยักพเยิดไปที่คนซึ่งเธอช่วยชีวิตเอาไว้ โดยไม่ลงรายละเอียดว่าเธอเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ก่อนเกิดอุบัติเหตุ เพราะคิดว่าต่อให้พูดไปก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น “ไปนั่งคุยกันดีไหมคะ คนมองใหญ่แล้ว”

“ได้ครับ” เอซพยักหน้ารับ เห็นด้วยกับผู้มีพระคุณของลูกชาย

ส่วนฌอห์นยกมืออาสาว่าจะไปซื้อเครื่องดื่มเอง

“ผมจะไปซื้ออะไรเย็นๆ มาให้ทานนะครับ เชิญคุณเกดกับคุณเอซก่อนเลย”

ได้ยินดังนั้นทั้งเกศราและเอซก็พยักหน้ารับข้อเสนอ แม้รู้ว่าตอนนี้คงไม่มีใครมีอารมณ์จะดื่มเครื่องดื่ม แต่อย่างน้อยก็คงดีกว่านั่งจ้องหน้ากันเฉยๆ โดยเกศรานั้นเดินนำสองพ่อลูกมานั่งบนเก้าอี้ชุดซึ่งอยู่ที่มุมในสุดของร้านกาแฟเพื่อความเป็นส่วนตัว เพราะเธอเดาว่าร่างสูงเบื้องหลังคงไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาของใครนัก

“คุณรู้จักกับฌอห์นด้วย?” เอซที่มีลูกชายนั่งอยู่บนตักถามผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม เมื่อเกศราพยักหน้ารับน้อยๆ เขาจึงเงียบต่อเพราะไม่รู้จะชวนหญิงสาวคุยเรื่องอะไรต่อ กระทั่งเกศราทำลายความเงียบด้วยคำพูดที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน

“ฉันเคยเป็นเจ้าของบ้านที่คุณอยู่ตอนนี้ค่ะ”

“หา?” เท่านั้นทั้งพ่อและลูกก็พร้อมใจกันมองหน้าเกศราด้วยสายตาสับสนและไม่เชื่อหญิงสาวทันที

“ค่ะ ฉันเองที่ขายบ้านหลังนั้นให้คุณ”

เอซเงียบไปครู่ใหญ่ จ้องหน้างามของหญิงสาวอยู่นานโดยใช้เวลาพินิจใบหน้าของคนที่บอกว่าเคยเป็นเจ้าของบ้านของเขา เปรียบเทียบผู้หญิงที่ผมยุ่งนิดหน่อยตรงหน้า กับรูปของคนสวยเฉียบครั้งที่เขาใส่ชื่อของเธอในโปรแกรมค้นหายอดฮิต

นี่เองน่ะหรือเกศราคนนั้น ผู้หญิงสวยคมที่แม้จะเพิ่งช่วยชีวิตลูกชายของเขาเอาไว้จนผมเผ้าของเธอไม่เนี้ยบเหมือนในรูปถ่าย และตาดวงตาดุๆ ที่จ้องมาก็ทำให้เอซจำได้ ไม่ผิดหรอก เป็นคนคนเดียวกันจริงๆ

“ผมไม่คิดว่าโลกมันจะกลมอย่างนี้” เพราะอายที่จะยอมรับว่าตนเคยค้นหาใบหน้าของหญิงสาวจากชื่อจริงที่ได้มาจากหุ้นส่วน เอซจึงบอกได้ไม่เต็มเสียงนัก

“บังเอิญมากกว่าค่ะ” เกศราเองก็พูดว่าบังเอิญได้ไม่เต็มเสียง เมื่อคำเตือนของมาสฟ้าแทรกเข้ามาในความคิด อีกทั้งคำสั่งที่วานให้เธอไปซื้อของจนเป็นเหตุให้เกศราต้องผ่านไปยังถนนสายนั้นอย่างพอดิบพอดี เกศราก็อดคิดไม่ได้ว่ามาสฟ้าเป็นคนทำให้เธอเข้าไปช่วยชีวิตลูเซียนไว้ได้ทันเวลาพอดี

แต่พูดไปหนุ่มต่างชาติตรงหน้าก็คงหาว่าเธอบ้า...

“เป็นเรื่องบังเอิญในทางที่ดีนะครับ” เอซพึมพำพลางก้มลงไปฝังจมูกที่กลุ่มผมของคนที่นั่งบนตักของเขา แล้วจึงหอมแก้มลูกชายสุดที่รักของเขาแรงๆ อีกครั้งให้สมรัก “ถ้าไม่ได้คุณ ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าเจ้าตัวดีของผมจะเป็นยังไง”

“กาแฟมาแล้วครับ” ฌอห์นเดินเข้ามาร่วมวงกับทุกคนด้วยใบหน้าที่มองเพียงตาเดียวก็รู้ว่าพยายามฝืนยิ้ม แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่ชายหนุ่มมีสีหน้าเช่นนี้ก็เพราะข่าวล่าสุดที่ได้รับจากเลขาฯ ซึ่งเขาส่งให้ไปดูอาการพี่เลี้ยงของลูเซียนที่หน้าห้องฉุกเฉิน และทราบว่าตำรวจต้องการดำเนินคดีกับคนขับโทษฐานที่เธอฝ่าฝืนกฎจราจรจนเกิดอุบัติเหตุ

“ขอบคุณมากค่ะ” เกศราที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในโต๊ะได้ใช้สิทธิ์สุภาพสตรีในการเลือกกาแฟก่อน

ฌอห์นที่สนิทสนมกับหญิงสาวพอสมควรจึงยกกาแฟเย็นให้เกศราอย่างรู้งาน “กาแฟเย็นของคุณเกด”

คนที่หากเลือกได้นั้นจะดื่มเพียงกาแฟเย็นยิ้มบางๆ แทนการขอบคุณ สบเข้ากับดวงตากลมโตใต้แพขนตาหนาที่ลอบมองเธอจากใต้ท่อนแขนแกร่งของพ่อเขา แล้วเกศราจึงเอียงหน้าส่งยิ้มหวานให้ลูเซียน กระทั่งเด็กชายอายม้วน เอาหน้าซุกใต้รักแร้ของพ่อเพราะเขินสาวสวยตรงหน้า

“อะไรกันนี่ อยู่ด้วยกันตั้งนานทำไมเพิ่งมาอายเอาตอนนี้” เกศราแหย่หนุ่มน้อย พร้อมขยับตัวไปนั่งด้านในของโต๊ะซึ่งติดกับผนังเพื่อเปิดทางให้ฌอห์น

“ผมกับเกรซเพิ่งคุยกัน เธอบอกว่าเธอเป็นเจ้าของบ้านที่เราซื้อมา” เอซหันไปบอกฌอห์น ไม่อยากบอกให้หุ้นส่วนเขารับรู้อะไรจริงจัง เพียงแค่ไม่อยากให้วงสนทนาเงียบจนเกิดความอึดอัดก็เท่านั้น

“อ้อ เรื่องนั้นน่ะเอง” คนกลางร้องอ้อ โดยที่มือก็ผลักแก้วกาแฟไปให้เอซ ส่วนของลูเซียนนั้นเป็นน้ำผลไม้และขนม แม้ไม่แน่ใจว่าเด็กชายจะมีอารมณ์ดื่มหรือกินอะไรหรือเปล่าหลังจากผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายมาได้ “ผมไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้ เลยไม่ได้บอกคุณว่าคุณเกดเธอเป็นเจ้าของบ้าน”

“ไม่มีใครคิดหรอกค่ะ” เกศรายิ้มมุมปากแล้วดูดกาแฟเย็นของตัวเอง ถอนหายใจยาวเมื่อมีกาเฟอีนเข้าไปในร่างกายเสียที “ความจริงวันนี้เกดจะไม่ได้อยู่ไทยด้วยซ้ำ แต่มีเรื่องให้ต้องกลับมา บังเอิญจริงๆ”

“ใช่สิครับ เมื่อวานผมยังเห็นคุณเกดอยู่ที่สเปนอยู่เลย” ผู้ที่เป็นเพื่อนกับเกศราในเฟซบุ๊กท้วงก่อนจะสงสัยอีกหนจนได้ “แล้วทำไมวันนี้ถึงได้มาอยู่ไทยเร็วอย่างนี้ล่ะครับเนี่ย”

“พอดีว่าต้องรีบกลับมาทำงานน่ะค่ะ” เกศราพึมพำเบาๆ ก้มหน้าเมื่อมือถือของตนส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้ามา แต่จะหยิบขึ้นมาอ่านตอนนี้ก็คงจะเสียมารยาทมากไป หญิงสาวจึงเงยหน้าชวนคุณพ่อลูกติดคุยต่อ “บ้านเป็นยังไงบ้างคะ มีอะไรเสียหายหรือเปล่าเกดไม่ได้เข้าไปอยู่อาจจะมีของชำรุดก็ได้”

“ไม่มีเลยครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีมาก” เอซยิ้มนิดๆ นึกขอบคุณหญิงสาวที่ไม่ทิ้งให้เขานั่งกร่อย ฟังเธอคุยกับฌอห์นนานไปกว่านี้ “บ้านสวยมาก เราชอบกันมาก โดยเฉพาะสระว่ายน้ำ เจ้าตัวแสบนี่ชอบเป็นพิเศษ”

“ได้ยินอย่างนั้นฉันก็โล่งอกค่ะ นึกกลัวอยู่ว่าบ้านผู้หญิงแต่งอาจจะไม่ถูกใจคุณเอซ”

“ผมชอบมากครับ คุณรสนิยมดี” เรื่องนี้ไม่ได้ชมเพราะเธอช่วยลูกชายเขาไว้ แต่พูดความจริงให้ฟัง “หายากนะครับ คนรสนิยมดีขนาดนี้”

เกศราทำได้เพียงแค่ยิ้มกับคำชมนั้นของเอซ เพราะคิดหาคำตอบในหัวอย่างไรก็ขัดเขินไปหมด จึงตัดปัญหาด้วยการไม่ตอบเลย

ฌอห์นที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างเกศรากับเอซก็เลิกคิ้ว ลอบมองหน้าคนทั้งคู่สลับกันแล้วเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ คิดว่าไว้จัดการปัญหาจบแล้วกลับถึงบ้านเมื่อไหร่จะไปเล่าให้ปุณณปัญญ์ฟัง

“เกดว่าเกดต้องกลับแล้วละค่ะ” ผู้ที่ไม่สามารถรับมือกับความเก้อเขินยามที่สบตากับหนุ่มตาน้ำข้าวต่อไปได้เอ่ยขอตัว ลุกขึ้นยืนโดยมีฌอห์นให้ความร่วมมือ หญิงสาวจึงออกมายืนด้านนอกโต๊ะได้

แน่นอนว่าเอซเองก็ไม่เสียมารยาท เขาลุกขึ้นยืนเพื่อส่งผู้มีพระคุณของลูกชายทันทีที่เกศราขยับตัวลุกขึ้น

“ขอบคุณมากเลยครับ ที่ช่วยลูเซียนเอาไว้”

ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ตั้งตัว เอซก็โน้มตัวลงมาหา ใช้แขนแกร่งเพียงข้างเดียวโอบร่างงามไว้หลวมๆ แสดงความใกล้ชิด แต่ก็ไม่ได้เกินงาม เกศราจึงพอจะรับได้ แต่ก็ห้ามร่างกายตัวเองไม่ให้แข็งทื่อได้ลำบากเหลือเกิน

เมื่อกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบจมูก ความรู้สึกประหลาดก็เล่นงานหัวใจดวงน้อยให้เต้นเป็นจังหวะแปลกๆ แก้มงามก็พลันร้อนผ่าว หรือว่าเธอควรจะขึ้นไปตรวจร่างกายก่อนกลับบ้านดี

“ผมติดหนี้บุญคุณคุณครั้งใหญ่มาก ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงดีครับ”

“ไม่ต้องขอบคุณอะไรฉันหรอกค่ะ” เสียงหวานนั้นแกว่งน้อยๆ เพราะความอบอุ่นจากเสียงห้าว รู้สึกดีขึ้นหน่อยหลังจากเอซยอมถอยห่างแล้วนั่นแหละ “ใครที่อยู่ตรงนั้นก็ต้องช่วยลูเซียนไว้ทั้งนั้น ฉันก็แค่บังเอิญ”

เกศราเงียบลงเมื่อรู้สึกถึงแรงดึงจากแขนเสื้อ เมื่อก้มลงเธอก็พบดวงหน้าหล่อเหลาแต่น่ารักมากกว่าผู้เป็นพ่อเงยมองเธออยู่แล้ว คนรักเด็กมากจึงนั่งลงเคียงเด็กชาย เลิกคิ้วสูงเมื่อถูกจู่โจมด้วยอ้อมกอดจากลูเซียน

“โถ” คนโดนเด็กกอดหนีไปไหนไม่รอด ได้แต่ยกมือกอดร่างเล็กเอาไว้ด้วยความเอ็นดู ลดการระวังตัวลงเพราะความน่าเอ็นดู บวกกับหน้าตาน่ารักของลูเซียนที่ไม่ว่าใครอยู่ใกล้เขาก็ต้องรักต้องหลงทั้งนั้น

นานทีเดียวที่เกศราโดนเด็กชายกอด สุดท้ายหญิงสาวก็ห้ามใจตัวเองไม่ไหว ยื่นหน้าไปหอมหัวคนน่าเอ็นดูแรงๆ

“คุณพระคุ้มครองนะลูก” คำนั้นเกศราอวยพรเป็นภาษาไทย เพราะรู้ว่าหากพูดภาษาที่ลูเซียนเข้าใจแล้วคงต้องอธิบายกันอีกยาว

พอกอดสาวจนพอใจแล้วลูเซียนจึงยอมปลดแขนออกจากต้นคองาม แต่ไม่ยอมขยับตัวห่างจากเกศราแม้ว่าพ่อของเขาจะยื่นมือมาจับที่ไหล่เป็นการเตือนแล้วก็ตาม

“เกรซต้องกลับแล้วนะลูเซียน” เท่านั้นหน้าเล็กก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งนิดๆ อย่างไม่พอใจ บิดตัวหนีมือของพ่อแล้วขยับเข้าใกล้เกศรายิ่งกว่าเดิม จนเอซต้องเตือนอีกหน “ลูเซียน...”

“เกรซจะรีบไปไหนครับ” ลูเซียนดึงมือเกศราไว้ บีบมือนิ่มแน่นไม่ยอมปล่อย “ไปหาแฟนหรือเปล่า” เขาถามเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน

“ฉันไม่มีแฟนหรอกจ้ะ แต่นี่คุณพ่อหนูก็มาแล้ว ฉันก็ต้องกลับบ้านแล้วเหมือนกัน” เกศราก็ตอบเบาๆ เช่นกัน

“เหรอครับ” คนอายุน้อยพยักหน้าเบาๆ คล้ายครุ่นคิด แต่พอใจอยู่ในทีเมื่อได้ยินคำตอบที่ต้องการจากสาวสวย จ้องหน้างามของเกศรานิ่ง นานอยู่พอสมควรก่อนลูเซียนจะทำสิ่งที่แม้แต่พ่อของเขาก็คาดไม่ถึง นั่นก็คือยื่นหน้าเข้าไปทาบปากของเขาเข้ากับริมฝีปากงามของสาวสวยเร็วๆ ฉวยโอกาสที่เกศราไม่ทันตั้งตัวขโมยจูบจากเธอ

“ลูเซียน!”

 

“ลูกจะเที่ยวไปจูบใครต่อใครตามใจไม่ได้นะลูเซียน”

หลังจากแยกกับเกศราและฌอห์น เอซก็จับเจ้าตัวดีที่ริอ่านขโมยจูบสาวต่างรุ่นต่อหน้าต่อตาเขามาสั่งสอน แม้ว่าเกศราจะไม่มีท่าทีโกรธที่ลูเซียนจูบเธอ แถมยังหอมแก้มซ้ายขวาของหนุ่มน้อยอย่างคนที่หลงเด็กชาย แต่ถึงอย่างนั้นในฐานะพ่อเอซก็ไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆ ได้เพราะกลัวว่าวันดีคืนดีเจ้าตัวแสบของเขาจะไปทำอย่างนี้กับลูกสาวชาวบ้านเข้า

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ” คนที่จูบสาวต่อหน้าต่อตาผู้เป็นพ่อย้อนถามอย่างกวนประสาท ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อเขาต้องทำเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ก็เห็นๆ อยู่ว่าเกรซไม่ได้โกรธเขา แถมก่อนแยกจากกันยังจูบแก้มเขาทั้งซ้ายขวาอีกด้วย “เกรซก็ไม่เห็นว่าอะไรนี่นา”

“เขาจะกล้าว่าลูกหรือ ก็ลูกอยู่กับพ่อ” เอซจับคนที่นั่งบนตักให้หันหน้ากลับมาหาเขา จ้องหน้าเล็กเขม็ง แต่ว่าคนดื้อแพ่งก็ยังเลิกคิ้วอย่างท้าทาย มองหน้าคมของพ่ออย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน

“เกรซไม่ได้สนใจพ่อสักนิด เกรซเขาชอบผม” เด็กชายประกาศอย่างเข้าข้างตัวเอง เหมาว่าที่สาวทั้งยอมให้จูบและหอมแก้มเขาคืนนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะนับว่าเธอมีใจให้

คนเป็นพ่อฟังแล้วก็ทั้งฉิวทั้งขัน หมดหนทางที่จะจัดการกับคนเจ้าชู้ยักษ์บนตักจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดสั่งสอนสิ่งที่ถูกต้องให้ลูกชาย

“ถ้าลูกทำอย่างนี้อีก พ่อหมายถึงเที่ยวไปจูบผู้หญิงทั้งๆ ที่เธอไม่ยอมแบบนี้อีก ต่อให้เป็นเกรซเธอก็จะไม่ชอบลูกหรอกนะลูเซียน”

เมื่อพ่อเตือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ท่าทีดื้อแพ่งตอนแรกก็เบาลงทันตา ลูเซียนนิ่งฟังแล้วมีสีหน้าครุ่นคิดหนักเนื่องจากตนนั้นชอบเกศราจริงๆ หากเธอไม่ชอบเขาคงจะไม่ดี

“แต่เกรซก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา”

“เธอไม่ได้พูดก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่โกรธนะลูเซียน” เอซเตือนบุตรชายถึงความจริงของชีวิต อย่างคนที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว แม้รู้ว่าลูเซียนคงไม่เข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมดในวัยเพียงเท่านี้ แต่หากยึดความเซี้ยวหนักจนริอ่านจะจีบสาวข้ามรุ่น ก็คงต้องปรับทัศนคติกันอีกยาว “ถ้ามีใครไม่รู้ยัดพริกหยวกใส่ปากลูกทั้งๆ ที่ไม่ถามก่อนว่าลูกชอบหรือไม่ชอบ ลูกจะรู้สึกยังไงล่ะ”

“ก็คงไม่ชอบครับ” เมื่อพ่อเปรียบเทียบเช่นนั้น เด็กชายจึงเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายๆ

“นี่ก็เหมือนกัน เกรซของลูกเขาจะชอบหรือไม่ชอบที่ลูกจูบเธอพ่อก็ไม่รู้หรอกนะ แต่เราเป็นผู้ชาย เป็นสุภาพบุรุษ จะต้องให้เกียรติผู้หญิงรู้ไหม”

“แล้วถ้าเราอยากได้ผู้หญิงคนนั้นมากๆ ล่ะครับ” สุภาพบุรุษฝึกหัดยังสงสัย “เราจะเขาจูบได้ไหม”

“ไม่ได้สิ” สุภาพบุรุษต้นแบบเอ่ยน้ำเสียงอ่อนใจ เห็นทีว่าลูกชายเขาจะได้เลือดอาอย่างอลันมามากเกินไป “ถ้าไม่ใช่คนรักกันก็จูบไม่ได้เด็ดขาด...รู้ไหม”

เมื่อเห็นว่าลูเซียนตั้งท่าจะอ้าปากถามต่อ เอซจึงแย่งตอบอย่างคนที่รู้ว่าเด็กชายจะถามอะไรต่อ “ถึงลูกจะชอบเขาหรืออยากได้เขามากก็จูบไม่ได้ ต้องรักกันก่อนเท่านั้น”

“งั้นผมจะขอให้เกรซยอมให้ผมเป็นบอยเฟรนด์ก่อน” คนโดนห้ามโน่นห้ามนี่เชิดหน้าบอกอย่างเหนือกว่า เรื่องเท่านี้ไม่ใช่ปัญหากับคนหล่อน่ารักอย่างเขาหรอก

“ลูเซียน เกรซไม่เหมาะที่จะเป็นแฟนของลูกหรอก” เอซครวญเมื่อเตือนลูกชายครั้งแล้วครั้งเล่า คนเสน่ห์แรงก็ยังยืนยันว่าจะจีบสาวข้ามรุ่นอยู่ได้ “เขาคงมีแฟนแล้วละ”

“ผมถามแล้วครับ” คนที่เตรียมตัวมาอย่างดีเถียงแจ้วๆ “เกรซบอกผมว่ายังไม่มีแฟน”

“ลูกไปถามเขาตอนไหน” “ก็ก่อนที่ผมจะจูบเกรซไง” ลูเซียนตอบพร้อมสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง แบบที่เอซไม่เคยเห็นมาก่อน “ปากเกรซนุ้ม...นุ่ม”

คนที่ไม่รู้ว่าริมฝีปากของเกศรานุ่มอย่างที่ลูเซียนอวดอ้างจริงไหม และคงไม่มีทางได้พิสูจน์นั้นอ้าปากค้าง ครั้งนี้เขาอึ้งและไม่รู้จะพูดคำไหนแล้วจริงๆ ถึงจะสมกับความเจ้าเล่ห์ของเจ้าตัวดีบนตัก กะพริบตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่งเอซจึงถอนหายใจยอมแพ้ลูเซียนในศึกครั้งนี้ เพราะคิดว่าลูกชายของเขาเพิ่งผ่านการผจญภัยครั้งใหญ่มา

“พ่อคิดว่าเกรซจะรับผมเป็นบอยเฟรนด์ไหม” คนที่ขยับตัวบนตักกว้างของพ่อเอนแผ่นหลังเล็กๆ ของเขาอิงกับอกกว้าง เงยหน้าจนคอตั้งบ่าแล้วจ้องปลายคางที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเอซระหว่างรอคอยคำตอบ

“ไหนลูกบอกว่าเธอชอบลูกยังไงล่ะ” เอซตอบอย่างกว้างๆ กลัวว่าหากตอบความจริงไปแล้วเจ้าตัวดีจะเคืองเขาเอา “ถ้าเธอชอบลูกจริงก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะปฏิเสธลูกนี่”

“ผมก็คิดอย่างนั้น”

พ่อที่ไม่เข้าใจว่าลูกชายเขาได้ความมั่นใจมากขนาดนี้มาจากใครแอบกลอกตา รู้สึกว่าการเป็นพ่อคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยก็เมื่อลูเซียนจูบเกศราแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกผิด หนำซ้ำยังประกาศว่าจะขอสาวเป็นแฟนอีก เอซไม่รู้ว่าเขาควรสงสารเกศราหรือตัวเองก่อนดี ที่ต้องรับมือกับเจ้าคนร้ายกาจที่มีหน้าตาน่าเอ็นดูเป็นอาวุธ

 

ตลอดทางจากโรงพยาบาลมาจนถึงบ้านของเขานั้น เอซไม่ได้พูดคุยอะไรกับลูเซียนอีก เพราะเด็กชายผล็อยหลับไประหว่างทาง ดังนั้นเมื่อรถคันใหญ่ของบริษัทเคลื่อนเข้ามาจอดภายในโรงรถ กระทั่งคนขับรถของฌอห์นวิ่งลงมาเปิดประตูให้ เอซจึงต้องเป็นคนอุ้มลูเซียนลงมา แม้ไม่ได้ทุลักทุเลมากก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียว

เมื่อเดินเข้าบ้านแล้วพบกับแม่บ้านที่ทำหน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ขณะชะเง้อคอมาดูเด็กชายในอ้อมแขนของเขา เอซก็ไม่ได้เอ่ยหรือเล่าอะไร เพียงอุ้มลูเซียนขึ้นไปพักด้านบนเท่านั้น เข้าใจว่าเรื่องที่ลูเซียนและพี่เลี้ยงของเขาประสบอุบัติเหตุนั้น คนของฌอห์นคงโทร. มาบอกแม่บ้านของเขาเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นแขกคงไม่ทำหน้าตาเช่นนี้ต้อนรับเขากลับบ้านหรอก

คิดแล้วเอซก็ทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ โกรธพี่เลี้ยงของลูกชายมากก็จริงอยู่ แต่ฟังจากที่ฌอห์นเล่าก่อนที่จะแยกกันนั้นเอซก็ต้องลดความโกรธของตัวเองลง เพราะพี่เลี้ยงสาวยังอยู่ในอาการโคม่า เขาจะเค้นคอเธอมารับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นก็กระไรอยู่ อีกทั้งลูเซียนก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ต้องบอกว่านอกจากตกใจ ลูกชายของเขาก็ไม่มีแผลขีดข่วนตรงไหนเลย

ผิดกับพี่เลี้ยงสาวที่อาการยังน่าเป็นห่วง นั่นทำให้เอซสงสัยนิดๆ ว่าทำไมคนสองคนที่อยู่ในรถคันเดียวกันถึงได้บาดเจ็บต่างกันถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากให้ลูเซียนเป็นอะไรหรอกนะ

เอซค่อยๆ วางร่างเล็กลงบนเตียงหลังใหญ่ จากนั้นก็ดึงผ้าปูที่นอนลายซูเปอร์ฮีโรเรื่องโปรดของลูเซียนขึ้นมาคลุมร่างเล็กจนถึงอก เรียบร้อยแล้วเขาจึงอนุญาตให้ตัวเองทรุดนั่งบนเตียงของลูเซียนได้ ตาคมจ้องมองใบหน้าเล็กที่เขารักสุดหัวใจอยู่นานกว่าที่ชายหนุ่มจะผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด

ชายหนุ่มเพิ่งกล้ายืนยันกับตัวเองว่าลูเซียนปลอดภัยแล้วจริงๆ ก็เมื่อได้เห็นลูกของเขานอนหลับพริ้มอยู่บนเตียงเช่นนี้ เนิ่นนานกว่าที่เอซจะยอมล้วงมือถือของตนขึ้นมากดโทร. ทางไกลไปหาอดีตภรรยา เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น พร้อมกับเตรียมใจรับเสียงกรีดร้องและเสียงร้องไห้ของลูน่าอย่างที่เขารู้ว่าเธอจะต้องทำแน่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น