บทนำ
“สาธุ ขอให้หนูเจอเนื้อคู่ เป็นหนุ่มหล่อ รวย มีการศึกษา หน้าที่การงานโอเค ในสามวันเจ็ดวันด้วยนะคะ”
คนเสียงหวานเอ่ยย้ำถึงรายละเอียดเนื้อคู่ที่ตนต้องการให้เทวรูปพระแม่ลักษมีบนห้างดังกลางเมืองฟัง ก่อนจะปักธูปลงไปที่กระถางทรายหน้าเทวรูป
ขณะที่เพื่อนสาวที่ถูกช้องนางหลอกให้มาด้วยนั้นยืนมองร่างบอบบางของเพื่อนสนิทด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อมองไปด้านหลังเกศราก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เพื่อนของเธอคนเดียวที่มาไหว้เทวรูปในวันนี้ เพราะเห็นแถวยาวของผู้คนทั้งหญิงชายที่มารอไหว้เทวรูปซึ่งขึ้นชื่อในการขอพรเรื่องความรัก พร้อมด้วยของเซ่นครบครัน
และแน่นอนว่าเพื่อนสนิทของเธออย่างช้องนาง...ซึ่งเป็นสาวโสดสองพันปีก็ไม่มีทางที่จะพลาดมาขอพร รอบที่เท่าไหร่แล้วเกศราก็ขี้เกียจจะนับ แต่กระนั้นเกศราก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเพื่อนสนิทของตนจะเจอเนื้อคู่ในเร็วในนี้
“ไอ้ช้อง...เร็วๆ คนอื่นเขารอ” เพราะทนสายตากดดันจากคนที่ต่อแถวรอคิวไหว้พระแม่ไม่ไหว เกศราจึงต้องออกปากเรียกเพื่อนสนิท สลับกับการแหงนมองท้องฟ้าที่สว่างจ้าราวกับต้องการย่างสุกเธอ
“เดี๋ยวสิเกด...อีกแป๊บเดียว” คนที่หวังว่าจะได้เนื้อคู่จากพระแม่ลักษมีนั้นไม่ยอมแพ้ ด้วยกลัวว่าหากเธอไม่แจกแจงรายละเอียดให้แจ่มแจ้งแล้ว เธออาจจะคลาดแคล้วกับเนื้อคู่ของเธอ หรือไม่พระแม่อาจจะจัดผู้ชายที่ไม่ตรงมาตรฐานของเธอมาให้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ช้องนางยอมไม่ได้ “ต้องบอกอายุด้วยนะแก เดี๋ยวพระแม่จัดให้ผิด”
“ไอ้บ้า ไม่ต้องแล้ว” เกศราที่ยืนรอเพื่อนไหว้ขอผู้ชายจนขาแข็งทนต่อไม่ไหว เธอปราดเข้าไปหาร่างระหงของช้องนาง ยกมือไหว้เพื่อขออนุญาตเทวรูปตรงหน้าเป็นเชิงบอกว่าตนไม่ตั้งใจที่จะลบหลู่ แล้วจึงคว้าหมับที่มือซึ่งกำลังประนมไหว้ของช้องนาง ลากเพื่อนสนิทออกมาจากตรงนั้นโดยไม่ฟังเสียงประท้วงของช้องนาง “กลับบ้าน”
“ไม่เอาไอ้เกศ...แกจะบังคับฉันแบบนี้ไม่ได้นะ” คนที่คลาดแคล้วเนื้อคู่ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างช้องนางโวยวาย “เวรกรรมนะยะ!”
“ถ้าทำให้แกเลิกงมงายได้ ฉันยอม”
เกศราว่าโดยไม่ปล่อยมือช้องนาง ยังลากเพื่อนของตนไปตามทางเดินที่คับแคบของห้างดัง ท่ามกลางสายตาขอบพระคุณของผู้คนที่ยืนต่อแถวอยู่ เพราะหากว่าเกศราไม่ลากช้องนางออกมาเช่นนี้แล้ว พวกเขาคงไม่ได้ไหว้พระแม่ในชั่วโมงสองชั่วโมงนี้แน่นอน “ปากมอม!” คนงมงายทำตาขวาง บริภาษเพื่อนสนิทด้วยความไม่พอใจ แต่ขาก็ก้าวตามแรงจูงของเกศราไปที่ลิฟต์เพื่อโดยสารลงไปชั้นล่างของอาคารซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้า “ปากอย่างนี้ไง แกถึงไม่มีผู้ชายเป็นของตัวเอง มา...ฉันจะพาแกไปขอจากพระแม่”
ช้องนางว่าพลางบิดข้อมือ กลับมาเป็นฝ่ายกุมข้อมือเกศราแล้วทำท่าจะรั้งเพื่อนสนิทกลับไปยังทิศทางเดิม เพื่อจะให้เกศราไปไหว้ขอเนื้อคู่เหมือนเช่นที่เพิ่งเธอทำไปเมื่อครู่
“แกไม่ได้เตรียมดอกบัวมานี่...แต่ไม่เป็นไร ฉันว่าพระแม่เข้าใจแก...มา”
“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วช้อง” เกศราปักเท้ากับพื้น ถลึงตามองเพื่อนของตนแล้วกระซิบลอดไรฟัน “แกไหว้มากี่ที่แล้ว ป่านนี้แกยังไม่มีแฟนเลย”
“เอ๊ะ!” เมื่อโดนเพื่อนย้อนเช่นนั้น คนมีศรัทธาอันแรงกล้าอย่างช้องนางก็ค้อนเพื่อนของตนเอง จะเถียงหรือก็เถียงไม่ออกจึงได้แต่อ้อมแอ้มว่า “ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะแก”
“อย่างแกคงต้องเรียกว่างมงายยายช้อง” เกศราบ่นเชิงต่อว่าเพื่อนสนิทของตัวเองในคราวเดียวกัน นึกเห็นใจช้องนางไม่น้อยที่อายุปูนนี้แล้วยังไม่มีใคร แต่พอมองตัวเองที่ไม่มีใครเหมือนกัน เกศราก็ตัดสินใจที่จะสงสารตัวเองก่อน เพราะระหว่างเธอกับช้องนาง แม่เศรษฐินีเจ้าของร้านเพชรไม่น่าสงสารเลยสักนิด
“อะไรกัน งานการไม่ยอมทำ มาตระเวนไหว้ขอผู้ชาย...แบบนี้เทพเจ้าที่ไหนเขาจะอยากช่วย” เกศราบ่นเพื่อน กระแหนะกระแหนคนที่ไม่เข้าร้านขายจิวเอลรีของตนมาพักใหญ่แล้วด้วยความหมั่นไส้
“ก็...ต้องมีสักองค์แหละ” คนที่ตระเวนไหว้พระขอพรเรื่องเนื้อคู่มาเกือบครบทุกประเทศบนโลกนี้เถียงข้างๆ คูๆ ไม่ว่าที่ไหนดี ที่ไหนดัง หรือที่ไหนมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเด็ดดวงเรื่องความรัก ต้องมีผู้หญิงที่ชื่อช้องนางคนนี้ไปเยือน และหลายๆ ครั้งก็มีเกศราพ่วงตามไปด้วย
แต่คนหลังนั้นไม่อยากไปไหว้ขอผู้ชายเหมือนช้องนางหรอก...เกศราต้องคอยไปดึงเพื่อนสนิทกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นช้องนางคงโดนหลอกจนสูญเงิน แล้วสิ้นเนื้อประดาตัวก่อนจะกลับถึงบ้านแน่ๆ
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน...คราแรกนั้นช้องนางบอกเธอว่าจะมาซื้อกระเป๋าใบใหม่ แต่พอมาถึงห้างกลับเห็นแม่เจ้าประคุณหอบดอกบัวสีชมพูเอาไว้เสียเต็มอ้อมแขน จากนั้นก็ลงเอยด้วยการขึ้นไปไหว้เทวรูปเพื่อขอพรความรักตามอีหรอบเดิม ร้านกระเป๋าที่ยกมาเป็นข้ออ้างในการลากเกศราออกมาจากบริษัทในตอนแรกก็ไม่แม้แต่จะเฉียดเข้าไปใกล้
“เหรอจ๊ะ ไหว้มาตั้งแต่อายุยี่สิบจนจะสามสิบห้าอยู่วันสองวันนี้แล้ว...ยังไม่เลิกงมงายอีก” เกศราจิกกัดเพื่อนสนิทระหว่างรุนหลังช้องนางเข้าไปในลิฟต์ เพื่อโดยสารลงไปชั้นล่าง
“แกนี่มันปากคอเราะราย ฉันไม่แปลกใจจริงๆ ทำไมถึงไม่มีแฟน” คนมีศรัทธามองค้อนเพื่อนรักปะหลับปะเหลือก
“ช้องเอ๋ย...” เกศราเรียกชื่อเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงความอ่อนอกอ่อนใจ ตวัดสายตามองหน้างามอย่างล้อเลียนเมื่อเอ่ยว่า “ปากแกก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันนักหรอก ไม่อย่างนั้นแกคงมีสามีไปนานแล้ว ไม่เป็นโสดเหมือนอย่างฉันหรอก”
“แกมันปากร้าย ใจร้าย คอยดูนะ สักวันฉันจะทิ้งแกให้แห้งเหี่ยวอยู่คนเดียว ไม่มีใครเป็นเพื่อน”
“ช้อง...ทำใจเถอะ ยังไงซะแกก็ต้องเป็นโสดอยู่กับฉันไปจนตายนั่นแหละ” เกศรากลอกตาไปมา เธอนึกว่าช้องนางจะทำใจได้เหมือนเธอแล้วเสียอีก...เรื่องที่ต้องขึ้นคาน
“ไม่ย่ะ ฉันจะมีแฟน” ช้องนางแย้งทันควัน เรื่องอะไรเธอจะยอมขึ้นคานโดยไม่ทำอะไรเลย “ฉันจะต้องได้แต่งงาน”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ” เมื่อเห็นว่าป่วยการที่จะเตือนสติเพื่อน เกศราจึงกลอกตาไปมา แล้วถอนหายใจยาวอย่างยอมแพ้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเสียงเรียกเข้าของมือถือเธอดังขึ้นมา เกศราจึงล้วงมือถือเครื่องบางของตนขึ้นมารับเพราะผู้ที่โทร. เข้ามานั้นเป็นบุคคลที่เธอรู้จักและสนิทพอสมควร
“ว่ายังไงจ๊ะเบบี๋ ทำไมถึงโทร. หาพี่ได้”
บุณณปัญญ์เคยเป็นนักศึกษาฝึกงานในบริษัท Even for you ของเกศรา ก่อนจะจับพลัดจับผลูไปเป็นแฟนกับนักธุรกิจหนุ่มหลังจากฝึกงานเสร็จ โดยที่เกศรานั้นก็ยังไม่รู้เรื่องมาก่อน รู้อีกทีก็เมื่อทั้งคู่เป็นแฟนกันและประกาศว่าคบหากัน
ออกสื่อเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะโทษเด็กสาวก็ไม่ได้ เพราะหลังจากฝึกงานเรียบร้อยแล้ว บุณณปัญญ์ก็ไม่จำเป็นต้องติดต่อกับเธอ วันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลกที่เด็กสาวติดต่อหาเธอก่อน
“สวัสดีค่ะพี่เกด...พี่เกดสะดวกคุยหรือเปล่าคะ” เด็กสาวอ้อมแอ้มถามด้วยความเกรงใจเจ้านายเก่า แต่ด้วยเธอนั้นต้องการความช่วยเหลือจริงๆ บุณณปัญญ์จึงไม่มีทางเลือกมากนัก “คือว่าหนูมีเรื่องด่วนต้องขอให้พี่เกดช่วยนิดหน่อยค่ะ...เอ่อ...จริงๆ ก็มากอยู่”
เกศราเบือนสายตาไปมองเพื่อนสนิทที่ลอยหน้าลอยตา ฟังเธอพูดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้และไม่ละอาย ก่อนจะตัดสินใจกรอกเสียงลงไป
“คุยได้จ้ะเบบี๋ มีอะไรให้พี่ช่วยล่ะ”
“คือว่าคุณฌอห์นเขาหาบ้านให้นายทุนจากเดนมาร์ก แล้วรีบมาก...พี่เกดพอจะช่วยได้มั้ยคะ”
เกศรานิ่งฟังความจากเด็กสาวที่เอ่ยถึงฌอห์นแฟนหนุ่ม พลางคิดหาบ้านที่เธอมีในครอบครองในขณะนี้ แล้วจึงถามต่อเพื่อประกอบการตัดสินใจ
“รีบขนาดไหนจ๊ะ”
“ก็...นายทุนเขาจะมาวันมะรืนนี้” เด็กสาวบอกเสียงแผ่ว ด้วยเธอจนปัญญาจริงๆ เพราะบ้านที่พร้อมอยู่ และต้องอยู่ใจกลางเมืองอย่างที่นายทุนของแฟนหนุ่มร้องขอมานั้นหายากหาเย็นยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
“ขออยู่ในเมืองหน่อย แล้วต้องพร้อมย้ายเข้าไปอยู่ด้วยนะคะ” ยิ่งพูดเสียงของเด็กสาวยิ่งแผ่วลง เพราะรู้ตัวว่าเธอกำลังขอมากไป
ด้านคนฟังนั้นได้แต่ถอนหายใจ...ถ้าจะอยากได้มากขนาดนี้ ก็เหลืออยู่หลังเดียวเท่านั้นแหละ
“พี่พอมีอยู่หลังหนึ่ง...พร้อมย้ายเข้าไปอยู่ แต่อาจจะต้องรีบทำความสะอาดกันหน่อยนะ”...เพราะบ้านหลังนี้ใหญ่พอสมควร ประโยคหลังนั้นเกศราไม่ได้พูดออกไปหรอก เพราะคิดว่าบ้านจะเล็กจะใหญ่อย่างไร ถ้าเป็นบริษัท ดิ ฌอห์น ก็สามารถหาคนมาทำความสะอาดได้อยู่แล้ว “เดี๋ยวพี่จะส่งรูปไปให้ แล้วพรุ่งนี้เราไปดูบ้านจริงกันดีไหม”
“โธ่...พี่เกดขา ไม่ต้องไปดูก็ได้ค่ะ” คนปลายสายบอกพร้อมกับเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เพราะหนูกับคุณฌอห์นหาบ้านที่ไหนไม่ได้แล้ว นอกจากบ้านของพี่เกดหลังนี้...”
“ไปดูเถอะ” เกศราย้ำ ยืนยันหนักแน่นว่าจะให้บุณณปัญญ์และแฟนหนุ่มไปดูบ้านที่ว่าก่อน “ไม่นานหรอก เดี๋ยวพี่จะส่งรายละเอียดไปให้”
“ขอบคุณมากค่ะพี่เกด ถ้าไม่ได้พี่เกดหนูกับคุณฌอห์นคงลำบาก”
“ไม่เป็นไรจ้ะ” เกศราอมยิ้ม ก่อนจะพูดตลกจนเรียกเสียงหัวเราะจากปลายสายได้ “พี่ขาย ไม่ได้ให้ฟรี” จากนั้นเธอก็เอ่ยลาเด็กสาวอีกสองสามคำก่อนจะกดปุ่มวางสาย และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิท ช้องนางก็ไม่ลังเลที่จะยิงคำถามใส่เธอทันที
“แกจะขายบ้านหลังไหนเหรอไอ้เกด” ช้องนางเลิกคิ้ว เธอรู้ว่าเกศราชอบซื้ออสังหาริมทรัพย์เอาไว้เพื่อเก็งกำไร แต่หญิงสาวก็จะหมุนเวียนขาย เธอจึงคิดไม่ออกว่าบ้านหลังไหนที่เพื่อนสนิทเพิ่งเอ่ยปากว่าจะขาย
“ก็เรือนหอฉันไง”
“ตายแล้ว!”
ความคิดเห็น |
---|