บทที่ ๒

บทที่ ๒ สูรยกานต์

พริบพรีกังวลเรื่องชุดที่ต้องสวมไปร่วมพิธีบวงสรวงเทวรูปในวันเสาร์ที่จะถึงอยู่บ้าง แต่เพียงโทร. ไปขอคำปรึกษาจากเนตรลดาว่าต้องสวมชุดแบบไหน หล่อนกลับหาทางออกให้ด้วยการส่งพนักงานจากห้องเสื้อแห่งหนึ่งมาที่บ้านเพื่อวัดตัวสามพี่น้อง วันต่อมาพนักงานคนเดียวกันก็นำชุดมาให้ลองหลายแบบ ซึ่งทุกตัวเน้นสีขาวเป็นหลัก มีลวดลายไม่มาก 

พริบพรีเลือกเดรสเบลเซอร์สีขาวล้วน แขนยาวถึงศอก กระดุมสีทองสองแถวเรียงตัวลงมาจนสุดชายกระโปรงซึ่งยาวเลยเข่าเล็กน้อย ช่วงเอวเข้ารูปโดยไม่ต้องใช้เข็มขัด มีรองเท้าส้นสูงหลายแบบให้เลือก พริบพรีชี้คู่ที่มีส้นเตี้ยที่สุด

พริ้งพรายเลือกจัมป์สูทแขนสั้น ขายาว ดีไซน์เรียบง่าย และยืนกรานว่าจะสวมรองเท้าคัตชูของตัวเอง ไม่ใส่รองเท้ามีส้นเป็นอันขาด ขณะที่พฤกษ์เลือกเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงสีเบจ รองเท้าหนังสีน้ำตาล 

เสื้อผ้าทั้งหมดนี้เนตรลดาเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ และไม่ใช่แค่นั้น เมื่อวันเสาร์มาถึง หล่อนยังส่งช่างแต่งหน้าทำผมมาที่บ้านพริบพรีเพื่อแปลงโฉมสามพี่น้อง แต่ดูเหมือนว่าช่างทั้งสองจะประณีตกับพริบพรีเป็นพิเศษ หญิงสาวเดาว่าน้องของเธอคงดูไม่น่าเข้าใกล้ ชอบทำหน้าตาเหมือนไม่อยากให้ใครมายุ่มย่ามกับตน พวกเขาจึงหันมาสนใจพี่สาวคนโตเป็นหลัก

พริ้งพรายแอบกระซิบถามพริบพรีว่ามันไม่เกินไปหน่อยหรือ งานบวงสรวงนั่นสำคัญมากจนผู้ร่วมงานต้องแต่งตัวดีทุกกระเบียดนิ้ว หรือเนตรลดากลัวสามสมาชิกใหม่ทำจันทรกานต์ขายขี้หน้า ถึงได้ส่งคนมาจัดแจงเรื่องการแต่งตัวทั้งหมด พริบพรีได้แต่ยักไหล่ประมาณว่าไม่รู้

เก้าโมงตรง มีรถหรูจากคฤหาสน์จันทรกานต์มาจอดรอหน้าบ้าน พริบพรีส่งช่างแต่งหน้าทำผมสองคนกลับก่อนจะขึ้นรถคันนั้นเป็นคนแรก ตามมาด้วยน้องๆ ที่ดูไม่ไว้ใจอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะฉกาจซึ่งเป็นคนขับรถ แต่พริบพรีมีพิกัดของสถานที่ปลายทาง สามารถดูเส้นทางในกูเกิลแมปได้ตลอดเพื่อไม่ให้น้องๆ เป็นกังวล อีกทั้งระหว่างทางฉกาจยังชวนทั้งสามคนคุยเรื่อยๆ ทำให้ความรู้สึกไม่ไว้วางใจพอจะลดลงบ้าง

“ช่วงนี้ผมเห็นคนในบ้านจันทรกานต์กำลังเตรียมห้องใหม่สามห้อง คุณหนูทั้งสามจะย้ายเข้าไปอยู่ใช่ไหมครับ”

“เข้าใจผิดแล้วค่ะ” 

พริ้งพรายชิงตอบ ขณะที่พริบพรีกำลังสงสัยว่าเนตรลดาเตรียมห้องให้เธอกับน้องหรือเปล่า แต่เท่าที่จำได้ เธอไม่ได้บอกว่าจะย้ายเข้าไปอยู่ด้วยสักหน่อย

“เอ จัดห้องอย่างดีขนาดนั้น ผมว่าไม่ใช่แค่ต้อนรับแขกนะครับ”

“พวกเราจะไม่ย้ายที่อยู่ครับ” พฤกษ์บอกเสียงเรียบ แล้วมองไปนอกหน้าต่าง ไม่ฟังฉกาจที่เปลี่ยนไปพูดเรื่องการจราจรแถวนี้ที่ไม่ค่อยแออัด สองข้างทางเริ่มไม่มีตึกรามบ้านช่อง มองไปทางไหนก็เห็นแต่พื้นที่สีเขียว

ภายในครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย รถยนต์แล่นผ่านรั้วที่เปิดกว้างเข้าไปในสวนแห่งหนึ่งซึ่งกินพื้นที่กว่าสิบไร่ มองจากในรถสามารถเห็นรูปปั้นเทพีสีขาวโพลนสูงประมาณยี่สิบเมตร หงายทั้งสองมือข้างกาย มือข้างหนึ่งประคองดวงตะวัน มืออีกข้างประคองพระจันทร์เสี้ยว

บริเวณจอดรถมีรถราวๆ สิบคัน เพียงแค่ยี่ห้อรถก็บ่งบอกถึงฐานะร่ำรวยชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร ทั้งสามคนก้าวลงจากรถพลางกวาดมองไปรอบๆ เสียงกลุ่มคนจำนวนมากแว่วมาจากบริเวณรูปปั้น พริบพรีมองผ่านต้นไม้สูงไปจนเห็นคนมากมายในชุดสีขาวกำลังยืนห้อมล้อมโต๊ะใหญ่ บนโต๊ะมีพานพุ่มดอกไม้ ผลไม้และอีกหลายๆ อย่างที่เธอยังเห็นไม่ถนัดนัก

ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งเพิ่งลงจากรถเช่นกัน ทั้งสองมองคนแปลกหน้าพลางนึกไปด้วยว่าเป็นสมาชิกตระกูลไหน ก่อนที่ฝ่ายชายจะเดินเข้ามาถาม

“เอ่อ ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าทั้งสามคน...”

“ฝั่งจันทรกานต์ครับคุณเตชน์” ฉกาจชิงตอบด้วยน้ำเสียงเริงร่า

“อะ...อ้าว นี่ญาติผมเหรอครับ” เตชน์มองพริบพรีเป็นคนแรก ตามด้วยพฤกษ์และพริ้งพราย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “ลูกๆ คุณลุงดนุพลใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ” คำตอบของพริบพรีมาคู่กับรอยยิ้มแสดงไมตรี เธอเดาว่าชายหญิงคู่นี้เป็นพี่น้องกัน อีกทั้งยังมีบางส่วนบนใบหน้าของทั้งคู่ที่คลับคล้ายเธอ

“ดีใจที่ได้เจอกันนะครับ พี่ชื่อเตชน์ นั่นน้องสาวพี่ ชื่อติชิลา เรียกตี้ก็ได้ น่าจะอายุมากกว่าเราสามคน” เขาพยักพเยิดไปยังสาวสวยที่เดินมาหยุดอยู่เคียงข้าง เธอพยักหน้าส่งยิ้มให้ทั้งสามคนอย่างเป็นกันเอง

“พริบพรีค่ะ นี่พริ้งพราย ส่วนนี้พฤกษ์” พริบพรีแนะนำสมาชิกฝั่งเธอบ้าง 

ติชิลายิ้มขำเล็กน้อย “เรียกเร็วๆ คงลิ้นพันกันน่าดู”

“นั่นเป็นปัญหาของพวกเราตอนเด็กเลยละค่ะ” 

“ยินดีที่ได้พบกันนะคะ พี่ทราบข่าวจากคุณป้าเนตรเมื่อสองวันก่อนว่างานบวงสรวงคราวนี้จะมีญาติมาเพิ่ม ตื่นเต้นที่จะได้เจอมากเลย”

เตชน์รีบพยักหน้าเห็นด้วย แล้วพูดอย่างขี้เล่น “ใช่ สูรยกานต์สมาชิกเยอะกว่าจันทรกานต์มาตลอด วันนี้ฝั่งเราอาจจะพอสู้ได้บ้าง” 

“พี่เตชน์แค้นมากเลยที่โดนฝั่งนั้นข่มด้วยจำนวนคนทุกปี” ติชิลาตบบ่าพี่ชาย

พริบพรียิ้มไม่หุบเพราะชอบผูกมิตรกับคนใหม่ๆ ยิ่งพวกเขามีศักดิ์เป็นญาติยิ่งให้ความรู้สึกพิเศษ เธอภาวนาให้ที่นี่โอบล้อมไปด้วยมิตรภาพและสายสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจบงาน

“เตชน์ ตี้! รีบขนของไปวางได้แล้ว อย่าชักช้า” 

เสียงทุ้มห้าวดังมาจากอีกทาง พริบพรีแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นชายวัยกลางคนสวมเชิ้ตสีเหลืองอ่อนเดินไวๆ เข้ามาร่วมวง เขาคือดลวัฒน์แน่นอน ถ้าพ่อเธอมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ พ่อจะต้องมีหน้าตาแบบนี้!

เธอหันมองน้องทั้งสองที่จ้องดลวัฒน์ตาไม่กะพริบ รู้ได้โดยไม่ต้องบอกกัน

“ผมกับตี้เพิ่งมาเองพ่อ เจอน้องๆ ด้วย” เตชน์ผายมือมาทางสามสมาชิกใหม่

ดลวัฒน์อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างและเข้ามาทักทายบรรดาลูกๆ ของพี่ชายฝาแฝด

“ทั้งสามคนโตขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”

“สวัสดีค่ะอาดล” พริบพรีไหว้สวัสดีผู้อาวุโสด้วยรอยยิ้ม พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้เสียบรรยากาศ 

พริ้งพรายกับพฤกษ์รีบทำตามพี่สาว หลังจากที่เอาแต่สำรวจใบหน้าของคนที่เหมือนพ่อราวกับแกะจนหลงลืมมารยาทไปชั่วขณะ 

ดลวัฒน์รับไหว้ สายตาที่ใช้มองหลานเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู 

“เดี๋ยวพวกหนูช่วยนะคะ” พริบพรีขันอาสา เมื่อเห็นติชิลาเปิดท้ายรถเพื่อจะยกพานดอกไม้ออกมา

“ไม่ต้องๆ ของมีไม่เยอะหรอก ส่วนใหญ่ไปวางที่โต๊ะหมดแล้ว ทั้งสามคนตามอาเข้ามาในงานดีกว่า”

พริบพรีหันไปพยักหน้าให้น้องๆ เดินไปพร้อมกัน ทั้งสองเอาแต่จ้องดลวัฒน์เหมือนอยากเก็บภาพของเขาไว้ในความทรงจำให้ได้มากที่สุด ส่วนเธอลอบมองเตชน์กับติชิลา ลูกพี่ลูกน้องผู้มีท่าทีเป็นมิตร แม้ได้พบกันแค่ไม่กี่นาที แต่พวกเขากลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนสนิทกันมาระยะหนึ่งแล้ว

ดลวัฒน์พาเธอฝ่ากลุ่มคนประมาณยี่สิบคนที่มาร่วมพิธีเดียวกันตรงไปยังที่นั่งของลือชากับมาลัย พริบพรีคุกเข่ากับพื้น กราบตักทั้งคู่ ก่อนจะแนะนำให้พวกท่านรู้จักน้องๆ ของเธอที่เพิ่งยอบตัวคุกเข่าตาม

“นี่พริ้งพราย ส่วนนี่พฤกษ์ค่ะ” พริบพรีสบตาปู่กับย่า สังเกตเห็นว่าในแววตาของย่ายังมีอารมณ์อ่อนไหว วินาทีต่อมาเธอก็ดึงสายตาไปยังน้องทั้งสอง “พริ้ง พฤกษ์ นี่คุณปู่คุณย่า”

ทั้งสองทำความเคารพผู้อาวุโสพร้อมกัน ลือชาคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้พ่อบ้านผู้ติดตามส่งของมาให้ ของชิ้นนั้นเป็นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดใหญ่เท่ากล่องเครื่องเพชร ด้านในมีสร้อยคอจี้พระจันทร์เสี้ยวสามเส้น

“ที่ปู่เคยบอกพริบพรีว่ายินดีต้อนรับสู่จันทรกานต์ ปู่พูดจริงนะ” ลือชามองพริ้งพรายกับพฤกษ์เป็นพิเศษ สัมผัสได้ถึงอาการต่อต้านในแววตาของทั้งสองคน “ปู่กับย่าไม่เคยคิดจะทอดทิ้งส่วนหนึ่งของครอบครัว พ่อของหนูเลือกเส้นทางนั้นเอง และเมื่อพ่อของหนูจากไป แม่ของหนูก็ยังยืนยันจะดูแลลูกด้วยตัวเอง”

“เพราะแม่หนูไม่ได้รับการยอมรับตั้งแต่แรกไงคะ” พริ้งพรายเถียงเสียงเรียบ พริบพรีหันไปเขม้นตาดุน้องทันที

“แล้วหนูรู้ไหมว่าทำไม” ลือชาถามอย่างไม่ถือสา พร้อมหยิบสร้อยขึ้นมาเส้นหนึ่ง

“เพราะฐานะที่ไม่เหมาะสมค่ะ” พริ้งพรายเป็นคนตอบ

“แค่นั้นหรือ”

“มีเรื่องอะไรนอกจากนี้เหรอคะ”

“ถ้าแม่หนูไม่เล่า ปู่กับย่าก็ไม่อยากพูดถึง แต่เราลืมเรื่องในอดีตไปเถอะ วันนี้มาร่วมเฉลิมฉลองการพบกันและรวมเป็นครอบครัวเดียวกันดีกว่า... พริบพรี แบมือหน่อย” 

ลือชาทิ้งความคลุมเครือเอาไว้อย่างนั้น เมื่อพริบพรีทำตามคำสั่ง สร้อยเส้นแรกก็ถูกหย่อนใส่มือเธอ 

“สวมเอาไว้ ต่อไปนี้สร้อยเส้นนี้เป็นของหนู ถ้ามองไปรอบๆ จะเห็นว่าทุกคนสวมสร้อย ตัวจี้จะบอกว่าใครมาจากตระกูลไหน”

“ค่ะ” พริบพรีรับคำพลางมองลายฉลุงดงามบนจี้พระจันทร์เสี้ยวสีเงิน มันมีมนตร์ขลังสะกดสายตา ครั้นลองมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าแทบทุกคนสวมสร้อย และมีจำนวนไม่น้อยที่ห้อยจี้พระอาทิตย์สีทอง

ในวินาทีนั้นเอง สายตาของเธอหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มร่างสูง สวมแว่นตาสีชา เขากำลังถือกล้องถ่ายรูปบรรยากาศงาน มีเด็กหญิงวัยประมาณหกเจ็ดขวบสองคนขนาบข้าง ทั้งสองดึงขากางเกงเขาคนละข้างอย่างจงใจรบกวน

ชายหนุ่มกระชับกล้องด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างบีบแก้มเด็กคนหนึ่ง พอจะหันไปทำกับอีกคนเจ้าตัวเล็กก็วิ่งแจ้นหนีไปเสียแล้ว คนตัวสูงวิ่งตาม แต่กลับถูกเด็กคนที่โดนบีบแก้มไปแล้วดึงขากางเกงเอาไว้ มีกันอยู่สามคนตรงนั้น แต่ดูวุ่นวายมาก

พริบพรีหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปตามเสียงของเนตรลดาที่เพิ่งเข้ามา เวลานี้น้องทั้งสองของเธอได้รับสร้อยแบบเดียวกันเรียบร้อยแล้ว

“ว้าว หลานทั้งสามคนดูดีมากเลยจ้ะ”

“สวัสดีค่ะคุณป้า” พริบพรีกระพุ่มมือไหว้อีกฝ่าย

“รีบสวมสร้อยซะนะ โต๊ะจัดเสร็จแล้ว พิธีกำลังจะเริ่ม วันนี้ป้าได้เป็นแม่งาน ป้าตั้งใจจะแนะนำพวกหนูต่อหน้าทั้งสองตระกูล”

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้นะคะ” พริบพรีวิตกขึ้นมาทันที เธอไม่ชอบเป็นจุดรวมสายตาใคร

“อย่ากังวลไปเลย พวกหนูไม่ต้องพูดอะไร ป้าจะพูดให้เอง” เนตรลดาในชุดกระโปรงสีขาวยาวกรอมเท้าเอ่ยอย่างมีความสุข ก่อนจะเดินไปยังไมโครโฟนที่เตรียมไว้บนขาตั้ง สาวใช้คนหนึ่งนำแฟ้มหนีบสีทองมาส่งให้ถึงมือ 

การที่เนตรลดาไปยืนตรงนั้นทำให้เสียงพูดคุยสงบลง ทุกคนแยกย้ายไปนั่งที่ของตน ฝั่งซ้ายของลานพิธีเป็นของตระกูลสูรยกานต์ ส่วนฝั่งขวาเป็นของจันทรกานต์ ฉกาจผายมือให้สามพี่น้องนั่งอยู่แถวหลังสุด พริบพรีลองนับจำนวนสมาชิกสองตระกูลคร่าวๆ รวมถึงเธอและน้องด้วย จันทรกานต์ก็ดูยังน้อยกว่าอยู่ดี

“สวัสดีค่ะทุกท่าน ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งในวันที่แสนพิเศษของพวกเราสองตระกูล จันทรกานต์และสูรยกานต์” 

เสียงของเนตรลดาดังจากลำโพงขนาดไม่ใหญ่มากซึ่งตั้งอยู่ทางสองฝั่งของเก้าอี้นั่ง ตำแหน่งที่หล่อนยืนอยู่คือฝั่งขวาของโต๊ะเครื่องบูชา นอกจากหล่อนแล้ว ทุกคนในพิธีนั่งหันหน้าไปทางเทวรูปนางฟ้าที่มองต่ำลงมา

พริบพรีหายใจสะดุดเมื่อแหงนมองรูปปั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพื้นที่แห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาจนไม่กล้าขยับตัว เกรงว่าจะทำอะไรผิดพลาดไป มือเรียวลูบอกเรียกขวัญกำลังใจ ก่อนที่ปลายนิ้วจะแตะโดนสร้อยบนลำคอ ลากลงมาถึงจี้พระจันทร์เสี้ยว มันคือสัญลักษณ์ยืนยันว่าเธอคือส่วนหนึ่งของจันทรกานต์แล้ว

“ดิฉัน เนตรลดา จันทรกานต์ ขอเริ่มต้นพิธีบวงสรวงด้วยการกล่าวถึงประวัติศาสตร์คร่าวๆ ก่อนที่จะมาเป็นเราในทุกวันนี้ เพื่อที่สมาชิกทุกคนจะได้รับทราบความเป็นมา ความเชื่อต่างๆ และวิถีการใช้ชีวิตที่ควรสืบต่อไปในอนาคต”

พริบพรีรวบรวมสติตั้งใจฟังเนตรลดา หล่อนเปิดแฟ้มก่อนจะอ่านทุกตัวอักษรด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจในต้นกำเนิด เรื่องราวที่พริบพรีเคยคิดว่าเป็นนิทานสร้างความบันเทิงกลับกลายเป็นเรื่องเคยที่เกิดขึ้นจริงในอดีต

นายภาสุและนายศศิน คือมนุษย์สองคนที่ระลึกชาติได้ นายภาสุคือเทพพระอาทิตย์ ส่วนนายศศินคือเทพพระจันทร์ ทั้งสองถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกมนุษย์ตามประสงค์ของเทพีผู้ปกครองท้องฟ้านามว่า สกายลิน และพวกเขาก็กลายมาเป็นบรรพบุรุษของสูรยกานต์และจันทรกานต์

รูปปั้นตรงหน้าคือเทพีผู้มีอำนาจเหนือเทพทั้งสอง เป็นผู้ปกปักรักษาสมาชิกของสูรยกานต์และจันทรกานต์ให้คงความร่ำรวยและอวยพรให้โชคดีเสมอมา พิธีบวงสรวงครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อบูชาเทพีเพียงพระองค์เดียว แต่เป็นการบูชาเทพบรรพบุรุษของทั้งสองตระกูลด้วย

ยิ่งได้ฟัง พริบพรียิ่งรู้สึกว่าเธอและน้องๆ แปลกแยก ไม่ควรมาอยู่ที่นี่ เงินทองล้นมือและความโชคดีช่างห่างไกลจากชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวเธอ ถึงพ่อจะเป็นทนาย มีรายได้ดี แต่ก็อายุสั้น เมื่อเสาหลักจากไป บ้านของเธอก็ไม่แข็งแรงอีก เงินทองร่อยหรอไปกับการส่งลูกๆ เข้าเรียน และแม่หาเงินได้ไม่เก่งเท่า 

“...เราทุกคนต่างเป็นลูกหลานของเทพผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบริวารของเทพีสกายลินผู้ทรงอำนาจ ฉะนั้นจึงสมควรยิ่งนักที่จะรักษาคุณงามความดีไว้ในจิตใจ จงมีเมตตา มีความเอื้อเฟื้อ มีความรักมอบให้แก่กัน และประพฤติปฏิบัติแต่ในทางที่ชอบ”

“เพราะอย่างนี้นี่เอง ป้าเนตรถึงให้เงินเราง่ายๆ” พริ้งพรายยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูพี่สาว 

พริบพรีเพียงแค่พยักหน้าเนือยๆ เธอไม่อยากเชื่อว่าทุกคนในตระกูลจะรักษาคุณงามความดีไว้ได้ ในเมื่อโลกใบนี้มีทั้งกิเลส อบายมุข สิ่งยั่วยุหลากหลาย ไหนจะสถานการณ์ต่างๆ ที่คอยทดสอบคุณธรรมและจรรยาบรรณของตัวบุคคล ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแต่รบกวนจิตใจที่ขาวสะอาดทั้งนั้น

พิธีการดำเนินมาถึงช่วงโปรยดอกไม้ทั่วลานเทวรูป สามพี่น้องไม่ได้เข้าไปโปรยด้วย เพียงแค่ยืนมองอยู่ห่างๆ เมื่อทุกคนกลับไปนั่งที่ ทั้งสามก็นั่งลงที่เดิม 

“ข้าแต่เทพีสกายลิน พวกเราไม่เคยลืมเลือนบัญชาที่พระองค์มอบไว้แก่บรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของเราส่งต่อบัญชานั้นมายังลูกหลาน ว่าด้วยการเฝ้ารอคู่แท้ที่พระองค์ลิขิต ให้เกี่ยวดองสองตระกูลไว้ด้วยกัน เพื่อคงความรุ่งโรจน์ เสริมส่งบารมีแก่สมาชิกของจันทรกานต์และสูรยกานต์ตราบนานเท่านาน...”

พริบพรีเลิกคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น เรื่องนี้พ่อไม่เคยเล่าให้ฟังมาก่อน หรืออาจจะเล่า แต่เธอลืมไปแล้ว

“เราสองตระกูลมอบคำสัญญาว่าจะทำตามประสงค์ของพระองค์โดยทันที เมื่อสูรยกานต์และจันทรกานต์มีทายาทที่ตรงตามคุณสมบัติ หากทายาทของทั้งสองฝ่ายเกิดในวัน เดือน และปี เดียวกัน นั่นคือคู่แท้”

“หา?” 

เสียงอุทานของพฤกษ์ที่นั่งถัดไปจากพริ้งพรายลอยเข้าหูพริบพรี เธอก็อยากอุทานแบบนั้นเหมือนกัน

และแล้วก็มาถึงช่วงที่พริบพรีประหม่าที่สุด เนตรลดาดึงไมโครโฟนออกมาจากขาตั้ง มองมาทางหลานๆ แถวหลัง

“ในวาระพิเศษนี้ จันทรกานต์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะแนะนำสมาชิกของเราให้สูรยกานต์ได้รู้จัก  พวกเขาคือลูกๆ ของดนุพล น้องชายคนโตของดิฉันที่จากโลกนี้ไปเมื่อสิบหกปีก่อน และเรายังระลึกถึงเขาเสมอ”

พริบพรีได้ยินเสียงแค่นหัวเราะเบาๆ ของพริ้งพราย เธอไม่ได้หันไปมองน้อง ลำตัวแข็งเกร็งฉับพลันเมื่อทุกคนมองมาตามสายตาของเนตรลดาที่พูดต่ออย่างปลื้มปีติ

“หลานๆ ของป้า ยืนขึ้นสิลูก”

พริบพรีค่อยๆ ลุกขึ้น แทบจะพร้อมกับพริ้งพรายและพฤกษ์ แต่ขณะที่ป้าของเธอแนะนำหลานทีละคน สองเท้ากลับเดินไปทางฝั่งที่นั่งของสูรยกานต์

“ทางซ้ายสุดติดทางเดินคือลูกสาวคนโต เธอชื่อพริบพรี ตรงกลางคือลูกสาวคนกลาง พริ้งพราย และลูกชายคนเล็กของดนุพลมีชื่อว่าพฤกษ์”

เสียงกระซิบกระซาบดังมาจากอีกตระกูล พริบพรีไม่กล้ามองฝั่งนั้น เธอมองแค่ดลวัฒน์ที่นั่งอยู่ด้านหน้า ซึมซับความรู้สึกเหมือนได้สบตาพ่ออีกครั้ง เขาส่งยิ้มให้กำลังใจเธอ ทางฝั่งจันทรกานต์คงทราบกันดีว่าเธอและน้องๆ มาร่วมพิธี จึงไม่แสดงท่าทีตื่นตกใจนัก

“และทุกท่านคะ ดิฉันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า ถึงเวลาที่เราจะได้สนองความประสงค์ของเทพีสกายลิน ผู้ปกครองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาราและเราทั้งสองตระกูลแล้ว”

พริบพรีตวัดสายตาไปมองเนตรลดาที่เดินมาตามทางเดินตรงกลาง หล่อนหยุดอยู่ที่เก้าอี้แถวสอง จังหวะนั้นทุกคนเงียบกริบ รอฟังเสียงประกาศอย่างใจจดใจจ่อ

“พริบพรี จันทรกานต์...” 

หล่อนเรียกชื่อหลานสาวคนใหม่ด้วยนามสกุลใหม่เอี่ยม

นามสกุลที่พริบพรีไม่เคยคิดอยากจะใช้ และจะไม่เปลี่ยนไปใช้อย่างเป็นทางการเป็นอันขาด 

“เกิดวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕xx ปีนี้เธอจะอายุครบยี่สิบหกปีบริบูรณ์”

พริบพรีสงสัยว่าป้ารู้วันเกิดเธอได้อย่างไร

เนตรลดาส่งยิ้มภาคภูมิมาให้ มันไม่มีความหมายใดสำหรับพริบพรี แต่มีความหมายมากสำหรับหล่อน

และแล้วพริบพรีก็เข้าใจรอยยิ้มนั้นอย่างถ่องแท้เมื่อผู้ประกาศข่าวดีหันไปหาชายหนุ่มฝั่งสูรยกานต์ ผู้ที่มีแว่นกันแดดสีชาเหน็บอยู่ตรงกระดุมเชิ้ต

“ตรงกับเธอหรือเปล่า ธรณ์ สูรยกานต์”

ขณะนั้นเจ้าของชื่อกำลังตกตะลึง เขาสบตาเนตรลดาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเบนสายตากลับไปหาหญิงสาวที่เขาจ้องมองตั้งแต่เธอลุกขึ้นยืน มีเสียงฮือฮาตามมาหลังจากนั้น สมาชิกสองตระกูลมองธรณ์และพริบพรีสลับไปมา ลือชากับมาลัยนั่งเงียบ ทั้งคู่รู้อยู่ก่อนแล้วจึงไม่ตกใจอย่างคนอื่นๆ

พริบพรีตัวแข็งทื่อ ตัดการรับรู้รอบตัว หวังเพียงว่านี่เป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด 

คู่แท้บ้าบออะไรกัน!

“มันจะไม่งี่เง่าไปหน่อยเหรอ” พริ้งพรายกระตุกแขนเรียกสติพี่สาวที่เตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนแล้วไม่รู้ 

“พี่ก็งงอะพริ้ง เกี่ยวดองคือยังไง ไม่ใช่แต่งงานใช่ไหม” ความหวังสุดท้ายฝากไว้กับน้องสาว พริบพรีต้องตีความผิดแน่ๆ เธอไม่มีวัน...

“พริ้งว่าใช่นะพี่พริบ”

“ไม่!”

“แน่นอนพี่ ไม่แต่งแน่นอน คนพวกนี้ตลกมาก เสียสติกันไปหมดแล้ว” พริ้งพรายมองบรรดาผู้คนรอบกายอีกครั้งด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัย

“เราไปจากที่นี่กันไหม” พฤกษ์ถามเสียงคร่ำเครียด

“ถ้าไม่มีพี่ฉกาจไปส่งเราจะกลับยังไง แถวนี้ห่างไกลตัวเมือง ไม่มีรถผ่านมาสักคัน” พริ้งพรายตอบน้องชาย ก่อนที่ทั้งสามจะมองไปยังด้านหน้า เพราะมีชายอายุประมาณสามสิบกลางๆ จากฝั่งสูรยกานต์ลุกขึ้นตะโกนถามเสียงขุ่น

“ตลกหรือเปล่าคุณเนตร! อยู่ดีๆ มีหลานโผล่ขึ้นมาได้ยังไง คุณรู้ตั้งแต่ตอนไหนว่าเด็กคนนั้นเกิดวันเดียวกับธรณ์”

“คุณวิเชียรคะ กรุณาให้เกียรติหลานของเนตรด้วยนะคะ” เนตรลดาลดไมโครโฟนลง โต้กลับด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจที่บังอาจมาเรียกหลานสาวของหล่อนว่าเด็กคนนั้น “เนตรขอไม่ตอบคำถามนะคะว่าทราบตอนไหน แต่เนตรมีหลักฐานทุกอย่างที่ตรวจสอบได้ พริบพรีเป็นทายาทของจันทรกานต์จริงๆ วันเดือนปีเกิดตรงกับธรณ์ ฝั่งเราไม่มีเหตุผลที่จะโกหก ใครจะกล้าโกหกต่อหน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์กันคะ”

“ใจเย็นก่อนวิเชียร เนตรลดา” ชายสูงวัยจากสูรยกานต์ยกมือห้ามทัพ ก่อนจะมองพริบพรีที่ยืนตัวแข็งอยู่นานแค่ไหนแล้วไม่รู้ “เราสองตระกูลมีเรื่องต้องคุยกันหลังจากนี้”

“มันเป็นเรื่องใหญ่มากนะ พี่ไม่ควรเซอร์ไพรส์เราแบบนี้ ที่นี่ ขนาดผมยังเพิ่งรู้” ดลวัฒน์ตะโกนคุยกับพี่สาว

รวดเร็วกว่าที่ใครจะร้องห้ามทัน พริบพรีคว้ามือน้องสาวข้างหนึ่ง คว้ามือน้องชายอีกข้างแล้วพาทั้งคู่วิ่งห่างจากลานพิธี ถึงหนีไปจากที่นี่เองไม่ได้ แต่ก็ขอหนีให้ห่างจากความวุ่นวายก่อนแล้วกัน!


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น