บทที่ ๕

บทที่ ๕ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

สรุปแล้วบทสนทนาแรกของธรณ์และพริบพรีก็ไม่มีแก่นสารอะไรมากนัก หญิงสาวไม่ได้พูดถึงแผนการในอนาคตที่ว่าจะอยู่กันเหมือนเพื่อน ต่างคนต่างทำงาน ไม่ต้องมีเวลาร่วมกันเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ เพราะเดาความประสงค์ของธรณ์ไม่ออกว่าอยากอยู่กันแบบไหน ลองเดาจากสิ่งที่เขาพูดแล้วเหมือนเขาเต็มใจดูแลเธอในฐานะสามีภรรยาอย่างไรอย่างนั้น แค่ช่วงแรกให้เริ่มต้นเป็นเพื่อนกันไปก่อน

งงกับเขา ครั้นจะถามไปตรงๆ ว่า ‘แล้วจะเอายังไงกับอนาคตของเรา’ ก็ฟังดูรีบร้อนที่จะสร้างครอบครัวกับเขาไปหน่อย เขาบอกเองว่าให้ค่อยเป็นค่อยไป เธอก็ต้องเอาตามนั้น

พอกลับเข้าไปในบ้าน คนอื่นๆ ต่างแปลกใจที่ทั้งสองคนสนิทกันอย่างรวดเร็ว ที่โต๊ะกินข้าวธรณ์นั่งข้างๆ พริบพรี ตรงข้ามเขาคือพฤกษ์ ถัดมาคือพริ้งพราย ชายหนุ่มชวนเด็กทั้งสองคนคุยอย่างเป็นกันเอง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเรียน พริบพรีจึงกระซิบบอกชายหนุ่มว่าพฤกษ์อยากไปฝึกงานในบริษัทผลิตแอปพลิเคชันของครอบครัวฝั่งแม่เขา ความสนใจหลักคืออีคอมเมิร์ซ

“จริงเหรอ พี่ก็ทำงานอยู่ที่นั่น”

“พี่ธรณ์ทำตำแหน่งอะไรครับ” พฤกษ์ถามด้วยความสนใจ

“พี่เป็นนักพัฒนาแอป แต่ส่วนใหญ่อยู่กับทีมที่ทำแอปให้ธนาคาร อีคอมเมิร์ซเขาแยกตัวเป็นอีกบริษัทไปแล้ว พี่ไม่ได้ไปยุ่งตรงนั้น แต่ถ้าพฤกษ์สนใจจะทำจริงๆ พี่พาเข้าไปฝึกงานได้ แต่รอโตกว่านี้หน่อยนะ ประมาณช่วงปิดเทอมมหา’ ลัย กำลังดีเลย”

พริบพรีลอบยิ้มให้น้องชายตัวเอง แววตาของพฤกษ์ปรากฏความตื่นเต้นขึ้นมา

“โธ่ ปู่อุตส่าห์ทาบทามพฤกษ์ให้มาอยู่ด้วยกัน หนีไปซะแล้ว” ลือชาหัวเราะเบาๆ เสียดายเล็กน้อย เพราะพฤกษ์ดูอนาคตไกล และคงจะเป็นทรัพยากรที่ดีของบริษัทที่เจ้าตัวไปทำงานให้แน่นอน 

“จะว่าไป ฉันยังไม่รู้เลยว่าเธอทำงานอะไร” ธรณ์หรี่เสียงเมื่อหันไปถามหญิงสาวข้างกายซึ่งกำลังมีความสุขกับอาหารเลิศรส 

พ่อครัวแม่ครัวที่นี่ฝีมือดีมากจนพริบพรีอยากจะเข้าไปเรียนทำอาหารด้วย เมื่อได้รับคำถามเธอก็รีบเคี้ยวรีบกลืน

“ฉันรับงานล่ามกับแปลเอกสาร พวกบทความ งานวิจัย ช่วงนี้นั่งหน้าคอมทำงานที่บ้านเป็นหลัก งานล่ามส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่เดือนหน้า...เธอเลื่อนจานยำผักกูดให้หน่อยได้ไหม ฉันไม่ได้ลองกินเลย”

“ยำผักกูดคืออันไหน อันนี้เหรอ” ธรณ์เอื้อมไปยกจานที่พริบพรีชี้มาวางไว้ตรงหน้าเธอ

ระหว่างนั้นมีเสียงหัวเราะในลำคอของเนตรลดาลอยมา ชายหนุ่มจึงส่งยิ้มแหยๆ ให้หล่อน 

“ผมไม่ถนัดชื่อผักเท่าไรครับ กินๆ ไปยังไม่รู้เลยว่าผักอะไร”

“หูยยย น้ำยำอร่อยมาก!” พริบพรีมองยำที่เพิ่งชิมไปด้วยความทึ่ง มันคือยำที่อร่อยที่สุดในชีวิตเธอเลยก็ว่าได้

“ฝีมือยายแหววน่ะ ย่าก็ชอบ วันนี้ย่าเลือกแต่เมนูที่อร่อยที่สุดสำหรับย่า ทีแรกก็กลัวว่าจะไม่ถูกใจเด็กๆ” 

“อร่อยทุกเมนูครับคุณย่า” ธรณ์รีบตอบผู้อาวุโสกว่า หางตาเหล่มองพริบพรีที่หลับตาพริ้มอย่างมีความสุขระหว่างเคี้ยวอาหาร คำพูดของเขาคงไม่เกินจริง

“หือ จะสู้แม่ครัวของสูรยกานต์ได้หรือเปล่า” หญิงชราแกล้งแหย่

ชายหนุ่มนิ่งไป ก่อนจะหันไปหาหญิงสาวข้างกาย “เธออยากพิสูจน์แล้วกลับมาเล่าให้คุณย่าฟังไหม”

พริบพรีทำหน้าไม่เข้าใจ ต้องให้พริ้งพรายบอกบุญให้ถึงจะร้องอ้อ

“พี่พริบ พี่ธรณ์ชวนไปกินข้าวที่บ้านเขา”

“ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคิดจะเกทับกันเธอต้องกินยำผักกูดจานนี้ก่อน แล้วไปบอกแม่ครัวเธอว่าให้ทำมาสู้” ไม่ว่าเปล่า หญิงสาวใช้ช้อนกลางตักยำผักกูดใส่จานเพื่อนใหม่ผู้ไม่ถนัดจำชื่อผัก “ฉันเชื่อว่ายำผักกูดที่นี่อร่อยที่สุดแล้ว ไม่มีใครสู้ได้”

“แล้วถ้าแม่ครัวฉันทำอร่อยกว่าล่ะ”

“ฉันก็จะไปทาบทามแม่ครัวของเธอให้มาทำงานที่นี่ไง”

ธรณ์ส่ายหน้าขณะตักอาหารเข้าปาก จังหวะนั้นพริบพรีไล่สังเกตผู้ใหญ่ทีละคน แต่ละคนดูมีความสุขเมื่อเห็นเธอกับธรณ์เข้ากันได้ดี หญิงสาวพลอยโล่งใจไปด้วยที่ไม่ทำให้ใครผิดหวัง

ในเมื่อเธอกับธรณ์ตกลงกันแล้วว่าจะทำเพื่อครอบครัว ก็ต้องทำให้สุดความสามารถ

หลังรับประทานอาหารเสร็จ ชายหนุ่มก็เริ่มต้นเจรจากับครอบครัวจันทรกานต์เรื่องของเขาและว่าที่เจ้าสาวที่เพิ่งรู้จักกันจริงๆ วันนี้ เขาไม่คิดจะบิดพลิ้ว ขอเพียงอย่างเดียวว่าอย่าเร่งรัด เขากับพริบพรีจะได้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากกว่านี้และจัดการชีวิตส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนจะเริ่มต้นชีวิตคู่ 

คำพูดของธรณ์ฟังดูเป็นจริงเป็นจังเสียจนพริบพรีหายใจติดขัดเป็นระยะๆ ชั่วขณะหนึ่งเธอรู้สึกเหมือนจุดประสงค์หลักของเขาไม่ใช่แค่ขอยืดเวลา แต่คือการให้คำมั่นว่าจะรับเธอเป็นภรรยาแน่นอน

อันที่จริงก็ถูกแล้วที่เขาต้องให้ความมั่นใจแก่ครอบครัวเธอแบบนั้น แต่เธอก็ยังอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี

ทั้งลือชากับมาลัยไม่มีปัญหา เนตรลดาเหมือนจะยอม แต่ก็ไม่วายให้คำแนะนำว่าภายในปีหน้าควรมีงานแต่งงานที่ทุกคนเฝ้ารอเกิดขึ้น พริบพรีฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นคำแนะนำที่กดดันทั้งเธอและธรณ์พอสมควร

เวลาล่วงเลยไปจนถึงสองทุ่ม ธรณ์ขอตัวกลับหลังจากการเจรจาสิ้นสุดลง เนตรลดาจึงส่งสายตาให้พริบพรีเดินไปส่ง หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับแขกกิตติมศักดิ์ ผายมือให้เขาเดินนำไปก่อน

“ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเธอเลยที่วันนี้ใส่ชุดโทนสีน้ำตาลมา” พริบพรีพูดขณะสวมรองเท้าออกจากบ้าน

“ทำไมต้องขอบคุณด้วยล่ะ” ธรณ์หันมาถาม

“เพราะว่าชุดฉันจะได้เข้ากับชุดเธอไง”

“อ้อ...” เขาสำรวจเสื้อผ้าตัวเองกับชุดของหญิงสาว “เราจำเป็นต้องใส่โทนสีเดียวกันเหรอ”

“ไม่หรอก แต่วันนี้คุณป้าเข้ามาในห้องฉันพร้อมชุดสีชมพูฟรุ้งฟริ้ง ฉันเกือบต้องใส่ชุดนั้นแล้วถ้าคุณพ่อบ้านไม่ขึ้นมาแล้วบอกว่าเธอใส่ชุดสีอะไร”

ธรณ์หยุดนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะหัวเราะออกมา “เอาจริงๆ นะพริบพรี ฉันนึกว่าวันนี้เธอมีธุระข้างนอกถึงแต่งตัวดี ไม่คิดว่าเธอแต่งตัวรอฉัน”

พริบพรีหลับตาแน่นเมื่อรู้ตัวว่าเพิ่งเฉลยออกไปอย่างน่าอายว่าแต่งตัวรอเขา โธ่ นั่นไม่ใช่ความคิดเธอสักนิด! แต่เธอดันกลายเป็นคนที่ต้องเผชิญสายตาขำขันจากแขกเสียอย่างนั้น

“วันหลังถ้าเราเจอกัน เธออยากให้ฉันใส่สีอะไรก็บอกได้ ฉันมีเสื้อผ้าครบทุกเฉดสี”

“มันดูตลกใช่ไหม” พริบพรีเดาเอาจากรอยยิ้มที่ยังไม่จางไปจากใบหน้าของธรณ์ ในใจเขาคงกำลังระเบิดหัวเราะลั่น

“ตลกตรงไหน สวยดีออก”

สวย...มุมปากของพริบพรีกระตุกเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำนั้น 

“จริงๆ ฉันหมายถึงตลกใช่ไหม ที่ฉันแต่งตัวดีเป็นพิเศษเพื่อรอพบเธอ ซึ่งไม่ใช่ความคิดฉันหรอกนะ บอกไว้ก่อน”

“ไม่ตลกหรอก เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองพิเศษนะ แค่มากินข้าวมื้อเดียว แต่เธอแต่งตัวรอ”

พริบพรีไม่คาดคิดว่าเขาจะรู้สึกแบบนั้น แต่พอลองคิดดู ถ้าสมมุติว่าเธอกับเขาสลับบทบาทกัน เธอก็อาจจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษเหมือนกันที่อีกฝ่ายยอมสละเวลามาแต่งตัวรอ

“แล้วเธอจะไปบ้านฉันได้เมื่อไร ฉันมารับเธอได้นะ”

“ขอดูก่อน แต่ฉันไปเองดีกว่า เธอมีหน้าที่แต่งตัวรอฉันที่บ้าน”

ธรณ์เม้มปากกลั้นขำ สายตาของพริบพรีจริงจังเสียจนเขาคิดว่าต้องใส่ใจเรื่องการแต่งตัวมากขึ้น 

“ถ้าอยากให้ฉันรออยู่บ้าน ฉันให้คนที่บ้านฉันไปรับเธอก็ได้นะ”

“ฉันไปเองได้จริงๆ เธอว่างวันไหนล่ะ”

“ได้ทุกวัน พรุ่งนี้สะดวกไหม”

“พรุ่งนี้เลยเหรอ” พริบพรีถามกลับ ออกจะรวดเร็วไปหน่อยสำหรับหญิงสาวที่ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ แต่ในเมื่อสถานการณ์บังคับให้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว เธอก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประวิงเวลาไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก “ได้สิ แต่ฉันยืนยันว่าจะไปกับคนขับรถของฉันนะ”

คราวนี้ธรณ์เริ่มคิดหนัก ก่อนจะบอกข้อกังวลออกไปตามตรง “ฉันไม่แน่ใจเท่าไรว่าควรทำหรือเปล่า คุณปู่คุณย่าฉันเคร่งครัดเรื่องพิธีรีตองและมารยาท สิ่งที่สุภาพบุรุษควรทำ สิ่งที่สุภาพสตรีควรทำ อะไรประมาณนั้น”

พริบพรีคิดว่าครอบครัวฝั่งเธอยุ่งยากพอแล้ว แต่ฝั่งธรณ์ดันเป็นหนักกว่าอีก ตามการวิเคราะห์ของเธอ สุภาพบุรุษไม่ควรรอสุภาพสตรีอยู่ที่บ้านโดยให้ฝ่ายหญิงเดินทางไปเองสินะ

“ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันโดนผู้ใหญ่ดุ เธอต้องให้ฉันมารับเธอ หรือไม่ก็ส่งคนมารับเธอ” ธรณ์ชี้แจงเพิ่มเติม

หญิงสาวถอนหายใจ “ส่งคนมาก็ได้” 

เพียงเท่านั้นธรณ์ก็โล่งใจ เขาเดินไปเปิดประตูรถ ก่อนสอดตัวเข้าไปข้างในและไม่ลืมบอกลาคนที่อุตส่าห์เดินมาส่ง

“แล้วเจอกันนะ”

“อืม เจอกัน”

“แล้วก็...เรื่องราวชีวิตที่เธอบอกว่าไม่น่าสนใจ” 

เขาเว้นจังหวะให้พริบพรีนึกถึงบทสนทนาในสวน ตอนที่เจ้าตัวเล่าข้ามเรื่องราวของตัวเองก่อนที่แม่จะล้มป่วย ตอนนั้นเธอบอกว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจจึงไม่พูดถึง 

“ฉันอยากฟังนะ หวังว่าถ้ามีเวลาเธอจะเล่าให้ฉันฟัง” 

เช้าวันต่อมา พริบพรีเข้าครัวไปหายายแหววของผู้เป็นย่า หล่อนเป็นคนรูปร่างอวบและช่างพูด หญิงสาวขอฝากตัวเป็นศิษย์ของแม่ครัวที่ทำอะไรก็อร่อย ในความคิดของเธอ อาหารเลิศรสมีประสิทธิภาพสูงในการช่วยเยียวยาจิตใจ โดยเฉพาะในช่วงชีวิตที่แสนวุ่นวาย ถ้ามีเวลาว่างเธอคงจะเขียนเรียงความขอบคุณคนครัวทุกคนที่ให้ความสุขแก่เธอตลอดเวลาที่อยู่บ้านหลังนี้

ฉกาจไปส่งพริ้งพรายกับพฤกษ์ที่โรงเรียนหลังจากที่ทั้งสองคนกินมื้อเช้าเรียบร้อยเป็นสองคนแรก ส่วนคนอื่นๆ ในบ้านรับประทานอาหารทีหลัง เนตรลดาต้องเข้าบริษัทก่อนสิบโมง หลังมื้อเช้าหล่อนจึงยังพอมีเวลาเตรียมความพร้อมให้แก่หลานสาวสำหรับการไปเยือนบ้านว่าที่สามี

“ตอนนี้บ้านสูรยกานต์มีสมาชิกหกคน สองคนแรกที่ป้าจะแนะนำคือคุณปู่กับคุณย่าของธรณ์” หล่อนหันแท็บเล็ตซึ่งมีภาพสามีภรรยาสูงวัยคู่หนึ่งให้พริบพรีดู “คุณปู่ฉัตรอรุณ คุณย่าภิญญา”

หญิงสาวท่องสองชื่อนั้นในใจซ้ำๆ

“สองท่านนี้เป็นคนจริงจังและเนี้ยบมาก”

“คุณป้ากำลังทำให้หนูกลัวนะคะ”

เนตรลดาส่ายหน้าขรึมๆ “อย่าหงอเด็ดขาด เมื่อพบท่านต้องมีความมั่นใจ ขณะเดียวกันก็ต้องนอบน้อม อ่อนโยน ฉลาดพูด ฉลาดตอบ”

พริบพรียิ้มฝืดเฝื่อน เธอไม่มั่นใจว่าจะฉลาดได้อย่างที่ป้าคาดหวัง

“แล้วก็นี่ คุณย่าดวงฤดี เป็นน้องสะใภ้ของคุณปู่ สามีท่านเสียชีวิตไปแล้ว” ผู้สอนปัดจอแท็บเล็ตไปอีกรูปหนึ่งซึ่งถ่ายในพิธีบวงสรวง เป็นภาพหญิงชรากับชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง ฉากหลังเป็นเทวรูปนางฟ้า “สองคนนี้คือพ่อกับแม่ของธรณ์ คุณชวโรจน์กับคุณธารทิพย์ ตอนนี้ให้เรียกคุณลุงคุณป้าไปก่อน ถ้าเขาให้เรียกคุณพ่อคุณแม่ก็ค่อยเปลี่ยน”

คะน้าที่ยืนอยู่ห่างๆ ปิดปากหัวเราะคิกคัก เมื่อคืนเธอช่วยพริบพรีเลือกชุดสำหรับใส่ไปเยือนบ้านสูรยกานต์ แต่สุดท้ายก็ไม่มีชุดไหนที่ทำให้พริบพรีรู้สึกมั่นใจ เช้านี้คะน้าจึงกระซิบขอความเห็นจากเนตรลดา วิธีแก้ปัญหาของหล่อนคือให้บัตรเครดิตแก่หลานสาว บอกว่าเช้านี้ให้รีบไปซื้อใหม่

“บ้านนั้นมีเด็กๆ ไหมคะ ในงานบวงสรวงหนูเห็นเด็กผู้หญิงสองคน”

เนตรลดาใช้เวลานึกเพียงครู่เดียว ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีจ้ะ เด็กสองคนนั้นชื่อนลันกับนิลา เป็นลูกของคุณวิเชียร ลูกพี่ลูกน้องของคุณชวโรจน์ อยู่บ้านอีกหลังน่ะ อ้อ คุณวิเชียรเขาเป็นลูกชายคนเดียวของคุณย่าดวงฤดี”

พริบพรียังพอลำดับญาติได้โดยไม่สับสน แต่น่าเสียดาย ถ้ามีเด็กสักคนสองคน บรรยากาศภายในคฤหาสน์สูรยกานต์น่าจะเป็นกันเองมากขึ้น

“แล้วทำไมคุณย่าดวงฤดีเขาไม่อยู่บ้านเดียวกับคุณวิเชียรเหรอคะ” พริบพรีตั้งคำถาม ถ้าแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ พอสามีเสียชีวิตก็น่าจะอยู่กับลูกชาย

“อืม คงเพราะท่านอยู่ที่นั่นมาหลายปี สนิทกับคนในบ้านดีอยู่แล้วก็ไม่อยากย้ายไปไหน อยู่บ้านใหญ่สะดวกกว่าตั้งเยอะ มีบริวารให้เรียกหาตั้งหลายสิบคน”

หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ คิดดูแล้งคงไม่มีที่ไหนสะดวกสบายเท่าคฤหาสน์สูรยกานต์อีก

“วันนี้ป้าไม่รู้ว่าจะมีญาติคนอื่นๆ มาเยี่ยมบ้านนั้นหรือเปล่า แต่หลักๆ สมาชิกมีเท่านี้ ธรณ์ไม่มีพี่น้อง”

“เหงาน่าดูเลยนะคะ”

“อืม ธารทิพย์สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง กว่าจะมีธรณ์ได้ก็ผ่านการแท้งมาแล้วสองครั้ง”

ข้อมูลนั้นทำให้พริบพรีปิดปากตกใจ

“หนูควรรู้ไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการทักเรื่องพี่น้องของธรณ์ ธารทิพย์เป็นคนเซนซิทิฟมาก อะไรนิดๆ หน่อยๆ กระทบจิตใจก็อาจจะน้ำตาแตกได้เลย ฉะนั้นเมื่อไปบ้านนั้นแล้ว หนูต้องระมัดระวังคำพูดให้มากๆ กับคุณปู่คุณย่าให้หนูคิดไว้เสมอว่าพวกท่านประเมินหนูอยู่ ส่วนกับธารทิพย์ ต้องคิดไว้ว่าทุกคำพูดของหนูสามารถทำร้ายจิตใจเธอได้”

พริบพรีกลืนก้อนเหนียวหนืดลงคอ เธอพลาดมากที่ตอบตกลงไปบ้านของธรณ์ในวันนี้ เธอควรมีเวลามากกว่านี้ในการฝึกมารยาทและวิธีการพูดกับผู้ใหญ่!

คะน้าตามเจ้านายไปชอปปิงที่ห้างสรรพสินค้าด้วย พริบพรีเลือกชุดที่คิดว่าเหมาะสมและเธอพอใจที่จะสวม ราคาไม่สูงมากนัก แต่ดูดี เธอไม่เสียเวลาเดินเล่นเรื่อยเปื่อย ได้ของที่ต้องการแล้วก็กลับไปเตรียมตัวที่บ้านเพราะคะน้าต้องรีบนำชุดไปซักรีดก่อน

วันนี้ระหว่างทำผมเธอขออนุญาตช่างทำงานไปด้วยเพราะรู้สึกว่าช่วงนี้งานเดินช้า หญิงสาวก้มมองจอคอมพิวเตอร์แทบจะตลอดเวลา เงยหน้ามองกระจกอีกทีผมของเธอก็ถูกรวบเป็นหางม้าแบบต่ำ ปลายผมม้วนเป็นลอนคลื่น ด้านหน้าแทบไม่มีลูกผมตกลงมา 

“รบกวนถ่ายรูปให้หนูหน่อยค่ะ” พริบพรียื่นโทรศัพท์ให้ช่างประจำตัวของเนตรลดา อีกฝ่ายรับไปถ่ายรูปผลงานตนเองด้วยความประทับใจ ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืน 

“มีเมสเซจเข้าค่ะ”

หญิงสาวเปิดดูข้อความจากคนที่ได้ช่องทางติดต่อมาเมื่อวาน แต่เธอยังไม่ได้ติดต่อไป

ฉันรอโคดสีอยู่

‘เอาจริงเหรอเนี่ย...’

พริบพรีรู้ว่าธรณ์ต้องการแค่สีชุดของเธอเท่านั้น แต่การที่เขาใช้คำว่า ‘โคดสี’ ทำให้เธอเกิดนึกสนุก หญิงสาววางโทรศัพท์และค้นหาคำตอบที่ต้องการในคอมพิวเตอร์ ได้คำตอบที่คิดว่าใช่แล้วก็ส่งข้อความกลับไป

#a2c281

อีกฝ่ายหายไปประมาณห้านาที ก่อนจะส่งรูปสีกลับมา 

สีเขียวแบบนี้เหรอ

ถูกต้อง ฉันจะไปในตีมดอกไม้ใบหญ้า

คะน้าเข้ามาในห้องพร้อมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนพอดี ช่วงบนพอดีตัวพริบพรีอย่างกับสั่งตัด ส่วนท่อนล่างเป็นกระโปรงปักลายดอกไม้ หญิงสาววางมือจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดเพื่อจะไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ เมื่อออกมาก็พบว่าคะน้าวางกล่องสร้อยพระจันทร์เสี้ยวไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง พริบพรีเกือบลืมแล้วเชียวว่าต้องใส่ไปด้วย 

ตามปกติสร้อยเส้นนี้ควรต้องสวมในโอกาสสำคัญ ฉะนั้นการสวมสร้อยไปด้วยจะบอกสมาชิกของสูรยกานต์ว่า พริบพรีเห็นความสำคัญของการพบปะในครั้งนี้มากแค่ไหน

ที่กล่าวมาคือความคิดของเนตรลดา หญิงสาวยังคิดไม่ได้ถึงขนาดนั้น...

ธรณ์ส่งข้อความมาบอกว่าคนขับรถของเขาจะมาถึงตอนสี่โมงเย็น แต่ความเป็นจริงแล้วคนขับรถมาถึงก่อนเวลาสิบนาที ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย เพราะการจราจรในตัวเมืองแน่นขนัด 

หน้าคฤหาสน์สูรยกานต์มีบ่อน้ำพุและรูปปั้นเทพบุตรประคองพระอาทิตย์ด้วยสองมือ พริบพรีเดาว่ารูปปั้นนี้สั่งทำพร้อมรูปปั้นเทพบุตรของจันทรกานต์ เพราะมีจุดแตกต่างกันไม่กี่จุด รั้วก็แทบจะลอกเลียนแบบกันมา ความคล้ายคลึงที่เห็นได้ชัดคือมีสัญลักษณ์ประจำตระกูลรูปพระอาทิตย์อยู่ตรงกลางรั้ว

ตัวคฤหาส์ก็ยิ่งใหญ่ไม่ต่างกัน แต่ขณะที่จันทรกานต์ใช้สีเหลืองอ่อน สูรยกานต์ใช้สีขาวสะอาดตัดกับสีน้ำเงินเข้มของหลังคา หน้ากว้างน้อยกว่า แต่สูงกว่า ประชันความหรูหราแบบกินกันไม่ลง

รถเลี้ยวมาจอดหน้าประตูบ้านอย่างพอดิบพอดี คนขับรถบอกพริบพรีว่าเขาจะเปิดประตูให้ เธอจึงนั่งรวบรวมสมาธิอยู่เฉยๆ กระทั่งได้เวลาก้าวเท้าลงจากรถ หญิงสาวพบว่าขาตัวเองสั่นเล็กน้อย สงสัยจะไม่ชินส้นสูงสองนิ้ว แต่ก็ยืนได้อย่างสง่าผ่าเผย

“คุณผู้หญิงลืมกระเป๋าหรือเปล่าครับ”

“โอ๊ะ ใช่ค่ะ” พริบพรีรีบมุดกลับเข้าไปในรถเพื่อคว้ากระเป๋าถือ หมดสิ้นความสง่าในวินาทีก่อนหน้า 

ออกมาจากรถอีกครั้งก็พบชายหนุ่มสวมเชิ้ตพับแขนสีน้ำตาลเข้มกับกางเกงสแล็กสีดำยืนรอต้อนรับ

“สวัสดีครับ คุณดอกไม้ใบหญ้า”

“ไม่ต้องมาแซว ฉันบอกแล้วไงว่าจะใส่สีเขียว แต่เธอ...” พริบพรีชี้เสื้อผ้าของเขา นึกคำไหนไม่ออกนอกจาก “เธอทรยศฉัน!”

“ฉันทรยศเธอเหรอ” ธรณ์เลิกคิ้วสูง มองคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างขบขัน

“เธอบอกเองว่ามีชุดครบทุกสี ฉันก็นึกว่าเธอจะใส่สีเดียวกัน”

“ฉันไม่ได้บอกว่าจะใส่สีเดียวกับเธอ เห็นเธอบอกว่าจะมาในตีมดอกไม้ใบหญ้า ฉันก็เลยคิดว่าเธอขาดลำต้น”

“หา...” พริบพรีสำรวจชุดสีน้ำตาลดำของคนตรงหน้าอีกครั้ง ตามด้วยชุดสีเขียวอ่อนของตัวเองที่มีดอกไม้ประดับกระโปรง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่อยากเชื่อ “เธอคิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ”

“ใช่ ฉันคิดว่าเธออาจจะไม่ได้ต้องการคนที่เหมือนเธอ แต่ต้องการคนที่เติมเต็มเธอได้” ธรณ์ทิ้งรอยยิ้มไว้ให้ ก่อนจะผายมือเชิญหญิงสาวเข้าบ้าน

สาวใช้ของสูรยกานต์ต่างให้ความสนใจแขกในวันนี้ พริบพรีเริ่มชินกับการเป็นที่สนใจราวกับว่าตนเป็นคนโด่งดัง เพราะจนถึงตอนนี้เหล่าแม่ครัวและแม่บ้านของจันทรกานต์เองก็ยังแอบเมียงมองเธอไม่ต่างจากวันแรกที่ก้าวเข้ามา

สมาชิกอาวุโสทั้งสามท่านรอเธออยู่ที่โซฟารับแขก พริบพรีรู้จักทั้งหมดแล้ว เธอค้อมตัวสวัสดีฉัตรอรุณเป็นคนแรก ตามด้วยภิญญาและดวงฤดีตามลำดับ ธรณ์แนะนำชื่อทุกคนเพราะคิดว่าพริบพรียังไม่รู้จักใคร หารู้ไม่ว่าเธอเตรียมตัวมาแล้ว

“นั่งก่อนสิหนู” ภิญญาเป็นผู้เชื้อเชิญ รอยยิ้มเพียงเล็กน้อยที่ประดับบนใบหน้าหญิงชราไม่ช่วยให้พริบพรีรู้สึกเกร็งน้อยลง

“ขอบคุณค่ะคุณย่า”

“พ่อกับแม่ฉันยังไม่กลับมาจากที่ทำงาน น่าจะถึงตอนมื้อเย็นพอดี” ธรณ์แอบกระซิบบอกตอนที่พาเธอไปนั่ง 

ความใกล้ชิดทำให้พริบพรีได้กลิ่นหอม Woody จากร่างสูง เชื่อแล้วว่าเขาเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อจะเป็นต้นไม้ให้เธอ

หญิงสาวอยากถามว่าทำไมวันนี้เขาไม่ไปทำงาน แต่รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาสนใจตารางชีวิตของเขา เธอเบนสายตาไปหาฉัตรอรุณเมื่อท่านเปรยกับภรรยา

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเกิดในรุ่นนี้”

ใช่ เธอก็ไม่อยากเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเธอ!

“ย่ารู้ว่าหนูมีน้องสองคน ไม่พามาด้วยล่ะ” 

เมื่อดวงฤดีถาม พริบพรีก็รีบตอบทันที “น้องหนูยังไม่กลับจากโรงเรียนเลยค่ะ วันนี้น้องสาวมีซ้อมกีฬา น้องชายมีเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ก็เลยกลับเย็นทั้งคู่ ไว้โอกาสหน้าหนูจะพามาแนะนำนะคะ”

“ได้ยินธรณ์บอกว่าคุยกับหนูแล้ว หนูไม่มีปัญหาเรื่องที่จะ ‘ทำหน้าที่’ เพื่อจันทรกานต์ ที่ไม่ได้เลี้ยงดูหนูมา ถูกต้องไหม” 

ฉัตรอรุณสบตาพริบพรี รูปประโยคฟังดูเหมือนจะวัดใจกัน เธอกำลังถูกประเมินความคิดและทัศนคติอยู่แน่นอน

“ไม่มีปัญหาค่ะ หนูเข้าใจว่าหน้าที่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” พริบพรีเกือบพูดถึงเรื่องค่ารักษาของแม่ที่ผูกมัดเธอเอาไว้ แต่นึกขึ้นได้ก่อนว่าถ้าพูดออกไปคงไม่ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของตนนัก

“หนูแน่ใจเหรอว่าจะอยู่กับธรณ์ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพิ่งรู้จักกันวันสองวัน” ภิญญาถามต่อ 

พริบพรีอยากถามกลับเสียจริงว่าถ้าอยู่ไม่ได้แล้วจะยกเลิกทุกอย่างให้เธอไหม ทั้งสามน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรัก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนสองคน ทั้งเธอและธรณ์ปฏิเสธไม่ได้!

แต่คำตอบที่หลุดออกจากปากต้องไปอีกทิศทางหนึ่ง 

หญิงสาวหันไปยิ้มอ่อนโยนให้ชายหนุ่มข้างกาย เขาเลิกคิ้วงุนงงกลับมา

“เท่าที่พูดคุยและทำความรู้จักกัน หนูว่าธรณ์นิสัยดี น่ารัก อยู่ด้วยแล้วผ่อนคลายค่ะ” เธอพูดความจริงทุกอย่าง นี่คือคุณสมบัติของธรณ์ ถ้าเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้เธออาจจะปฏิบัติหน้าที่ได้ยากขึ้น

พริบพรีไม่ทันเห็นว่าธรณ์มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อคำชม เพราะดวงฤดีดึงสายตาเธอไปเสียก่อน

“อยู่ด้วยความเชื่อว่าเป็นคู่แท้ของกันและกัน แล้วทุกปัญหาจะผ่านไปได้ด้วยดี”

“ใช่” ภิญญาเสริม “คิดดูสิ ขนาดพ่อแม่หนูพยายามแยกหนูออกไปเสียไกล หนูก็ยังมาเจอธรณ์ได้”

อืม พริบพรีจะลองเชื่อแบบนั้นดู ถึงแม้เหตุผลนั้นจะเท่ากับว่า การที่แม่เธอมีเหตุให้ต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเพราะฟ้าลิขิตไว้แล้ว...

ครอบครัวเล็กๆ ของเธอคงไม่เป็นที่โปรดปรานของเทพีองค์นั้นสินะ พระองค์ถึงได้โยนช่วงเวลายากลำบากมาให้จนเธอต้องกลับไปซบอกจันทรกานต์

เมื่อพริบพรีเชื่อว่าตัวเองรับมือกับผู้ใหญ่ทั้งสามได้ การพูดคุยก็ง่ายขึ้น เธอพยายามมีสติอยู่เสมอเพื่อไม่ให้หลุดคำพูดแปลกๆ ออกมา ระหว่างนั้นธรณ์พูดอยู่ไม่กี่คำ เมื่อพ่อกับแม่ของเขากลับมาถึงบ้าน เขาก็ขอตัวออกไปรับ

ฉัตรอรุณใช้โอกาสนี้พูดเรื่องสำคัญ

“หนูกับธรณ์เป็นทายาทรุ่นที่เจ็ด รู้หรือเปล่า”

“หนูเพิ่งทราบค่ะคุณปู่”

“เป็นธรรมเนียมที่ทุกรุ่นต้องมีผู้นำ ตอนนี้ฝั่งจันทรกานต์คือดลวัฒน์ คนต่อไปยังไงก็ต้องเป็นเตชน์ ส่วนฝั่งเราคือชวโรจน์ พ่อของธรณ์ แต่คนต่อไป...จริงๆ เราคุยกันไว้ว่าไม่ใช่ธรณ์”

พริบพรีทำหน้าสงสัย ฉัตรอรุณจึงอธิบายให้กระจ่าง

“ปู่มีหลานอีกคนชื่อชนพัฒน์ เขาจะสืบทอดกิจการหลักของสูรยกานต์ ขณะที่ธรณ์แยกออกไปทำงานกับบริษัทพี่ชายแม่เขา เราตกลงกันดีแล้ว แต่การที่หนูเข้ามา ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยน”

“ธรณ์จะต้องเป็นผู้นำตระกูลรุ่นที่เจ็ด และต้องมีบทบาทหลักในบริษัทของเรา เขาน่าจะพอเดาเรื่องนี้ได้ แต่เรายังไม่ได้คุยกันอย่างจริงจัง” ภิญญาว่าต่อ

พริบพรีพอจะเข้าใจสิ่งที่ธรณ์ต้องประสบพบเจอในอนาคตแล้ว ที่ผ่านมาเขาอยู่ในวงการโปรแกรมเมอร์มาตลอดและดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ แต่เมื่อต้องรับหน้าที่แต่งงานกับทายาทของจันทรกานต์ เขาจะสำคัญต่อวงศ์ตระกูลมากขึ้น ภาระหน้าที่นอกเหนือจากการมีภรรยาก็คือต้องบริหารธุรกิจโลจิสติกส์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของสูรยกานต์ พริบพรีคิดว่าเขาน่าจะไม่ถนัด

“เอ่อ ขออนุญาตถามนะคะ ได้เป็นผู้นำกับไม่ได้เป็น มันต่างกันยังไงเหรอคะ”

จบคำถามของพริบพรีทั้งห้องก็เงียบกริบ สีหน้าฉัตรอรุณดูเหมือนจะผิดหวังในสติปัญญาของเธอ

“คือ...หนูคิดว่าถ้าทำตามแผนเดิมแล้วทุกคนสบายใจก็น่าจะดีกว่าน่ะค่ะ” พริบพรีชักจะประหม่า

“หน้าที่ผู้นำมาพร้อมอำนาจ จะไม่มีใครคัดค้านการตัดสินใจได้ เขาคนนั้นจะได้รับมรดกมากกว่าใคร และต้องเป็นตัวแทนวงศ์ตระกูลไปร่วมงานสำคัญต่างๆ” ภิญญาตั้งใจอธิบาย สบตาหญิงสาวที่ไม่รู้ประสาอยู่เสมอ “เราให้เกียรติจันทรกานต์นะ ถึงอยากให้คนที่จะเป็นสามีของหนูได้รับตำแหน่งนี้” 

พริบพรีไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร สำหรับเธอตำแหน่งนั้นไม่มีความสำคัญอะไรเลย แต่มันต้องเปลี่ยนชีวิตของธรณ์อย่างแน่นอน

“เราแค่อยากบอกหนูเอาไว้ ถ้าทางจันทรกานต์มีคำถามเรื่องนี้ ให้หนูตอบได้เลยว่าผู้นำสูรยกานต์คนต่อไปคือธรณ์” ดวงฤดีกล่าวทิ้งท้าย ก่อนที่สามคนพ่อแม่ลูกจะเข้ามาสมทบ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น