บทที่ ๗

บทที่ ๗ ชีวิตการทำงาน

เช้าวันศุกร์ พริบพรีตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมแม่ จึงถือโอกาสติดรถฉกาจไปส่งน้องๆ ที่โรงเรียนก่อน แล้วค่อยเลยไปโรงพยาบาลต่อ อาการของพิรยายังทำให้เธอกังวลเหมือนเดิม มาเยี่ยมกี่ครั้งเธอก็เห็นแม่นอนนิ่งเสมอ หมอบอกว่าในสมองไม่มีก้อนเลือดแล้ว และตามหลักผู้ป่วยควรจะฟื้นภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการผ่าตัด

เนตรลดายกบัตรเครดิตให้พริบพรีใช้จ่ายส่วนตัวรวมถึงค่ารักษาพยาบาลของพิรยา เธอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก่อนจะโทร. บอกธรณ์ว่ากำลังเดินทางไปที่บริษัทของเขาตามพิกัดที่ได้รับมา ก่อนหน้านี้เธอนัดกับเขาแล้วว่าเป็นวันศุกร์ และเขาไม่มีปัญหา

พริบพรีมาถึงที่นัดหมายประมาณเที่ยงวัน ตึกสำนักงานที่บริษัทแอพลาส (Applas) เช่าพื้นที่มีสไตล์โมเดิร์น ตั้งตระหง่านใจกลางเมืองหลวง ด้านล่างมีร้านค้าและร้านอาหาร ทำงานอยู่ที่นี่น่าจะไม่มีคำว่าหาอะไรกินไม่ได้ ปัญหาหลักคงเป็นการไม่มีเวลาลงมากินมากกว่า พริบพรีแวะซื้อคุกกี้เนยสดสองกระปุกติดมือไปด้วย เวลานี้เป็นช่วงพักกลางวัน คนหนาแน่นทั้งในโซนร้านอาหารและภายในลิฟต์

พอออกจากลิฟต์ที่ชั้นสิบสอง หญิงสาวพบธรณ์ยืนรออยู่แล้ว เท่าที่สังเกตพนักงานของบริษัทนี้ไม่เคร่งครัดเรื่องการแต่งตัว ดูสบายๆ แต่ยังอยู่ในกรอบของคำว่าชุดทำงาน และห้อยป้ายพนักงานเอาไว้ตลอดเวลา

“เธอมาตอนพักเที่ยงพอดีเลย” นี่คือคำทักทายของเขา

“รบกวนเวลากินข้าวของเธอหรือเปล่า”

“ไม่หรอก ฉันยังไม่ค่อยหิวเท่าไร เธอกินอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลย ฉันซื้อคุกกี้มาฝากด้วยนะ” พริบพรีหยิบคุกกี้ออกมาจากถุงหนึ่งกระปุกและหย่อนใส่กระเป๋าถือของตนเอง ส่วนอีกกระปุกในถุงเธอยื่นให้ธรณ์

“ขอบคุณนะ” เขารับไปด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะพาเธอเข้าไปดูข้างในก่อน แล้วเราลงไปหาอะไรกินข้างล่างกัน”

“โอเค ได้ แล้วแอพลาสกินพื้นที่ทั้งชั้นนี้เลยเหรอ” พริบพรีเดาอย่างนั้นเนื่องจากเธอเห็นป้ายชื่อบริษัทตั้งแต่เดินออกมาจากลิฟต์ ไม่มีชื่อบริษัทอื่น

“ใช่ ทั้งชั้นเลย ลุงอยากให้มีพื้นที่รีครีเอชันเยอะๆ มันช่วยเรื่องการทำงานดีไซน์ แล้วก็ทำให้พนักงานไม่เครียด ไม่จดจ่ออยู่กับงานมากเกินไป” 

ธรณ์ชี้พื้นที่สันทนาการและมุมทำงานที่ดูผ่อนคลายขณะเดินไปพร้อมๆ กัน ตอนนี้พริบพรีรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังมาเริ่มทำงานที่นี่ และได้พนักงานรุ่นพี่ช่วยชี้แนะว่าอะไรอยู่ตรงไหน

“พนักงานที่นี่มีประมาณกี่คนเหรอ”

“นับรวมที่ทำงานนอกออฟฟิศก็ร้อยกว่าๆ แต่ละเดือนพนักงานจำเป็นต้องเข้าออฟฟิศยี่สิบวัน เวลาที่เหลือเอาไปทำงานนอกสถานที่ได้ แต่มีการประเมินผลที่จริงจังมาก ถ้างานไม่เดิน ต่อให้เข้ามาทำงานทุกวันก็โดนพิจารณาออกได้อยู่ดี ดูนั่น ผู้หญิงคนนั้นชื่อพี่กล้วยไข่ ลูกสาวของลุงฉันเอง” เขาชี้เข้าไปในห้องกระจกซึ่งมีหญิงสาวในชุดทำงานเรียบหรูคนหนึ่งกำลังคุยกับพนักงานของเธออย่างจริงจัง

“ชื่อน่ารักดีเนอะ” พริบพรีมองลูกพี่ลูกน้องของธรณ์ เธอเป็นสาวไฮโซที่ไม่ใช่สูรยกานต์ ออราเวิร์กกิงวูแมนกระแทกตาคนมองตั้งแต่วินาทีแรก

หันมองคนข้างกายก็พบว่ายืนอยู่ใกล้เขามากเกินไป จึงขยับถอยออกมาเล็กน้อย เว้นระยะห่างให้เท่าเดิม

“ชื่อน่ารักแต่นิสัยดุ พนักงานกลัวพี่เขาทั้งนั้น ฉันก็ด้วย” 

แต่เธอกลับถูกธรณ์คว้าข้อมือให้เข้าไปใกล้อีกครั้ง 

“รีบไปเถอะ เดี๋ยวพี่เขารู้ว่าเราแอบมอง” เขาพยักพเยิดไปข้างหน้า 

เดินไปสองสามก้าวพริบพรีก็ดึงข้อมือตัวเองออกจากมืออีกฝ่ายอย่างแนบเนียนที่สุด เพราะไม่ชินกับอาการร้อนวูบวาบบริเวณที่ถูกสัมผัส

ธรณ์เล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าลุงของเขาเคยไปทำงานที่บริษัทต่างชาติ จากนั้นจึงกลับมาเปิดบริษัทพัฒนาแอปพลิเคชันของตัวเองในประเทศไทย กลุ่มลูกค้ามีทั้งห้างสรรพสินค้า ธนาคารและองค์กรใหญ่ๆ อีกหลายแห่ง เวลาผ่านไปจนกระทั่งบริษัทแอพลาสเติบโตคงที่ก็เริ่มมีแอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซเป็นของตัวเอง

พนักงานที่นี่มีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ ระหว่างทางเดินพริบพรีได้ยินบทสนทนาทั้งไทยและอังกฤษ เห็นฝรั่งผมทองสามคนเดินผ่านไป ธรณ์เล่าย้อนไปถึงสมัยมัธยม เขาเรียนโรงเรียนเดียวกับกทลี หรือก็คือพี่กล้วยไข่หน้าดุคนนั้น เขามักเจอเธอในห้องคอมพิวเตอร์เพราะมีความสนใจที่คล้ายคลึงกัน แต่ไม่เคยคุยกันอย่างสนิทสนมสักครั้ง อย่างมากก็ทักกันสองสามคำ

จนวันที่กทลีกำลังจะจบม. หก ธรณ์ให้การ์ดกับของขวัญแสดงความยินดี วันนั้นเธอบอกกับเขาว่า ‘พี่อยากได้นายมาทำงานให้พ่อพี่นะ ไว้เจอกัน’ สายตาสะกดจิตของเธอคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาตั้งใจมาทำงานกับพี่ชายของธารทิพย์

แต่จนถึงวันนี้ธรณ์ก็ไม่ได้รู้สึกสนิทกับกทลีมากกว่าสมัยมัธยม

“มองเผินๆ ฉันคือพนักงานคนหนึ่งในบริษัทของลุง แต่จริงๆ แล้วสิทธิพิเศษก็มีนะ อย่างการพาคนนอกเข้ามาทัวร์ในนี้” ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงพื้นที่นั่งทำงานติดหน้าต่าง ทอดสายตามองวิวกว้างไกลของมหานคร บริเวณนี้มีโต๊ะกับเก้าอี้โซฟาแปดชุด ไม่ไกลนักมีมุมกดกาแฟและตู้กดขนม

พริบพรีคิดว่ามุมนี้ผ่อนคลายที่สุด ยามที่จ้องหน้าจอคอมมากๆ เธอก็มักจะพักสายตาด้วยการมองท้องฟ้าโปร่งโล่ง เวลาอยู่บ้านเธอชอบเงยหน้าขึ้นฟ้า แต่ตอนนี้เธออยู่ระดับเดียวกับท้องฟ้าแล้ว

“ถ้าเธอเบื่อบรรยากาศทำงานที่บ้าน เธอมาที่นี่ได้” ธรณ์หันมาบอก

“แต่ว่าฉันไม่ใช่พนักงานนะ”

“ฉันพาเธอเข้ามาได้ นอกจากที่นี่แล้วก็มีคาเฟข้างล่าง ดาดฟ้าของตึกนี้มีห้องทำงานเหมือนกัน แค่บอกไว้เป็นทางเลือก” 

พริบพรีเริ่มพิจารณาการเปลี่ยนที่ทำงาน ปกติเธออยู่แต่บ้านจนชิน แทบไม่ออกไปไหนเลย

“แต่ว่าตรงนี้กาแฟฟรี ตู้กดขนมฟรี”

“ตู้กดขนมไม่ฟรีนี่” เธอมั่นใจว่าเห็นช่องหยอดเหรียญ

“ฟรี” ธรณ์ยืนยัน “เธอเอาเหรียญฉันไปหยอดไง”

“ว้าว สายเปย์ซะด้วย”

“ไปกินข้าวกันมั้ย” เขาถามหลังจากดูนาฬิกาข้อมือ ไม่ได้กระวนกระวายที่เหลือเวลาพักเที่ยงอีกแค่สิบนาที

“โอเค เธอมีเวลากี่นาที”

“มีเวลาจนกว่าจะกินอิ่ม” 

พริบพรีพยักหน้าช้าๆ เวลาเข้างานอย่างอิสระอาจเป็นสิทธิพิเศษอีกข้อที่ธรณ์ได้รับ ต่างจากพนักงานคนอื่นที่ต้องทำตามระเบียบ ตรงต่อเวลา

ทั้งสองเดินกลับไปที่ลิฟต์ด้วยกัน แต่ก่อนที่ประตูจะเลื่อนปิด มีเสียงตะโกนพร้อมเสียงสับเท้าวิ่งของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

“รอด้วยค่า รอด้วยยย”

ธรณ์รีบกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ ชวัลนุชวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาข้างใน หยุดยืนระหว่างเพื่อนร่วมงานกับสาวแปลกหน้าที่เธอคิดว่ามาจากชั้นอื่น

“โอ๊ย เพิ่งประชุมกับคุณม่วงเสร็จ หิวมากเลย ธรณ์กำลังจะลงไปกินข้าวหรือเปล่า”

ชายหนุ่มมองผ่านไหล่เพื่อนพนักงานตัวเล็กไปสบตาพริบพรีที่ยืนอยู่เงียบๆ แล้วตอบคู่สนทนา 

“ใช่ กำลังไปกินข้าว”

“กินด้วยกันไหม นุชว่าจะกินก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นแห้ง”

“ก็...” เขามองพริบพรีอีกรอบ เธอพยักหน้านิดๆ “ได้สิ แต่เรามากับคนนั้นนะ”

ชวัลนุชหันขวับไปมองหญิงสาวอีกคนในลิฟต์ พริบพรีส่งยิ้มให้

“สวัสดีค่ะ พนักงานใหม่เหรอคะ หรือว่ามาจากฟลอร์ไหน”

พริบพรีส่ายหน้า “ไม่ใช่พนักงานที่นี่ค่ะ”

“แล้ว...” ชวัลนุชมองเธอสลับกับธรณ์เป็นเชิงถามว่าเป็นอะไรกัน 

ธรณ์สบตาพริบพรี ส่งสายตาให้เธอเป็นคนตอบ หญิงสาวพยักพเยิดกลับแทนการบอกว่า ‘เธอก็ตอบเขาไปสิ!’

ลิฟต์แวะจอดรับพนักงานชั้นสาม ขณะนั้นพริบพรีรู้สึกว่าเกิดเดดแอร์นานเกินไปจึงตัดสินใจตอบไปว่า “เพื่อนน่ะค่ะ”

มีเสียงถอนหายใจยาวเหยียดของธรณ์ตามมา แต่ไม่มีใครให้ความสนใจ

“อ้อ ชื่อนุชนะคะ อยู่แอพลาส เพิ่งทำงานได้สี่เดือนเอง”

“ชื่อพริบพรีค่ะ เรียกพริบก็ได้”

“ไม่เคยได้ยินคนชื่อนี้มาก่อนเลยค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ถ้ายังไงขอจอยน์มือกลางวันด้วยนะ ใกล้บ่ายแบบนี้คนอื่นกินข้าวกันหมดแล้ว นุชเพิ่งประชุมเสร็จ”

“ค่ะ ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นใช่ไหมคะ พริบกำลังนึกอยู่เลยว่าจะกินอะไรดี”

สองสาวเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว ชวนกันคุยตลอดทางจนถึงร้านก๋วยเตี๋ยว ส่วนธรณ์เพียงแค่เดินตามเงียบๆ ชวัลนุชเลือกนั่งที่ประจำของเธอซึ่งอยู่ด้านในสุด พริบพรีนั่งลงตรงข้าม โยนการตัดสินใจให้ชายหนุ่มว่าเขาจะนั่งข้างใคร

ธรณ์ดึงเก้าอี้นั่งข้างพริบพรี สั่งอาหารเสร็จก็ลุกขึ้นอีกครั้ง “ไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ”

“มาให้ทันก๋วยเตี๋ยวนะ ไม่อย่างนั้นโดนแย่งหมูแน่” ชวัลนุชพูดทีเล่นทีจริง 

ชายหนุ่มยิ้มบาง วางมือลงบนไหล่ของพริบพรี 

“ฝากเฝ้าหมูให้ด้วยนะ ถ้าฉันกลับมาไม่ทัน”

เมื่อเหลือกันเพียงสองคน ชวัลนุชก็ไม่รีรอที่จะถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างพริบพรีกับธรณ์ด้วยความอยากรู้

“พริบเป็นเพื่อนกับธรณ์มานานแค่ไหนแล้วเหรอ แล้วเป็นเพื่อนสมัยมัธยมหรือมหาวิทยาลัย”

พริบพรีกะพริบตาสองที เธอคิดไปเองหรือเปล่าว่าชวัลนุชดูอยากรู้เกี่ยวกับเธอมากเกินปกติ แล้วเธอจะเป็นเพื่อนที่ไหนของธรณ์ดีล่ะ

“เป็นเพื่อน...ที่บ้าน”

“เพื่อนบ้านเหรอ”

“ก็ไม่เชิง คือครอบครัวของเราสองคนสนิทกัน”

“อ๋อ อย่างนี้ก็น่าจะรู้จักกันมานานแล้วน่ะสิ” ชวัลนุชฉีกยิ้มกว้าง ตาเป็นประกายวับวาว “นุชถามอะไรพริบหน่อย แต่อย่าบอกธรณ์นะว่านุชถาม”

“อะไรเหรอ” 

“ธรณ์เขา...เคยมีแฟนมาก่อนไหม”

เซนส์ของพริบพรีไม่พลาด เธอสังเกตสักพักแล้วว่าชวัลนุชดูตื่นเต้นอารมณ์ดีเวลาได้พูดคุยกับธรณ์ และมีอาการตกใจเล็กน้อยตอนที่เขาบอกว่ากำลังจะไปกินข้าวกับเธอ ในความตกใจมีร่องรอยของความหวาดหวั่นเรื่องสถานะ ผิดวิสัยเพื่อนร่วมงานทั่วไป แถมตอนนี้ยังถามเรื่องแฟนเขาอีก

“เท่าที่รู้ก็ไม่ เขาตั้งใจเรียนมากและไม่สนใจใครเลย ไม่มีใครจีบเขาด้วย”

“อยู่นี่เขาก็ทำแต่งาน ไม่สนใจใครเหมือนกัน” ชวัลนุชทำหน้าบูดบึ้ง 

คราวนี้พริบพรีทนไม่ไหว เธอเองเวลาอยากรู้อะไรก็ต้องการคำตอบชัดเจนโดยเร็วที่สุด

“นุชชอบเขาเหรอ”

คนถูกถามยืดหลังตรง พวงแก้มระบายสีแดงระเรื่อ พริบพรีจึงหันไปสนใจก๋วยเตี๋ยวที่ถูกนำมาเสิร์ฟ ให้เวลาอีกฝ่ายได้จัดการกับความขวยเขินของตนเอง

“เขาก็...น่ารักดีนะ” ชวัลนุชอ้อมแอ้มตอบพลางหลุบตามองชามก๋วยเตี๋ยวแห้ง ยังไม่เริ่มกินแม้ว่าก่อนหน้านี้จะหิวโซจนแทบกินช้างได้ทั้งโขลง

แต่พริบพรีหิว เธอใช้ตะเกียบคีบเส้นเล็กมาเป่าไล่ความร้อนและเอาเข้าปาก เธอกับธรณ์สั่งเส้นเล็กน้ำทั้งคู่ ส่วนตัวเธอไม่ชอบแบบแห้งเพราะเส้นมักจะติดกัน พอจัดการคำนั้นแล้วจึงถามต่อ

“เขาน่ารักยังไงเหรอ”

“ก็...ตอนนั้นนุชเพิ่งเข้ามาทำงาน เรายังไม่ได้สนิทกันมาก มีช่วงหนึ่งที่เขาไปญี่ปุ่น กลับมาแล้วเขามีของฝากให้นุชด้วย” ชวัลนุชตอบด้วยความรู้สึกประทับใจ ยังจำวันที่เขายื่นขนมให้ได้ดี หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะนับตั้งแต่วินาทีนั้น

“แล้วเขาไม่ให้คนอื่นเหรอ”

“ก็ให้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน อย่างที่บอกว่านุชเพิ่งทำงานได้ไม่นาน นุชไม่น่าจะได้ของฝากด้วยซ้ำ แต่เขาเฟรนด์ลีกับนุชมากเลย”

“อืม” พริบพรีเข้าใจดีว่าทำไมชวัลนุชถึงหวั่นไหว ธรณ์เป็นผู้ชายที่ผูกมิตรเก่ง การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเขาสามารถทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเพ้อไปได้หลายเดือน แต่พริบพรียังไปไม่ถึงจุดนั้น

“นุชไม่พูดแล้วดีกว่า เดี๋ยวพริบแอบไปกระซิบบอกเขา” ชวัลนุชเริ่มลงมือกินบ้าง

“ขอถามอีกคำถามเดียวนะ นุชมีแพลนจะจีบเขาไหม” พริบพรีไม่ได้จ้องรอเอาคำตอบ เธออยากให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย ไม่รู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวน

“คงรอดูเขาไปก่อน โพรไฟล์เขาดีจนนุชไม่กล้าจีบเลย”

“จะรอให้เขาจีบนุชเหรอ เขาไม่น่าจีบใครเป็นนะ” เธอออกความเห็น

“ไม่ได้รอให้เขาจีบ รอสัญญาณความรู้สึกจากเขาต่างหาก” ชวัลนุชตอบเสียงแผ่วเบาจนพริบพรีแทบไม่ได้ยิน ก่อนจะพูดเร็วๆ เมื่อหันไปเห็นธรณ์เดินกลับเข้ามาในร้าน “เขามาแล้วๆ”

พริบพรีไม่พูดอะไรต่อ กำลังชั่งน้ำหนักในใจว่าควรบอกชวัลนุชไปเลยดีไหมว่าเธอเป็นอะไรกับธรณ์ คิดไปคิดมาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธรณ์จะดีกว่า อีกไม่นานคนทั้งบริษัทคงรู้ว่าเขาต้องแต่งงาน

ชายหนุ่มนั่งลงข้างเธอ ก้มมองก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้ว ใช้ตะเกียบคีบถั่วงอกขึ้นมา

“พริบพรี ฉันสั่งไม่เอาถั่วงอก”

“อ้าว” พริบพรีก้มมองก๋วยเตี๋ยวที่พร่องไปครึ่งชามของตนเอง “ก็ว่าทำไมมีแต่เส้น ย้ายถั่วงอกมาสิ”

“ให้นุชก็ได้ นุชชอบกิน”

ทั้งพริบพรีและชวัลนุชเลื่อนชามไปหาเขาพร้อมกัน 

ธรณ์นั่งนิ่ง สบตาทั้งสองคน การออกแบบแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนที่สุดกลายเป็นเรื่องง่ายไปเลยเมื่อเทียบกับการตัดสินใจว่าควรยกถั่วงอกให้ใครดี

“เธอชอบถั่วงอกไหม” เขาถามพริบพรี

“เฉยๆ” เธอตอบ

“งั้นก็ให้คนที่ชอบกิน” ธรณ์คีบถั่วงอกไปใส่ชามชวัลนุช

พริบพรีเลื่อนชามกลับมาตรงหน้า สันนิษฐานว่าธรณ์อาจจะมีใจให้ชวัลนุชเหมือนกันถึงได้ยกถั่วงอกให้ บางทีเขาอาจจะไม่รู้ตัว

แบบนั้นก็แย่เลย!

“แล้วนี่คนขับรถเธอกลับไปหรือยัง” 

คำถามจากธรณ์เรียกสติของพริบพรีกลับมา

“ยัง ฉันบอกให้พี่เขาไปกินข้าว ตอนนี้น่าจะกลับไปรอที่รถแล้ว เดี๋ยวกินเสร็จฉันว่าจะกลับเลย”

“เหรอ แล้วหลังจากนี้มีอะไรทำต่อหรือเปล่า”

“ว่าจะอ่านข้อมูลของงานสัมมนาที่ต้องไปเป็นล่ามน่ะ ศัพท์เฉพาะมันเยอะ อ้อ ฉันต้องหาชุดไปงานแต่งรุ่นพี่ด้วย เดรสโคดของงานเขาเป็นสีที่ฉันไม่มีเลย จะไปงานวันมะรืนอยู่แล้วแต่ไม่ได้เตรียมตัวสักอย่าง”

“เธออ่านข้อมูลงานสัมมนาที่นี่ได้ไหม มีไฟล์ดิจิทัลหรือเปล่า”

พริบพรีทำหน้างง แต่ก็พยักหน้า “ไฟล์อยู่ในเมล”

“อืม บอกให้คนขับรถของเธอกลับไปก่อน เดี๋ยวตอนเย็นฉันเสร็จงานแล้วจะพาเธอไปหาชุด ระหว่างนี้ก็นั่งเล่นแถวๆ นี้ ใช้เครื่องพรินต์ของออฟฟิศก็ได้ จะได้อ่านงานง่ายๆ สบายตา”

ข้อเสนอของธรณ์ฟังดูดี แต่พริบพรียังสงสัยตรงที่ทำไมเขาต้องลำบากไปส่งเธอทำโน่นทำนี่ด้วย เหตุผลหนึ่งที่นึกออกคือเขาไม่อยากปล่อยให้เธอกลับบ้านเร็ว คนที่บ้านจันทรกานต์อาจจะไม่พอใจเขาที่ดูไม่สนใจไยดีเธอเลย

คิดได้อย่างนั้นแล้วก็ตอบตกลง โทร. ไปบอกฉกาจให้กลับไปก่อน ฝากแจ้งปู่กับย่าว่าเธอจะกลับพร้อมธรณ์ตอนเย็น เพื่อที่ทางนั้นจะได้ไม่เป็นห่วง

ชวัลนุชแทบไม่มีบทพูดหลังจากนั้น เอาแต่มองทั้งสองคนคุยกันจนกระทั่งกลับขึ้นไปยังออฟฟิศ เธอกล่าวลาธรณ์หนึ่งคำแล้วแยกตัวไปทำงาน ส่วนพริบพรีต้องตามเขาไปพรินต์เอกสารในห้องถ่ายเอกสารที่ไม่มีใครอยู่ โดยใช้คอมพิวเตอร์ของสำนักงานเข้าอีเมลตัวเอง

หญิงสาวนึกย้อนไปถึงตอนที่ธรณ์ชวนเธอมาเยี่ยมชมที่ทำงานของเขา หัวข้อบทสนทนาตอนนั้นคือมีใครมาจีบเขาบ้างหรือเปล่า เวลานี้สิ่งที่เธอสงสัยคือ...เขารู้ตัวบ้างไหมว่ามีคนแอบชอบเขาอยู่

“ธรณ์ คุณนุชเล่าว่าเธอซื้อของจากญี่ปุ่นมาฝากเขา” พริบพรีเกริ่นหลังจากได้รับเอกสาร แอบขอโทษชวัลนุชในใจที่กำลังเปิดโปงความลับของเจ้าหล่อน แต่เรื่องนี้สำคัญต่อพริบพรี เธอไม่ใช่คนนอกที่ควรเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ 

“ใช่ สองสามเดือนก่อน ฉันซื้อฝากแทบทุกคน” ธรณ์ตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก

“แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าคุณนุชคิดยังไงกับเธอ”

“...”

“เธอคงบอกว่าไม่มีผู้หญิงสนใจเธอไม่ได้แล้วละ”

“ฉันรู้” ธรณ์กระตุกยิ้มในแบบที่พริบพรีไม่เข้าใจ “ฉันถึงพาเธอมาที่นี่ไง”

เขายังจำสาเหตุหลักที่ชวนเธอมาที่นี่ได้ ส่วนสาเหตุรองก็คืออยากให้เธอเห็นสถานที่ทำงานของเขา ได้รู้จักชีวิตเขาทั้งที่บ้านและที่ทำงาน รวมถึงคนรอบตัว

พริบพรีเลิกคิ้ว “คือเธอจะอวดว่ามีคนสนใจเธอเหมือนกัน?”

“ฉันไม่ได้จะอวด แค่อยากให้เธอรู้”

“อยากให้ฉันรู้เรื่องคุณนุช? เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าฉันจำไม่ผิด คุณนุชเป็นฝ่ายวิ่งมาขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกับเรา เธอไม่ได้พาฉันไปรู้จักเขาสักหน่อย”

“ฉันรู้ว่าวันนี้นุชมีประชุมกับทีมลีดเดอร์ที่ชื่อคุณม่วง แกชอบนัดประชุมตอนสิบเอ็ดโมง ลากยาวมาจนเกือบหมดเวลาพัก ส่วนใหญ่จะปิดประชุมสิบนาทีก่อนบ่ายโมง และนั่นคือตอนที่ฉันชวนเธอไปกินข้าว”

“หมายความว่าเธอวางแผนไว้แล้วว่าต้องขึ้นลิฟต์พร้อมคุณนุช?” พริบพรีเบิกตาค้าง

“ไม่ใช่ ฉันตั้งใจพาเธอเดินผ่านห้องประชุม แต่ไม่เจอ บังเอิญเจอที่ลิฟต์แทน”

“สรุปแล้วมันก็เป็นความตั้งใจของเธอนั่นแหละ!”

“ก็ใช่” เขายอมรับแต่โดยดี 

“บอกกันตรงๆ ก็ได้นี่ วางแผนทำไมล่ะ”

“ก็นุชเขาไม่เคยบอกฉันตรงๆ ว่าเขาสนใจฉันอยู่ ฉันรู้สึกได้เอง ถ้าฉันบอกเธอว่ามีคนสนใจฉันมันจะดูคิดไปเองหรือเปล่า” ธรณ์ทำหน้าพิลึก วินาทีก็ต่อมาก็แปรเปลี่ยนเป็นเหนื่อยหน่าย 

พริบพรีมองเห็นความผิดหวังในดวงตาของเขาด้วย 

“แล้วเธอก็บอกเขาว่าเธอเป็นเพื่อนฉัน”

“แล้วฉันไม่ใช่เพื่อนเธอเหรอ”

“พริบพรี” ธรณ์เรียกชื่อเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง 

“อะไรล่ะ จะให้ฉันบอกเขาเหรอว่าฉันเป็นว่าที่ภรรยาของเธอ”

“แล้วนั่นเป็นสิ่งที่เธอควรทำหรือเปล่า”

“แล้วเธอไม่พูดเองล่ะ! คนพูดต้องเป็นเธอ ไม่ใช่ฉัน ถ้าเธอไม่อยากให้เขาคิดอะไรกับเธอ ก็แค่บอกเขาไปว่าเธอมีคู่หมั้นแล้ว แค่นี้เอง” พริบพรีไม่วายทำตาเขียวใส่คนตัวสูงที่หวังจะพึ่งเธออย่างเดียว

“ตอนที่ฉันไม่ได้นั่งอยู่ด้วย นุชสารภาพกับเธอเหรอว่าคิดยังไงกับฉัน”

“ก็ทำนองนั้น เขาบอกว่าเขาประทับใจเธอตั้งแต่ตอนซื้อของมาฝาก”

“นั่นเป็นโอกาสที่ดีนะ ที่เธอจะบอกว่าจริงๆ แล้วเราเป็นอะไรกัน”

“อ้าว ใครจะไปรู้ล่ะ เธออาจจะโกรธที่โดนกันท่าก็ได้นี่” 

นัยน์ตาของธรณ์เข้มดุขึ้นมา “เธอคิดว่าฉันคิดอะไรกับเขาเหรอ”

“เคยคิด แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธอไม่ได้คิดอะไรกับคุณนุช ยังไงก็แล้วแต่ การที่ฉันไม่พูดว่าเราเป็นอะไรกันมันไม่ใช่ความผิดของฉันอยู่ดี” ท้ายประโยคพริบพรีกดเสียงต่ำ ธรณ์ควรรู้ว่าเมื่อไรที่เธอหยุดขึ้นเสียงโวยวายและจ้องคู่สนทนาไม่วางตา เมื่อนั้นคือเธอเริ่มโมโหจริงๆ แล้ว

“ฉันไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดเธอ แค่เตือนให้รู้ว่าเธอควรทำอะไร เพราะเรื่องไหนที่เธอแค่รับรู้และปล่อยผ่าน หมายความว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญ” ธรณ์ยกยิ้มเล็กน้อย พริบพรีควรรู้เช่นกันว่าเขาสามารถยิ้มได้ในเวลาที่หงุดหงิดมากๆ

“อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว” หญิงสาวม้วนเอกสารเป็นทรงกระบอกแล้วชี้ไปทางเขา “เธอไม่ได้มองว่าการเคลียร์กับคุณนุชด้วยตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เธอโยนหน้าที่นั้นมาให้ฉัน และถ้าฉันปล่อยเธอก็จะปล่อย ฉันจะรู้สึกยังไงมันก็ไม่สำคัญกับเธอเหมือนกัน ตามนั้นสินะ”

พูดจบพริบพรีก็สะบัดหน้าเดินหนีออกจากห้องถ่ายเอกสารไป ไม่หันไปสังเกตอากัปกิริยาของอีกคนแม้แต่หางตา


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น