9

ตอนที่ 9


พันธนาการบทใหม่

 

การจราจรในย่านชานกรุงไม่ค่อยติดขัดมากนัก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำเขตพนาก็เลี้ยวรถมาจอดในที่ว่างหน้าอาคารที่ว่าการอำเภอ เขามองนาฬิกาบนหน้าปัดรถยนต์นิดหนึ่ง...ยังไม่ถึงเวลานัดหมาย

“เดี๋ยวเข้าไปรอแม่เธอข้างในละกัน”

นวินดาพยักหน้ารับคำชวน แต่พอเข้ามานั่งรอในอาคารที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านจริงๆ กลับอดหวั่นใจไม่ได้ว่าสุดารัตน์จะมาหรือไม่

ถ้าไม่มาจริงๆ จะแก้ตัวกับดอกเตอร์หนุ่มว่าอย่างไร

แอบขบคิดหาลู่ทางไม่ทันไร ประตูกระจกใสของที่ว่าการอำเภอก็ถูกผลักเข้ามา นวินดาหันไปมองอย่างกระตือรือร้น แล้วเริ่มเบาใจที่เห็นเป็นหญิงสาวท่าทางผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว

“มาแล้วค่ะ” หล่อนสะกิดแขนชายหนุ่มเบาๆ พยักพเยิดไปทางผู้มาใหม่เพื่อแนะนำให้รู้จัก

เขตพนาลุกขึ้นยืนพร้อมหล่อน แปลกใจนิดๆ เนื่องจากมารดาของนวินดายังสาวอยู่มาก พอสุดารัตน์หันมาเห็นทั้งคู่ก็ไม่รอช้าที่จะตรงมาหา เขตพนาจึงเปิดฉากทักทาย แต่ไม่ได้ยกมือไหว้เพราะสังเกตว่าอีกฝ่ายน่าจะอายุน้อยกว่าเขา หรืออย่างมากก็รุ่นเดียวกัน

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะ” สุดารัตน์ยิ้มมุมปากนิดๆ ก่อนจะถอดแว่นกันแดดออกจนเผยให้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าคุณจะมาเป็นลูกเขยฉันได้”

เขตพนารู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่าย ยิ่งเห็นแววตาสุดารัตน์เหมือนรู้จักเขาดียิ่งอดแปลกใจไม่ได้ แต่เวลาเดียวกันก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน เพราะตอนที่เขามาลงทุนทำฟาร์มเพาะรักใหม่ๆ สุดารัตน์ได้ย้ายออกไปจากสวนมะม่วงเครือฟ้าแล้ว

แต่ไม่ทันคิดว่าจะไถ่ถามอะไร สุดารัตน์ก็หันไปยิ้มน้อยๆ ให้บุตรสาวเสียก่อน

“เราอย่าเสียเวลากันเลยดีกว่า แม่มีธุระต้องทำต่อด้วย ลูกผึ้งเตรียมเอกสารมาพร้อมหรือยังจ๊ะ”

ลูกผึ้ง? สรรพนามชวนขนลุกนั้นทำเอานวินดาถึงกับตั้งรับไม่ทัน นึกไม่ออกว่ามารดาอยู่ในอารมณ์ไหน ถึงได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือง่ายๆ เพียงชั่วข้ามคืน

เพราะรู้ว่าสามีของหล่อนสืบเชื้อสายมาจากตระกูลผู้ดีเก่างั้นหรือ?

ก็ไม่น่าใช่...สุดารัตน์ไม่น่าจะได้รับประโยชน์อะไรจากการเซ็นยินยอมให้แต่งงานครั้งนี้ และการที่หล่อนอ้างว่าท้องก็น่าจะทำให้มารดามาด้วยภาวะจำยอมมากกว่า

หรือหล่อนจะคาดการณ์อะไรพลาด...นวินดาชักสังหรณ์ใจแปลกๆ แต่ในเมื่อเดินเกมมาไกลขนาดนี้แล้ว อย่างไรเสียคงถอยหลังไม่ได้

 

 

“ยินดีด้วยนะครับ ขอให้รักกันจนแก่เฒ่า มีความสุขมากๆ ครับ” นายทะเบียนยิ้มละไมพลางยื่นเอกสารให้สามีภรรยาคู่ใหม่คนละหนึ่งฉบับ

นวินดาก้มลงดูใบสำคัญการสมรสในมือ หัวใจหวิวโหวงกับพันธนาการบทใหม่ที่ได้รับ เอาเข้าจริงหล่อนไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้หลังจบมัธยมปลายไม่นาน แต่เวลาเดียวกันมันก็เป็นหนทางที่หล่อนเลือกแล้ว

เมื่อสามีหมาดๆ ยื่นมือมาขอเอาไปเก็บไว้ให้ เด็กสาวจึงไม่ลังเลใจที่จะฝากไว้กับเขา บางทีคงเพราะว่าตอนนี้อนาคตของหล่อนเป็นของเขาแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ถอยไม่ได้อีกต่อไป

ครั้นก้าวตามกันออกมาตรงหน้ามุข นวินดาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปหาแม่

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยมาเป็นธุระให้” หล่อนตัดสินใจกระพุ่มมือไหว้ ยอมรับว่าที่ผ่านมาอาจไม่มีความผูกพันอะไร แต่อย่างน้อยๆ การที่แม่ยอมให้ความร่วมมือในการจดทะเบียนสมรสง่ายๆ ก็ทำให้พอจะมองข้ามเรื่องในอดีตได้บ้าง

“ความสุขของลูก แม่ก็ต้องเต็มใจอยู่แล้วนี่จ๊ะ” สุดารัตน์ยิ้มพลางลูบศีรษะบุตรสาว

นวินดาถึงกับสะดุ้งเบาๆ ไม่ได้ยิ้มตอบหรือรู้สึกอบอุ่นแต่อย่างใด ซ้ำยังคลางแคลงใจเสียอีก เพราะไม่รู้ว่าสุดารัตน์จะมาไม้ไหน

“หวังว่าคุณจะดูแลลูกสาวฉันได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ปล่อยปละละเลยเหมือนครั้งที่เคยทำให้ยายขวัญต้องเสียใจนะคะ” สุดารัตน์หันไปฝากฝังชายหนุ่มวัยสามสิบห้าที่บัดนี้มีสถานะเป็นลูกเขยโดยสมบูรณ์ แต่คำพูดเหล่านั้นกลับทำให้นวินดาตงิดใจลึกๆ

ขวัญ?

เด็กสาวไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้มาก่อน ส่วนเขตพนามีสีหน้าแปลกใจ น่าเสียดายที่ไม่ทันได้พูดคุยอะไรต่อ รถตู้วีไอพีแบบเจ็ดที่นั่งก็แล่นมาจอดหน้ามุขเสียแล้ว

สุดารัตน์ยิ้มมุมปากเล็กๆ ก่อนจะหมุนตัวไปยังพาหนะสีดำมันปลาบ

นวินดาตัดสินใจหันไปหาสามี สังเกตว่าดวงตาคู่คมกำลังมองตามหลังอีกฝ่ายเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างในใจ

“รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ”

“ไม่” 

“แล้วทำไมคุณสุดารัตน์ถึงพูดเหมือนรู้จักลุง”

“ไม่รู้สิ” เขาหันมาอธิบายเพิ่มพร้อมยิ้ม “ที่จริงก็คุ้นหน้า แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน”

“งั้นคนที่คุณสุดารัตน์พูดถึงเมื่อกี้...”

“อย่าไปสนใจเลย” เขตพนาพูดแซงขึ้น เพราะไม่อยากนึกถึงคนในหัวข้อสนทนาเท่าไร “กลับบ้านกันเถอะ วันนี้เรายังมีเรื่องต้องทำอีกหลายอย่าง”

ประโยคสุดท้ายของเขาทำเอาเด็กสาวขมวดคิ้วน้อยๆ ความสงสัยก่อนหน้านี้กระเด็นหายออกไปทั้งหมด เพราะนึกไม่ออกว่ายังมีธุระอะไรอีก แต่ไม่ทันได้เปิดปากถาม คนตัวโตกว่าก็ก้าวนำไปที่รถ

“เราต้องทำอะไรต่อเหรอคะ” หล่อนสาวเท้าตามไปติดๆ

เขตพนากดรีโมตรถพลางหันมายิ้มให้ “ย้ายบ้านไง”

คำตอบของเขาทำเอานวินดาชะงัก คิดว่าจะมีเวลาตั้งหลักอีกสักวันสองวัน แต่แววตาระยิบระยับคู่นั้นก็ราวกับจะตอกย้ำว่าได้ยินไม่ผิดจริงๆ

“แต่งงานกันแล้วเราก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ ฉันเคลียร์ตู้เสื้อผ้าไว้ให้แล้ว เดี๋ยวเธอไปเก็บของที่บ้านแล้วก็ย้ายมาอยู่ห้องฉันได้เลย”

ให้ตาย! เขาเป็นหมีขั้วโลกจหรือหมีภูเขาไฟกันแน่ เหตุใดถึงใจร้อนราวกับพร้อมระเบิดพลานุภาพความร้อนแรงใส่หล่อนขนาดนี้

ชายหนุ่มหันไปเปิดประตูรถ แต่เหลือบเห็นคนตัวบางยังเอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง

“ไม่ขึ้นรถล่ะ” 

“เอ่อ...” ภรรยาวัยใสหายใจไม่ทั่วท้อง หวนนึกถึงเรื่องฟินๆ ที่เขาบอกตอนขามาแล้วก็เริ่มปริวิตกไปต่างๆ นานาว่าคืนนี้อาจจะต้องติดปีกนางฟ้าพาเขาบินไปฟินแลนด์แบบกะทันหัน ยิ่งเขาเคลียร์ตู้เสื้อผ้าไว้รอแบบนี้ ยิ่งบ่งบอกให้รู้ถึงความกระตือรือร้นที่จะให้หล่อนย้ายไปอยู่ด้วย “น้ำผึ้งว่า...ที่จริงแล้วเราแยกกันอยู่ก็ได้นะคะ”

“ตลก” เขตพนาหน้านิ่ง ดวงตามีประกายขบขันนิดๆ ยามพยักพเยิดไปยังอาคารที่ว่าการอำเภอ “มีอย่างที่ไหน เพิ่งจดทะเบียนสมรสกันหมาดๆ จะแยกกันอยู่ นี่ถ้าใครได้ยินเข้ามีหวังเข้าใจผิดหมดว่าฉันล่อลวงเธอมาเป็นเมีย”

ทั้งที่จริงๆ แล้วหล่อนเองต่างหากที่ล่อลวงเขามาเป็นสามี!

โธ่เอ๋ย...นวินดาได้แต่แอบละอายใจลึกๆ ก่อนจะพยายามคิดหาทางบ่ายเบี่ยง

“ก็...ระหว่างเรามันเป็นอุบัติเหตุนี่คะ ลุงเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานอยู่แล้ว คืนนั้นลุงกับน้ำผึ้งเมาทั้งคู่ ไหนๆ ก็จำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะงั้นเราควรจะลืมมันไป”

“ไม่” ชายหนุ่มสวนไวเท่าความคิด “ฉันเสียความบริสุทธิ์ให้เธอไปแล้ว ยังไงๆ ก็ไม่เหมือนเดิม”

“โห...” นวินดาถึงกับอ้าปากหวอ มองใบหน้าสามีวัยสามสิบห้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ “รุ่นนี้ยังบริสุทธิ์อีกเหรอคะ”

มุมปากของเขตพนาโค้งขึ้นนิดๆ ดวงตามีประกายวิบวับอย่างยากจะคาดเดาข้อเท็จจริง แต่เอาเข้าจริงหล่อนก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอก

“ขึ้นรถได้แล้ว”

เขตพนาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาดื้อๆ ทำเอานวินดารู้สึกว่าเมฆหมอกแห่งความกังวลค่อยๆ เคลื่อนมาปกคลุมหัวใจอีกครั้ง 

“คือ...น้ำผึ้งต้องดูแลสวน”

“แล้ว?”

“แล้วจะไปอยู่บ้านลุงได้ไง” เป็นข้ออ้างที่ดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้นเท่าไร ตอนนี้นวินดาจึงได้เห็นดอกเตอร์หนุ่มยิ้มเยี่ยงคนถือไพ่เหนือกว่า

“ฉันต้องมาทำงานที่ฟาร์มทุกวันอยู่แล้ว เธอติดรถฉันมาก็ได้”

นวินดาหน้าเสีย...ฟาร์มเพาะรักอยู่ติดกับสวนมะม่วงเครือฟ้าแค่แนวรั้วกั้น หากหล่อนกับเขากำลังเล่นพนันกันอยู่จริงๆ ก็เห็นทีว่าเดิมพันนี้คงมีแค่หล่อนที่เสียหมดตัว!

 

ไม่มีทาง! คนอย่างนวินดาไม่เคยยอมจนแต้มง่ายๆ

หลังจากที่สามีป้ายแดงขับรถมาส่งหล่อนถึงบ้านสวนและเสนอตัวช่วยเก็บข้าวของย้ายเข้าสู่เรือนหอ นวินดาจึงตัดสินใจบอกให้ชายหนุ่มกลับไปตรวจงานในฟาร์มก่อน โดยอ้างว่าหล่อนอาจจะต้องใช้เวลานาน ทั้งที่ความจริงแล้วอยากคิดหาทางหนีทีไล่มากกว่า

แน่ละ! เขตพนาระแคะระคายท่าทีของหล่อน แต่คงเพราะรู้ว่าหล่อนไม่มีทางทิ้งสวนคุณย่าไปไหน เขาถึงยอมตามใจง่ายๆ

‘งั้นเย็นๆ ฉันมารับอีกทีละกัน’

นวินดาพยักหน้ารับรู้ แต่พอดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตกจริงๆ ร่างแน่งน้อยในชุดเอี๊ยมยีนตัวเก่งกลับหยิบรองเท้าผ้าใบสีชมพูหวานมานั่งสวมที่หน้าทางลงบันไดเรือน ก่อนจะขะมักเขม้นอยู่กับการก้มหน้าผูกเชือกรองเท้า

“พี่ผึ้งจะเอาแบบนี้จริงอะ” สมุนน้อยไถ่ถามพลางชะเง้อมองไปยังถนนทางเข้าสวนมะม่วง ใจคอไม่ดีนักแม้ยังไม่ได้ยินเสียงรถเขตพนาแล่นมาจริงๆ ก็ตาม

“แล้วทำไมต้องไม่จริงด้วย” เด็กสาวแย้งพลางลุกขึ้นยืนหลังจากผูกเชือกรองเท้าสองข้างเรียบร้อย มือบางคว้ากระเป๋าเป้ใบเล็กที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นสะพาย ข้างในนั้นมีเสบียงต่างๆ พร้อม ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลต ขนมขบเคี้ยวสองสามถุง นมกล่อง ตลอดจนหนังสือนวนิยายเล่มโปรด “อย่าลืมบอกลุงหมีตามที่พี่สั่ง โอเค้?”

“ยังไม่โอเค” บื้อส่ายหัวดิก ดวงตามีประกายกังวล “พี่ผึ้งแต่งงานกับลุงหมีแล้ว หนีคืนเข้าหอแบบนี้ไม่ขี้โกงไปหน่อยเหรอ”

“น้อยๆ หน่อยไอ้บื้อ ขี้กงขี้โกงอะไร เขาเรียกถอยไปตั้งหลักต่างหาก” นวินดาแก้คำพูดเสียใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นสมุนน้อยกลับไม่รู้สึกแตกต่างจากเดิม “ตกลงตามนี้แหละ ถ้าลุงหมีกลับบ้านไปเมื่อไร บื้อก็ค่อยไปตามพี่ที่รังผึ้ง เข้าใจตรงกันนะ”

ประโยคหลังเด็กสาวพูดเลียนแบบนักธุรกิจเจ้าของบริษัทชาเขียวชื่อดัง ทั้งยังยกมือขึ้นทำท่าโอเคเหมือนที่บื้อชอบทำบ่อยๆ เวลารับปากไปทำภารกิจสำคัญ

สมุนน้อยอาจยังไม่ค่อยเห็นด้วยมากนัก แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ เพราะลูกน้องที่ดีย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งลูกพี่ สุดท้ายจึงได้แต่ยกมือขึ้นทำท่าเดียวกันแกนๆ เพื่อตอบรับ

“เยี่ยม” นวินดาชมเปาะพลางยกนิ้วโป้งให้ ดวงตากลมโตมีประกายระยิบระยับยามนึกถึงแผนการที่วางไว้ และหวังว่าทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยความราบรื่น 

 

“ว่าไงนะ ไม่อยู่?” เขตพนาทวนถาม ดวงตาคมกริบมองลูกสมุนของนวินดาที่ออกมาต้อนรับเขาตรงหน้าเรือนอย่างไม่อยากจะเชื่อ

นวินดาน่ะหรือจะออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกตอนห้าโมงเย็นแบบนี้ ปรกติแล้วหล่อนไม่ใช่คนชอบเถลไถล ตลอดหลายปีที่รู้จักกันมา...หล่อนขออนุญาตย่าออกไปเที่ยวกับเพื่อนแทบนับครั้งได้ เพราะมีอุปนิสัยติดบ้าน ชอบอ่านหนังสือตามมุมสงบมากกว่า

“ครับ” เด็กชายพยักหน้ายืนยัน “เมื่อตอนบ่ายพี่หนูนาโทร. มาชวนพี่ผึ้งไปเที่ยวบ้านที่เชียงราย บื้อก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเหมือนกัน แต่พี่ผึ้งบอกว่าเป็นธุระสำคัญม้ากมาก ยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาวันไหน เลยฝากให้บื้อกับน้าแสนช่วยดูแลสวนแทน แล้วก็...ฝากขอโทษลุงหมีด้วย”

“หนูนา?” เขตพนาพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทของนวินดาที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน ทั้งยังเคยมาเที่ยวเล่นที่สวนมะม่วงเครือฟ้าหลายครั้ง “บ้านเขาอยู่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ”

“พี่ผึ้งบอกว่าย้ายไปอยู่เชียงรายแล้วครับ”

สีหน้านิ่งๆ ของบื้อคงทำให้เขาเชื่ออย่างสนิทใจ หากเพื่อนสนิทของหล่อนโทร. มาวันอื่นที่ไม่ใช่วันนี้ เพราะมันดูบังเอิญเกินไป ยิ่งพอแกล้งจ้องจับผิดนานๆ แล้วเห็นเด็กชายหลบตาวูบ เขตพนาก็ยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐาน

“เหรอ” เขาแสร้งถาม พลางเหลือบมองชั้นวางรองเท้าใกล้ๆ ประตูเรือน และพบว่ารองเท้าผ้าใบคู่เก่งของนวินดาไม่ได้วางอยู่จริงๆ

“ครับ”

“โอเค” ชายหนุ่มเชื่อว่าหล่อนไม่ได้อยู่ในบ้าน จึงตัดสินใจเดินลงบันไดเรือนมา

บื้อถึงกับถอนหายใจโล่ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็หน้าตาตื่น เพราะแทนที่เขตพนาจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ เขากลับก้าวตรงไปทางท้ายสวน

“เฮ้ย! ลุง!” บื้อไม่รอช้าที่จะสาวเท้าตามลงบันไดไป “นั่นลุงจะไปไหน”

เขตพนาไม่เสียเวลาหันมาตอบด้วยซ้ำ เด็กชายร่างจ้ำม่ำจึงได้แต่ยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองอย่างคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไรต่อไป เพราะถ้าเขตพนาจับได้ว่าลูกพี่ของเขาไม่ได้ไปเชียงราย ไม่เขาก็ลูกพี่นี่ละคงต้องถูกจับตีก้นลายสักคน

 

                เท้าน้อยๆ ในรองเท้าผ้าใบสีชมพูหวานก้าวตรงมาหยุดที่ใต้ต้นจามจุรีท้ายสวน ใบหน้าน่ารักเงยขึ้นมองไปยังห้างไม้ค่อนข้างใหญ่ที่ยึดติดอยู่กับกิ่งอันแข็งแรงด้านบน  

ตอนเด็กๆ หล่อนชอบปีนขึ้นไปนั่งเล่นบนกิ่งนั้น เพราะมันใหญ่พอจะเอนหลังนอนมองทัศนียภาพริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้สบายๆ แต่หลังจากเคยเผลอหลับจนพลัดตกลงมาครั้งหนึ่ง หัวหน้าคนงานที่รักและเอ็นดูหล่อนเหมือนลูกหลานจึงมาทำห้างไว้ให้นอนเล่น

ริมฝีปากอิ่มขยับยิ้มก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มปีนป่ายอย่างชำนาญ หากเปรียบหล่อนเป็นผึ้งตัวน้อยๆ ห้างข้างบนต้นจามจุรีก็คงเหมือนรังผึ้งที่ปลอดภัยที่สุด เพราะมีแค่คนสนิทจริงๆ เท่านั้นที่รู้

แต่ปีนได้ไม่ถึงไหน ก็มีเสียงฝีเท้าคนก้าวมาจากทางด้านหลัง แรกทีเดียวนั้นนวินดาคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่แล้วก็ตัวชาวาบเมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มที่คุ้นเคยกันดี

“เพิ่งรู้ว่าเชียงรายอยู่ใกล้แค่นี้เอง”

เด็กสาวหันขวับไปมองอย่างไม่คิดไม่ฝัน ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อตัวเองว่าจะเห็นเขตพนายืนกอดอกอยู่เบื้องล่าง

ให้ตาย! เขามาอยู่ที่นี่ได้ไง

ขณะกำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่นั้น ก็เห็นร่างจ้ำม่ำของเด็กชายวัยสิบสี่ปีวิ่งตามหลังเขามาติดๆ ทำให้หล่อนอดคิดแค้นใจไม่ได้

หน็อย...ไอ้น้องทรยศ!

“บื้อเปล่านะพี่ผึ้ง” เด็กชายร้อนรนยกมือขึ้นโบกเป็นเชิงปฏิเสธทันทีที่เห็นแววตาคาดโทษของนวินดา “บื้อบอกลุงหมีตามที่พี่ผึ้งสั่งทุกอย่างเลย แต่ลุงหมีไม่เชื่อ แถมยังเดินมาที่นี่เองราวกับมีตาวิเศษ”

สีหน้าแหยๆ ของบื้อทำให้แววตาของสาวรุ่นพี่อ่อนลง เอาเข้าจริงแล้วหล่อนเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าลูกสมุนจะกล้าแปรพักตร์ไปเข้าข้างศัตรูง่ายๆ แต่เวลาเดียวกันก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าหากบื้อไม่ได้หลุดปากบอกที่ซ่อนตัวของหล่อนจริงๆ ดอกเตอร์หนุ่มจะมาอยู่ตรงนี้ได้ไง

“แล้วนั่นจะเป็นนารีผลอีกนานไหม”

ราวกับเป็นคำตอบที่ช่วยคลายความสงสัยและทำให้ใบหน้าของนวินดาเริ่มชาคล้ายกำลังจะปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

โธ่เอ๋ย...หล่อนไม่น่าลืมไปเลยว่าตอนอยู่ ม. ๓ เขาคือคนที่มาช่วยแกะสายเอี๊ยมและพาลงจากต้นไม้ ทั้งยังแซ็วหล่อนอยู่นานสองนานว่าเป็นคนดีๆ ไม่ชอบ อยากจะไปเป็นนารีผลในป่าหิมพานต์

บางทีคงเพราะเขาเคยมาแค่ครั้งนั้น หล่อนจึงไม่คิดว่าเขาจะรู้ลึกถึงขั้นว่าที่นี่เป็นหลุมหลบภัยของหล่อน แต่พอตรองดูจริงๆ ย่าเอ็นดูเขาประหนึ่งหลานชายแท้ๆ หากจะเคยพูดให้ฟังบ้างก็ไม่แปลกอะไร

ย่านะย่า! บอกความลับของหลานสาวให้คนนอกรับรู้หมดทุกเรื่องได้ไง

เมื่อไม่ค่อยไว้ใจในท่าทีของหมีภูเขาไฟ นวินดาจึงตัดสินใจปีนหนีขึ้นต้นไม้ไปตั้งหลักก่อน เชื่อว่าหากไม่กลับลงไปง่ายๆ เขาก็คงทำอะไรไม่ได้มาก

“ว้าย!” นวินดาอุทานลั่น นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ คนตัวโตจะก้าวมาดึงหล่อนลงจากต้นไม้ “ลุง! ทำบ้าอะไร ปล่อยน้ำผึ้งเดี๋ยวนี้นะ”

คนตัวบางประท้วง แต่นอกจากหมีภูเขาไฟจะไม่สนใจรับฟังแล้วยังจับหล่อนพาดบ่าอย่างง่ายดาย

“เด็กดื้อไม่รักษาสัญญา ฉันควรทำโทษยังไงดีล่ะ”

นวินดาหน้าซีดราวกับไก่ต้ม นึกไม่ออกว่าเขาจะ ‘ทำโทษ’ หล่อนด้วยวิธีไหน แต่เมื่อร่างใหญ่ๆ นั้นแบกหล่อนก้าวไปตามทางเดินในสวน คนมีชนักติดหลังจึงไม่ยอมให้ความร่วมมือใดๆ

“ปล่อยน้ำผึ้งนะลุง!” ว่าแล้วนวินดาก็เหลือบมองสมุนของหล่อนที่เอาแต่ยืนอ้าปากค้าง ท่าทางเหมือนยังไม่อยากเชื่อว่าดอกเตอร์หนุ่มจะแบกหล่อนออกไปทางถนนราวกับแบกกระสอบข้าวสารได้ลงคอแบบนี้ “บื้อ! เฉยอยู่ทำไมเล่า”

สติสตังของลูกสมุนเพิ่งหวนกลับเข้าที่เข้าทาง สองเท้ารีบก้าวมาดักหน้าดอกเตอร์หนุ่มไว้ 

“ลุงจะทำอะไร ปล่อยพี่ผึ้งเดี๋ยวนี้นะ” ว่าแล้วเด็กชายร่างท้วมก็ทำท่าเหมือนนักมวยเวลาตั้งการ์ดเตรียมรับมือคู่ต่อสู้ “ถึงบื้อจะตัวเล็กกว่า แต่บื้อหมัดหนักนะลุง”

“ใช่ๆๆ” นวินดารีบผสมโรงไปก่อน ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าสมุนของหล่อนไม่เคยต่อยตีกับใคร อย่างมากก็แค่ต่อยลมตอนนั่งลุ้นมวยทางโทรทัศน์กับพวกคนงานเท่านั้น “บื้อเป็นนักมวยโรงเรียนด้วย”

เขตพนานิ่ง ตาพราวระยับยามมองเด็กชายร่างจ้ำม่ำที่วางท่าเหมือนนักมวยอาชีพจริงๆ ติดเสียก็แต่ประกายตาไหววูบนั้นดูประหม่าจนเดาได้ไม่ยากว่าท่าดีทีเหลวแน่นอน

“ไปเก็บเสื้อผ้าลูกพี่บื้อใส่กระเป๋าแล้วเอาไปส่งที่บ้านลุง ถ้าเสร็จภายในสองชั่วโมง เดี๋ยวลุงให้เงินกินขนมห้าร้อย”

การติดสินบนของเขตพนาทำเอานวินดาถึงกับอ้าปากหวอ หันขวับไปมองท่าทางของลูกสมุนที่เอาการ์ดนักมวยลงทันทีทันใด

“หา!” บื้อตาลุกวาวชนิดที่ว่าหากนี่เป็นการ์ตูนก็คงเห็นรูปเหรียญเงินดอลลาร์วิ่งฉิวๆ ในดวงตาอีกฝ่าย “ห้าร้อยเลยเหรอลุง”

หมดกัน! นวินดาอยากเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ แต่เวลาเดียวกันก็ไม่แปลกใจ เพราะบื้อเป็นเด็กเจริญอาหาร ตรงไหนมีของกินอร่อยๆ ก็มีบื้อได้ไม่ยาก อายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ถึงได้รูปร่างจ้ำม่ำกว่าใครเพื่อน

“บื้อ! เห็นเงินห้าร้อยมีค่ามากกว่าพี่แล้วเหรอ”

“เอ่อ...” บื้อกระอักกระอ่วนใจ ลืมไปเสียสนิทว่าจริงๆ แล้วควรปกป้องนวินดามากกว่า บางทีคงเพราะช่วงนี้ปิดเทอมการศึกษา เงินค่าขนมรายสัปดาห์ที่นวินดาเคยให้ติดกระเป๋าไปโรงเรียนจึงถูกลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง พอเห็นเงินก้อนโตๆ เข้าหน่อย เลยเผลอนึกถึงหมูกระทะของโปรดที่ไม่ได้กินมานาน

เด็กชายเผลอเลียริมฝีปากอย่างนึกเสียดายหมูกระทะในจินตนาการ แต่ถ้าเทียบกันแล้วนวินดาเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กๆ อย่างไรเสียเขาก็ต้องเห็นความสำคัญของลูกพี่มากกว่า!

“ลุงอย่ามาติดสินบนเสียให้ยาก” ว่าแล้วเด็กชายก็เริ่มตั้งการ์ดเตรียมเข้าต่อสู้อีกครั้ง “ถึงเงินห้าร้อยจะกินหมูกระทะได้สองครั้ง แต่ถ้าเทียบกับพี่ผึ้งแล้ว เงินของลุงซื้อบื้อไม่ได้หรอกนะ”

“งั้นหนึ่งพัน โอเคมั้ย” เป็นข้อเสนอที่ทำเอาสมุนน้อยถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินหมูกระทะได้สี่ครั้งเลยนะ”

“ครับๆๆ” บื้อเอาการ์ดลงอีกครั้งก่อนยกมือไหว้ “เดี๋ยวบื้อรีบไปเก็บเสื้อผ้าพี่ผึ้งยัดใส่กระเป๋าให้เดี๋ยวนี้เลย”

“ไอ้บื้อ!” นวินดาแผดเสียง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเด็กชายวิ่งนำไปทางเรือนไทยริมน้ำ “ไอ้น้องทรยศ! คอยดูนะฉันจะไล่แกออกจากการเป็นลูกสมุน ต่อไปนี้ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพี่อีกเลย!”

เท้าทั้งสองข้างของบื้อชะงัก หันกลับมาอีกครั้งอย่างกระอักกระอ่วนใจ

ที่จริงแล้วเขาไม่ได้อยากหักหลังนวินดาเสียหน่อย แต่เขาก็แค่เห็นว่าลูกพี่แต่งงานแล้ว มีปัญหาอะไรก็ควรจะหันหน้าคุยกับสามีของลูกพี่ไปตรงๆ มากกว่า

ส่วนหมูกระทะ...ก็แค่ส่วนประกอบนิดเดียว!

“ถ้าไม่ทำตามที่ลุงสั่ง นอกจากไม่ได้กินหมูกระทะแล้ว ลูกพี่ของบื้อจะโดนทำโทษหนักกว่าเดิมด้วย ข้อหาที่ผิดสัญญา”

นวินดาเหวอ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะยังหาเหตุผลมาเกทับคำขู่ของหล่อนเสียได้ ทั้งยังเป็นเหตุผลที่ดูจะมีน้ำหนักมากกว่าความเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ด้วย “ถ้ารักลูกพี่จริงๆ ต้องไม่ส่งเสริมกันในทางที่ผิด เข้าใจไหม”

“ครับ ลุงหมี” บื้อพยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งกลับไปทางเรือนไทยริมน้ำอีกครั้ง

ตอนนั้นเองที่เขตพนายิ้มมุมปาก ตาพราวระยับยามแบกร่างภรรยาวัยใสไปยังรถที่จอดอยู่ริมถนนในสวน ส่วนนวินดาทำได้เพียงดิ้นรนประท้วง รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นนารีผลไปแล้วจริงๆ ถึงได้ถูกอุ้มกลับไปยังวิมานของหมีภูเขาไฟแบบนี้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น