๑
ใจร้าว
ขบวนม้าหยุดลงบริเวณเขตพระราชฐานชั้นนอกของพระราชวังจันทน์ อันเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชวังหน้า
“ถวายบังคมพระพุทธเจ้าข้า”
เหล่าทหารกล้าซึ่งแต่เดิมเคยสังกัดอยู่ยังกรุงศรีอยุธยาถวายความเคารพแด่เจ้าชีวิตคนใหม่โดยพร้อมเพรียง ดวงตานับสิบคู่ต่างหลุบมองเพียงหลังพระบาท จนกระทั่งได้ยินสุรเสียงทรงอำนาจสั่งความ จึงค่อยๆ เหลือบตามองพระพักตร์ แต่ยังไม่คลายความกริ่งเกรงในบารมีของพระราชโอรสองค์ใหญ่ในพ่ออยู่หัวแห่งอโยธยาศรีรามเทพนครองค์ปัจจุบัน
เมื่อความหวังของชาวสยามหวนคืนสู่แผ่นดิน หลังจากตกเป็นองค์ประกันยังกรุงหงสาวดีนานราวแปดปี พ่ออยู่หัวจึงทรงมีรับสั่งสถาปนาพระราชโอรสองค์นี้ขึ้นเป็นพระมหาอุปราชแห่งอโยธยาศรีรามเทพนคร รั้งตำแหน่งเจ้าฟ้าเมืองพระพิษณุโลกสองแคว ซึ่งเป็นหัวเมืองทางเหนือและยังเป็นหน้าด่านสำคัญของกรุงศรีอยุธยา
หากจะเท้าความถึงอดีต กว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาหรือพ่ออยู่หัวองค์ปัจจุบันจะยินยอมสงบศึกกับพระเจ้ากรุงหงสาวดี เมืองสองแควก็ถึงคราวบอบช้ำมากนัก แม้พระองค์จะทรงพยายามต้านทัพเป็นสามารถ แต่กำลังไพร่พลของผู้รุกรานมีมากกว่า กอปรกับครานั้นพิษณุโลกเกิดโรคระบาดซ้ำยังขาดเสบียง การขืนสู้ต่อไปรังแต่จะนำมาซึ่งความเสียหาย ด้วยเป็นรองทั้งพยุหเสนาและศัสตราวุธ พระองค์จึงยอมอ่อนน้อมต่อพ่ออยู่หัวบาเยงนองเพื่อรักษาเมืองสองแควไว้ มิให้ถูกทำลายย่อยยับเฉกเช่นเมืองอื่นๆ
ครั้นกรุงศรีอยุธยาถูกฝ่ายพม่ารามัญโจมตีแตกพ่าย และตกเป็นผู้ปราชัยในการศึกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๑๑๒ พระเจ้าชนะสิบทิศจึงมีพระบรมราชโองการให้ราชาภิเษกสมเด็จพระมหาธรรมราชาขึ้นเสวยราชย์ผ่านพิภพครองบัลลังก์ศรีอโยธาแทน ส่งผลให้ขุนนางเดิมในเมืองพิษณุโลกนี้ถูกถอนกำลังลงไปยังกรุงศรีอยุธยาเสียจนแทบไม่เหลือผู้ใด
บัดนี้พระนเรศจึงทรงมีรับสั่งให้จัดหากำลังพลคนรุ่นใหม่เพื่อทดแทน และยังจัดให้มีการฝึกวิชาการรบตามสรรพวิทยาของพระองค์เอง
“เดินทางขึ้นมาไกลนัก ดูทีคงยังมิได้พักหลับนอน เชิญท่านเจ้าคุณไปพักให้สำราญใจก่อนเถิด ยังมิต้องให้ทหารของท่านเร่งฝึกวิชาในวันนี้ดอก”
สุรเสียงทรงอำนาจรับสั่งเป็นการทิ้งท้าย ก่อนที่พระองค์จะทรงลงมือซ้อมพิชัยยุทธ์กับขุนศึกคู่พระทัยอีกครั้ง
เชิงดาบแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนพาให้เหล่านักรบหนุ่มไม่อาจถอนสายตา หมายใจเป็นแม่นมั่นว่าด้วยพระบารมีในจอมทัพพระองค์นี้จะทำให้กรุงศรีอยุธยาได้คืนความเป็นไทจริงๆ สักครา และเมื่อมีวาสนาได้เป็นข้าราชการใต้ร่มพระบารมีแห่งพระองค์ท่าน พวกมันก็พร้อมที่จะพลีชีวิตรบพุ่งเพื่อนำอิสรภาพคืนสู่มาตุภูมิของตนให้จงได้
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าพระพุทธเจ้าข้า!”
เรือนไม้ทรงไทยหลังใหญ่ปรากฏอยู่ในคลองตา แม้สภาพของเรือนผุพังไปบ้างจากไฟสงคราม แต่ยังโชคดีที่มิได้ถูกเผาทำลายไปเสียทั้งหมด จึงยังพอซ่อมแซมต่อเติมให้กลับคืนคล้ายของเดิมได้
เพียงเห็นร่างท้วมของสตรีที่ชะเง้อคอยอยู่ตรงชานเรือน รอยยิ้มละมุนพลันแต่งแต้มบนมุมปากหยัก ใบหน้าที่มักเคร่งขรึมอยู่เป็นนิตย์จึงดูอ่อนโยนขึ้นกว่าเก่า
“พ่อทัด!”
มือใหญ่วางห่อผ้าและดาบคู่กายลงข้างลำตัวได้ทันท่วงที ก่อนที่ร่างแกร่งจะถูกมารดารวบรั้งเข้าไปในอ้อมอกเสมือนเขาเป็นเด็กชายตัวน้อยในวันวาน
ขุนศึกหนุ่มประนมมือแนบตักอุ่นของบุพการี เห็นน้ำใสที่เอ่อคลอรอบดวงตาของคนเป็นแม่แล้ว กระบอกตาพลันร้อนผ่าวตาม นับแต่เข้ารับราชการยังกรุงศรีอยุธยามาจนบัดนี้ ก็เนิ่นนานเสียเหลือเกินที่เขามิได้มีโอกาสพบเจอครอบครัวของตน
คราแรกที่ทราบความว่าพระพิษณุโลกพ่ายสงคราม ซ้ำยังผจญด้วยไข้ทรพิษระบาด ใจเขาพลันหวาดวิตกด้วยเกรงว่าทั้งบิดาและมารดาจะมีภยันตราย ทว่าโชคดีที่บิดาของเขาเตรียมการรับมือไว้อย่างดี จึงพาคนในเรือนหลีกหนีไปยังบ้านเกิดเดิมของตน ก่อนจะหวนคืนกลับมาเมื่อยามศึกสงบลง
“กราบคุณพ่อคุณแม่ขอรับ”
มืออวบที่มิได้นุ่มเนียนเหมือนครั้งเก่าก่อน ตอกย้ำว่าหลายขวบปีที่ผ่านพ้น ทั้งบิดาและมารดาคงลำบากไม่น้อย แต่บุพการีทั้งสองยังคงมีรอยยิ้มในหน้าให้ได้เห็น
“ไหว้พระเถิดลูก”
ความปีติยินดีกอปรกับความภาคภูมิใจในตัวบุตรชายเพียงคนเดียวทำให้ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางไปตามกาลเวลาไม่อาจถอดถอนไปจากใบหน้าคมเข้มของขุนศึกหนุ่ม
หมื่นสุรเสนา ที่บัดนี้ถูกย้ายสังกัดกรมกองมาสู่กองทหารอาทมาต อันเป็นกองทหารใหม่ภายใต้การปกครองของเจ้าฟ้าวังหน้าองค์ปัจจุบัน ก้มกราบและสวมกอดบุพการีของตนอีกครั้ง รอยยิ้มในหน้าปรากฏขึ้นด้วยความปีติยินดีมิต่างกัน
“แม่เจ้าลงครัวเองตั้งแต่ไก่โห่ สำรับมากมายจนแทบจักเลี้ยงคนได้ทั้งหมู่บ้านเทียวละ”
สิ้นคำเย้าของอดีตขุนนางเก่าพาให้มือป้อมประทับลงบนต้นแขนโดยพลัน เห็นท่าทางกระเง้ากระงอดดุจสาวแรกรุ่นของคู่ทุกข์คู่ยากแล้ว หลวงราชมงคลจึงอดหัวเราะมิได้
“เดินทางมาไกลคงจักเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวนัก ไปอาบน้ำก่อนเถิดลูก แม่จักให้คนอุ่นกับข้าวไว้คอยท่า”
แม่นายของเรือนว่าพลางเร่งรุดไปสั่งความบ่าวไพร่ นายทหารหนุ่มจึงระบายยิ้ม ดวงตารียาวเจือแววอ่อนโยนมองไปรอบเรือนที่เคยร้างราไกล หลังจากต้องรอนแรมไปถึงแดนศัตรูอยู่ราวขวบปี ก่อนจะคืนสู่กรุงศรีอยุธยาเมื่อยามสับเปลี่ยนกำลังพล
แต่นั่นก็ยังมิเทียมเท่าการได้หวนกลับมายังเมืองสองแควแห่งนี้ กลิ่นกองไฟและไอดินที่ลอยปะทะจมูกย้ำชัดว่าเวลานี้เขาได้เหยียบย่างสู่ผืนดินอันเป็นมาตุภูมิแท้จริงของตน ร่องรอยของความดีใจจึงอาบไล้ไปทั่วใบหน้าและดวงตา
“ลูกเปลี่ยนไปมากหนา”
คำเอ่ยเพียงสั้นๆ ของผู้เป็นบิดาทำให้นิลเนตรเฉียบคมผินมองกลับมา จุดกึ่งกลางตาอ่อนแสงสั่นระริก ทว่าเพียงชั่วครู่เท่านั้น
“ติดสุราด้วยใช่ฤๅไม่ ขนาดพ่อนั่งห่างถึงเพียงนี้ยังได้กลิ่น มีเรื่องทุกข์ใจกระไรรึพ่อทัดเอ๋ย”
หมื่นสุรเสนาน้อมรับคำของคนอาวุโสกว่าแต่โดยดี เพียงแต่มิได้อ้างถึงว่าสิ่งใดเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาคอยร่ำสุราอยู่เป็นอาจิณ
ยามนี้สุราเมรัยคงเป็นเกลอที่เข้าใจเขาได้ดีที่สุด เพราะความยอกแสยงที่เกิดขึ้นในอกนั้น ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยมายาวนานเพียงใด เขาก็มิเคยขจัดมันให้หมดไปได้สักครา
หมายใจจะรบพุ่งให้ชีวาวาย ด้วยนอกจากจะเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดินแล้ว ความตายอาจทำให้พ้นห้วงทุกข์ระทมไปได้
หัวใจเจ้ากรรมนี้หนอ ไฉนจึงดื้อดึงได้ถึงเพียงนี้
บุรุษหนุ่มที่ชั่วชีวิตกรำศึกมามากมาย แม้นต้องคมดาบศัตรูยังมิอาจระคายได้เท่าต้องพิษร้ายจากสิ่งที่ใครต่อใครขานเรียกว่า ‘ความรัก’
“เจ้าแน่ใจหนาว่าจักมิให้ข้าแลพี่เพิ่มไปส่ง อีกครู่เดียวก็จักถึงเพลาสับเปลี่ยนเวรยามแล้ว รอประเดี๋ยวมิได้ฤๅ”
เพ็ญเอ่ยถามคนข้างกายด้วยความกังวล ยิ่งเห็นแสงตะวันรางเลือนลงไป หล่อนก็ยิ่งไม่วางใจ แม้รอบข้างจะดูสงบนิ่งเสมือนมิเคยมีศึกสงคราม แต่บ้านเมืองตอนนี้มิใช่ยามปกติ ภยันตรายล้วนมีอยู่ถ้วนทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหล่าทหารจากเมืองเจ้าประเทศราชที่คอยดักฉุดคร่าหญิงเคราะห์ร้ายไปย่ำยี หล่อนจึงยิ่งไม่อยากปล่อยให้สหายเดินทางเพียงลำพัง
“มิเป็นกระไรดอก เรือนข้าอยู่ห่างจากวังจันทน์ไม่มาก เลาะไปทางวัดใหญ่เพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลกเท่านั้น ขอเจ้าอย่าพะวงไปเลย แล้วพบกันวันพรุ่งหนาแม่เพ็ญ”
เมื่อปรางสำทับเป็นหนักแน่น ร่างเล็กจึงไม่กล้าทัดทาน ได้ยินว่าอีกฝ่ายมีสัมภาระที่ส่งขึ้นมาจากกรุงศรีอยุธยาในวันนี้ คงจะเป็นของสำคัญนัก เกลอของหล่อนจึงมีท่าทีเร่งรีบ ดวงตากลมโตเจือแววอาทรมองตามแผ่นหลังเนียนไปจนลับสายตา พร้อมภาวนามิให้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับสตรีที่เพิ่งแยกจากไป
ฟากคนที่กำลังสืบเท้ากลับเรือนนั้นก็เร่งฝีเท้าของตนแข่งกับดวงอาทิตย์ที่กำลังจะพ้นเส้นขอบฟ้า ทว่าไม่อาจทันกาล เพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ท้องฟ้าจึงอับแสงเร็วรี่ ยามนี้จึงมีเพียงคบไต้ในมือที่ถือติดมาด้วยช่วยส่องนำทางให้
ฮูก ฮูก
เสียงนกกลางคืนดังคลอมากับสายลมหวีดหวิว อดคิดมิได้ว่าไฉนวันนี้หนทางรอบกายจึงร้างราผู้คนจนผิดวิสัย ทั้งที่ปกติหล่อนเคยเดินทางในเวลานี้อยู่บ้าง ยังพอมีชาวบ้านที่สัญจรไปมาเป็นเพื่อนร่วมทางด้วย มิได้เงียบวังเวงดังเช่นที่เป็นอยู่
ในขณะที่สองขากำลังก้าวเดิน หางตาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มเบื้องหลัง ปรางจึงสะกดกลั้นความหวาดกลัวไว้แล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ทว่าเหมือนอีกฝ่ายจะดูทีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมันเห็นว่าหล่อนรู้ตัว จึงออกวิ่งประชิดพร้อมตะครุบปากอิ่มไว้ด้วยฝ่ามือหยาบกร้านก่อนเสียงร้องจะเล็ดลอดออกไป
ฟันคมงับเข้ากับฝ่ามือนั้นเต็มแรงจนผู้รุกรานสะดุ้งสุดกาย มันจึงเผลอปล่อยมือออก เป็นโอกาสให้ร่างแบบบางสลัดตัวพ้นจากการเกาะกุม คบไต้ในมือที่บัดนี้สิ้นแสงไฟถูกนำมาใช้เป็นอาวุธป้องกันกาย หญิงสาวจึงยกมันกลับไปยังทิศทางที่ฝ่ายตรงข้ามยืนอยู่ สองเท้าคอยก้าวถอยหลัง เมื่อเห็นว่าห่างมาไกล จึงเตรียมจะออกวิ่งต่อ
แต่มีหรือที่กำลังของสตรีจะต้านทานบุรุษได้ เพราะเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ชายฉกรรจ์ที่โพกผ้าบดบังใบหน้ามิดชิดก็เข้าถึงตัว มือหยาบกระชากปลายผมเสียทีเดียว ร่างทั้งร่างก็ลอยละลิ่วกลับสู่อ้อมอกมันอีกครา
ครานี้อ้ายคนหยาบช้ากอดรัดเสียจนปวดร้าวไปทั่วทั้งตัวประหนึ่งกระดูกจะแหลกสลาย เสียงคำรามต่ำในลำคอฟังแล้วน่าขยะแขยงเหลือทน ปรางจึงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกระทืบเท้าลงไปบนหลังเท้าของมันเสียเต็มแรง พร้อมถองศอกเข้าที่หน้าท้องจนมือหยาบคลายออกอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันได้หลีกหนีตามใจหมาย คราวนี้ชายร่างยักษ์คงโกรธาสุดกำลัง แรงตวัดของฝ่ามือที่กระทบใบหน้าจึงพาให้หล่อนแทบสิ้นสติ
เผียะ!
“ช่วย...ช่วยด้วย”
เผียะ!
แก้มนวลอีกข้างแสบร้อน กลิ่นคาวเลือดอบอวลไปทั่วโพรงปาก ก่อนที่เกศาเงางามจะถูกจิกขึ้นจนดวงหน้าแหงนเงย แสงจากตะเกียงที่อีกฝ่ายถืออยู่สะท้อนให้เห็นแววตากักขฬะดั่งคนกลัดมัน ในยามนั้นความสิ้นหวังพลันครอบคลุมดวงใจ หยาดน้ำตาพาดวงตาพร่ามัวจนบดบังร่างของผู้รุกรานไป คงเหลือเพียงเสียงสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจเมื่อรับรู้ได้ถึงฝ่ามือหยาบโลนที่กำลังปัดป่ายไปทั่วเอวบาง
“ช่วย ฮึก ช่วยข้าด้วย”
เสียงแหบต่ำดังชิดติดใบหู แต่ปรางไม่อาจจับใจความได้ว่าผู้พูดเอื้อนเอ่ยด้วยภาษาใด
แม้ร่างกายจะอ่อนแรงแต่หัวใจยังไม่สิ้นความเพียรพยายาม หล่อนอาศัยจังหวะที่คนบนร่างผละห่างและกำลังจะปลดผ้านุ่งท่อนล่าง กำเศษทรายไว้ในมือ แล้วปาใส่ดวงตาของมันจนได้ยินเสียงร้องครวญครางดุจสัตว์ป่าที่บาดเจ็บ
ร่างแบบบางกระเสือกกระสนที่จะเอาตัวรอดไปจากภัยพาลให้จงได้ จึงข่มใจกลั้นอาการจุกเจ็บตรงหน้าท้องซึ่งเกิดแต่แรงชกของคนที่หื่นกระหายเสียจนหน้ามืดตามัว
ปรางออกวิ่งทั้งน้ำตานองหน้า ก่อนที่ร่างปลิวลมจะปะทะเข้ากับบางอย่างจนเจ็บร้าวไปทั่วทั้งกาย สติสัมปชัญญะสุดท้ายจึงดับลง พร้อมทั้งฝ่ามือที่กำอกเสื้อของผู้มาใหม่ไว้แน่น
ชะตาชีวิตของหล่อนจักมีอันต้องสิ้นลงเช่นนี้จริงฤๅ
น่าอดสูเสียจริง แม่ปรางเอ๋ย...
ความคิดเห็น |
---|