๑๓

๑๓

สายตาที่แปรเปลี่ยน

“ข้าว่าเรายังมีปัญหาอยู่อีกประการหนึ่งเจ้าค่ะ”

คำรำพันจากหน่ายจีทำให้ร่างอรชรละมือจากสิ่งที่กำลังกระทำ ดวงตากลมสวยสบเข้ากับดวงตาเป็นกังวลของหญิงร่างเล็กที่นั่งอยู่เคียงกัน ก่อนที่ถ้อยคำถัดมาจะพาให้ปรางนั้นหน้าเซียวลงในทันที

“ทุกคนที่นี่จำต้องอาบน้ำที่ลำธารทั้งสิ้น หากจักแบ่งเพลากันระหว่างหญิงชาย เป็นฉะนี้ พี่ปรางจักทำเช่นไรเล่าเจ้าคะ”

สิ้นประโยคดังกล่าว มือเรียวจึงยกขึ้นกุมขมับของตน หนักใจดั่งมีหินก้อนใหญ่ทับถ่วง แต่เมื่อตัดสินใจเดินหน้ามาถึงตรงนี้แล้ว ย่อมไม่มีหนทางให้หันหลังกลับ หล่อนจำต้องเร่งหาทางแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในรายวันนับต่อแต่นี้ เพื่อเอาตัวรอดไปพลางก่อน หญิงสาวจึงนิ่งงันไปชั่วขณะเสมือนว่ากำลังใช้ความคิด

มิช้ารอยยิ้มละไมจึงฉายชัดอยู่บนดวงหน้า ชวนให้หน่ายจีนึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาครามครัน เพราะทุกคราที่หญิงผู้พี่มีรอยยิ้มเช่นว่านั้นย่อมมิพ้นเรื่องชวนยุ่งยากใจเสียทุกคราวไป

“ก็อาศัยอาบตอนกลางคืนเอาซี ได้ยินว่านายค่ายมักเมาหัวราน้ำตั้งแต่หัวค่ำเป็นอาจิณ กลับเรือนมาคงมิแคล้วจักหลับเป็นตาย สักยามหนึ่งข้าจึงค่อยลักลอบออกไป พวกทหารเวรยามคงมิรุกล้ำไปถึงลำธารดอก แลค่ายนี้ก็มีหนทางเข้าออกเพียงทางเดียว เฝ้าเพียงหน้าค่ายก็คงจักพอแล้วกระมัง”

แม้ปรางจะสำทับเช่นนั้น แต่หน่ายจียังมินึกคลายใจ ในคืนเดียวกัน หลังจากรั้งรอจนเรือนข้างเคียงดับไฟจนมืดสนิท และแน่ใจดีว่านายค่ายขี้เมาคงไม่คิดหวนคืนเรือน สตรีทั้งสองจึงย่างเยื้องด้วยฝีเท้าแผ่วเบาราวปุยนุ่นปลิวผ่าน โดยจุดหมายปลายทางคือลำธารเย็นใสซึ่งซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังแมกไม้รกชัฏ 

“ข้าจักคอยอยู่มิไกล เผื่อมีกระไรจักได้เรียกหากันได้ทัน แต่พี่ปรางก็เร่งเข้าหน่อยหนา ข้ากลัวว่าจักมีผู้ใดโผล่มา ประเดี๋ยวจักเข้าใจผิดกันไปว่าข้าแลพี่ลอบมาทำเรื่องมิงามในป่านี้เจ้าค่ะ”

ร่างแบบบางหัวเราะเบาๆ เนื่องจากเข้าใจความหมายที่หน่ายจีจะสื่อได้เป็นอย่างดี และคนผู้นั้นที่แม่สาวรามัญอ้างถึง คงไม่พ้นญาติผู้พี่ที่หูไวตาไวเสียยิ่งกว่าอะไร

ปรางพยักหน้าสองสามทีเพื่อให้คู่สนทนาเบาใจ เมื่อหน่ายจีหันหลังเดินจากไป โฉมสะคราญที่จำแลงกายอยู่ภายใต้อาภรณ์ของชายรามัญ จึงถอดรูปของตนออกล้อแสงจันทร์ เรือนผมเงางามแผ่สยายไปตามตามกระแสธารา เมื่อร่างอรชรค่อยๆ ทอดกายลงใต้ผืนน้ำสีมรกตที่โอบล้อมลำตัวเอาไว้ 

ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เพราะแม้อากาศรอบกายจะหนาวเย็น แต่อุณหภูมิของน้ำที่หล่อนแช่ตัวอยู่นั้นกลับอุ่นพอดี ชวนให้มัจฉาสาวนึกอยากแหวกว่ายในท้องน้ำให้ชุ่มฉ่ำใจ

เมื่อดำผุดดำว่ายจนผ่อนคลาย จึงค่อยเคลื่อนกายขึ้นเหนือผิวน้ำ อวลกลิ่นพฤกษาหอมละไมที่ผสานกันไปตามสายลมอ่อนบาง กลีบปากสีหวานพลันคลี่ยิ้มด้วยความพึงใจ

มือนุ่มลูบปอยผมที่ปกระดวงหน้าขึ้นเหนือศีรษะ เกศาดำขลับจึงเรียบลู่ไปกับกรอบหน้าเรียวสวย

พฤกษานารีที่ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งจึงอยู่ในคลองตาของใครอีกคน ที่หาได้รับเทียบเชิญให้เชื้อชมการละเล่นในราตรีนี้ไม่ ผิวกายขาวผ่องระยิบระยับไปด้วยหยดน้ำวาวใส ยามต้องแสงอำไพจากท้องนภายิ่งเสริมให้ผู้มาใหม่ไม่อาจถอดถอนสายตา สองขาจึงขยับเข้าหา หากมิได้รุกล้ำไปถึงอาณาบริเวณที่โฉมงามนั้นจับจอง

ฟากคนที่กำลังเพลิดเพลินกับสายธาราจึงหลงลืมไปว่ายามนี้ควรต้องระวังตน ใบหน้าพริ้มเพราผินมองไปยังแมกไม้หนาทึบ จนกระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคยขานเรียกชื่อของตน ดวงตาทั้งสองจึงเบิกโพลงก่อนจะห่อกายลงใต้ผืนน้ำด้วยความตกใจ

“แม่ปราง...”

ท่อนแขนเรียวเสลายกขึ้นบดบังกายาเป็นเชิงระวังภัย สายตาคอยสอดส่องหาคนที่บอกว่าจะคอยอยู่ไม่ห่าง แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของแม่สาวรามัญร่างเล็กให้ได้เห็น เพราะสิ่งที่ปรากฏต่อหน้ากลับกลายเป็นร่างกำยำของนายทหารหนุ่มที่ไม่คาดฝันว่าจะได้พบกัน ณ ที่แห่งนี้ วิญญาณของหญิงสาวจึงแทบปลิดปลิวไปจากสรรพางค์

“คุณพี่...!”

แสงสว่างจากพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญตกกระทบยังใบหน้าคมคร้าม หญิงสาวที่หน้าถอดสีจึงเร่งพาร่างกายไร้อาภรณ์ห่อหุ้มของตนดำลงสู่ท้องน้ำ แล้วเหลือไว้เพียงส่วนศีรษะเท่านั้นที่ลอยคอประสานสายตากับชายหนุ่มที่ยืนจังก้าอยู่บนผืนดิน ก่อนฝ่าเท้าเปลือยเปล่าจะเหยียบย่ำเข้ากับบางสิ่ง เสียงหวานจึงร้องอุทธรณ์ออกมา

“โอ๊ย!”

“แม่ปราง!”

ไวเท่าทันความคิด เพราะหมื่นสุรเสนาไม่เพียงแต่ขานเรียกชื่อของแม่นางไม้ซ้ำสอง แต่กลับพาร่างหนั่นแน่นโจนจ้วงลงสู่สายนที ครั้นได้ยินเสียงหวีดร้องของร่างงามระหงที่เร้นกายอยู่ใต้ผิวน้ำนั้น

ปรางจึงเร่งกระถดกายห่างก่อนที่อีกฝ่ายจะประชิดถึงตัว หากแต่ไม่ทันความว่องไวของนายทหารหนุ่มที่โอบรั้งเอวบางเข้าแนบชิด หญิงสาวจึงอยากแสร้งหมดสติลงให้รู้แล้วรู้รอดไป

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...แผลที่แขนเจ้าหายดีแล้วฤๅ ไยจึงลงเล่นน้ำเช่นนี้ได้ แลเมื่อครู่เจ้าเจ็บตรงที่ใด ข้าจักช่วยดูให้...อื้อ”        

เพราะความลืมตัวทำให้บุรุษหนุ่มเร่งพลิกร่างอรชรไปมา พร้อมไต่ถามยืดยาวอย่างรัวเร็ว ทว่าสตรีในอ้อมแขนนั้นยังคงขืนตัวเองไว้ ซ้ำยังซุกซ่อนเรือนกายไว้ใต้ท้องน้ำสีทึบ

มือเรียวยกขึ้นปิดหน้าปิดตาของคนตัวโตกว่าเป็นพัลวัน เมื่อเห็นเขาทำท่าจะมองต่ำลงกว่าบ่าลาด เมื่อนั้นคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำกิริยาไม่บังควรจึงเอ่ยคำขอโทษออกมา พร้อมดวงหน้าและใบหูที่แดงก่ำดั่งคนเสียการควบคุมตนเอง

“ข้ามิเป็นกระไรเจ้าค่ะ คุณพี่หลับตานะเจ้าคะ ข้าจักขึ้นฝั่งก่อน ห้ามลืมตาเด็ดขาดนะเจ้าคะ!”

เสียงหวานขู่ฟ่อชิดปลายคางบึกบึน ด้วยกระแสธาราพัดพาให้สองร่างขยับชิดติดกัน ราวกับจะกลั่นแกล้งคนสะเทิ้นอาย และท้าทายขีดความอดทนของคนที่ถูกปิดประสาทการรับรู้

คงเหลือเพียงจมูกเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมกรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากกายสาว แก้มสากจึงเห่อร้อนขึ้นอีกครั้ง อาการเมามายที่มีสร่างไปนับแต่ได้เห็นใบหน้าพริ้มเพราเต็มสองตา เพราะเขาไม่คิดว่าคนที่หลีกหนีไปจากเมืองสองแคว จะมาปรากฏกายอยู่ที่นี่ 

ปรางรั้งรอจนมั่นใจว่านายทหารหนุ่มจะไม่ผิดสัจวาจา แล้วจึงค่อยสาวเท้าขึ้นเหนือฝั่งพร้อมสวมใส่เครื่องแต่งกายชุดใหม่ ทั้งที่มิได้เช็ดความเปียกชื้นบนลำตัวให้แห้งสนิทดีนัก หญิงสาวตั้งใจจะอาศัยจังหวะที่ร่างกำยำนั้นหลับตาอยู่ หลีกหนีกลับที่พักแรมของตน แต่เหมือนประสาทสัมผัสของนักรบนั้นจะทำงานได้อย่างไร้ที่ติ เพราะเสียงทุ้มดังขึ้นแหวกความเงียบงันยามราตรี ตามมาด้วยเสียงสืบฝีเท้าขึ้นจากผืนน้ำ ที่ทำให้ร่างแบบบางรู้ว่าตนเองหมดทางหลีกหนีเสียแล้ว

ข้อมือเรียวถูกฉุดกระชากโดยปราศจากถ้อยปราศรัย ก่อนที่สองขาจะก้าวเดินตามไป โดยที่ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางครั้งนี้อยู่ที่ใด ดวงตาจึงกวาดมองรอบกาย แม้ตนเองจะอยู่ในภาวะคับขัน หากยังนึกห่วงกังวลต่อแม่รามัญตัวน้อยที่หายตัวไปโดยไร้ซึ่งคำบอกกล่าว ซ้ำยังไม่รู้ว่าจะเกิดภยันตรายใดแก่เจ้าหล่อนหรือไม่

“มีเรื่องกระไรฤๅขอรับหมื่นท่าน”

ระหว่างที่กำลังยื้อยุดกันนั้น นายทหารคนหนึ่งในสังกัดของหมื่นสุรเสนาพลันสับฝีเท้าเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ ร่างสูงจึงดันร่างผอมบางให้หลบเร้นอยู่เบื้องหลังเรือนกายตน หมายอำพรางไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เห็นแม่นางไม้สาวที่ผมเผ้ายาวสยายเกินชายชาตรี ทั้งที่ภายในใจนึกตำหนิแม่คนหัวรั้นที่ริอ่านกระทำการโดยไม่คิดระวังตน

“ไม่มีกระไร ข้าเพียงอยากจักสอบความบางอย่างกับอ้ายรามัญผู้นี้ เอ็งไปพักเถิดอ้ายมิ่ง”

นายมิ่งชะโงกหน้ามองคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ครั้นเห็นดวงตาคมดุของผู้เป็นนายจึงสะดุ้งรับ แล้วเร่งถอดถอนสายตาอยากรู้อยากเห็นของตน ก่อนจะอ้างถึงเกลอรักอีกคนที่ผลุนผลันจากไป พาให้มันต้องรับหน้าที่นี้แทน

“ขอรับ...กระผมเพียงนำผ้านุ่งมาให้หมื่นท่านได้ผลัดเปลี่ยนตามคำของอ้ายสังข์ มิรู้ว่ามันเร่งร้อนไปที่ใด พิลึกคนนักเทียว”

“ช่างมันเถิด รีบพักเอาแรงเสียดีกว่า ข้าเองก็จักกลับเรือนตนดุจกัน”

มือใหญ่ตบบ่าของคนอ่อนอาวุโสกว่า รั้งรอจนนายมิ่งพ้นไปจากอาณาบริเวณ มือแกร่งที่กำรอบข้อมือเรียวเสลาพลันออกแรงกระตุกซ้ำ จนคนที่แอบอิงแนบแผ่นหลังกว้างทั้งใจสั่นระรัวแทบจะเสียหลักเซถลาตาม ปรางจึงขึงตามองคนป่าเถื่อนเป็นเชิงตำหนิ

“ส่วนเจ้า...มากับข้า!”

“ก็ข้าบอกแล้วอย่างไร ว่าเพียงมาลงทุ่งเท่านั้น จักถามเอากระไรหนักหนา ฤๅจักฟังภาษาคนมิรู้ความ!”

เสียงตวาดแหวของร่างเล็กที่ปรางนึกพะวงนั้น ดังขึ้นอยู่อีกมุมหนึ่งเหนือลำธาร ด้วยถูกชายใจทรามลากตัวออกมาจากจุดพักคอยอย่างอุกอาจ

“บ๊ะ! ปากดีนักนางวอกผู้นี้ มาลงทุ่งกระไรไกลถึงชายป่า แถวเรือนเจ้าก็มีที่ทาง ค่ำมืดดึกดื่นเพียงนี้ ออกมาไกลถึงที่นี่ ข้าว่ามีพิรุธยิ่งนักฤๅจักลอบนัดพบชายใด มิอายเจ้าป่าเจ้าเขาบ้างรึเจ้า!”

หน่ายจีอ้าปากค้างกับข้อสันนิษฐานของคู่สนทนา และดูทีว่าคืนนี้คงจะไม่สามารถพูดจากันให้รู้ความ ร่างเล็กจึงสะบัดหน้าหนี แล้วทำทีจะเดินจากมา แต่นายทหารหน้าคมกลับถือวิสาสะฉุดรั้งท่อนแขนเอาไว้ ดวงตากลมโตจึงตวัดมองพลางขืนกายออกห่าง แล้วปัดมือบริเวณที่ถูกแตะต้องอย่างอุกอาจโดยไม่สงวนอาการว่ารังเกียจสัมผัสนั้น

“โอ้โฮ ดูทำท่าเข้า คิดว่าอ้ายสังข์ผู้นี้พิศวาส แลอยากแตะกายเจ้ามากนักซี แม่ลิงค่างหน้าขาว สวยเทียบสาวๆ ของอ้ายสังข์มิได้แม้แต่สักคน อย่าสำคัญตัวเองผิดไปเลยหนา”

“อ้ายคนปากมอม ถ้าคืนนี้ข้าเอาเลือดจากปากเอ็งมาล้างเท้าข้ามิได้แล้วละก็ อย่าเรียกข้าว่านางหน่ายจีเลย!”

สิ้นคำนั้น ร่างน้อยจึงถลันเข้าหาชายตรงหน้า พร้อมกำปั้นที่ยกขึ้นเหนือหัวหมายจะซัดเข้าตรงมุมปากของคนปากมากสักที แต่ยังไม่ทันเข้าถึงตัวดี ข้อมือบางก็มีอันต้องถูกหักลงจนเสียงกังวานใสต้องร้องโอดโอยออกมา แม้ว่าทหารกล้าจะไม่ได้ออกแรงมากมายถึงเพียงนั้นสักนิด

“เจ้ามันคนใจทราม คิดแต่จักใช้กำลังรังแกสตรีที่มิมีทางสู้!”

กลีบปากสีเรื่อพร่ำพูดคำผรุสวาทไม่ขาดสาย ดวงตาวาววับมองจ้องใบหน้าคมคาย หากแฝงไปด้วยความอ่อนหวานดุจอิสตรี เพราะแพขนตางามงอนที่ล้อมรอบดวงตาโชนแสงคู่นั้นเอาไว้ ทว่าหน่ายจีไม่มีเวลาพิจารณารูปโฉมของขุนศึกชาวสยามมากนัก ความชิงชังในตัวนักรบที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจยิ่งตอกย้ำให้ร่างเล็กฮึดสู้ มิช้ามือหนาที่กำรอบข้อมือจึงค่อยคลายออก พร้อมหมัดลุ่นๆ จากมืออีกข้างของสาวเจ้าที่ชกเข้าเบ้าตาของนายสังข์พอดิบพอดี 

“อูย หมัดหนักฉิบหาย แตกไหมวะ ตาข้า...”

หน่ายจีแค่นหัวเราะเบาๆ เห็นผลงานของตนแล้วกลีบปากสีเรื่อจึงคลี่ยิ้มออกมา ก่อนที่เอวอ้อนแอ้นจะถูกวงแขนแกร่งตวัดรัดแล้วกระชากกายบางเข้าแนบลำตัว

ไอร้อนจากร่างกายของบุรุษเพศทำให้ดรุณีแรกรุ่นที่มิเคยใกล้ชิดเพศตรงข้ามมาก่อนเบิกตาโพลง ทั้งหวาดกลัว และนึกอยากเอาชนะไปพร้อมๆ กัน จึงออกแรงดิ้นให้ตนเองหลุดพ้นจากการเกาะกุม

“บังอาจประทุษร้ายร่างกายทหารแห่งกรุงศรีฯ รู้ฤๅไม่ว่าโทษทัณฑ์เป็นเยี่ยงไร แม่รามัญ!”

ใบหน้าจิ้มลิ้มเชิดขึ้นราวกับจะท้าทาย แสงจันทร์จึงสาดส่องสะท้อนความงามพิสุทธิ์ดุจดอกบัวแรกแย้มสู่นัยน์ตาของภมรหนุ่ม ชวนให้ดวงตาคู่คมพร่ามัวไปชั่วขณะ พร้อมใจชายที่เต้นระรัว

ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ เท่านั้น ก่อนที่นายสังข์จะเร่งสลัดศีรษะของตนแล้วมองจ้องแม่คนมากฤทธิ์เป็นเชิงคาดโทษ

เพราะแม้กำปั้นน้อยจะไม่ได้มีแรงกำลังเทียบเท่าบุรุษ และไม่อาจระคายกายาของนักรบหนุ่มได้ แต่ก็ทำให้ศักดิ์ศรีที่มีสั่นคลอนไปไม่น้อย ด้วยไม่เคยมีสตรีนางใดปฏิบัติกับเขาเช่นนี้มาก่อน ชายหนุ่มจึงไม่ยอมลดราวาศอก หมายใจว่าถ้าไม่ได้สั่งสอนให้แม่นางต่างด้าวผู้นี้หลาบจำ เขาคงนอนมิหลับไปอีกหลายคืนเลยทีเดียว

ใบหน้าคมคายเคลื่อนเข้าแนบชิด ยิ่งเห็นหญิงสาวหดคอหนีซ้ำยังหลับตาแน่น นายสังข์ก็ยิ่งลำพองใจ หากมิช้า ท่าทีของนวลนางในอ้อมแขนจึงแปรเปลี่ยนไป จากที่ต่อต้านขัดขืนจึงกลายเป็นการสนองรับอย่างไม่ประสีประสา ฟากคนที่เจนจัดในสนามรักด้วยผ่านอิสตรีมาจนมากล้นประสบการณ์จึงได้แต่นึกฉงนใจ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คิดทัดทาน นายทหารหนุ่มจึงคิดปล่อยเลยตามเลย 

ปลายจมูกจรดชิดพวงแก้มนิ่มนวล อวลกลิ่นแป้งร่ำโชยชายจากผิวกายผ่องพรรณ เป็นกลิ่นร่ำที่มิคุ้นเคย นายสังข์จึงเผลอตัวโอบประคองเอวอรชรเข้าแนบชิด รับรู้ได้ถึงมือน้อยที่ลูบไล้อยู่บนหน้าท้อง อารมณ์ที่หลบเร้นอยู่ใต้จิตสำนึกจึงค่อยๆ ปะทุขึ้นตามความหวามไหว มือใหญ่ดันร่างในอ้อมแขนชิดติดโคนต้นไม้ พร้อมคำกระซิบชิดใบหูนวลเกลี้ยง

“ร้ายกาจมิเบาหนา...แล้วมาหลอกให้ข้าตายใจว่าเจ้านั้นใสซื่อ...อุ่ก!”

จากเสียงหอบกระเส่าผันเปลี่ยนเป็นเสียงคำรามอย่างเจ็บจุก เพราะเข่ามนที่กระแทกเข้ากับกล่องดวงใจเสียเต็มแรงโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างสันทัดจึงผละห่างจากมา แล้วทรุดตัวลงกับพื้นพสุธาพร้อมกอบกุมส่วนสำคัญในร่างกายของตนเองเอาไว้

แม่รามัญตัวแสบที่เห็นท่าทางเช่นนั้นจึงหัวเราะลั่นด้วยความสาแก่ใจ มองหน้าแดงสลับเขียวของคนที่นอนคุดคู้อย่างหมดสภาพพลางแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ แล้วจึงช่วงชิงจังหวะนั้นสับฝีเท้าจากมา ก่อนที่คนตัวโตกว่าจะหวนกลับมารังแกตนได้อีก

“สมน้ำหน้า อ้ายคนวิตถาร!”

พั่บ!

เสียงประตูกระทบเข้ากับข้างฝาทำคนที่ถูกฉุดกระชากให้เดินตามมาจนถึงเรือนพักนั้นสะดุ้งรับ ร่างแบบบางถูกเหวี่ยงทีเดียวก็ปลิวหวือไปยังกลางห้องคุ้นตาที่หล่อนจำได้ว่าตนเองเป็นคนเก็บกวาดให้

ครั้นระลึกได้ว่านายค่ายที่คนกล่าวถึงคือร่างสูงที่ยืนอยู่ต่อหน้า ปรางจึงได้แต่นึกประหลาดใจในโชคชะตา ด้วยไม่คิดว่าสุดท้ายแล้ว หล่อนและเขาจะได้หวนคืนกลับมาพบกันอีก ซ้ำยังเป็นสถานที่แห่งนี้เสียด้วย

สาเหตุที่เขาหายหน้าไปโดยไม่คิดร่ำลา กอปรกับข้อราชการสำคัญที่คุณป้าทับทิมอ้างถึง คือเรื่องนี้เองดอกฤๅ

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร ผู้ใดพามา แลคิดสิ่งใดอยู่จึงกระทำการเยี่ยงนี้!”

คำถามที่รัวติดกันจนแทบไม่เว้นจังหวะหายใจนั้น ทำให้ปรางชะงักนิ่ง เนื่องจากไม่รู้ว่าควรตอบถ้อยวาจาเหล่านั้นอย่างไร กลีบปากสีเรื่อจึงขบเม้มเข้าหากัน ซึ่งดูทีว่าจะไม่ทันใจคนที่รอฟัง สายตาที่มองจ้องมาจึงเต็มไปโทสะ ก่อนที่กายกำยำจะสืบเท้าเข้าหา คนที่พยายามหลีกหนีจึงจำต้องเงยหน้าประสานสายตา เมื่อถอยห่างจนแผ่นหลังชิดฝาเรือน

“จักใส่ใจไปไยเจ้าคะ ขอเพียงต่างคนต่างอยู่ แลข้าจักมิรบกวนให้คุณพี่ต้องระคายใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วมิใช่ฤๅ”

เสียงหวานตอบกลับ โดยมิได้ประชดประชันแต่อย่างใด ทว่าคนฟังคงตีความเจตนาหล่อนเป็นอื่น เพราะร่างสูงตวาดกร้าวจนปอยผมที่ปรกระหน้าผากปลิวไสวไปตามเสียงก้องกังวานนั้น

“ข้าเพียงมิอยากถูกจับแต่งงานโดยไม่เต็มใจ จึงคิดหนีมา ครานี้คุณพี่จักตำหนิอันใดข้าอีกฤๅเจ้าคะ”

ปรางตอกกลับ เริ่มจะมีโทสะขึ้นมาบ้างดุจกัน ไฉนหล่อนจำต้องยอมให้เขากระทำกิริยาป่าเถื่อนใส่กันเสมอไป ทั้งที่คราวนี้เรื่องที่หล่อนตัดสินใจกระทำ หาได้เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่สักนิดไม่ แล้วเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนไปเพื่ออะไรกัน

นอกจากเขานั้นปรารถนาจักให้หล่อนออกเรือนเสียให้สิ้นไป จักได้มิต้องคอยกวนใจเขาได้อีก

เมื่อคิดได้เช่นนั้น มือเรียวจึงผลักอกกว้างจนคนที่ไม่ทันตั้งหลักเซถลา ดวงตาวาววับจึงตวัดมองตอบรับการกระทำ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยวาจาเสียดแทงหัวใจ เพราะเรียวปากของคนที่ประทุษร้ายร่างกายนั้นชิงพร่ำพูดออกมาเสียก่อน

“ก็ได้เจ้าค่ะ หากคุณพี่ปรารถนาจักให้เป็นเช่นนั้น ข้าจักกลับไปออกเรือนทั้งที่มิเต็มใจ จักกระทำตามคำของผู้ใหญ่ แลยินยอมตบแต่งไปบำรุงบำเรอออกหลวงผู้นั้นแต่โดยดี!”

คราวนี้จึงเป็นคำประชดประชันที่ปรางตั้งใจพูดมันออกไป แล้วจึงกระแทกไหล่กว้างที่ขวางทางอยู่เพื่อหลีกหนี กระบอกตาสองข้างร้อนผะผ่าว ทั้งที่บอกตนเองว่าจะไม่ยอมเสียน้ำตาต่อหน้าชายใจร้ายผู้นี้อีก แต่ดูทีว่าร่างกายนั้นจะมิยอมรับฟัง

ก่อนที่เอวบางจะถูกวงแขนกว้างตวัดรัดร่างเข้าแนบชิด หญิงสาวจึงดิ้นขลุกขลักไปมาดั่งไม่ยอมจำนน แรงพยศของคนที่กำลังโกรธาจึงมากล้นเสียจนชายหนุ่มแทบต้านรับไม่ไหว ยื้อยุดกันอยู่ชั่วขณะจนกระทั่งซวนเซลงไปบนฟูกนุ่มด้วยกัน พร้อมเสียงหวีดร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนกของร่างอรชรในเครื่องแต่งกายเฉกเช่นบุรุษรามัญที่ดูแล้วขัดหูขัดตานายทหารกล้าเสียเหลือเกิน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น