๑๕
การกระทำสำคัญกว่าคำพูด
ปรางเร่งปลดมือสากลงจากบ่าตน เพียงเห็นกลุ่มเมฆครึ้มที่ก่อตัวตั้งเค้าเหนือศีรษะของร่างสูงที่กำลังสืบเท้าเข้ามาใกล้
“มิใช่เพียงแต่ใจดอก ประเดี๋ยวตัวเอ็งจักได้ตามไปด้วย ข้าสั่งความว่ากระไร ไยจึงพิรี้พิไรมิเร่งทำตาม!”
น้ำเสียงและสีหน้าของหมื่นสุรเสนาพาให้รอยยิ้มกระจ่างใสแปรเปลี่ยนเป็นความฉงนใจ หากนายสังข์คนซื่อยังไม่วายพูดจาหยอกเย้าเฉกเช่นที่มักกระทำ
“อูย เย็นก่อนเถิดขอรับ อย่าเพิ่งพื้นเสียเลยหนา อ้ายสังข์เจรจากับอ้ายหนุ่มรามัญผู้นี้เพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก หาได้หมายใจจักขัดคำบัญชาหมื่นท่านแม้แต่สักกระผีกไม่ ใคร่ชวนมันไปเปิดหูเปิดตา เชยชมของสวยงามครั้นหวนคืนเมืองสองแคว ได้ลิ้มลองนางเนื้อนวลขวัญใจชายชาตรี มิแคล้วจักหลงลืมแม่ม้ากระทืบโรงผู้นั้นเสียสิ้นเทียว จริงฤๅไม่ขอรับ?”
ร่างสันทัดว่าพลางระเบิดเสียงหัวเราะ ไม่รู้ตัวว่าเงาหัวของตนกำลังกุดลงตามความคะนองใจ ซ้ำยังพานให้ดวงตากลมสวยของแม่คนจำแลงกาย ตวัดมองใบหน้าคมคายของขุนศึกหนุ่มอีกนายโดยพลัน
หมื่นสุรเสนาที่กำลังปั้นหน้าถมึงทึงจึงขึงตาใส่ผู้ใต้ปกครอง เสียงต่ำกดลงเป็นเชิงปราม มินานคนช่างสำราญจึงรู้สึกตน นายสังข์เร่งคุกเข่าลงพร้อมประนมมือไหว้ขอขมา ตระหนักได้ว่าตนเองอาจลามปามผู้ถือศักดิ์สูงกว่าไปจนเกินงาม
“ขออภัยขอรับ!”
ร่างสูงสลัดมือไล่ นายสังข์จึงกระพุ่มไหว้อีกครั้งแล้วคว้าดาบคู่กายขึ้นออกวิ่งไปรวมกลุ่มกับทหารคนอื่นดังเดิม ตรงนี้จึงเหลือเพียงชายหนุ่ม และหญิงสาวในคราบของชายรามัญท่าทางมอมแมมที่ยืนเผชิญหน้ากันโดยปราศจากถ้อยพาที
ปรางมองจ้องใบหน้าหล่อเหลาเป็นเชิงตำหนิ แม้หล่อนจะไม่พึงใจกับกิริยาถึงเนื้อถึงตัวของนายสังข์เมื่อครู่ ทว่านั่นยังไม่น่าเคืองขุ่นเท่าคนพาลพาโลเบื้องหน้าที่วางอำนาจบาตรใหญ่ ทำทีเป็นนักเลงโตใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไร้เหตุผล ร่างอรชรจึงทำท่าจะเดินหนีไปอีกทางหนึ่ง หากไม่ทันต่อมือใหญ่ที่ชิงรั้งท่อนแขนเรียวเสลาเอาไว้
“ยังพูดกันมิรู้ความ แล้วเจ้าจักไปที่ใด มิได้ยินจากอ้ายสังข์ฤๅว่าข้าเรียกหา”
คำพูดคำจาประหนึ่งกล่าวต่อทหารใต้ปกครอง ทำให้หญิงสาวตวัดตามองพลางเชิดหน้าขึ้น
“สำแดงกิริยาแง่งอนเยี่ยงสตรี มิกลัวอ้ายพวกนั้นมันจักจับได้รึ”
สิ้นคำกระซิบนั้น ปรางจึงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตามองรอบข้าง ครั้นเห็นว่าหามีผู้ใดใส่ใจตนไม่ จึงมองจ้องคนตีรวนอีกครา ทว่าครานี้มิได้แสดงอากัปกิริยาใดให้เป็นที่น่าสงสัย
“คุณพี่มีกระไรจักพูดกับข้าก็เร่งว่ามาเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าแลทหารบางส่วนจักออกกระเวนตรวจตรากงชายป่า ระหว่างนี้เจ้าจงไปช่วยงานที่เรือนหมอทองดีเสีย กงนั้นมีเพียงท่านหมอแลอ้ายเปลว มีเจ้าไปช่วย จักได้เบาแรงสองคนนั้น”
เสียงทุ้มสั่งความยืดยาวรวดเดียว แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอาการหมางเมิน และความดื้อรั้นที่แสดงชัดในดวงตางามโศก
คนฟังจึงขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขากำลังบอกกล่าวนั้นเกี่ยวข้องอันใดกับตัวหล่อน ทั้งที่เขาสามารถเรียกใช้ทหารคนอื่นที่ยังว่างเว้นจากการฝึกเพลงอาวุธมาช่วยงานเป็นการชั่วคราวก่อนก็ย่อมได้
ทว่าเมื่อคนหน้าดุพาตัวหล่อนมาส่งทิ้งไว้ยังเรือนพักของหมอทองดี พร้อมสำทับซ้ำอีกครั้งว่ามิให้ออกไปเพ่นพ่านยังบริเวณอื่นตราบจนเขาจะกลับขึ้นมา เมื่อนั้นปรางจึงแจ้งแก่ใจว่าจุดประสงค์แท้จริงของคนเอาแต่ใจตนเองนั้น คงมิพ้นเกรงว่าหล่อนจะไปเป็นภาระแก่ผู้ใต้ปกครองของเขากระมัง
กลีบปากสีเรื่อจึงขบเม้มเข้าหากัน ครั้นระลึกได้ว่าเขายังคงมองหล่อนเป็นหญิงเจ้ามารยาที่หมายใจจะใช้เล่ห์กลปั่นหัวให้ชายทุกผู้ที่อยู่ใกล้ต้องลุ่มหลง
แต่คราวนี้ปรางไม่คิดแก้ต่างให้ตนเองดังเช่นที่มักกระทำ หล่อนเหนื่อยใจเกินกว่าจะเปลี่ยนความคิดของคนยึดมั่นถือมั่น จึงปลงใจว่าเขาจะคิดเห็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่ใจเขา
ดวงตางามโศกมองเรือนหลังใหญ่ที่ปลีกตัวออกมาอยู่อีกฟากหนึ่งของหมู่บ้าน จวบจนร่างสันทัดของชายคนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าคงเป็น ‘นายเปลว’ ลูกมือของหมอ ชะเง้อคอมองมาจากมุมหนึ่งของเรือน ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา พร้อมด้วยกระบุงสานที่หอบติดเอวมาด้วย หญิงสาวจึงวางสายตายังใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นแทน
“อ้ายซูไป่ใช่ฤๅไม่ ได้ยินหมื่นท่านพูดถึงอยู่ มาซี เข้ามาก่อน”
ท่าทางเป็นมิตรจึงทำให้ปรางเบาใจ พลันส่งยิ้มคืนแก่เจ้าของรอยยิ้มสว่างไสวนั้น แล้วสืบเท้าตามหลังไปจนขึ้นมาถึงชานเรือน ที่ดูไม่ต่างจากเรือนเก่าของหมอทองดีเมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองสองแคว
เห็นชายชราเดินออกมาจากห้องพักทางฝั่งขวาพร้อมผ้าขาวม้าที่พาดอยู่เหนือบ่า มือเรียวจึงกระพุ่มไหว้ ชั่วครู่หนึ่งที่หมอทองดีนั้นชะงักนิ่งพลางเอียงคอ คิ้วสีแซมขาวย่นเข้าหากันดั่งกำลังพินิจพิจารณาบางสิ่ง ฟากคนที่เคยพบหน้ากันมาก่อน จึงอดร้อนๆ หนาวๆ มิได้
“เป็นคนรามัญแท้ๆ แลมิมีพี่น้องเลยฤๅ”
“ขอรับ”
“แปลกจริง ไยข้าจึงคุ้นหน้าเอ็งนัก หากบอกว่ามีฝาแฝดอยู่ที่เมืองสองแคว ข้านี้ใคร่จักเชื่อโดยสนิทใจเทียว”
ผู้มีอาวุโสว่าพลางหัวเราะน้อยๆ ดั่งคนใจดี ปรางจึงยิ้มแห้งแล้งตาม แม้ว่าใบหน้าจะถอดสีเล็กน้อยไปตามคำพูดของเขา
ร่างแบบบางรับขันน้ำลอยดอกมะลิจากนายเปลว แล้วจึงผินมองเจ้าของเสียงแหบอีกครั้ง
“จิบน้ำจิบท่าเสียก่อน เรือนข้ามิมีอันใดให้ทำมากดอก หมื่นท่านเพิ่งให้คนมาช่วยเก็บข้าวของเมื่อมิกี่วันก่อนนี่เองหนา แต่เอาเถิด อย่างไรเอ็งก็มาแล้ว ใคร่อยากรู้เรื่องสมุนไพรฤๅไม่เล่า เผื่อวันหน้าจักได้ช่วยหยิบจับ คอยเป็นลูกมือข้าได้อีกคน”
ปรางจึงพยักหน้ารับแล้วผุดลุกตามผู้อาวุโสกว่า เมื่อเขาอาสาจะพาไปชมบริเวณโดยรอบ ส่วนนายเปลวที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยก็คอยเสริมนายของตนอยู่เป็นระยะ หญิงสาวที่จำแลงกายเป็นชายชาตรีจึงกลมกลืนไปกับชายใจดีทั้งสองได้ในระยะเวลาอันสั้น
เดินชมอยู่ชั่วระยะหนึ่ง หมอทองดีก็ขอปลีกตัวกลับไปพักยังเรือนนอน เนื่องจากยังไม่คลายอาการเหนื่อยล้าด้วยการเดินทางไกล จึงใคร่พักให้ร่างกายคืนกำลัง บริเวณแคร่ไม้ด้านหน้าเรือนเก็บสมุนไพร จึงมีเพียงปรางและนายเปลวเท่านั้นที่นั่งสนทนากันอยู่
อดฉงนใจมิได้ว่าเหตุใดนายเปลวผู้นี้จึงดูรู้วิชางานบ้านงานเรือนเฉกเช่นอิสตรี สองมือที่แกะกลีบดอกไม้นั้นละมุนละม่อมขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกเสียโดยสิ้นเชิง
“ยกความดีความชอบให้แม่ข้าเถิดหนา เพียงแต่...เรื่องเช่นนี้คงมินึกถูกใจคนเป็นพ่อนัก เกิดเป็นบุรุษทั้งที มาเก่งด้านงานประณีตเช่นสตรี มิแคล้วว่าจักเสียชาติเกิดกระมัง”
ชายร่างสันทัดว่า หลังจากสลับมาบดยาในครกหินจนละเอียดดีแล้ว จึงค่อยๆ ทยอยตักขึ้นมาใส่ถ้วยดินเผา
“แต่ข้าก็ยังมีใจรักสตรี หาใช่ปฏิพัทธ์บุรุษด้วยกันเฉกเช่นที่คนเขามักครหา ข้าเพียงคิดว่าหากชายฉกรรจ์ในบ้านเมืองเป็นนักรบไปเสียทั้งหมด ยามเจ็บไข้ฤๅได้แผลจากการศึกแล้วผู้ใดจักช่วยรักษา ยิ่งในคราที่บ้านเมืองต้องผจญกับศึกสงคราม หมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่กองทัพพึงต้องการดุจกัน”
ปรางคลี่ยิ้มรับพลางพยักหน้าน้อยๆ ตามคำบอกเล่า พอเริ่มจับทางงานตรงหน้าได้จึงขันอาสาช่วยเหลือ มือเรียวหยิบกระบุงสานที่ใส่ดอกไม้หลากหลายชนิดขึ้นมาพิจารณา นายเปลวจึงหัวเราะแผ่วเบาเมื่อเห็นท่าทางงุนงง ก่อนจะอธิบายอย่างเนิบนาบเฉกเช่นคนใจเย็น
“มิได้เอามาร้อยมาลัยดอกเอ็ง”
ร่างแบบบางหันมองพลางขมวดคิ้ว หล่อนไม่มีความรู้เรื่องสมุนไพรมาก่อน จึงไม่ทราบว่ามวลบุปผาเหล่านี้จะสามารถใช้ทำเป็นยารักษาโรคได้เพราะเมื่อยามอยู่ในรั้ววัง กลีบผกามาลีหอมยวลใจ คงมีไว้กระทำเป็นเพียงบุหงารำไป เพื่อใช้เป็นเครื่องหอมพกติดกาย หรืออบร่ำผ้าก็เท่านั้น
“มะลิ พิกุล บุนนาค สารภี บัวหลวง จำปา กระดังงา ลำเจียก แลลำดวน เกสรของดอกไม้เหล่านี้ล้วนมีสรรพคุณรักษาโรคได้ทั้งสิ้น หากเมื่อนำมารวมกันเป็นเกสรทั้งเก้า จักใช้แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ บำรุงหัวใจให้ชื่นบาน แลยังช่วยให้เจริญอาหารได้”
ดวงตางามโศกเป็นประกายแวววาวด้วยความตื่นเต้น สองมือช่วยเด็ดเกสรแยกใส่อ่างดินเผาไว้ตามคำชี้แนะของนายเปลว ระหว่างนั้นก็คอยไต่ถามถึงพืชพรรณชนิดอื่นอยู่เป็นระยะ ซึ่งคนถูกถามนั้นก็ไม่คิดหวงวิชาความรู้ หรือรำคาญเสียงทุ้มติดปลายหวาน ที่ฟังไปนานๆ เข้าชักดูว่าจะหวานเกินบุรุษเพศ
ทว่านายเปลวก็ไม่ได้ติดใจเอาความ ด้วยรู้สึกถูกชะตากับหนุ่มรามัญร่างเล็กผู้นี้ขึ้นมา จึงขยันตอบรับทุกถ้อยคำเจรจาที่คู่สนทนานั้นสงสัย
จวบจนกระทั่งดวงตะวันลาล่วงไป คนทั้งสองจึงช่วยกันสุมไฟเพื่อไล่ยุง หลังจากจัดเตรียมสำรับเย็นจนพร้อมสรรพ อาหารพื้นบ้านอย่างง่ายๆ จึงอย่างถูกวางเรียงกันบนกระจาดสาน
“ประเดี๋ยวข้ากลับขึ้นไปดูท่านหมอสักหน่อย เอ็งนั่งรับลมกงนี้ไปก่อนหนา”
หญิงสาวพยักหน้ารับ นั่งคอยไม่นาน ชายชราที่มีท่าทางสดชื่นขึ้นกว่าเมื่อช่วงบ่ายคล้อยจึงกลับออกมาร่วมวงสนทนาด้วย
ร่างอรชรกระชับผ้าคลุมผืนใหญ่ที่ใช้ห่อหุ้มร่างกายไว้อีกชั้น ก่อนจะรับถ้วยกระเบื้องที่หมอทองดีถือติดมือมา โดยบอกว่าสมุนไพรที่บรรจุอยู่ภายในนั้นสามารถบรรเทาความหนาวได้ชะงัดนัก ปรางจึงจรดขอบถ้วยชิดริมฝีปากแล้วเบ้หน้าน้อยๆ เมื่อได้ลิ้มรสขมปร่า ทว่าแซมปลายหวานชุ่มคอในตอนท้าย
“กินข้าวด้วยกันซี หมื่นท่านคงมีข้อราชการติดพัน มิแคล้วจักครึ่งค่อนคืนกระมังจึงจักกลับขึ้นมา”
ปรางชะเง้อคอมองคนที่บอกให้หล่อนคอยอยู่ที่นี่ แต่ดูทีว่าจะไร้ซึ่งวี่แวว หล่อนจึงขอตัวกลับก่อน เพราะเริ่มเหนียวตัวขึ้นมาครามครัน กอปรกับกระเพาะเริ่มส่งเสียงคำราม จึงหมายใจว่าจะกลับไปหุงหาอาหารรับประทานที่เรือนของตน แม้ทั้งหมอทองดีและนายเปลวจะชวนให้ร่วมสำรับเย็นด้วย แต่หล่อนก็เกรงใจที่รบกวนคนทั้งสองมาทั้งวัน จึงชิงปฏิเสธอย่างสุภาพ เพื่อถนอมน้ำใจของคนชวน
“วันพรุ่งมาช่วยงานข้าอีกหนา อ้ายซูไป่”
นายเปลวตะโกนไล่หลังมาพร้อมฉีกยิ้มกว้าง ร่างแบบบางจึงส่งยิ้มละไมให้พลางพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบรับ แล้วจึงสืบเท้าจากมาทั้งที่รอยยิ้มอ่อนจางยังผุดพรายอยู่บนวงหน้ากระจ่างใส
“มิใคร่จักเคยเห็นเจ้ายิ้มในหน้า มิรู้ว่าที่เรือนหมอท่านมีเรื่องน่ายินดีอันใดฤๅ”
น้ำเสียงทุ้มห้าวที่ดังมาก่อนตัวทำให้ปรางลอบกลอกตา มือเรียวยกตะเกียงขึ้นชูต่อหน้า ก่อนจะปรากฏร่างกำยำของคนที่ทิ้งให้หล่อนรอคอยสืบเท้าออกมาจากเงามืด
หยาดเหงื่อผุดพราวล้อมรอบกรอบหน้าคมคาย ครั้นสายลมพัดผ่านจึงหอบเอากลิ่นสาบจากเหงื่อไคลผสานกลิ่นสุราโชยชายปลิวปะทะปลายจมูก คนรักความสะอาดพลันนิ่วหน้าน้อยๆ แสงไฟอ่อนบางจากตะเกียงส่องสะท้อนให้เห็นเนื้อตัวมอมแมม
“อื้อหือ คุณพี่ ไปตกหล่มโคลนที่ใดมาเจ้าคะ ไฉนจึงเป็นเยี่ยงนี้เล่า”
เสียงหวานร้องอุทธรณ์ เมื่อเรือนกายสูงใหญ่ขยับเข้าหา ร่องรอยของดินโคลนที่ทิ้งคราบแห้งกรังและกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ไว้ ทำให้ปรางถอยหลังหนีแล้วยกนิ้วบีบจมูกของตนแน่น ฟากคนถูกรังเกียจเดียดฉันท์จึงชะงักฝีเท้าแล้วยกคอเสื้อขึ้นดม
“ข้าไปออกลาดกระเวน หาได้ไปเที่ยวเล่นชมป่าเขาลำเนาไพร จักให้กลิ่นกายหอมฉุยฉายเฉกเช่นมวลดอกไม้คงจักเป็นไปมิได้”
หญิงสาวระบายลมหายใจกับถ้อยวาจาของคนปากร้าย ครั้นระลึกได้ว่าเขาเคยมีบาดแผลพุพองที่แนวบ่าจึงนึกห่วงกังวล แต่ไม่ได้ไต่ถามออกไป คงมีเพียงแววตาที่ลอบมองจ้องอย่างอาทรเท่านั้น ซึ่งคนถูกมองคงรับรู้ได้ เสียงทุ้มพลันแถลงไขให้ได้รับฟัง
“หายดีแล้ว มิต้องทำหน้าเช่นนั้นดอก...ข้าใคร่อยากล้างตัวเต็มแก่ ป่านฉะนี้อ้ายพวกนั้นคงลงเล่นน้ำสำราญใจ มีแต่ข้านี่แลที่ยังมิได้ผลัดเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มของตน...”
ด้วยต้องเร่งมารับใครบางคนที่ฝากฝังเอาไว้ให้ไกลตานายทหารกลัดมัน
ประโยคต่อมาผุดพรายในเสี้ยวความคิด บุรุษหน้าตายจึงนึกค่อนขอดตนเองที่พลั้งเผลอปล่อยใจให้คิดไปเช่นนั้น พลันหมุนกายยกมือไพล่หลัง แล้วออกเดินนำโดยไม่ปริปากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดอีก
ปรางเร่งก้าวเดินตามหลังคนตัวโตกว่า จวบจนกลับถึงเรือนพักเพื่อแวะหยิบข้าวของเครื่องใช้ หล่อนและเขาจึงมุ่งหน้าไปสู่ลำธารสายเดิมที่ยามนี้ร้างราจากผู้คน
ทว่าร่างอรชรนั้นยังไม่คลายใจ จึงเฝ้าสอดส่ายสายตามองหา ด้วยเกรงว่าจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเยี่ยมหน้าเข้ามาขณะที่หล่อนลงอาบน้ำอีก
“ไม่มีดอก พวกมันคงแยกย้ายกลับขึ้นเรือนนอนของตนไปแล้ว ควบขี่อาชาทั้งวันมิได้หยุดพัก ผู้ใดจักมีใจมาเดินเล่นลอยชายก็คงจักแกร่งกล้าเกินคนเสียแล้ว”
เสียงก้องกังวานดังขึ้นจากทางลำน้ำ เมื่อหันหน้ากลับไปจึงปรากฏเป็นเรือนกายสีคร้ามแดดเฉกเช่นคนกรำศึกกลางแสงตะวันแรงกล้าอยู่เป็นนิตย์ พวงแก้มสาวเจ้าพลันซับสีระเรื่อ จึงเร่งเมินหน้าหนีแล้วกอดเครื่องอาบน้ำของตนแนบทรวง
“คุณพี่นี่! จักเปลื้องผ้าลงน้ำ ไยจึงมิบอกกล่าวกันก่อนเล่าเจ้าคะ”
“เอ้า เป็นชายชาตรีเหมือนกันมิใช่ฤๅเจ้า นุ่งลมห่มฟ้าเพียงเท่านี้ จักมีอันต้องเอียงอายกระไร”
คนหน้าทนสัพยอกเสียงกลั้วหัวเราะ เห็นนวลนางขัดเขินจนเสียอาการแล้วนึกชอบใจ ก่อนจะทอดกายแหวกว่ายเหนือผืนน้ำฉ่ำเย็น
ปรางจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วหย่อนสะโพกลงนั่งบนโขดหิน หันหลังให้พ่อชีเปลือยที่โลดแล่นอยู่ในกระแสธาราอย่างสำราญใจ ภาวนาให้เขาเร่งอาบน้ำให้แล้วเสร็จโดยไว ท้องไส้ของหล่อนร้องคำรามอีกครั้ง ทั้งยังหลั่งของเหลวออกมาให้ได้พอแสบร้าวบริเวณกลางทรวง ด้วยรับประทานมื้อกลางวันเป็นกล้วยน้ำว้าสุกงอมเพียงผลเดียวเท่านั้น
ทว่าท้ายที่สุดแล้ว ความอ่อนเพลียอันเกิดแต่การอดนอนก็พาให้หญิงสาวเกิดความง่วงงุนขึ้นมาครามครัน ยิ่งมีสายลมอ่อนบางพัดผ่านอยู่เป็นระยะ ร่างระหงจึงผล็อยหลับไปทั้งศีรษะที่เอนพิงต้นไม้สูงชันเอาไว้
บุรุษหนุ่มที่พาตัวเองขึ้นจากลำธารพร้อมนุ่งห่มอาภรณ์ชุดใหม่ จึงมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าคนสิ้นฤทธิ์ ร่างสูงย่อกายลงนั่งบนส้นเท้าขณะลอบพิศมองวงหน้ากระจ่างใส ก่อนจะกระแอมไอแก้เก้อ เมื่อดวงตางามโศกปรือขึ้นน้อยๆ เสมือนว่าสาวเจ้านั้นรู้สึกตัว
“ข้าเสร็จแล้ว เจ้าเร่งอาบเข้าซี”
นักรบหนุ่มผุดลุกขึ้นแล้วยกมือไพล่หลัง หญิงสาวจึงพยักหน้ารับทั้งที่ยังไม่คลายความงุนงง
ขณะกำลังจะลงมือปลดเครื่องแต่งกายหลวมโพรกออก รับรู้ถึงสายตาที่วางนิ่งยังแผ่นหลังของตน จึงขึงตามองพร้อมย่นคิ้วใส่
คนที่รู้ตัวว่าเสียมรรยาทกระแอมไออีกครั้งพลางหันหลังให้ใบหูได้รูปขึ้นสีแดงก่ำ ทว่าแสงจากคบไต้นั้นช่างเลือนราง ปรางเลยไม่ทันสังเกตเห็น
ครั้นร่างกำยำทรุดตัวลงนั่งแทนที่บนหินก้อนเดิม ปรางจึงเร่งถอดเครื่องนุ่งห่ม แล้วสวมกระโจมอกที่นำติดตัวมาเพื่อบดบังสัดส่วนโค้งเว้าของอิสตรีเอาไว้
ระหว่างที่ใช้สมุนไพรหอมกรุ่นซึ่งได้รับมาจากนายเปลวขัดถูไปตามเรือนกาย สัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นที่พลิ้วผ่านช่วงสะโพกผายใต้ผืนน้ำ เพียงเหลือบตามองไป เสียงกังวานใสจึงหวีดร้องออกมาโดยพลัน
ความคิดเห็น |
---|