๕
พฤกษานารี
“เคราะห์ดีหนา ที่หมื่นท่านหลบทันเสียก่อน จึงต้องเพียงสะเก็ดไฟเท่านั้น”
คำพูดของหมอชราผู้แสนใจดีไม่ได้ทำให้ร่างแบบบางคลายกังวล เพราะดวงตาหวานโศกยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่องรอยไฟลวกตรงแผ่นหลังของนายทหารหนุ่มพร้อมธารน้ำใสที่เอ่อขังรอบหน่วยตา
ใจหล่อนยังผวาไม่หาย แม้เหตุการณ์ชวนระทึกขวัญจะผ่านพ้นมาชั่วระยะหนึ่งแล้วก็ตาม
หากคงเป็นเคราะห์ดีเฉกเช่นที่ผู้อาวุโสกว่าพูด เพราะหมื่นสุรเสนาเบี่ยงกายพ้นจากเปลวเพลิงมาได้อย่างกระชั้นชิด จึงต้องเพียงสะเก็ดไฟให้พอระคายกายา
ทว่าสำหรับคนมองนั้น เพียงเท่านี้ก็นับว่ามากเกินพอแล้ว
“หมั่นพอกยาไว้ มินานคงจักหายคืน ขอแม่หญิงอย่าปริวิตกไปเลย”
ครั้นเห็นว่าสาวเจ้าไม่ได้ฟังคำบอกกล่าวของตน หมอทองดีจึงยกยิ้มน้อยๆ สองมือเร่งฝนยาใส่แผลพุพองที่เกิดขึ้นเพียงหย่อมเล็กๆ เท่านั้น ไม่ได้เป็นบาดแผลฉกรรจ์ดังที่อีกฝ่ายตีตนไปก่อน
คำพูดของหมอชรารั้งสายตาจากคนเจ็บให้มองไปยังทิศทางที่ร่างอรชรนั่งอยู่ เห็นสีหน้าเป็นกังวลของเจ้าหล่อนแล้ว ชายหนุ่มจึงเสมองไปทางอื่น พร้อมสะกดกลั้นความเจ็บแสบยามที่สมุนไพรถูกพอกลงบนรอยแผล
“โชคดีเทียว ที่ข้ามาออกตรวจใกล้เรือนแม่หญิงพอดี แต่ขออภัยเถิด ไฉนจึงเกิดเหตุเช่นนี้ได้”
เสียงแหบเอ่ยถามทั้งบุรุษและสตรีที่นั่งอยู่เคียงกัน แต่กลับเป็นนางน้อมที่เพิ่งกลับขึ้นมาจากการไปจัดหาเครื่องใช้สอยสำหรับการทำความสะอาดบาดแผล ที่เป็นคนตอบคำถามเหล่านั้นแทน
“บ่าวเพิ่งนึกขึ้นได้เจ้าค่ะ...เมื่อตอนสาย บ่าวเห็นชายคนหนึ่งท่าทางพิกลนัก มาคอยวนเวียนอยู่แถวเรือนของเรา จักเป็นมันได้หรือไม่เจ้าคะ แต่คุณปรางมิเคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด เหตุไฉนจึงมีคนใจดำคิดวางเพลิงเรือนเราได้เล่า...”
หญิงชราว่าเสียงเครือพลางยกหลังมือซับรอบขอบตา เพราะตระหนักได้ว่าบัดนี้นายหญิงของตนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ข้าวของที่นำมาจากกรุงศรีอยุธยาถูกเปลวไฟแผดเผาไม่เหลือสิ้น แม้แต่ที่เรือนที่จะใช้หลับนอนต่อแต่นี้ก็ไม่มี
นิ้วเหี่ยวย่นตามกาลเวลาลอบกรีดน้ำตาที่กำลังรินไหล ก่อนจะทอดมองไปยังร่างแบบบาง ที่กำลังจับจ้องบาดแผลไฟลวกโดยไม่วางตา คาดว่าเจ้าตัวนั้นคงนึกห่วงบุรุษตรงหน้าเสียยิ่งกว่าสิ่งใด
ปรางนิ่วหน้าพร้อมสะดุ้งกายตามทุกครั้งที่เห็นหมอทองดีพอกยาลงบนแผล รั้งรอจนหมอชราพันผ้าสีขาวสะอาดตาทับ แล้วขอตัวกลับไป พร้อมด้วยนางน้อมที่อาสานำของที่หยิบยืมมากลับไปส่งคืนผู้เป็นเจ้าของ ยามนี้จึงเหลือเพียงหล่อนและชายหน้าดุ ที่ดูทีว่าจะมีท่าทีดุดันขึ้นกว่าเดิม
“ข้าขออภัยเจ้าค่ะ...ทั้งหมด...เป็นความผิดของข้าเอง”
มือเรียวดุจลำเทียนของนางรำกระพุ่มไหว้ ทว่าประโยคถัดมาที่กลีบปากสีจางเอื้อนเอ่ยก็พาให้โทสะที่นายทหารหนุ่มเพียรพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ปะทุขึ้น
“แต่คุณพี่มิจำต้องเสี่ยงตนเองเข้าไปเยี่ยงนั้น ทหารของแผ่นดินมีค่าเกินกว่าจักนำชีวิตมาทิ้งเช่นนี้นะเจ้าคะ”
ฟังคำตำหนิที่แฝงไปด้วยความถือดีของหญิงสาวแล้ว ร่างสูงก็ยิ่งนึกอยากผวาเข้าไปเขย่ากายอีกฝ่ายให้รู้สติ เผื่อเจ้าหล่อนจะหลงลืมไปว่าสิ่งที่ตนเองกระทำไปก่อนหน้านี้มันช่างบ้าระห่ำเพียงใด
บุกฝ่าเข้าไปในกองเพลิงเช่นนั้น คงมีแต่คนจริตวิกลกระมัง ที่จักลงมือกระทำโดยไม่พะว้าพะวังถึงภยันตราย
“หากเจ้ามิใคร่รักชีวิตของตนเอง ก็จงนำมันไปทิ้งที่อื่น แต่อย่าได้คิดกระทำมันต่อหน้าข้าอีก!”
ถ้อยคำแสนใจร้ายจึงถูกพ่นออกมาจากเรียวปากสีอ่อนโดยพลัน หากทั้งหมดนั้นเกิดแต่การประชดประชันคนอวดดีเสียมากกว่า
หมื่นสุรเสนาสะบัดหน้าหนี ไม่อยากมองดวงตาหมองไหม้ที่นับวันจะเริ่มมีอิทธิพลต่อหัวใจของตนขึ้นทุกที ร่างสูงทำท่าจะผุดลุกอย่างเร่งรีบ ก่อนจะโดนฝ่ามือเนียนนุ่มฉุดรั้งเอาไว้ ดวงตาเรียวแหลมประดุจคมมีดจึงตวัดมองใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย พร้อมสลัดท่อนแขนหนีราวกับหญิงสาวเป็นของร้อน
“จักต่อว่าข้าเยี่ยงไรก็สุดแล้วแต่ใจคุณพี่ แต่ออกแรงเช่นนี้ ประเดี๋ยวกระทบบาดแผลเจ้าค่ะ”
คำว่าบาดแผลทำให้ขุนศึกหนุ่มหวนนึกถึงร่องรอยบอบช้ำบนท่อนแขนกลมกลึง เมื่อนั้นเขาจึงรู้สติว่าตนเองเผลอกระทำรุนแรงไป ดวงตารียาวมองจ้องต้นแขนเรียวเสลา จึงได้รู้ว่านั่นคือข้างเดียวกับที่เจ้าหล่อนบาดเจ็บ แต่หญิงแสนรั้นก็ยังคงปั้นหน้าเย็นชาเสมือนว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“เจ้านี่มัน...”
หมื่นสุรเสนาบดกรามแน่นเพื่อระงับอารมณ์ พยายามข่มใจอย่างสุดกำลังไม่ให้สาดวาจาเจ็บแสบใส่คนที่กำลังเจ็บตัวมิต่างกัน
ลางทีหญิงผู้นี้อาจจักวิปลาสจริงแท้แน่แล้วกระมัง ไฉนเจ้าหล่อนจึงไม่คิดห่วงกังวลถึงชีวิตของตนเองบ้าง
เมื่อระลึกได้ว่าคืนนี้ทั้งนายและบ่าวผู้แสนโชคร้ายคงไม่มีที่ให้พักพิง บุรุษหนุ่มจึงนึกหงุดหงิดกับความคิดที่ตีกันไปมาในหัวเสียเกินประมาณ
“เอาไว้ค่อยพูดกันตอนถึงเรือน เจ้าเองก็ลุกขึ้นได้แล้ว จักนั่งอยู่กงนี้ถึงเช้าให้ยุงมันหามเอาหรือไร”
ปากหยักเอ่ยในสิ่งที่ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นฝ่ายพูดออกไป หากแต่มิช้า ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวต่างวัยอีกสองนาง จึงเดินทางมาถึงเรือนหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของฝั่งคลอง
และภาพตรงหน้านั้นก็นับเป็นที่คุ้นตาของร่างแบบบางเป็นอย่างดี เพราะเรือนไม้แห่งนี้เคยให้ที่พึ่งพิงแก่หล่อนเมื่อคราวที่เกือบถูกชายกักขฬะย่ำยีข่มเหง
เพียงหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้น ประกอบกับคำให้การจากนางน้อม ดวงตาคู่งามจึงเบิกขึ้น พร้อมเสียงหวานที่รำพันออกมาเมื่อปะติดปะต่อข้อสันนิษฐานเข้าด้วยกันได้
“ฤาจักเป็น...อ้ายคนชั่วช้านั่น!”
ถ้อยคำของปรางทำให้บ่าวชราที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวด้วยตั้งแต่ต้นอดฉงนใจมิได้ เมื่อย่างกรายถึงด้านบนเรือนไม้ พร้อมวงสนทนาที่ขยายขึ้น สืบเนื่องจากบิดามารดาของหมื่นสุรเสนาเข้ามาร่วมวง จึงเป็นเสียงสั่นเครือของนางน้อมที่ดังขึ้นก่อน
ตะเกียงดวงน้อยถูกยกขึ้นส่องสว่างเหนือใบหน้าอ่อนเยาว์ ครั้นได้เห็นร่องรอยบอบช้ำบนเนื้อตัวร่างกายของนายสาวอย่างเต็มตา หญิงชราจึงไม่อาจสะกดกลั้นความสะเทือนใจเอาไว้ได้
“เจ็บมากใช่ฤๅไม่เจ้าคะ ไฉนคุณปรางจึงทำเยี่ยงนี้”
“แต่แผลนี้มิเกี่ยวกับอ้ายคนโฉดผู้นั้นดอกหนา เป็นข้าเองที่มีเรื่องกับทหารหงสาเมื่อตอนสาย”
ปรางอธิบายพร้อมกุมมือเหี่ยวย่นไว้ อากัปกิริยาเช่นนี้จึงเป็นที่ประหลาดใจของใครอีกคนที่ลอบมองอยู่
เพราะนับแต่รู้จักกันมา เขาแทบมิเคยเห็นมุมอ่อนโยนเช่นนี้ของหญิงสาวเลยแม้แต่สักครั้ง คงมีเพียงความหยิ่งทะนงและลำคอระหงที่ตั้งตรงดุจคนยึดมั่นในศักดิ์ศรี ที่ทำให้เขาแสนชังในทุกคราวที่เห็นมัน
หัวใจของนักรบหนุ่มจึงแกว่งไกวอีกครั้ง จนเจ้าตัวยังนึกหงุดหงิดตนเองเสียเหลือคณา ใบหน้าคมคายจึงผินมองไปอีกทางหนึ่ง ด้วยไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าหล่อนอีก
หากหูเจ้ากรรมยังคงว่องไว เพราะมันคอยรับฟังถ้อยวาจาที่ผู้ใหญ่และหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายสนทนากันอยู่อย่างตั้งใจ ซ้ำยังจับใจความได้ครบถ้วนทุกถ้อยคำ
“พ่อทัดรายงานไปยังกรมเวียงแล้ว แลเมืองสองแควของเราก็หาได้กว้างใหญ่ไพศาลไม่ อีกมินานคงจักได้ความ...หากแม่ปรางมิรังเกียจ ระหว่างนี้พักอยู่ที่เรือนของข้าก่อนเถิด ข้าจักให้บ่าวเกียมห้องหับไว้ให้”
หลวงราชมงคลว่าอย่างอารี ดวงตาฝ้าฟางมองเสี้ยวหน้าอิดโรยของหญิงรุ่นลูกสลับกับบ่าวชราที่นั่งอยู่ข้างเคียงนายสาวของตน
“ข้ามิเคยนึกรังเกียจคุณลุงแลคุณป้าเจ้าค่ะ เพียงแต่...ข้า...”
ปรางรีบแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้มีอาวุโสกว่า เพราะแม้หล่อนจะเป็นบุตรีของอดีตเจ้าพระยา ผู้ที่ได้รับการนับหน้าถือตาจากคนมากมายในสังคม หากหล่อนมิเคยคิดรังเกียจรังงอนครอบครัวของพ่อค้าคหบดี ด้วยถือว่าทุกสัมมาอาชีพนั้น ต่างก็มีเกียรติและศักดิ์ศรีในตนเองอยู่
อีกทั้งชายชราผู้นี้เองก็เคยรับราชการเป็นข้ารองบาทในองค์กษัตริย์รัชกาลก่อน แม้จะสังกัดอยู่คนละส่วนกันกับบิดาของหล่อน และทราบว่าก่อนบ้านเมืองจะเกิดศึกสงครามครั้งใหญ่กับพม่ารามัญนั้น เขาได้ทูลลาออกมาเพื่อช่วยผู้เป็นภรรยาทำมาค้าขาย แต่ก็หาได้ทำให้ตัวเขาด้อยค่าลงแม้แต่สักนิดไม่ เขาจึงไม่จำต้องลดทอนคุณค่าครอบครัวของตนเองลงถึงเพียงนั้น
“ลูกขอตัวก่อนนะขอรับ เริ่มจักเจ็บแผลขึ้นมา จึงอยากนอนพักเอาแรงสักหน่อย”
จู่ๆ คนที่ตกเป็นเป้าสายตาก็พลันผุดลุกขึ้นพร้อมสรุปความรวดเดียวเสร็จสรรพ
แม้จะดูเป็นการเสียมารยาทต่อผู้ใหญ่ แต่หมื่นสุรเสนานั้นยินดีที่จะน้อมรับคำตำหนิแต่โดยดี ทั้งหมดก็เพราะความอึดอัดที่ไม่อาจทนรับได้ไหว ยิ่งเห็นดวงตาหมองไหม้คู่นั้นเหลือบมองมา เขาจึงยิ่งอยากพาตนเองไปให้พ้นจากบริเวณนี้โดยไว
“อย่าถือสาพี่เขาเลยหนา คงจักเจ็บแผลจริงๆ ”นางทับทิมพูดพลางยกยิ้มให้หญิงสาวที่หน้าหมองลงน้อยๆ
ปรางจึงกระพุ่มไหว้พร้อมเอ่ยคำขอโทษต่อบุพการีของคนบาดเจ็บ
“ที่คุณพี่ต้องเจ็บตัวเยี่ยงนี้เป็นเพราะข้าเองเจ้าค่ะ ข้ากราบขออภัยต่อคุณลุงแลคุณป้านะเจ้าคะ”
“มิเอาแล้ว ไม่ต้องโทษตนเองเยี่ยงนั้น หลานเองก็เจ็บอยู่มิใช่ฤๅ ไปพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวรุ่งเช้าค่อยคิดกันอีกทีว่าจักทำเยี่ยงไรต่อไป”
ความเมตตาของผู้เป็นเจ้าเรือนทำให้ปรางนึกซาบซึ้งใจ ร่างแบบบางจึงส่งยิ้มละไมให้แล้วประนมมือไหว้อีกครั้งแทนคำขอบคุณจากหัวใจของตน
หลังจากแยกย้ายกันไปตามที่พำนักซึ่งแม่นายของเรือนจัดเตรียมไว้ให้ โดยนางน้อมนั้นได้ลงไปอยู่รวมกับบ่าวไพร่ในเรือนเล็กด้านหลัง ยามนี้ตรงเรือนนอนทางปีกซ้ายจึงมีเพียงหญิงสาวเท่านั้นที่ยึดครองอยู่ลำพัง
ปรางเปลี่ยนมานุ่งผ้ากระโจมอก เพื่อเตรียมออกไปอาบน้ำยังท่าน้ำนอกชานเรือน แม้ร่างกายจะมีร่องรอยบาดแผลอยู่ หากเพราะความเหนียวเหนอะลำตัว กอปรกับกลิ่นควันจากเขม่าไฟ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าที่ควร หล่อนจึงตั้งใจจะนำน้ำมาปะพรมให้รู้สึกสดชื่นขึ้น
มือเรียวขยับผ้าคลุมไหล่ให้มิดชิด ขณะสืบเท้าไปยังสถานที่อาบน้ำเมื่อเห็นว่ารอบข้างปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นใด จึงค่อยปลดผ้าผืนบางนั้นวางพาดไว้กับราวไม้ แล้วหยิบขันใบน้อยตักน้ำในตุ่มขึ้นราดรดศีรษะของตน แต่ยังคงระมัดระวังมิให้โดนแผลที่ยังสดใหม่บนต้นแขน
กลีบปากสีเรื่อคลี่ขึ้นเป็นรอยยิ้ม ครั้นสายน้ำฉ่ำเย็นกระทบผิวกายก่อนที่หางตาจะเหลือบเห็นร่างหนั่นแน่นของใครอีกคนที่คิดว่าเวลานี้ควรเข้าสู่ห้วงนิทรา เดินออกมาจากอีกมุมหนึ่งของชานเรือน และกำลังมุ่งตรงมายังจุดเดียวกัน เสียงหวานจึงหวีดร้องออกมาแผ่วเบา แล้วเร่งคว้าเอาผ้าคลุมผืนเดิมขึ้นห่อกายตนเองไว้
“คุณพี่!”
ฟากหมื่นสุรเสนาที่กำลังสะลึมสะลือนั้นจึงตื่นเต็มตา เพียงเพราะร่างแน่งน้อยของแม่นางไม้ที่ปรากฏกายอยู่ต่อหน้า
ผมยาวสลวยเรียบลู่ไปกับกรอบหน้าเกลี้ยงเกลา กอปรกับแสงสลัวจากคบไต้ที่สะท้อนเข้ากับผิวกายงามผาด เมื่อครู่เขาจึงมีโอกาสได้เห็นความงามพิลาศของแม่พฤกษานารี ที่ออกมาเริงระบำท่ามกลางสายน้ำในยามค่ำคืน
ตาเรียวเผลอมองจ้องภาพเบื้องหน้าดุจดั่งคนตกอยู่ในห้วงภวังค์ ผิวขาวจัดตัดกับผ้าถุงสีเข้มที่เจ้าหล่อนสวมใส่ ทว่าร่างสั่นระริกดั่งวิหคน้อยหลงรังนั้น ชวนให้สติรับรู้ของผู้มาใหม่หวนคืนโดยพลัน
นายทหารหนุ่มที่ไม่รู้ว่าตนเองควรต้องวางหน้าอย่างไรจึงได้แต่แสร้งมองไปทางอื่นพร้อมกระแอมไอน้อยๆ รั้งรอจนกระทั่งหญิงสาวจัดแต่งเครื่องนุ่งห่มของตนจนเรียบร้อยดีแล้ว ดวงตารียาวจึงผินมองกลับมา
หากคราวนี้ กลับเป็นแม่นางไม้เสียเองที่ขัดเขินจนหาที่วางสายตาไม่ถูก เพราะร่างสูงอยู่ในผ้านุ่งลอยชาย๒เพียงผืนเดียวเท่านั้น ซ้ำยังพันไว้กับเอวสอบอย่างลวกๆ เสียจนหล่อนนึกหวั่นใจแทนว่ามันจะหลุดร่วงตามการก้าวเดินของเขา กล้ามท้องเป็นลอนชวนให้ใจสาวสั่นสะท้าน ปรางจึงเร่งหลุบตามองพื้น ด้วยรู้ดีว่าสตรีเช่นตน มิบังควรลอบมองร่างกายของชายฉกรรจ์
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าไม่มีผู้ใดจักใช้ท่าน้ำแล้ว เชิญคุณพี่ตามสบายเถิดนะเจ้าคะ ข้าขอตัว”
ในขณะที่ร่างอรชรกำลังเร่งสืบเท้าสวนไป มืออุ่นจึงชิงรั้งท่อนแขนเรียวเสลาเอาไว้ ผิวกายเรียบลื่นดุจแพรไหมทำใจบุรุษหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
บอกตนเองว่า อาการเช่นนี้คงเป็นกิริยาสนองรับตามสัญชาตญาณของบุรุษเพศ ที่ไม่ว่าจะชิงชังเจ้าหล่อนเพียงใด แต่ด้วยสตรีนั้นเปรียบดั่งบุปผาสะพรั่งที่เย้าตายวลใจ ภุมราหนุ่มจึงมิอาจต้านทานกระแสความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวอยู่ภายในได้
ปรางผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะช้อนตามองดวงหน้าคมคายของคนที่ถือวิสาสะแตะต้องผิวกายของตนโดยไม่พูดอะไร จากมุมนี้แสงไต้ไม่อาจส่องถึง หล่อนจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าบุรุษตรงหน้ากำลังมองมาด้วยสายตาเช่นไร คงมีเพียงสัมผัสอุ่นร้อนจากฝ่ามือใหญ่ที่ชวนให้ร่างกายของหล่อนร้อนวูบวาบชอบกล
“จักอาบน้ำแล้วไยมิให้บ่าวของเจ้าออกมาด้วย เป็นหญิงริอ่านออกมาลำพัง กลางค่ำกลางคืน มิกลัวภยันตรายบ้างหรือไร”
คำตำหนิประหนึ่งผู้ใหญ่กล่าวกับเด็กน้อยทำให้คนฟังนึกเคืองใจขึ้นมา
ไฉนเขาจึงชอบทำเสมือนว่าหล่อนเป็นคนอ่อนเดียงสาอยู่ร่ำไป
คิดได้ดังนั้น ดวงตากลมโตจึงมองตอบพร้อมเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ
“แม่น้อมลงไปพักที่เรือนด้านล่างแล้วเจ้าค่ะ อีกอย่าง ข้าก็มิเห็นว่ากงนี้จักมีภยันตรายใด อ๊ะ!”
ยังไม่ทันสิ้นประโยคดีนัก ร่างแบบบางถูกออกแรงรั้งเพียงนิดเดียวก็ปลิวสู่อ้อมแขนกว้างของคนตัวสูงกว่าเสียแล้ว
ปรางมองปลายคางบึกบึนด้วยความตื่นตระหนก แล้วจึงขยับยุกยิกไปมา ด้วยมิรู้ว่าร่างสูงตรงหน้าเกิดรับประทานยาผิดสำแดงขึ้นมาหรือไร ไฉนคนที่ตั้งป้อมชิงชังกันหนักหนาจึงแสดงท่าทางเช่นนี้กับหล่อนไปเสียได้
“คุณพี่ ปล่อยเจ้าค่ะ!”
เสียงกังวานหวานออกคำสั่งประหนึ่งเอ่ยต่อขุนพลใต้บังคับบัญชา หากนายทหารกล้าคงทำเพียงนิ่งงัน และโอบกระชับเอวกลมกลึงเข้าแนบชิดจนได้กลิ่นสาบเนื้อสาวแตะปลายนาสิก ความเนียนนุ่มที่บดเบียดอยู่บนแผ่นอกเปลือยนั้นให้ความรู้สึกดีไม่น้อย กอปรกับนานๆ ทีสองตาจะได้ยลสีหน้าอื่นนอกจากความสงบนิ่งเย็นชา หมื่นสุรเสนาจึงมิปรารถนาจะคลายวงแขนของตน
ทั้งที่พร่ำบอกตัวเองเสมอมาว่าให้อยู่ห่างจากสตรีใจดำผู้นี้ แต่มิรู้ทำไมร่างกายไม่รักดี จึงเทียวพาตนเองมาอยู่ใกล้ชิดเจ้าหล่อนอยู่ร่ำไป
ปรางอาศัยจังหวะที่นายทหารหนุ่มนิ่งงัน ออกแรงบิดเอวแกร่งจนคนเผลอไผลสะดุ้งโหยง ส่งผลให้อ้อมแขนที่รัดแน่นคลายออก หล่อนจึงกระถดกายห่างออกมาพลางขยับเครื่องแต่งกายของตนให้รัดกุมมากขึ้น ไหล่ลาดห่อเข้าหากันเป็นเชิงระวังภัย ดวงตาวาววับจ้องมองไปยังใบหน้าในเงามืดนั้นประหนึ่งแม่เสือตัวร้ายที่พร้อมสู้ยิบตา
ทว่าจากมุมมองของหมื่นสุรเสนา กลับเห็นท่าทางเหล่านั้นเป็นเพียงแม่หนูตัวน้อยที่เปรียบดังอาหารอันโอชะของพญาราชสีห์เสียมากกว่า ร่างสูงแตะสีข้างของตน ก่อนจะแค่นหัวเราะเบาๆ
ปรางผ่อนลมหายใจ หากยังกระชับปมผ้านุ่งของตนเอาไว้ ไม่วางใจในท่าทีที่ดูแปลกประหลาดไปของร่างตรงหน้า
“คิดว่าข้าจักนึกพิศวาสเจ้าหรือไร เพียงอยากจักเตือนให้รู้ไว้ว่า ความประมาทจักเป็นหนทางไปสู่ภยันตราย แม้เรือนนี้จักเป็นที่ที่เจ้าคิดว่าตนเองจักวางใจได้ แต่ลืมไปแล้วหรือไม่ ว่าที่นี่มิใช่เรือนของตน บ่าวไพร่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าเองก็หาได้รู้จักนิสัยใจคอพวกมันไม่ หากเมื่อครู่มิใช่ข้า แต่เป็นอ้ายพวกบ่าวชายแล้วไซร้ คิดบ้างฤๅไม่ว่าตนเองจักเป็นเยี่ยงไร”
ถ้อยคำยาวเหยียดทำคนฟังลอบอ้าปากค้าง เพราะปกติคนพูดนั้นมักเจรจากับหล่อนเสียจนแทบนับประโยคได้ ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาจะพูดยืดยาวเสียขนาดนี้ ปรางจึงอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจรับประทานยาผิดสำแดงเข้าไปจริงๆ
“รั้งรอกระไรอยู่เล่า จักอาบน้ำมิใช่ฤๅ เร่งอาบเข้าซี ข้าจักได้อาบบ้าง ข้ามิคิดจักยืนคอยเจ้าทั้งคืนดอกหนา”
หมื่นสุรเสนาสั่งความรวดเดียว แล้วยืนกอดอกหันหลังให้
ฟากคนถูกสั่งความจึงไม่รู้ว่าตนเองต้องทำตัวเช่นไร ดวงตาเหลือบมองซ้ายทีขวาที ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อเสียงห้วนกระด้างสำทับซ้ำอีกครั้ง ปรางจึงเร่งสืบเท้ากลับไปยังที่อาบน้ำ ทั้งที่คิ้วโก่งสวยดั่งคันศรยังคงขมวดแน่น เหตุทั้งหมดล้วนเกิดแต่ท่าทางพิกลของบุรุษหน้ายักษ์ ที่หล่อนไม่อาจตามทันความคิดและอารมณ์ของเขาได้เลยสักครา
ความคิดเห็น |
---|