9
เรื่องคืนนั้น
ชายหนุ่มเดินออกมาจากหอพักของแฟนสาวในสภาพหมดแรงกำลัง วันนี้เขาตั้งใจมาเซอร์ไพรส์เธอ หลังจากทะเลาะกันอย่างหนักเมื่อเย็นวาน เหตุผลเพราะเขาต้องเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศตามแพลนที่บิดาวางไว้ให้ แต่เธอกลับไม่เข้าใจ ตัดพ้อด้วยอารมณ์อ่อนไหว กลัวว่าเขาจะไปเจอใครคนใหม่ที่ดีกว่า คนที่คู่ควรกับเขาทั้งฐานะและหน้าตา หวาดระแวงว่าระยะเวลายาวนานอาจมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่
แม้เสียใจที่เธอแสดงออกเช่นนั้น ทำราวกับว่าเขาเป็นผู้ชายใจโลเล แต่ชายหนุ่มไม่เคยเพิกเฉยต่อความรู้สึกของเธอเลยสักครั้ง กวินภัทรในวัยเพียงยี่สิบสองปียอมทำใจกล้าบากหน้าเข้าไปคุยกับพ่อแม่เพื่อขออนุญาตหมั้นหมายแฟนสาวไว้ก่อน
เขาคบกับ ‘นีรัมพร’ เป็นเวลากว่าสองปีแล้ว อาจไม่น้อย ทว่าก็ไม่ได้มากพอ รักในวัยหนุ่มสาวนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ อ่อนเหตุและผล กระนั้นแล้วครองขวัญกับกมนทัตก็ไม่อาจห้ามปราม ทั้งคู่เปิดกว้างพอที่จะให้อิสระในการตัดสินใจแก่ลูกชาย ด้วยรู้ดีว่าเรื่องอย่างนี้ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ฉะนั้นจึงทำเพียงคอยให้คำแนะนำ ไม่เคยคิดรังเกียจรังงอนในข้อที่ว่าเธอมีฐานะไม่เทียบเท่า ทั้งคู่รู้ดีว่าสิ่งนั้นไม่ได้สำคัญที่สุด พวกเขามีมากพอ พอที่ลูกชายจะไม่ต้องสร้างกำแพงเงินตราขึ้นมาในการเฟ้นหาคู่ชีวิตที่เท่าเทียมกัน หวังว่าลูกจะได้ใครสักคนที่ควรคู่และพร้อมเคียงข้างกันเป็นพอ
กวินภัทรจึงพาแฟนสาวแวะเวียนมาที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง ทำทุกอย่างให้ถูกต้องและอยู่ในสายตาผู้ใหญ่
“วินนั่นใครเหรอ” นีรัมพรเอ่ยถามแฟนหนุ่มขณะนั่งกันอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำ เธอแอบเห็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินวนไปเวียนมาอยู่บ่อยครั้ง คล้ายกำลังหาอะไรบางอย่าง
เธอมาที่บ้านเขาครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ทว่าเด็กสาวคนนั้นไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เธอเคยเจอแค่กวีลดา ซึ่งเขากระซิบบอกว่าเป็นน้องสาวตัวแสบ และแสบจริงดังเขาว่า เธอเจอฤทธิ์มาแล้ว แต่เด็กสาวคนนี้...
“อย่าสนใจเลยน้ำตาล” คนโดนถามตอบเลี่ยงๆ เมื่อเห็นว่าคนที่นีรัมพรถามถึงคือน้องสาวที่เขาเกลียดเข้าไส้ ทำอะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปเสียหมด เอาแต่เดินวนอยู่ได้
พลันสุนัขสีขาวตัวใหญ่ก็วิ่งกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ว้าย!” นีรัมพรหวีดร้องเสียงดัง ไม่ทันตั้งตัว เธอกลัวสุนัขมาตั้งแต่เด็ก และแฟนหนุ่มเองก็รู้ข้อนี้ดี เขาจึงวิ่งมาขวางหน้า ตะครุบจับเจ้าตัวปัญหาไว้ ตะคอกใส่เด็กสาวที่เพิ่งวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
“หมาตัวแค่นี้ยังดูแลไม่ได้ ถ้ามันลำบากมากก็ไม่ต้องเลี้ยง สร้างแต่ภาระให้คนอื่น” ชายหนุ่มดุด้วยน้ำเสียงกระด้าง แบบฉบับที่มีไว้ใช้เฉพาะกับเด็กสาวคนนี้เท่านั้น
พาพราวหน้าซีดเผือดในทันใด ตกใจจนตัวสั่นเพราะเสียงดุของเขาดังเช่นทุกครั้ง ก้มลงไปอุ้มสุนัขของตนอย่างลนลาน “พราวขอโทษค่ะ” เธอเอาแต่ขอโทษซ้ำไปซ้ำมา ละล่ำละลักเสียงแผ่วเบา พยายามจับเจ้าสุนัขตัวหนักของตนไว้แน่น แต่คล้ายมันจะสนใจขนมในมือแฟนสาวของเขามากกว่า จึงดิ้นขลุกขลักอย่างหนักในอ้อมแขนเล็ก
“เอามันออกไปไกลๆ ไปให้พ้นเลย” เขาตวาดใส่ไม่เลิก
“ค่ะ...ไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” คนตัวเล็กอุ้มสุนัขออกไปอย่างทุลักทุเล รีบเดินหมายจะไปให้พ้นจากบริเวณนี้โดยไว ไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอเขากับคนรักนัก
“เดี๋ยว!”
“คะ?”
“แว่นเธอ” มือแกร่งยื่นแว่นตาหนาเตอะมาให้ด้วยสีหน้าถมึงทึง ซึ่งเธอคงทำมันหล่นลงพื้นตอนที่พยายามจับเจ้าตัวปัญหาเมื่อครู่
คล้อยหลังเด็กสาวปริศนา นีรัมพรเอ่ยถามอย่างข้องใจ “ใครเหรอ ทำไมวินต้องดุน้องเขาด้วย” ปกติกวินภัทรใจเย็นและขี้เล่นพอควร แต่เมื่อครู่ เธอซึ่งไม่ได้โดนดุยังอดกลัวแทนไม่ได้
“แค่เด็กในบ้านน่ะ ช่างเถอะ น้ำตาลเป็นอะไรไหม” เขาตอบปัดแล้วหันมาสำรวจเนื้อตัวของแฟนสาวแทน ใช้โทนเสียงนุ่มนวลต่างจากเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน
“ไม่เป็นไร เราโอเค”
กวินภัทรดีกับเธอเสมอมา เขาสุภาพ อ่อนโยน อารมณ์ดี ทั้งยังไม่เคยล่วงเกินหรือฉวยโอกาสอย่างที่ผู้ชายส่วนใหญ่มักชอบทำ หน้าตา ฐานะ การศึกษา และจิตใจ เขาดีพร้อมจนเธอกลัว กลัวว่าเธอเองอาจไม่ดีพอสำหรับเขา ช่องว่างของความแตกต่างทำให้เธอนึกหวาดหวั่น
ชายหนุ่มย้ำกับเธอเสมอว่าเขาไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น ครอบครัวของเขาไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เขามีมากพอจนไม่ต้องสนใจสิ่งเหล่านั้นก็ยังได้ และขอเพียงให้เธอเชื่อใจเขาเท่านั้นพอ
ครั้นตัดสินใจแน่วแน่แล้ว กวินภัทรจึงบอกให้พ่อกับแม่ทราบอีกครั้งถึงปณิธานของตนหลังจากคิดทบทวนมาตลอดคืน วันนั้นทั้งวันเขาใช้เวลาในการเลือกซื้อแหวนหมั้น ช่อดอกไม้ และบรรจงเขียนการ์ดใบเล็ก อมยิ้มคนเดียวยามคิดถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนรักหากเจอเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่จากเขา ทว่า...
คนที่โดนเซอร์ไพรส์กว่าคือตนเอง หญิงสาวที่เขาตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน รักเธอจนไม่เหลือสายตาไว้มองใครอื่นกลับหักหลังกันได้อย่างเลือดเย็น แหวนหมั้นในมือชายหนุ่มจึงถูกบีบแน่นจนมือขึ้นเส้นเลือดปูดโปน
เธอกอดจูบอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง คนที่ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาเอง คนที่เขาไว้ใจ ความเจ็บปวดจึงทวีเพิ่มเป็นสองเท่า ตอกย้ำว่าเขาช่างโง่เขลานัก
คนอกหักยืนมองได้เพียงครู่ ก่อนภาพเหล่านั้นจะพร่าเลือน วิบวับ พร้อมกับที่น้ำตาจวนเจียนจะไหล แต่เจ้าตัวพยายามเงยหน้าขึ้นสูงกักเก็บหยดน้ำเอาไว้ ไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น ก่อนช่อดอกไม้และการ์ดใบเล็กจะหล่นร่วงลงพื้นเมื่อเจ้าของฝืนถือมันต่อไปไม่ไหว
กว่าสองปีที่เฝ้าทะนุถนอม ไม่เคยทำสิ่งใดนอกจากการจับมือ มากสุดคือหอมแก้มครั้งหนึ่ง ซึ่งเธอเป็นคนร้องขอเขาเอง กวินภัทรปฏิบัติกับเธอดังเช่นที่สุภาพบุรุษควรกระทำ แล้วเขาทำอะไรผิดจึงได้สิ่งนี้เป็นการตอบแทน เพื่อนและแฟนจึงแทงข้างหลังเขาได้ถึงเพียงนี้ ไม่มีเลือด ไม่มีแผล ทว่าเจ็บเจียนตายไม่แพ้กัน
มันจบแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจก้าวเท้าจากไป ทิ้งความไว้ใจไว้เบื้องหลัง
ฝนตกลงมาอย่างหนักขณะคนช้ำรักพยายามขับรถกลับบ้านด้วยความสิ้นหวัง หยาดฝนหลั่งรินราวกับรู้ว่าใจเขากำลังร้องไห้ อากาศมัวซัวและท้องฟ้าหม่นครึ้มพาให้จิตใจยิ่งเศร้ากว่าที่ควรเป็น เกิดคำถามมากมายวนซ้ำไปซ้ำมาในความคิด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะม่านฝนพราวระยับหรือเพราะความเจ็บปวดบังตา กวินภัทรจึงขับรถเลยร่างบอบบางของใครคนหนึ่งไป เด็กสาวในชุดนักเรียนเดินหนาวสั่นอยู่ริมทางเข้าหมู่บ้าน เนื่องจากวันนี้เด่นชัยติดธุระกะทันหัน และเธอคงไม่กล้ารบกวนครองขวัญและกมนทัต ด้วยรู้ทั้งคู่คงยุ่งอยู่กับการดูน้องสาวคนเล็กที่โรงพยาบาล พาพราวจึงเลือกเดินทางกลับบ้านด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินความสามารถของเธอเลยสักนิด หากไม่ติดว่าฝนดันมาตกหนักระหว่างทางเสียก่อน เธอจึงเปียกปอนไปโดยปริยาย ครั้นมองเห็นท้ายรถของพี่ชายซึ่งเขาไม่จอดรับกันก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ เด็กสาวกอดกระเป๋าแน่นแล้วรีบเร่งฝีเท้าตรงไปยังทางเข้าบ้าน
กวินภัทรเดินเข้าบ้านด้วยความเจ็บที่ท่วมท้นไปทั้งใจ เขาเดินอย่างหมดเรี่ยวแรงเข้าไปในห้องเก็บไวน์ชั้นดีของบิดา คว้าเอาขวดที่อยู่ใกล้มือมาอย่างส่งๆ ก่อนเดินขึ้นห้องนอนไป ตามด้วยเสียงกระแทกประตูดังสนั่นก้องไปทั้งบริเวณ ชายหนุ่มขังตนเองอยู่ในนั้น ก่อนจะรื้อข้าวของซึ่งจัดใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่เรียบร้อยแล้วออกมา กวาดเอาทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวกับแฟนสาวและเพื่อนสนิททิ้งไป ไม่อยากหลงเหลือความทรงจำไว้ให้คนเช่นนั้นอีก
ไวน์โรเซชั้นดีซึ่งควรละเลียดชิมไปกับเมนูอาหารรสเลิศนั้น ยามนี้คนช้ำรักกลับกระดกราวน้ำเปล่า เขาแค่อยากเมา อยากลืมทุกริ้วความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญ ทำไมทั้งเพื่อนและแฟนจึงส่งท้ายเขาได้เจ็บปวดนัก
ชายหนุ่มคร่ำครวญเพียงลำพัง ดื่มไวน์รสหวานซ่านเคล้าไปกับมวลความทรงจำซึ่งฉายชัดเข้ามาเป็นฉากๆ แกล้มด้วยคำถามนับร้อยที่วิ่งวนอยู่ในความนึกคิดไม่ลดละ ครั้นเริ่มเมามายจึงร่ายตัดพ้อต่อว่าคนทั้งคู่ไม่หยุดหย่อน ทั้งที่ปกติเขาไม่นิยมดื่มแอลกอฮอล์ มีบ้างยามต้องสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน ทว่าก็จิบตามมารยาทเท่านั้น ไม่ได้ดื่มจนถึงขั้นมึนเมาเช่นยามนี้
...
พาพราวกลับถึงบ้านด้วยสภาพเปียกโชกไปทั้งตัว เธอรีบขึ้นห้องนอนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบเอาหนังสือเรียนและสมุดการบ้านที่เปียกชื้นมากางผึ่งลมไว้ เช็ดและเป่าด้วยไดร์จนมั่นใจว่ามันจะไม่พังเสียหาย เป็นห่วงอุปกรณ์การเรียนยิ่งกว่าตนเองเสียอีก ลืมกระทั่งอาหารเย็นที่ควรกิน
กว่าเธอจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เป็นเวลากว่าสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว นั่นเองที่เด็กใฝ่เรียนจึงเริ่มให้ความสนใจร่างกายตนเอง เธอเริ่มรู้สึกปวดศีรษะและพร่ามึน อีกทั้งอาการครั่นเนื้อครั่นตัวก็บ่งชัดว่าตนกำลังจะไม่สบาย จึงหมายจะลงไปหยิบยาแก้ไข้ที่ตู้ยาชั้นล่างเพื่อกินดักไว้ รู้ดีว่าตนจะป่วยไม่ได้ เนื่องจากมีสอบย่อยรายวิชาในวันรุ่งขึ้น และเธอจะขาดสอบไม่ได้เด็ดขาด การเรียนเป็นเรื่องเดียวที่เธอทำได้ดี ด้วยไม่อยากให้พ่อแม่ผิดหวังกับผลสอบที่อาจต่ำลง ทั้งหมดทั้งมวลเธอจึงฝืนกายเดินออกไปอย่างทุลักทุเล เพราะในเวลานี้แม่บ้านคงกลับเรือนนอนกันหมดแล้ว
ปลายเท้าเรียวสวยก้าวอย่างไม่มั่นคงนัก ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นใครบางคนนอนฟุบอยู่ที่หน้าห้องของเขาเองขณะประตูถูกเปิดค้างไว้ แม้ไม่อยากยุ่ง ทว่าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงสาวเท้าเข้าไปดูใกล้ๆ
“คุณวินคะ” เด็กสาวเขย่าแขนเขาเบาๆ หวังให้ตื่น กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยปะทะจมูกทำให้รู้ว่าคงมึนเมา เด็กสาวจึงตั้งใจว่าจะปลุกเขาให้ลุกขึ้นไปนอนดีๆ ที่เตียงนอนด้านใน “ตื่นค่ะ ไปนอนที่เตียงนะคะ” เธอพยายามรั้งแขนเขาขึ้นพาดบ่าเล็กของตน แต่แรงกำลังเพียงน้อยนิดด้วยพิษไข้รุมเร้าไม่อาจสู้กับตัวหนาหนักของคนเมาที่ไม่ยอมขยับช่วยสักนิด
เพียงไม่นานเจ้าตัวก็ครางพึมพำในลำคอ “อือ...” พูดอะไรบางอย่างที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง กระทั่งเด็กสาวพยายามรั้งแขนแกร่ง เขาจึงเริ่มขยับตัวตาม พยายามพยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่าส่วนใดที่เผลอไปดันบานประตูปิดเข้า คนป่วยและเมาจึงโอบประคองกันไปอย่างโซซัดโซเซ ทันทีที่ถึงเตียงนอน ร่างบางจึงปล่อยเขาทิ้งลงยังเตียงกว้างอย่างหมดแรง เหนื่อยหอบเพราะต้องออกกำลังอย่างหนัก ก่อนจะหมุนกายหมายจะเดินไปทำธุระของตนต่อ ทว่ากลับมีบางอย่างเกี่ยวรั้งเอวบางลงไปหาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยถ้อยคำพร่ำเพ้อมากมายหลุดออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่ม
“น้ำตาล” เขากักกอดเธอไว้แน่น พันธนาการรัดรึงจนไร้ทางหนี ปากก็เพ้อชื่อแฟนสาวออกมาซ้ำๆ บ้างเป็นคำ บ้างเป็นประโยค
“ปะ...ปล่อยค่ะ นี่พราวเอง” เธอพยายามดิ้นหนีจากอ้อมแขนร้อน สติเพียงน้อยนิดกำลังจะสิ้นลง ปวดศีรษะราวกับโดนบิดบีบ
“น้ำตาล ทำแบบนี้ทำไม ไหนว่ารัก...” เขายังคงรำพันยืดยาว แต่เธอไม่มีสติพอจะประมวลสิ่งใดได้ เจ็บร้าวและหนาวสั่นไปทั้งกาย
เรียวปากฉุนกลิ่นแอลกอฮอล์แนบลงมาทั่วใบหน้าคนป่วย สะเปะสะปะทั้งที่ยังไม่ลืมตามอง จึงไม่รู้ว่าคนใต้ร่างนั้นไม่ใช่ใครที่หมายปอง ทว่าเป็นอีกคนที่แสนเกลียดชัง
“ฮือ...ปล่อย...” เธอดิ้นรนสุดแรงกำลังที่มีเหลือ หวาดกลัวสิ่งที่เผชิญ พยายามขัดขืน แต่ไร้เรี่ยวแรงพอจะป้องกันตนเอง มึนเพราะพิษไข้ และอาจเมาเพราะกลิ่นฉุนจมูกจากเขา
กระทั่งเสื้อนอนของเด็กสาวถูกถอดออกไปพร้อมกับสติที่ใกล้จะดับลงของเธอ เขาระดมจูบ บดขยี้ ฟอนเฟ้นไปทั่วร่างกายเกือบเปลือยเปล่าของเด็กสาวไม่เบานัก ทว่าปากยังคงเรียกหาใครอีกคน
หญิงสาวอ้าปากหมายจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ร่างบางสั่นเทาอยู่ใต้สัมผัสจาบจ้วงจากเขา มือหนาลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเด็กสาววัยแรกแย้ม
เธอยิ่งตื่นตระหนกหนักเข้าเมื่อเขาสัมผัสจุดที่ไม่ควร พยายามจะยกมือขึ้นห้าม แต่คล้ายหามือของตัวเองไม่เจอ ร่างกายนี้เหมือนไม่ใช่ของเธอ เธอควบคุมมันไม่ได้
ตากำลังจะหลับ สติกำลังจะหมดลง แต่ใจพยายามฝืนสู้...จนสุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานความอ่อนแอของร่างกายได้
กวินภัทรยังคงไม่มีสติเต็มร้อย ขยับเขยื้อนยื้อยุดกันอยู่พัก ร่างกายชายหญิงจึงเปลือยเปล่า ทว่าเพราะสภาพมึนเมาเขาจึงทำอะไรได้อย่างยากลำบาก
“อยากให้วินทำแบบนี้ใช่ไหม” แล้วร่างหนาเปลือยเปล่าก็โน้มเข้าหากายสาวใต้ร่าง คลุกเคล้าบดเบียด “แบบนี้ใช่ไหม!” กวินภัทรทำทุกอย่างตามอารมณ์เรียกร้องในส่วนลึก กระหน่ำใส่คนที่หลับใหลไม่รู้เรื่องราว
กระทั่งถึงปลายทางของความต้องการ “น้ำตาล...” เสียงครางลากยาวเป็นชื่อคนรักดังก้องกลางห้องเงียบงัน พลันเขาฟุบลงกอดก่ายคนใต้ร่างไว้อย่างหวงแหน บ่นพึมพำอีกพัก ไม่นานก็หลับใหลตามไป
พาพราวสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกอย่างปวดร้าว เธอเจ็บ...เจ็บไปหมดทั้งเนื้อตัว ปวดหัวตุบๆ จนแทบระเบิด สัมผัสแนบชิดบอกให้รู้ว่าตนอยู่ในที่ไม่ควร ความทรงจำสุดท้ายเลวร้ายเกินกว่าจะกล้าจินตนาการต่อ เด็กสาวกลั้นลมหายใจ เกร็งกายขยับออกจากท่อนแขนหนาหนักที่พาดทับไว้ เขายังคงหลับใหลไม่ได้สติ เธอพยายามยืนขึ้นอย่างยากลำบาก หรี่ตามองหาเสื้อผ้าของตนในความมืดสลัว มือสั่นเทาขณะเก็บเสื้อผ้าที่ตกระพื้น สวมใส่มันอย่างทุลักทุเล ยิ่งสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เหนียวข้นกลางกายก็ยิ่งอยากร้องไห้ กัดฟันก้าวออกไปอย่างไม่มั่นคง โอนเอนทุกการขยับ ท้ายที่สุดก็ล้มลงกลางห้องเมื่อเผลอสะดุดเข้ากับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และข้าวของมากมายที่วางเกะกะบนพื้น
น้ำตาที่พยายามฝืนกลั้นไหลอาบแก้มช้ำซับสีระเรื่อของตน ปวดหม่นไปทั้งสรรพางค์กาย อยากลุก ทว่าไร้กำลัง จึงแทบจะเรียกได้ว่าคลานออกจากห้องไปอย่างหมดสภาพ มือบางจับก้านประตูยึดไว้เพื่อพยุงกายขึ้น เก็บกลั้นเสียงสะอื้นเพราะเกรงเขาจะตื่นมาเจอ ปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา แล้วจึงค่อยๆ ไถตัวไปกับผนังเพื่อกลับห้องตนเอง ท่องเอาไว้ในใจว่าจะต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้...ไม่เด็ดขาด!
และทันทีที่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ของตน คล้ายเรี่ยวแรงที่มีเพียงน้อยนิดถูกใช้ไปหมดแล้ว เธอฟุบลงที่หลังบานประตู ปล่อยโฮร้องไห้ปานจะขาดใจ สะอึกสะอื้นจนตัวโยน นอนคุดคู้กอดตัวเองไว้แน่นด้วยความร้าวราน ก่อนจะหลับไปทั้งน้ำตา
กวินภัทรตื่นในเวลาสายของวันรุ่งขึ้น เขาสะบัดศีรษะอย่างงุนงง พยายามทบทวนสติว่าตนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร ไล่คิดไปยังเหตุการณ์สุดท้ายที่จำได้ เขาดื่มไวน์จนมึนเมาและจะลงไปข้างล่างเพื่อหาอะไรร้อนๆ ดื่มให้สร่างสักหน่อย
แล้ว...
น้ำตาล...เขากับเธอ... ไม่! ไม่ใช่ จะเป็นไปได้ยังไง เธอจะมาอยู่ในห้องกับเขาได้อย่างไร แล้วใคร? กวินภัทรใจเต้นระรัว ตื่นไหวไปกับความจริงที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ขอแค่ไม่ใช่ใครคนที่เขากลัว ขออย่าให้เป็นเธอ ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบเตียงนอนที่มีสภาพยับย่น รอยยุบข้างตัวแสดงชัดว่าทุกอย่างเกิดขึ้นที่นี่ เขาไม่ได้ฝันไป มือหนาสะบัดผ้าห่มเป็นบ้าเป็นหลัง กระทั่งเห็นบางอย่างหล่นอยู่ที่ข้างหมอน ‘กิ๊บติดผม’
...ของพาพราว
ความจริงตีแสกหน้าจนพร่ามึน เขาทำอะไรลงไป ก่อนสอดส่ายสายตามองหาร่องรอยรัก คราบขาวขุ่นที่คุ้นตา มั่นใจว่ามันมาจากเขาแน่นอน แต่...
คนใจเสียเลิกผ้าหาจนทั่ว ครานี้จริงจัง สำรวจตรวจตราอย่างละเอียด ทว่า...ไม่พบรอยเลือดอย่างที่ควรมี เขาไม่ได้หัวโบราณหรือยึดติด รู้ว่าครั้งแรกอาจไม่มีเสมอไป แต่ความสงสัยใช่จะจางไปโดยง่าย ยิ่งกับคนที่มีอคติอยู่ด้วยแล้วก็ยิ่งยาก ประเด็นคือแล้วทำไมเธอจึงเข้ามาในห้องนอนของเขาได้ นั่นสิ ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไม...
วูบหนึ่งมีความคิดร้ายเข้ามากระทบใจ อคติทำให้เขาตัดสินเธอไปแล้ว เกิดความรู้สึกผิดหวังในส่วนลึกจากข้อมูลที่ตนสรุปเอาเอง
ส่วนพาพราวนอนซมอยู่ในห้องทั้งวัน เธอขาดเรียนโดยไม่มีใครรู้ มีเพียงอารี แม่บ้านที่ขึ้นมาเคาะประตูเรียกในช่วงเที่ยงของวัน คนสูงวัยตกใจเมื่อเห็นสภาพของเด็กสาว คาดว่าคงป่วยจากฝนเมื่อเย็นวาน จึงเช็ดเนื้อเช็ดตัวนอกร่มผ้าให้ ป้อนอาหารและหายาให้กินเท่าที่มีติดบ้านไว้ หากไม่ไหวเธอจะเรียนครองขวัญซึ่งคงวุ่นอยู่ที่โรงพยาบาล
นับเป็นโชคดีที่พาพราวฝืนตนเองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยคราแรกเธอตั้งใจจะไปโรงเรียนเสียให้ได้ แต่รู้ว่าฝืนไม่ไหวจึงทรุดกายลงนอนอีกครา ดีที่ว่าเธอทำความสะอาดเนื้อตัวเรียบร้อย ไม่เช่นนั้นอารีคงจับสังเกตได้เป็นแน่
ชายหนุ่มแอบมองคนตัวเล็กซึ่งนอนซมอยู่ในห้องทั้งวัน โดยอาศัยจังหวะที่อารีเปิดเข้าเปิดออก รู้ว่าเธอป่วยไข้ ทว่าใจก็ไม่กล้าพอจะเข้าไปดู จึงทำเพียงมองลอดช่องประตูเข้าไป เห็นเธอนอนหันหลังตะแคงไปอีกด้าน ไหล่เล็กลู่ลงจนดูน่าสงสาร กวินภัทรอดคิดหวาดระแวงถึงความผิดพลาดไม่ได้ จึงออกไปซื้อยาบางอย่างป้องกันไว้ และแอบอาศัยจังหวะที่อารีเผลอใส่มันลงไปในถ้วยยาแก้ไข้ของเธอ
กระทั่งค่ำวันนั้นเขาต้องเดินทางแล้ว ทุกคนต่างพร้อมใจไปส่งชายหนุ่มที่สนามบิน มีเพียงกวีลดาซึ่งนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนพาพราวมาด้วยสภาพโรยแรง แต่เธอยังฝืนทำตัวเป็นปกติ ทั้งที่หน้าตาซีดเซียวอ่อนล้า ทว่าเธอยังทำทุกอย่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างเดียวที่ผิดปกติคือสายตา เธอไม่กล้าสบตาเขา ไม่แม้แต่จะมองหน้า ทั้งยังยืนห่างกันเป็นวา คนคิดมากแอบขัดใจอยู่ในที คล้ายมีแค่เขาที่บ้าไปเองคนเดียว
เมื่อเห็นเพื่อนสนิทและแฟนสาวกำลังเดินตรงเข้ามาอยู่ไกลๆ เขาจึงชิงไล่กอดทุกคนในครอบครัว ครั้นจะข้ามเธอไปก็ไม่ได้เพราะพ่อกับแม่ยืนอยู่ตรงนี้ ชายหนุ่มจึงสวมกอดเธอไว้ทั้งที่เด็กสาวยืนแข็งทื่อ อาศัยจังหวะเพียงเสี้ยวนาทีกระซิบเสียงเบา “เดี๋ยวกลับมาจัดการ” แล้วรีบเดินเข้าเกตไปทันที ไม่รอเจอใครที่เขาไม่อยากเจอ
ระหว่างอยู่ต่างประเทศ กวินภัทรเปลี่ยนแปลงตนเองไปพอสมควร เขาสลายตัวตนเดิมๆ ทิ้ง เริ่มปล่อยตัวเป็นอิสระ ทำทุกอย่างตามใจนึกคิด ออกนอกแผนการที่เคยวางไว้ เริ่มมีความมั่นใจจนบางครั้งก็มองข้ามเหตุผลสมควรไป หรืออาจจะเรียกได้ว่าเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น เที่ยวสังสรรค์ดื่มกินกับเพื่อนบ้างตามประสาหนุ่มโสดรักสนุก แม้ไม่ได้เสเพลจนเสียการงานและการเรียน ทว่าหากแม่ได้มาเห็นลูกชายเปลี่ยนไปขนาดนี้คงกรีดร้องใส่หน้าหล่อๆ ของเขาเป็นแน่
ชายหนุ่มเริ่มทำงานในบริษัทต่างชาติ ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำและติดต่อให้ ด้วยผลงานการแข่งขันมากมาย ทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับโอกาสเริ่มทำงานแม้ในประเทศที่มาตรฐานสูงลิบ และเพราะการทำงานนั้นท้าทายพอควร เขาจึงต้องพิสูจน์ความสามารถให้คนในองค์กรยอมรับ พร้อมทั้งต้องปรับรูปแบบการใช้ชีวิตและความคิดค่อนข้างมาก ความเจ็บปวดที่หอบข้ามน้ำข้ามทะเลมาจึงหล่นหายไประหว่างทางโดยง่าย และอาจเพราะเขาตัดขาดการติดต่อกับทั้งนีรัมพรและตรัยคุณทุกช่องทางจึงง่ายที่จะทำใจ สภาวะแวดล้อมเองก็มีส่วนช่วยได้มาก
ทว่าอีกเรื่องที่ค้างคาคือ...พาพราว
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องราวคืนนั้นก็อดประหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้ พอคิดเรื่องนี้ทีไรก็พาเอาใจแกว่ง จัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้ทุกทีไป ครั้นอยากพูดคุยกับเธอก็ไม่กล้า ยิ่งพอผ่านเวลาไปเรื่อยๆ ความกลัวก็เริ่มสั่งสม ความรู้สึกผิดก็ยิ่งทวีคูณ กระทั่งมีหลายครั้งที่เขาเริ่มฝันแปลกๆ ถึงเธอ...คนที่ไม่ควรได้เข้ามาอยู่ในความฝันของเขา
มันค้างคา จนทำให้เขาเริ่มสนใจชีวิตของเด็กสาวอย่างจริงจัง
คนบ้าคลั่งคอยตามติดชีวิตของคนที่อยู่ไกลอีกซีกโลกผ่านช่องทางต่างๆ ผ่านคนในครอบครัวที่มักเล่าเรื่องเด็กสาวให้ฟัง หรือถ้าไม่เล่าเขาก็แอบถามอ้อมๆ เอาจนได้
รู้ตัวอีกทีเธอก็เข้ามามีอิทธิพลกับความรู้สึกนึกคิดของเขาไปเสียแล้ว มีหลายครั้งที่เผลอนั่งมองภาพเธอคราละนานๆ น่าหวาดหวั่นว่าตนจะเผลอใจไปกับความผิดพลาดเพียงแค่ครั้งเดียว
กวินภัทรอยากพิสูจน์ เขาจึงลองคบกับผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อเบนความสนใจของตัวเอง ทว่าก็ยิ่งตอกย้ำว่าส่วนลึกก็ยังนึกถึงเธอตลอดเวลา ยิ่งสลัดทิ้งก็ยิ่งติดตรึง
...
ชายหนุ่มปัดความคิดตนเองในอดีตทิ้งไป ก่อนหันมาสนใจคนในอ้อมแขน ตัวเธอเบากว่าที่เขาคิดไว้มาก กวินภัทรอุ้มคนที่หลับไปทั้งน้ำตากลับมาส่งที่ห้อง หญิงสาวในชุดนักศึกษาลืมตาตื่นอีกคราตอนที่แผ่นหลังสัมผัสที่นอนนุ่ม สะดุ้งตอนที่เห็นชายหนุ่มอยู่ข้างๆ ก่อนจะเสหลบตา ไม่กล้าสู้หน้า
“อยากอาบน้ำไหม” เขาเอ่ยถามเสียงเบาขณะวางเธอลงบนเตียงนอนอย่างนุ่มนวล
เธอพยักหน้าตอบทั้งที่ยังไม่มองเขา แต่ต้องรีบหันมามองเขาทันทีเมื่อรู้ว่าจะถูกอุ้มอีกครั้ง “ไม่นะคะ พราวอาบเอง”
กวินภัทรคลี่ยิ้มเอ็นดู ก่อนปล่อยเธอให้เป็นอิสระเพื่อไปจัดการตัวเอง
คนตัวเล็กรีบลนลานลงจากเตียงทันที วิ่งหนีหายเข้าไปในโซนแต่งตัวซึ่งเชื่อมกับห้องน้ำ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเมื่อไม่เห็นเธอออกมาเสียที คนรอเก้อจึงเดินมาเคาะประตูเรียก “พราว...เป็นอะไรรึเปล่า”
อีกฝั่งของประตู หญิงสาวยืนหน้าแดงจัด ไม่กล้าออกไป เธอกอดผ้าขนหนูไว้แนบอก ผ่อนลมหายใจก่อนตะโกนบอกเขาไป “คุณวินกลับห้องก่อนได้ไหมคะ”
ไม่มีเสียงใดตอบกลับ มีเพียงความเงียบงัน เธอแนบหูกับบานประตูเพื่อฟังเสียงอยู่สักพัก มั่นใจว่าไร้เงาของเขาในห้องตนเองแล้วจึงเปิดออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไล่พี่ทำไม” เสียงทุ้มมาพร้อมกับอ้อมแขนอุ่นที่รัดรอบเอวบาง
“อือ...” พาพราวพยายามดิ้นรนออกจากความอุ่นร้อนนั้น เพียงคิดว่าตนผ่านพ้นประสบการณ์อย่างว่ามา ใจก็พาหวิวไหว ยิ่งตระหนักชัดว่าเขาทำอะไรๆ กับเธอบ้าง แตะต้องจ้องมองตรงไหนบ้าง เธอยิ่งอยากหนีหายไปจากตรงนี้ มีคำไหนที่อธิบายได้มากกว่าคำว่าอายอีกไหม เธอต้องการคำนั้นละ แค่มองหน้าเขาเธอยังไม่กล้าเลย
“ให้พี่นอนด้วยนะ” เขาเย้าเสียงนุ่มพลางจับตัวเธอหันเข้าหา พอเห็นใบหน้าหญิงสาวก็อดวูบในอกไม่ได้ “แอบไปร้องไห้คนเดียวเหรอ ทีหลังถ้าจะร้องไห้ให้มาร้องกับพี่...นะ” ไม่ทันคิดว่าไพ่ที่ตนหยิบขึ้นมาต่อรองนั้นจะทำเธอเจ็บช้ำขนาดนี้
อะไรสักอย่างทำให้เธอต้องหลับตาลงเพียงครู่ ก่อนจะโดนคนตัวโตจูงไปนอนที่เตียงกว้างด้วยกัน พาพราวนอนหันหลังให้เขา หลับตาทั้งที่ตัวเกร็งทื่ออยู่อย่างนั้น ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสเย็นชื้นบนต้นคอเกลี้ยงเกลา จับดูจึงได้รู้ว่าเป็นสร้อยเส้นเล็ก
“อะไรคะ” เธอว่าพลางลูบคลำเบาๆ พบว่าเป็นจี้รูปตัวอักษร ‘W’ เขาทำราวกับเธอเป็นสุนัขที่ต้องห้อยป้ายเจ้าของไว้อย่างนั้นละ
“ใส่ไว้ จะได้รู้ว่าพี่จองแล้ว” กวินภัทรจับคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นนั่ง ติดตะขอเกี่ยวสายสร้อยให้เรียบร้อย แล้วจึงผ่อนร่างบางให้ล้มลงนอน กอดเธอไว้ “ต่อไปห้ามเรียกคุณวินแล้วนะ ถ้าพราวเรียกพี่จะจูบ จูบตรงไหนก็ได้” ไม่พูดเปล่า แต่เขาขยับหยอกเย้า พรมจูบไปทั่วเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอ
“อื้อ...พอแล้ว พราวไม่เรียกแล้วค่ะ” ทำไมเขาชอบใช้สัมผัสหลอกล่อให้เธอต้องจำยอมรับข้อเสนออยู่ร่ำไป ชอบคำตอบที่ได้จากการขู่บังคับมากนักหรือไง
พาพราวตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ด้วยความอ่อนล้า โล่งอกเมื่อพบว่าเขาไม่อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นเธอคงวางสีหน้าไม่ถูกเป็นแน่ เมื่อคืนเธอนอนเกร็งจนเมื่อยขบไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว แถมเช้านี้ยังตื่นสายกว่าเวลาปกติ จึงรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว เมื่อลงมาข้างล่าง เพียงก้าวเท้าเข้ามาในห้องอาหาร ตัวต้นเหตุที่ทำเธอสับสนวุ่นวายก็ส่งยิ้มกริ่มมาให้
หญิงสาวชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขานั่งอยู่กับใคร...หวังว่าชายหนุ่มจะรักษาสัญญา
“พราว มากินข้าวมาลูก วันนี้ตื่นสายจัง เมื่อคืนอ่านหนังสือดึกเหรอเรา” ครองขวัญทักลูกสาวเป็นปกติ กวักมือเรียกให้เธอมานั่งที่โต๊ะอาหาร นางกลับมาจากโรงพยาบาลแต่เช้าและเข้าครัวด้วยตัวเอง ช่วงสายจึงจะกลับไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ใหม่
“ปะ...เปล่าค่ะ พราว...พราวนอนไม่ค่อยหลับค่ะ” เธอละล่ำละลักตอบ ไม่กล้าสู้หน้าคนเป็นแม่ ยิ่งคิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็ยิ่งยอกในอก ยอมปกปิดความผิดด้วยการทำผิดซ้ำๆ โกรธตัวเองที่ถลำลึกลงไปจนได้
“เครียดเหรอลูก” นางเอื้อมมือมาลูบศีรษะหญิงสาวด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นคนตัวเล็กขมวดคิ้วราวกับมีเรื่องหนักใจ อีกไม่เกินเดือนลูกสาวคนสวยก็จะเรียนจบแล้ว จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ลูกสาวตัวน้อยๆ ของนางอีกต่อไป
“เครียดเรื่องอะไรเหรอ” กวินภัทรถามเมื่อเห็นสีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย
“มะ...ไม่ได้เครียดค่ะ” เธอไม่กล้าสบตาใครทั้งนั้น ได้แต่ก้มหน้างุดเขี่ยอาหารในจานไปมาอย่างประหม่า
หลังกินอาหารเช้าเรียบร้อย พาพราวเดินก้มหน้าตามกวินภัทรไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย ไม่กล้ามองหน้าเขาด้วยซ้ำ ท่าทางเธอดูเกร็งไปหมด
กระทั่งถึงมหาวิทยาลัย กวินภัทรขับมาส่งเธอถึงหน้าอาคารเรียน แม้หญิงสาวจะขอร้องให้เขาส่งเธอแค่หน้าประตูใหญ่ก็พอ แต่เขาไม่ฟัง ยืนยันจะเข้ามาส่งให้ได้
“จอดตรงนี้ก็พอค่ะ” เธอยันตัวตรงจากเบาะ สอดส่ายสายตามองไปด้านนอกรถอย่างล่อกแล่ก
“ทำไม กลัวใครเห็นเหรอ” เขาถามเสียงแข็ง ดวงตาวาววับ คิดเองเออเองอยู่คนเดียว ยังจำเด็กหนุ่มคนที่ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งเธอวันนั้นได้ดี นึกแล้วก็อดขุ่นเคืองไม่ได้
“ไม่ได้กลัว แต่พราวไม่ชอบให้ใครมองนี่คะ” คนตัวเล็กอ้อมแอ้มตอบ
“ใครล่ะที่มอง”
รวน! เขากำลังหาเรื่องกันชัดๆ เธอเม้มปากแน่นขณะลอบถอนหายใจ ไม่มีอารมณ์อยากจะต่อความยาวสาวความยืดอะไรกับเขาทั้งนั้น
ชายหนุ่มจึงชะลอรถเข้าจอดบริเวณหลังตึกซึ่งไม่ค่อยมีคน “พี่ส่งตรงนี้ก็ได้” เมื่อเห็นว่าเธอเงียบไป เขาจึงยอมลงให้แต่โดยดี อุตส่าห์หวังดีจะไปส่งให้ถึงที่ เธอจะได้ไม่ต้องเดินไกล
หญิงสาวทำท่าจะผละลงจากรถทันทีที่เขาจอดสนิท
“เดี๋ยว!” มือแกร่งเอื้อมมาจับแขนเรียวไว้ ยังไม่ยอมให้เธอลงจากรถง่ายๆ
“คะ?” เธอมองหน้าเขาอย่างงุนงง สำรวจดูสัมภาระของตนก็ไม่มีอะไรแล้ว มีเพียงกระเป๋าสะพายใบเดียว
“ลืมอะไรรึเปล่า”
“ขอบคุณนะคะ” พาพราวยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพเขาทันทีเมื่อเข้าใจผิดคิดว่าชายหนุ่มรอเธอกล่าวขอบคุณ
ดูเธอทำสิ! เขาไม่ใช่พ่อเธอนะ มายกมือไหว้กันทำไม รู้สึกตัวเองแก่ขึ้นมาทันใด ราวกับว่ามาส่งลูกสาวที่โรงเรียนยังไงยังงั้นละ “ไม่ใช่แบบนี้ จูบพี่ก่อนสิ”
“ไม่เอา นี่ในมหา’ลัยนะคะ” แค่มองหน้าเธอยังไม่กล้าเลย นับประสาอะไรกับจูบ
“นะ นิดเดียว พี่ไม่มีแรงไปทำงานเลย”
มารยาสุดๆ ทำไมเขากลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้ว
“เมื่อคืนพี่ใช้แรงไปตั้งเยอะ พราวฟิน...”
เธอทนฟังไม่ได้จนต้องยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ ไม่อยากได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกมา “ห้ามพูดนะคะ!” จากคนไม่กล้าหือจึงเผลอจ้องหน้าและปรามเขาเสียงเข้ม
แต่กวินภัทรก็ยังเป็นกวินภัทร เขาเคยกลัวเธอเสียที่ไหน นอกจากไม่กลัวแล้ว แววตาล้อเลียนที่มองมาทำเอาเธอไปต่อไม่ถูก ไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าอย่างไรออกไป
ชายหนุ่มใช้จังหวะนั้นขบเม้มมือบางที่ปิดปากเขาไว้ ไล้เรียวปากไปเรื่อยจนเธอต้องรีบชักมือกลับทันใด “ดุจังนะ” คนขี้แกล้งหยอกเย้า
ทำไมเธอต้องแพ้ทางเขาทุกทีไป “อื้อ...” หญิงสาวร้องเสียงหลงเมื่อคนตัวโตโน้มหน้าลงมาหอมแก้มเธอเต็มฟอด
“พราวไปแล้วนะคะพี่วิน ไหนพูดซิ” กวินภัทรเรียกร้องเอาจากคนขี้อาย
“...”
“โอเค ไม่พูด” ชายหนุ่มทำท่าจะดึงเธอเข้ามาแนบชิดอีกครา
“พะ...พราว พราวไปแล้วนะคะ...พี่วิน” คนโดนบังคับหลับหูหลับตากลั้นใจพูดออกไป
“พูดแล้วก็มองหน้าพี่ด้วยสิ อายอะไร”
“สะ...สายแล้ว ปล่อยนะคะ”
กวินภัทรยอมปล่อยเธอไปแต่โดยดี เขาเห็นคนตัวเล็กวิ่งหายเข้าไปในอาคารเรียนอย่างเร็วจี๋ พลางหัวเราะในลำคออย่างนึกสนุกที่ได้แกล้งหญิงสาว
“พราววว...ใครมาส่ง” วรรณิกวิ่งเข้ามาดักหน้าเธอไว้ราวกับซุ่มรอจังหวะอยู่นานแล้ว
“พี่...พี่ชาย” เธออ้อมแอ้มตอบเพื่อน รีบหันไปมองทางรถยนต์คันเมื่อครู่ มองดูว่าเขาขับออกไปหรือยัง
“จริงอ้ะ? แล้วทำไมแกต้องหน้าแดงด้วย”
“แดงเหรอ...สงสัยปัดแก้มหนักมือไปมั้ง”
“เหรอ...” วรรณิกยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มของเพื่อนดู...หน้าสด แล้วจึงจูงแขนคุณหนูคนสวยเดินไปทางโรงอาหาร
“ไอ้ดิน ไอ้เลว ฉันอุตส่าห์เก็บลูกชิ้นไว้กินสุดท้าย” วรรณิกตวาดแว้ดเสียงดังใส่เพื่อนชายทันที เมื่อครู่เธอวิ่งไปเอาของที่ลืมไว้ในตะแกรงรถจักรยานยนต์หลังอาคารแป๊บเดียว กลับมาชามก๋วยเตี๋ยวของเธอก็เหลือเพียงน้ำซุปเท่านั้น
“เอ้า ฉันก็นึกว่าแกไม่กินแล้วเลยช่วย เสียดายของ”
“ฉันบอกแกเหรอ ไอ้บ้า!”
“เออๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ซื้อคืนให้”
แม้อยากจะเอาน้ำก๋วยเตี๋ยวที่เหลือกรอกปากมัน แต่ดีลที่ได้ก็น่าสนใจอยู่ “งั้นขอสองชามนะ พิเศษด้วย!”
“ปอบ!” คนข้างบ้านสรรเสริญกันตามประสา
ความคิดเห็น |
---|