13

สัญญา (มัดใจ)


 

๑๔

สัญญา (มัดใจ)

 

สถาปนิกสาวไม่เคยรู้สึกว่ามีครั้งไหนที่เธอต้องตั้งสมาธิกับการทำงานมากเท่ากับครั้งนี้เลย...

ภาพนายจ้างหนุ่มยังคงวนเวียนเข้ามาในหัวให้เธอคอยคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรก กระทั่งวันก่อนที่เธอได้พบกับเขา

เขาเอาเปรียบเธออีกแล้ว!

เขาทำเหมือนเธอเป็นผู้หญิงไร้ค่า เป็นแค่ดอกไม้ริมทางที่นึกจะเด็ดมาดอมดมเมื่อไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแยแสหรือใส่ใจความรู้สึกของเธอเลยแม้แต่น้อย

เขาไม่ให้เกียรติกันเลย...อย่าว่าแต่ในฐานะเพื่อนร่วมงาน แม้แต่ความเป็นคนเหมือนกันก็แทบไม่มี!

จะมีสักครั้งไหม...ที่เขาไม่หาเรื่องกลั่นแกล้งรังแกกัน

สลักจันทร์สรุปได้ว่าทุกครั้งเขาจะต้องทำให้เธอหงุดหงิดหัวเสีย เอือมระอา เบื่อที่จะคุยกับคนพูดยากเข้าใจยาก เช่นเขา เธอไม่อยากมองหน้า ไม่อยากสบตา ไม่อยากรับรู้ด้วยว่าเขาจะแก้ตัวกับคู่หมั้นสาวอย่างไร ในขณะที่ลับหลังกลับทำตัวเสเพลเที่ยวกอดจูบผู้หญิงไม่เลือกหน้า

สลักจันทร์รู้สึกเจ็บ ‘จี๊ด!’ ข้างในใจ เมื่อผู้หญิงคนนั้นคือ...ตัวเธอเอง

มันเจ็บปวดจนเกินบรรยาย...เขาเป็นคนใจร้ายใจดำ ช่างทำกับเธอได้!

หญิงสาววางดินสอในมือลงเพราะหมดอารมณ์ทำงาน ได้แต่นั่งทอดถอนใจ

เขาทำแบบนั้นทำไม

‘จูบ’ เธอทำไม ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รักใคร่เธอเสียหน่อย สิ่งที่เขารู้สึกกับเธอเสมอมาไม่เคยเปลี่ยนก็คือต้องการเอาชนะคะคานกันเท่านั้น

แต่เธอสิ...เผลออ่อนไหวไปกับเขา

ชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า น้อยใจ เสียใจ คิดมากจนสับสนวุ่นวายไปหมด แวบหนึ่งเธออยากให้สิ่งที่เขาทำเกิดมาจากความรู้สึกของ ‘หัวใจ’ อยากให้เขามีความรู้สึกพิเศษต่อเธอ

หญิงสาวยิ้มขื่นๆ ไม่รู้ว่ายิ้มเยาะหรือนึกสมเพชตัวเองกันแน่ที่หลงคิดแบบนั้น ผู้ชายเย็นชาอย่างเขาน่ะหรือจะมาสนใจไยดีคนอย่างเธอ ต่อให้เป็นแค่ความฝันก็ยังแทบเป็นไปไม่ได้ คนอย่าง ธรรศ ธุวานนท์ ไม่เคยเชื่อ ไม่เคยมอบความจริงใจ และไม่มีวันรักผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น

สลักจันทร์เกลียดตัวเองชะมัด รู้ทั้งรู้ เข้าใจทุกอย่าง แต่ก็ยังปวดแปลบในใจอยู่ดี  

“เฮ้อ...” เธอถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง นั่งหน้ามุ่ยอย่างคิดไม่ตกจนลืมใส่ใจคนรอบข้าง กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน สายตาจึงเหลือบมองช่วงขาของอาคันตุกะ ก่อนจะรับรู้ว่าเป็นผู้ชายเพราะใส่กางเกงผ้าสแลกส์เนื้อดี

คนที่มาหาเธอในเวลาทำงานถึงโต๊ะแบบนี้จะมีใคร ถ้าไม่ใช่...

“แต่งตัวซะหล่อเชียวนะคะพี่วีร์”

เงียบ...ไม่มีเสียงตอบกลับจนสลักจันทร์นึกเอะใจ ปกติปวีร์จะต้องส่งเสียงเจื้อยแจ้วกลับมาในสามวินาที เร็วยิ่งกว่าเสียงตอบรับอัตโนมัติของคอลเซนเตอร์เสียอีก หญิงสาวตั้งใจจะเงยหน้าไขข้อข้องใจ อีกฝ่ายก็ส่งเสียงให้รู้ว่าเขาไม่ใช่หัวหน้าหนุ่ม

“ฮึ...ทุกลมหายใจเข้าออกของคุณมีแต่ไอ้วีร์คนเดียวรึไง”

“คุณธรรศ!” สลักจันทร์เบิกตามองเขาเต็มๆ ตา ถ้าไม่ติดว่าเป็นการเสียมารยาทต่อนายจ้างหนุ่มจนเกินไป เธอจะยกมือขึ้นขยี้ตาซ้ำอีกที เอาให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้คิดถึงเขามากเสียจนหลงละเมอหรือฝันไป...

“คุณมาทำไม”

พอตั้งสติได้ หญิงสาวก็ถามเสียงแข็งเพราะยังคงขุ่นเคืองในความหยาบคายของเขา แต่อีกฝ่ายกลับยืนกอดอกมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนเธอไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

ธรรศมองสถาปนิกสาวอยู่นานแล้ว เขาเห็นหล่อนนั่งเหม่อลอย เอาแต่ถอนหายใจ สักพักก็ยิ้มเศร้าๆ รอยยิ้มของหล่อนทำให้หัวใจของเขาแกว่งจนก้าวขาไม่ออก ร่างกายของเขาเหมือนถูกตรึงให้หยุดนิ่งอยู่กับที่และเฝ้ามองหล่อนอย่างนั้นอย่างไม่อาจละสายตา ชายหนุ่มไม่ชอบใจมากๆ เขาไม่ชอบความรู้สึกหดหู่แบบนี้ เขาเกลียดอะไรก็ตามที่ทำให้หล่อนมีสีหน้าแบบนั้น

ธรรศใช้เวลาตัดสินใจอยู่หลายนาทีว่าควรจะเดินเข้ามาทำลายความเงียบงันสีหม่นๆ ที่ปกคลุมรอบตัวสลักจันทร์ดีหรือไม่ กระทั่งไม่เห็นหล่อนรับรู้ถึงการมาเยือนของเขาเสียที ชายหนุ่มจึงสาวเท้าเข้ามาหวังหาเรื่องพูดคุยให้หล่อนคลายความเศร้าหมองลงบ้างสักนิด แต่พอได้ยินหล่อนเพ้อหาเพื่อนรักเท่านั้นละ เขาก็พานหงุดหงิดประชดกลับจนเกือบเสียเรื่อง

ชายหนุ่มนึกถึงเหตุผลและความตั้งใจที่เขามาหาสถาปนิกสาวในวันนี้ ก่อนจะพยายามข่มใจระงับโทสะให้ทุเลาเบาบางลง 

“ใกล้ๆ นี้มีร้านข้าวดีๆ ไหม” เอ่ยถามเสียงแข็ง สีหน้าก็ยังคงบูดบึ้งอยู่

“คะ?” สลักจันทร์มองเขาด้วยความงุนงง ไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน จึงย้อนถามกลับ “คุณนัดทานข้าวกับพี่วีร์หรือคะ”

คนถูกถามยิ่งหน้าหงิกหนักกว่าเก่า “ผมยืนอยู่ตรงหน้าใครล่ะ”

“ดิฉันเหรอคะ” สลักจันทร์จิ้มนิ้วที่ตัวเอง หน้าตาเหลอหลา

“คุณตั้งใจจะกวนประสาทผมใช่ไหม” ธรรศเลิกคิ้ว หงุดหงิดเต็มที

หญิงสาวรีบส่ายหน้า ไม่อยากทะเลาะกับเขาอวดเพื่อนร่วมงานตรงนี้

“เปล่าค่ะ แค่ไม่แน่ใจ”

“ผมมีธุระสำคัญจะคุยด้วย”

“ธุระอะไรคะ”

สลักจันทร์มองเขาอย่างหวาดระแวง เหตุการณ์หลายครั้งที่ผ่านมาทำให้เธอพึงระลึกได้ว่าตัวเองประมาทมากเกินไป หลงคิดว่าคนที่มีการศึกษาเช่นเขาจะมีสติยับยั้งชั่งใจ รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรได้บ้าง ดังนั้นเธอจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก เธอจะต้องปกป้องตัวเองให้มากกว่านี้

แววตาที่ฉายชัดถึงความเคลือบแคลงทำให้คนถูกมองยิ่งหมั่นไส้ จึงสวนกลับเสียงห้วน

“ผมไม่มีอารมณ์อยากจะปล้ำคุณยี่สิบสี่ชั่วโมงหรอกนะ!”

เท่านั้นละ...สายตาทุกคู่ที่นั่งอยู่โดยรอบบริเวณก็หันขวับมายังเธอและเขาทันที ทำเอาสลักจันทร์อับอายจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด

‘คนบ้า! พูดจาน่าเกลียด!’

“ดิฉันขอเวลาสิบนาที เชิญคุณลงไปรอที่รถได้เลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบเหาะตามลงไป!” ปากเอ่ยประชดเขาแต่กลับนั่งก้มหน้าคอยหลบเลี่ยงสายตาของเพื่อนร่วมงานที่มองมายังเธอเป็นจุดเดียว

อาการขัดเขินเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวทำให้ธรรศแอบอมยิ้มด้วยความชอบใจ เขาจงใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ให้ริมฝีปากชิดริมหู แล้วกระซิบบอกพอให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า

“ถ้าคุณไม่รีบตามลงไป ผมจะขึ้นมาใหม่ แล้วทำในสิ่งที่พวกเขาอยากรู้อยากเห็น”

จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป ปล่อยให้สถาปนิกสาวค้อนเขาปะหลับปะเหลือก!

 

“คุณมีอะไรก็รีบพูดมาเถอะค่ะ ดิฉันมีเวลาพักแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น”

สลักจันทร์กระแทกเสียงถามทันทีหลังหย่อนกายลงนั่งภายในร้านอาหารที่ตกแต่งดูดีมีสไตล์ โดยไม่รอให้บริกรเข้ามารับออร์เดอร์เสียก่อน

“กลัวโดนไล่ออกรึไง ถ้าบริษัทไอ้วีร์ไม่เอาคุณ ผมเสียเงินจ้างต่อเองก็ได้”

สลักจันทร์มองคนใจป้ำที่เอ่ยถามราวกับเป็นเรื่องเล็กๆ ด้วยความหมั่นไส้เหลือเกิน เธอเลยคันปากประชดกลับ

“คุณจะจ้างดิฉันไปทำอะไรคะ อย่าบอกนะว่าจะให้ออกแบบบ้านใหม่ให้คุณอีกสักสิบหลัง ขนาดหลังแรกยังเกือบไม่รอดเลย”

คนที่ยังอารมณ์ดีๆ อยู่เมื่อครู่หน้าตึง

“คนแบบผมมันเป็นยังไงนัก...ฮึ คุณก็พูด ไอ้วีร์ก็พูด” ธรรศถามเสียงแข็งขึ้นจมูก

“นี่คุณไม่รู้ตัวจริงๆ เหรอคะว่าคุณเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนมาก เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง และดิฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าจะเผลอทำให้คุณธรรศ ธุวานนท์ ไม่พอใจหรือฉุนเฉียวขึ้นมาเมื่อไหร่ ดิฉันไม่อยากผูกระเบิดไว้ที่เอวให้อกสั่นขวัญผวาเล่นหรอกนะคะ เพราะไม่รู้ว่าจะระเบิดขึ้นมาตอนไหน เมื่อไหร่ เกิดคุณไล่ดิฉันออกกลางคันวันไหน ดิฉันไม่ต้องกลายเป็นคนตกงานแบบไม่ทันรู้ตัวหรือคะ”

“ผมจะใจร้ายใจดำเฉพาะกับคนที่ชอบยั่วโมโหผมเท่านั้น”

“ดิฉันมั่นใจว่าไม่เคยกวนประสาทคุณเลยสักครั้ง”

“ก็เพิ่งจะเถียงให้ผมอารมณ์เสียอยู่หยกๆ”

“ฉันพูดปกติ คุณขี้หงุดหงิดเองต่างหาก”

“สลักจันทร์!”

พอนายจ้างหนุ่มเริ่มขึ้นเสียง หญิงสาวก็รีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากนั่งเถียงกับเขาตรงนี้นานๆ เหมือนกัน

“ตกลงคุณมีธุระอะไรกับดิฉันกันแน่คะ”

“เอ้านี่...” ธรรศโยนซองสีน้ำตาลลงตรงหน้าสถาปนิกสาว

“อะไรคะ”

“ลองเปิดดูสิ”

สลักจันทร์เอื้อมมือหยิบมาเปิดดูด้วยสีหน้างงงัน ก่อนจะอ่านข้อความบนหัวกระดาษ

“สัญญาว่าจ้างควบคุมและดำเนินการก่อสร้างบ้านจันทร์ทอแสง...”

“ใช่...เซ็นซะ” เขาพูดสำทับ

“คะ!” หญิงสาวยิ่งขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยหนักกว่าเดิม จู่ๆ เขานึกอยากจะจ้างเธอต่อก็จับเซ็นสัญญากันง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ คนเขี้ยวลากดินอย่างธรรศน่าจะต้องซักไซ้ขุดคุ้ยประวัติกันเจ็ดชั่วโคตรก่อนไม่ใช่หรือ แถมยังต้องทำสัญญาให้แน่นหนารัดกุมเป็นปึก เพื่อป้องกันเหตุผิดพลาดเหมือนคราวก่อนนี่นา ไม่มีทางโยนเอกสารมาวางไว้ตรงหน้า แล้วพูดว่าเซ็นซะเด็ดขาด!

“ก่อนขึ้นมาหาฉันนี่ คุณลื่นล้มหัวฟาด เดินชนกำแพง หรือถูกประตูลิฟต์หนีบหัวมารึเปล่าคะ” หญิงสาวอดถามไม่ได้ ไม่มีเจตนาจะกวนประสาทเขาเลยแม้แต่นิด แต่มันเหลือเชื่อเกินไป จนเธอยากจะเชื่อว่าเขาจะจ้างเธอต่อจริงๆ

คนถูกถามยิ่งหน้าหงิก รู้สึกราวกับถูกหล่อนหลอกด่าอย่างไรอย่างนั้น จึงถามเสียงขุ่นจัด

“ตกลงจะเซ็นไหม”

“เซ็นค่ะ”

หญิงสาวตอบเร็วปรื๋อแทบไม่เสียเวลาคิด ทำเอาคนฟังขมวดคิ้วนึกสงสัยขึ้นมาเหมือนกัน

“ทำไมคราวนี้ว่าง่าย”

“ก็คุณจ่ายสตางค์” ว่าแล้วก็หยิบปากกาจดลายเซ็นลงบนกระดาษสองสามแผ่นที่เพิ่งอ่านจบ “งานดี รายได้งามแบบนี้ ใครจะไม่ทำล่ะคะ อีกอย่างเนื้อหาในสัญญาคราวนี้ก็ไม่ค่อยจุกจิกมากนัก ถ้าเทียบกับคราวก่อนที่ระบุเงื่อนไขมาเยอะแยะจนหนาเป็นปึกๆ มีโอกาสให้โกงเจ้าของบ้านได้ตั้งเยอะ”

คนโดนเหน็บปรายตามองหญิงสาวอย่างไม่ชอบใจ

“กล้าทำจริงๆ หรือไง”

“ก็เคยทำให้คุณระแวงจนต้องจับฉันเซ็นสัญญา แถมยังจะเอาผิดกับคนรอบข้างฉันอีกนั่นแหละค่ะ” คนถูกท้าลอยหน้าตอบ

“เรื่องปกติ” ธรรศยักไหล่ “เจ้าของโครงการไหนๆ ก็ต้องเขียนสัญญากันไว้ทั้งนั้น”

“แล้วคราวนี้มั่นใจได้ยังไงล่ะคะว่าจะไม่ถูกฉันโกงเอาน่ะ”

ธรรศหันมาสบตาหล่อนนิ่ง สีหน้าจริงจัง

“ลองทำดูสิ ได้เห็นดีกันแน่”

“ทุกวันนี้ฉันก็โดนดีมานับไม่ถ้วนอยู่แล้วค่ะ ยังต้องกลัวอะไรอีก”

“คุณจะโดนหนักกว่านี้ ถ้ายังจะอวดดี ต่อปากต่อคำกับผมไม่เลิกเสียที!”

“ถึงดิฉันไม่พูดอะไรสักคำ คุณก็หาเรื่องดิฉันได้อยู่ดีนั่นแหละค่ะ” สลักจันทร์ย่นจมูก แล้วยื่นเอกสารคืนคนตรงหน้า “นี่ค่ะ ดิฉันเซ็นสัญญา ‘ทาส’ ให้คุณเรียบร้อยแล้ว เชิญรับไปค่ะ ว่าแต่คุณได้ดูแบบบ้านรึยังคะ มีตรงไหนที่ต้องแก้ไขบ้างหรือเปล่า”

เขาไม่ตอบ และพูดเลี่ยงๆ ไม่อยากให้หล่อนได้ใจจนเก็บเอามาข่มเขาทีหลัง

“เริ่มงานก่อสร้างอาทิตย์หน้า เตรียมตัวเข้าไปคุมงานให้ผมทุกวัน”

“ดิฉันยังทำงานประจำ ขอเข้าไปตรวจงานช่วงกลางวันหรือไม่ก็เย็นๆ นะคะ ส่วนวันเสาร์และวันอาทิตย์ได้ทั้งวันค่ะ”

“ไปลาออกซะ”

“คะ?” คนฟังร้องเสียงหลง สีหน้าตกใจ “คุณไม่ได้อำฉันเล่นใช่ไหม”

“ผมพูดจริง เดี๋ยวจะไปย้ำกับไอ้วีร์ไว้ด้วยว่ายอมให้คุณลาออกซะดีๆ”

“นี่คุณจะบ้าไปแล้วจริงๆ รึไง” สลักจันทร์ต่อว่าเขา สีหน้าลำบากใจ

“ผมต้องการคนที่ทำงานให้ผมเต็มเวลา”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ หลังจากที่บ้านคุณสร้างเสร็จ ฉันจะไปทำงานที่ไหน”

“บอกแล้วไงว่าผมจะจ้างคุณเอง”

“ฉันจะเชื่อน้ำมนต์คุณได้แค่ไหนกันเชียว เกิดวันไหนคุณอารมณ์ไม่ดีหรือรู้สึกเหม็นขี้หน้าฉันขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ มีหวังไม่แคล้วฉันต้องเดินเตะฝุ่น กินแกลบแน่ๆ”

ธรรศชักสีหน้า รำคาญเต็มทีที่หล่อนยักท่า ทำตัวเรื่องมากอยู่ได้ หรือคำพูดเขาไม่ศักดิ์สิทธิ์ ดูไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยหรือไง...

“ผมบอกว่าจะจ้าง ก็ต้องมีงานให้ทำสิ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า”

“ขัดส้วมรึเปล่าคะ”

“สลักจันทร์!”

“ก็ฉันสงสัยจริงๆ นี่คะ ปกติคุณจ้างสถาปนิก วิศวกร นอกบริษัทให้ดำเนินการอยู่แล้ว ยังจะจ้างตัวแถมอย่างฉันไปทำอะไรอีกล่ะคะ ในเมื่อปีปีหนึ่งคุณก็ไม่ได้ผุดโครงการขึ้นเป็นดอกเห็ดเสียหน่อย อย่างมากก็สี่ถึงห้าโครงการเท่านั้น มีแต่งานทำความสะอาดเท่านั้นละที่รอให้คนอย่างฉันไปทำ ถ้าตัดสินใจย้ายไปบริษัทคุณ”

หญิงสาวไม่กลัวว่าเขาจะขึ้งโกรธ เพราะมันหมายถึงอาชีพการงานและความอยู่รอดของครอบครัวเธอ จะให้เธอบ้าจี้คิดง่ายๆ แบบเขาได้อย่างไรกัน

“ผมไม่ให้คุณทำงานต่ำต้อยแบบนั้นหรอกน่า”

สลักจันทร์ทำหน้ามุ่ยไม่พอใจคนหน้ายักษ์เหมือนที่เขาทำกับเธอ

“ดิฉันไม่ได้พูดเพราะว่าดูถูกอาชีพนี้หรอกนะคะ ดิฉันพูดเพราะอยากใช้ความรู้ความสามารถที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมาสี่ปีเต็มให้เกิดประโยชน์และตรงกับสายงานของฉันที่สุด ไม่ใช่มีไว้แค่ประดับหัวเล่น แล้วก็นั่งก้มหน้าทำงานตามที่คนอื่นชี้นิ้วสั่งไปวันๆ ขอบอกตรงๆ ว่ามันไม่ใช่ตัวฉัน”

“อุดมการณ์เยอะเหลือเกินนะ...”

ธรรศกล่าวในสิ่งที่สลักจันทร์เกลียดเวลาได้ยิน เพราะมันช่างเหมือนความคิดของอดีตแฟนหนุ่มเป๊ะ! ชาตินี้เธอจะเจอแต่ผู้ชายระบบทุนนิยมทั้งชีวิตเลยหรืออย่างไร

หญิงสาวอดถามตัวเองไม่ได้ เธอเบื่อที่จะตอบ แต่ไม่เคยเหนื่อยที่จะทำตามความตั้งใจ ปากอิ่มเตรียมจะอ้าเถียงกลับ แต่อีกฝ่ายชิงพูดแทรกสิ่งที่ค้างไว้

“...แต่การมีเป้าหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่ดี”

“คุณไม่ได้คิดว่าฉันหยิ่งในศักดิ์ศรีแบบโง่ๆ เหรอคะ” สลักจันทร์ทำตาโตแทบถลน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยิน เห็นทีเธอต้องมองผู้ชายตรงหน้าใหม่เสียแล้ว

“ทำไมผมจะต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”

“ก็มันเป็นสิ่งที่คุณถนัดไม่ใช่เหรอคะ...ไอ้เรื่องชอบพูดจาดูถูกคนอื่นเนี่ย”

“ผมชักจะหงุดหงิดจริงๆ แล้วนะ”

“ก็วันนี้คุณทำตัวน่าสงสัยนี่คะ อยู่ดีๆ ก็ทำตัวแปลกๆ ใจดีจนผิดปกติ ตั้งแต่ตกลงจ้างฉันต่อง่ายๆ แล้ว แถมยังเอาสัญญามาให้เซ็นถึงที่อีก เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ปกติคุณน่าจะแดกดันฉันมากกว่าจะชมนะคะ คุณทำให้ดิฉันชักจะหนาวๆ รู้สึกเสียวสันหลังวาบซะแล้วสิคะ เอ๊ะ! หรือว่าจริงๆ นี่เป็นตลกร้ายที่คุณนึกสนุกขึ้นมา คุณแอบซ่อนกล้องเอาไว้ใช่ไหมคะ” หญิงสาวทำตาโต พลางสอดส่ายสายตาไปทั่วอย่างระแวง

คนที่ถูกมองในแง่ร้ายฉุนกึกจนอยากจะจับคนตรงหน้ามาเขย่าตัวแรงๆ สักทีให้สมกับความดื้อด้าน

“ให้ตายเถอะ! คุณนี่มันดื้อด้าน แถมยังเอาใจยากอีก รู้ตัวบ้างไหม”

สลักจันทร์ส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ ฉันรู้แต่ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันไม่เหมือนคุณธรรศคนเดิม”

“ยังจะกวนกันอีก”

ธรรศเอ็ดเสียงเขียว สีหน้ากระด้างฟ้องชัดว่าพร้อมจะขย้ำเธอได้ทุกเมื่อ สลักจันทร์เลยชักขยาดจนหน้าสลดลงนิดหนึ่ง ก่อนจะวกถามเรื่องงานอีกครั้ง

“แล้วตกลงว่าแบบที่ฉันเขียนไว้ คุณได้อ่านหรือดูบ้างรึยังคะ”

“อืม” ตอบสั้นๆ ในลำคออย่างเสียไม่ได้

“โอเคไหมคะ”

กับคนเรื่องเยอะอย่างเขา เธอไม่กล้าใช้คำว่า ‘ชอบ’ ไหมหรอก กลัวต้องลุ้นจนหัวใจวาย แค่เขาไม่ติโน่นตินี่จนผลงานที่เธอตั้งใจสร้างเละเทะก็บุญโขแล้วละ แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายพยักหน้ารับ ซ้ำยังเอ่ยคำที่ทำให้เธอแทบกรีดร้องด้วยความลิงโลด

“ผ่าน”

“ไม่แก้เลยเหรอคะ”

“อืม”

“คุณไม่ได้พูดผิดใช่ไหมคะ” สถาปนิกสาวย้ำถามเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไปจริงๆ มีรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า ทั้งตื่นเต้นระคนดีใจ เหมือนได้พิสูจน์ตัวเองให้คนตรงหน้ายอมรับกลายๆ

ผิดกับคนที่เริ่มจะกระดาก รู้สึกเสียหน้าเบาๆ จึงย้อนกลับอย่างรำคาญ

“หรือจะให้มีล่ะ”

“ไม่มีดีกว่าค่ะ” หญิงสาวส่ายหัวดิก ยังคงยิ้มหน้าบาน “ฉันเพียงแต่ดีใจ”

“ทำไมต้องดีใจขนาดนั้น บ้านก็ไม่ใช่ของตัวสักหน่อย”

“ใช่ค่ะ...บ้านไม่ใช่ของฉัน แต่แค่ได้เห็นว่าคนที่อาศัยอยู่ในบ้านที่ฉันออกแบบให้มีความสุข ฉันก็ดีใจแล้ว หน้าที่ของคนเป็นสถาปนิกมันก็มีแค่นี้แหละค่ะ ออกแบบบ้านทุกขั้นทุกตอนอย่างพิถีพิถันให้เหมือนกับการสะกดคำว่า ‘บ้าน’ เพราะถ้าลืมเติมนอหนูก็จะกลายเป็น ‘บ้า’ แต่ถ้าไม่ใส่ไม้โทก็กลายเป็น ‘บาน’ อีก แต่ละคำดูไม่เป็นมงคลทั้งนั้น ต้องเขียนด้วยความระมัดระวัง เพราะมันคือรากฐานของคนอาศัยทั้งชีวิต”

ธรรศมองรอยยิ้มละมุนของสถาปนิกสาวด้วยหัวใจที่เต้นแรง...

เขาเห็นผู้หญิงตรงหน้าสวยขนาดนี้ได้อย่างไร!

ไม่ใช่ใบหน้าหวานๆ ที่ยิ่งพิศมองยิ่งเพลินหรือรูปร่างเย้ายวนใจชวนให้อยากครอบครอง ความคิดข้างในของหล่อนต่างหากที่กำลังทำให้เขารู้สึกประหลาดใจและประทับใจ สลักจันทร์มีความคิด มีวิธีการทำงานหลายๆ อย่างที่ตรงกับวิธีการทำงานของเขา จนธรรศอดแปลกใจไม่ได้...

บิดาเขาเคยสอนไว้ จะสร้างบ้านขายใคร โครงสร้างต้องแข็งแรง ให้เขาอยู่แล้วมีความสุข อบอุ่นและปลอดภัยไปนานๆ เป็นสิบยี่สิบปี ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างดี ประเภทที่ทำงานฉลาดหลบใน โครงสร้างไม่ดิ่งไม่ฉาก เดี๋ยวก่อช่วย ก่อไม่สวยไม่เป็นไร เดี๋ยวฉาบกลบ ฉาบไม่เรียบไม่เนียน เดี๋ยวช่างทาสีซ่อนให้ พวกทำงานแบบลวกๆ ละเลยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สำคัญ ท่านไม่เคยคิดจะจ้างเอาไว้ให้เป็นรอยด่างพร้อยของบริษัท

คนพวกนี้เหมือนปลิง! คอยแต่จะกิน ‘แรง’ ต่าง ‘เลือด’ คนอื่นไปวันๆ

ธรรศคลี่ยิ้มบางๆ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกดี รู้สึกชื่นชมผู้หญิงคนอื่นนอกจากมารดา พึงพอใจที่หล่อนทำงานให้เขาด้วยความตั้งใจ

“ผมชอบบ้านที่คุณออกแบบให้...”

สลักจันทร์หันขวับ ตาลุกยิ่งกว่าไข่ห่าน เขาไม่เพียงพูดว่าผ่าน แถมยังชมเธออีกต่างหาก วันนี้เป็นวันอัศจรรย์ของเธอรึไง เขาถึงได้ทำดีกับเธอถึงขนาดนี้

“ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมคะ เมื่อกี้คุณพูดว่า ‘ชอบ’ บ้านของดิฉัน”

“ผมจะเปลี่ยนใจก็เพราะคุณนี่แหละ” ชายหนุ่มตวัดตามองดุๆ ทำเอาคนที่ช่างสรรหาเรื่องมากวนเขาหุบปากฉับ เปิดโอกาสให้เขาได้กล่าวในสิ่งที่ตั้งใจจะพูดต่อไป “คุณออกแบบบ้านได้ตรงกับคอนเซปต์ที่ผมวางไว้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสวน สระน้ำ หรือวัสดุเลียนธรรมชาติที่ใช้ในการก่อสร้าง ผมมั่นใจว่าทุกอย่างจะต้องทำให้คุณแม่ผมมีความสุขมากที่สุด”

“เพราะแบบนี้...คุณก็เลยจ้างฉันต่อ?” คนถูกชมจนตัวลอยยืดอกอย่างภูมิใจ เป็นปลื้มจนหัวใจพองโต

คนกล่าวชมสบตาสถาปนิกสาวอย่างจริงใจ ก่อนจะพยักหน้ารับ กล่าวเรียบง่ายตรงไปตรงมา

“คุณคิดว่ายังจะมีเหตุผลอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกล่ะ”

“ขอบคุณนะคะ” สลักจันทร์ยิ้มให้เขาด้วยความซาบซึ้ง “ถ้าสิ่งที่คุณพูดเมื่อครู่เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจของคุณจริงๆ ฉันก็ดีใจค่ะ ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จขึ้นไปอีกขั้น ที่ทำให้นายจ้างอย่างคุณยอมรับในผลงานของฉันได้ แปลว่าความฝันของฉันที่จะทำให้คุณมีรอยยิ้มได้ตรงปลายทางใกล้จะสำเร็จแล้ว”

“พูดเหมือนผมเป็นคนสำคัญ”

“คุณเป็นทั้งเพื่อนและลูกค้าของพี่วีร์นี่คะ”

“แล้วสำหรับคุณล่ะ...ผมสำคัญไหม” ธรรศถามทันควัน ในใจเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ สัมผัสได้ถึงแรงปรารถนาของเขาที่เริ่มก่อตัวขึ้นและผลักดันให้เขาคิดการบางอย่าง

สลักจันทร์มองใบหน้านิ่งที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกอันใด มีเพียงแววตาที่ไหวระริกวูบเดียวแล้วกลับเป็นปกติดังเดิม ก่อนจะรีบหลุบตาเบือนหน้าหนี ยอมรับว่าจู่ๆ ก็รู้สึกขลาดกลัว ไม่กล้ามอง ไม่กล้าค้นหาความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น เธอไม่เก่งพอที่จะรู้เท่าทันความคิดของเขาได้ เธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร...กำลังรู้สึกอย่างไร...

“ดิฉันจะทำหน้าที่ ทำงานของฉันอย่างดีที่สุดค่ะ” หญิงสาวเลือกตอบแบบกลางๆ ไว้ก่อน

“ตอบไม่ตรงคำถาม” ธรรศจี้ เอื้อมมือคว้าข้อมือบางมากุมไว้มั่นเป็นเชิงข่มขู่ในทีว่า...ห้ามหนี!

“ฉัน...” สลักจันทร์พยายามจะชักมือกลับ แต่ก็ไม่เป็นผล มือเขาเหนียวยิ่งกว่าตุ๊กแกเสียอีก

“ตอบมาซะดีๆ สลักจันทร์ แล้วผมถึงจะยอมปล่อยมือคุณ”

“เอ่อ...”

คนถูกคาดคั้นไม่รู้จะตอบเขากลับเช่นไร จะตอบว่าใช่ ก็ฟังดูแปลกๆ เพราะเธอกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย ครั้นจะตอบว่าไม่ใช่ ก็ยิ่งดูไม่ดีใหญ่ เธอกลัวคนฟังจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอพูดจาไม่รักษาน้ำใจกัน เดี๋ยวจะพานโมโหจนเป็นเรื่องขึ้นมาอีก แต่ถ้าขืนไม่ตอบ เขาคงจะนั่งจับมือเธออยู่อย่างนี้ไม่ยอมปล่อยทั้งวันแน่ ต่อให้เธอแข็งขืน ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะยอมอ่อนข้อให้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นมันคงไม่ค่อยดีต่อหัวใจเธอสักเท่าไร แค่นี้เธอก็กระดาก ใจเต้นโครมครามร่ำๆ จะกระดอนออกมาอยู่นอกอกรอมร่อแล้ว ถ้าอย่างนั้นสู้เธอรีบๆ ตอบเขาไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไม่ดีกว่าหรือ...

คนคิดเพียรหาคำพูดดีๆ แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบเหมาะๆ คนใจร้อนก็ยิ่งเร่งเร้าเธอหนักขึ้น

“แค่บอกว่าผม ‘สำคัญ’ หรือเปล่าเท่านั้น...สลักจันทร์ แล้วผมจะปล่อยมือคุณทันที”

“สิ่งที่ฉันคิด ‘มีผล’ กับคุณด้วยเหรอคะ”

“มี อย่างน้อยก็ต่อความรู้สึกของผมตอนนี้” เขาบอกตามตรง

สลักจันทร์มองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ คำพูดของเธอมีอิทธิพลกับเขาด้วยหรือ แทบนึกไม่ออกเลยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร

สถาปนิกสาวนึกสงสัย แต่ไม่ได้ถาม เพียงเลือกตอบกลับสั้นๆ เพื่ออิสรภาพที่เธอโหยหา หรืออาจจะเป็นสิ่งที่เธอคิดไว้ในใจอยู่แล้ว หญิงสาวก็ยังคลางแคลงในความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน

“คุณเป็นลูกค้าคนสำคัญของฉันก็ได้”

“ผมไม่ชอบสองคำหลัง ฟังดูไม่จริงใจ”

หญิงสาวแอบเบ้ปากกับความมากเรื่องของชายหนุ่ม ทว่าก็ยอมกล่าวให้เขาฟังใหม่แต่โดยดี

“คุณเป็นลูกค้าคนสำคัญของฉันจริงๆ ค่ะ”

“ผมชอบคำหลังของประโยคนี้” ธรรศอมยิ้มแล้วยอมคืนอิสรภาพให้แก่หญิงสาวตามที่สัญญา ก่อนจะบุ้ยใบ้ให้หล่อนได้อาย เมื่อหันไปทางบริกรที่ยืนมองพวกตนกุมมือกันอยู่นานแล้วด้วยแววตาล้อเลียน “ผมจะเรียกให้เขามาจดรายการอาหาร เรื่องลาออกของคุณเอาไว้คุยกันอีกทีวันหลัง”

คนชอบแหย่กระซิบข้างหูหญิงสาวที่กำลังหันกลับมานั่งก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย และกวักมือเรียกบริกรหนุ่มพลางหัวเราะขบขันไปด้วย นานแค่ไหนแล้วนะ...ที่เขาไม่ได้รู้สึกสนุกสนานเวลาคุยกับผู้หญิงเหมือนตอนที่อยู่กับผู้หญิงตรงหน้า

ธรรศถามตัวเอง ขณะจับจ้องใบหน้าหวานที่ตอนนี้แดงระเรื่อชวนมองอย่างอ่อนโยน นี่ละมั้ง ‘แสง’ ที่หล่อนบอกว่าอยากให้ส่องเข้ามาถึงใจเขา

แสง...ที่เจ้าหล่อนเป็นคนนำพาเข้ามา

ธรรศรู้สึกว่ามันอบอุ่นกำลังพอดี ไม่ร้อนระอุหรือหนาวเหน็บจนเกินไปเหมือนที่คนโชคร้ายอย่างเขาเคยสัมผัส

บางที...เขาอาจจะลองเปิดใจให้กว้างๆ ดูอีกสักครั้ง โลกนี้อาจจะยังพอมีผู้หญิงดีๆ หลงเหลืออยู่บ้าง!

ชายหนุ่มหวังให้เป็นเช่นนั้น...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น